ลอรีอัล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Jul 2025 11:56:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CeraVe ถุงรีฟิล ราคาถูกกว่าขวด 10-15% หมัดเด็ดเสริม Loyalty กลุ่มลูกค้าใช้ฉ่ำ ใช้ประจำ https://positioningmag.com/1531838 Thu, 31 Jul 2025 08:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531838 เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมความงาม เมื่อ CeraVe ออกแพ็กเกจจิ้งถุง Refill ขนาดเท่ากับขวดใหญ่ หรือ 473 ml. ถูกใจสาวกแบรนด์เป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการสกินแคร์ ที่ออกแพ็กเกจจิ้ง Refiil เพราะส่วนใหญ่จะเห็นกับแบรนด์สินค้าอุปโภคต่างๆ เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า เป็นต้น

ตัวเลือกความยั่งยืน

ทางแบรนด์ CeraVe ได้เปิดเผยกับ Positioning ว่า CeraVe ได้เริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ถุงรีฟิลในปี 2025 โดยเป็นการทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกพร้อมๆ กันในปีนี้ เหตุผลที่เลือกเปิดตัวถุงรีฟิลในประเทศไทยมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนของ L’Oréal Groupe ที่มีพันธกิจด้านความยั่งยืน มีเป้าหมายการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้ทรัพยากร และขับเคลื่อนการหมุนเวียนทรัพยากร (circular economy) ซึ่งผลิตภัณฑ์รีฟิลนั้น อยู่ในเป้าหมายใช้การลดความหนาแน่นบรรจุภัณฑ์และลดการใช้พลาสติกใหม่  

พร้อมกับต้องการสร้างความแตกต่าง การมีแพ็กเกจจิ้งรีฟิลช่วยให้แบรนด์ CeraVe สามารถสร้างความแตกต่าง และตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในตลาดไทยได้ 

แพร โตเจริญทรัพย์ Brand General Manager, CeraVe Thailand บอกว่า ผู้บริโภคคนไทยมีการตอบรับที่ดีต่อบรรจุภัณฑ์รีฟิล โดยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการรีฟิลผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน ด้วยแรงผลักดันจากกระแสความยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมองหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น 

โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์รีฟิลมักมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำ อีกทั้งยังสร้าง Loyalty กับแบรนด์ในระยะยาวได้ด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง และมักเป็นกลุ่มที่เปิดรับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้ง่าย

โดยที่แพ็กเกจจิ้งรีฟิลของ CeraVe ไม่ใช่แพ็คเกจถุงรีฟิลแรกของกลุ่ม L’Oréal Groupe ก่อนหน้านี้มีถุงรีฟิล หรือบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอื่นๆ ในหลายแบรนด์ และหลายประเทศ ภายใต้โครงการ L’Oréal for the Future ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Kiehl’s มีถุงรีฟิลแบบมาสักระยะหนึ่งแล้ว แบรนด์ลังโคมมีผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบกระปุก หรือกลุ่มน้ำหอมเช่น แบรนด์ YSL ในผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบขวด เป็นต้น 

เอาใจกลุ่มใช้ฉ่ำๆ

หนึ่งในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักที่ถุงรีฟิลเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยมคือ “Heavy User” หรือผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นประจำ และในปริมาณมาก ซึ่งมักจะซื้อผลิตภัณฑ์ไซส์ใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว ทำให้ราคาต่อหน่วยถูกลง ไม่ต้องซื้อขวดใหม่บ่อยๆ

ถึงแม้ว่า CeraVe ที่สหรัฐอเมริกาจะมีไลน์สินค้ามากกว่า 70 รายการ ครอบคลุมสกินแคร์หลายกลุ่มทั้งมอยเจอร์ไรเซอร์, ล้างหน้า, สิว, เอจจิ้ง, กันแดด และผม แต่ในไทยมีไลน์สินค้าหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ บอดี้โลชั่น, ล้างหน้า และผิวหน้า ในปีนี้กำลังจะมีสินค้าตัวอื่นๆ เข้ามามากขึ้น

จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของ CeraVe ก็คือ การมีแพ็กเกจจิ้งทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 88 ml, 236 ml และ 473 ml ซึ่งไม่ค่อยเห็นในแบรนด์อื่นๆ มากนัก เพราะในแง่ของการตลาดแล้ว การมีแพ็กเกจจิ้งเยอะ การบริหารสต๊อกยิ่งตามมา 

แต่การมี 3 ขนาด ยิ่งเป็นผลดีต่อ CeraVe เพราะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่ละคนใช้คนละแบบ ซึ่งแพรบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องการจัดการสต๊อกเลย เพราะทุกไซส์ขายดีหมด ขึ้นอยู่กับช่วงวัย 

“CeraVe มีกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y วัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-35 ปี ที่ชอบค้นหาข้อมูล และรู้จักส่วนผสม มีกลุ่ม Gen Z บ้างเล็กน้อย การมีแพ็กเกจจิ้งหลายไซส์ก็ช่วยทำให้เข้าถึงคนหลากหลายมากขึ้น กลุ่ม New User จะเริ่มใช้ขวดเล็กเป็นการทดลองใช้ง่าย ส่วนกลุ่ม Gen Y จะชอบขนาดกลาง ส่วนกลุ่มแม่ และเด็ก จะชอบใช้ขวดใหญ่”

จากข้อมูลของแบรนด์พบว่า 50-60% ของลูกค้า CeraVe จะมีการใช้สินค้ามากกว่า 3 ตัวขึ้นไป รับกับเทรนด์      ผู้บริโภคที่ผิวแต่ละวันไม่เหมือนกัน จึงจะเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์สกินแคร์ตามสภาพผิวในแต่ละวัน 

สำหรับสินค้าที่ขายดีอันดับ 1 ได้แก่ CeraVe Moisturizing Cream 50 ml รองลงมาคือ CeraVe Moisturizing Lotion 473 ml และ CeraVe PM Facial Moisturizing 

โดยที่สัดส่วนรายได้แบ่งเป็น กลุ่มบอดี้โลชั่น 40% คลีนเซอร์ 30-40% และผิวหน้า 30-40% 

ถุงรีฟิลของ CeraVe จะมี 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ Lotion, Cream, Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีขนาดเดียวคือ 473 ml. หรือเทียบเท่ากับขวดใหญ่ 

ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนต่างของราคาถุงรีฟิลสำหรับ Lotion และ Cream ที่มีส่วนต่างราคาอยู่ที่หลักร้อย แต่ Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีส่วนต่างอยู่ที่หลักสิบ ส่วนใหญ่ส่วนต่างราคาถูกกว่าขวดราวๆ 10-15% ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมากแน่นอน กระตุ้นให้รู้สึกคุ้มค่าได้ และมีแนวโน้มในการซื้อซ้ำ

ปัจจุบันขนาดของบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลของ CeraVe จะมีเพียงแค่ขนาดเดียว แต่ถ้าหากได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค และมีความต้องการที่มากขึ้น อาจจะมีการพิจารณาขนาดอื่นๆ อีกก็ได้ แถมยังอาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้ แบรนด์อื่นๆ ในตลาด นำเสนอแพ็กเกจรีฟิลให้กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดสกินแคร์ก็เป็นได้ 

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1531838
L’Oreal ปิดดีลซื้อแบรนด์สกินแคร์ Aesop มูลค่า 85,675 ล้านบาท จากบริษัทในประเทศบราซิล https://positioningmag.com/1426043 Tue, 04 Apr 2023 05:00:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1426043 ลอรีอัล (L’Oreal) ประกาศซื้อแบรนด์สกินแคร์ชื่อดังที่มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลียอย่าง เอสอป (Aesop) ด้วยมูลค่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 85,675 ล้านบาท จากเนทูร่าแอนด์โค (Natura & Co) บริษัทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สกินแคร์จากประเทศบราซิล

สื่อต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานข่าวว่า L’Oreal ได้เข้าซื้อกิจการ Aesop จากเนทูร่าแอนด์โค (Natura & Co) ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สกินแคร์จากประเทศบราซิล ด้วยมูลค่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากบริษัทได้จ้างที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อจะหาผู้ที่สนใจในการลงทุนแบรนด์สกินแคร์ดังกล่าว

Nicolas Hieronimus ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ L’Oreal กล่าวว่าแบรนด์นี้เป็น “ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นเมือง ความนับถือตนเอง และความหรูหราที่ไม่อาจปฏิเสธได้” นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าบริษัทจะช่วย Aesop ในการขยายธุรกิจเข้าประเทศจีนมากขึ้นกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ทาง Natura & Co ได้ประกาศหาผู้ที่สนใจที่จะเข้าซื้อหุ้นบางส่วน หรือกิจการทั้งหมดของ Aesop โดยมีผู้เข้าร่วมสู้ศึกการประมูลไม่ว่าจะเป็น L’Oreal บริษัทลงทุนในบริษัทนอกตลากหลักทรัพย์ (Private Equity) จากอังกฤษอย่าง Permira รวมถึงคู่แข่งจากประเทศจีนอย่าง Primavera Capital ที่สนใจซื้อกิจการหรือลงทุนในแบรนด์สกินแคร์ชื่อดัง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Natura & Co ต้องขายกิจการของ Aesop ออกมานั้นเนื่องจากบริษัทต้องนำเงินไปใช้หนี้ รวมถึงบริษัทประสบปัญหาในการขยายตลาดของแบรนด์สกินแคร์ชื่อดังนี้ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน Aesop มีหน้าร้าน 400 สาขาอยู่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย

สำหรับ Aesop แบรนด์จากออสเตรเลียนี้ก่อตั้งในปี 1987 โดย Dennis Paphitis ซึ่งมีอาชีพช่างทำผม ผู้ซึ่งเริ่มผสมน้ำมันหอมระเหยลงในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในร้านทำผมของเขาที่กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่จะเปิดร้านขายผลิตภัณฑ์เป็นสาขาแรกในชั้นใต้ดินของที่จอดรถในปี 2003 ก่อนที่จะได้รับความโด่งดังจน Natura & Co ได้ซื้อกิจการแบรนด์ดังกล่าวในปี 2012 ด้วยมูลค่า 68 ล้านเหรียญออสเตรเลีย

รายได้รวมทั้งหมดของ Aesop ในปี 2022 ที่ผ่านมานั้นอยู่ที่ 537 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 18,392 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.5% ของรายได้รวมของ Natura & Co เท่านั้น ทำให้บริษัทเครื่องสำอางจากบราซิลรายนี้ตัดสินใจในการขายกิจการออกมาในที่สุด

ที่มา – BBC, Reuters, The Guardian

]]>
1426043
บิวตี้เริ่มฟื้น! “ลอรีอัล” กวาดรายได้ 3.2 หมื่นล้านยูโรในปี 2564 เติบโต 16.1% สูงเป็นประวัติการณ์ https://positioningmag.com/1374040 Tue, 15 Feb 2022 16:11:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374040 ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการปี 2564 ยอดขายเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 16.1% โดยมีมูลค่า 3.228 หมื่นล้านยูโร ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ขยายตัวขึ้น 25.7% คิดเป็นสัดส่วน 28.9% ของยอดขาย

นิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า

“ปี 2564 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์สำหรับลอรีอัล สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของตลาดความงามทั่วโลก อีกทั้งยังได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกโซน ทุกแผนก และทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ลอรีอัล กรุ๊ปเติบโตในอัตรา 11.3% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทสามารถเติบโตได้สูงกว่าตลาดและฟื้นตัวได้เกือบถึงระดับของปี 2562 แล้ว แม้ว่าสถานการณ์โลกจะยังมีความผันผวนเกิดขึ้นช่วงต้นปีนี้ แต่เราก็เชื่อมั่นในความสามารถของเราที่จะเติบโตได้สูงกว่าตลาดในปี 2565 และเติบโตต่อไปได้อีกปีทั้งในแง่ยอดขายและกำไร”

ในแง่ของโซนต่างๆ นั้น อเมริกาเหนือฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเป็นภูมิภาคที่มีส่วนสนับสนุนที่สำคัญเช่นเดียวกับเอเชียเหนือ ส่วนในยุโรป ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ของภูมิภาคนี้ ลอรีอัลก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และฟื้นตัวสู่ระดับปี 2562 ได้ และเนื่องด้วยสถานการณ์ด้านสาธารณสุขที่ผันผวนอย่างมากในภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) และละตินอเมริกา ลอรีอัลก็ยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

แผนกเครื่องสำอางชั้นสูงได้กลายเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดของลอรีอัล กรุ๊ป และประสบความสำเร็จอย่างมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอม ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ซึ่งเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดในด้านปริมาณ ก็มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น โดยกลุ่มเครื่องสำอางสามารถทำผลการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพที่เติบโตอย่างรวดเร็วนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และได้ธุรกิจใน omnichannel อย่างแท้จริง ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางก็เติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี เนื่องจากแบรนด์ต่างๆ สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของลูกค้าได้อย่างลงตัว

บริษัทยังเดินหน้าในด้าน Beauty Tech ด้วยการลงทุนในดาต้าและปัญญาประดิษฐ์ และด้วยการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เช่น การเป็นพันธมิตรของเรากับเวริลี (Verily) เพื่อที่จะทำความเข้าใจ และอธิบายกลไกการร่วงโรยของผิวพรรณและเส้นผมให้ดียิ่งขึ้น

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้มีการทำธุรกรรมเชิงกลยุทธ์ โดยลอรีอัลได้ซื้อคืนหุ้นในสัดส่วน 4% ที่ถือครองโดยเนสท์เล่ ซึ่งทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวของลอรีอัล กรุ๊ป

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามแผนกธุรกิจ

  • ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมียอดขายเพิ่มขึ้น 24.8%
  • ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคมียอดขายเพิ่มขึ้น 5.6%
  • ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมียอดขายเพิ่มขึ้น 20.9%
  • ผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายโตขึ้น 31.8%

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามโซนภูมิภาค

  • โซนยุโรปมียอดขายเพิ่มขึ้น 10.1%
  • โซนอเมริกาเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 22.2%
  • โซนเอเชียเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 17.6%
  • โซน SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) มียอดขายเพิ่มขึ้น 13.9%
  • โซนละตินอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 20.6%
]]>
1374040
สวยรักษ์โลก! “ลอรีอัล” คิกออฟ ผลิตขวดเครื่องสำอางขวดแรกจากพลาสติกรีไซเคิล 100% https://positioningmag.com/1342011 Tue, 13 Jul 2021 08:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1342011 ลอรีอัล กรุ๊ป ประกาศความสำเร็จในการผลิตขวดเครื่องสำอางพลาสติกรีไซเคิลขวดแรกจากเทคโนโลยีเอนไซม์ของ Carbios พร้อมตั้งเป้าหมายผลิตขวดด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ในปี พ.ศ. 2568 โดยแบรนด์ไบโอเธิร์มเป็นแบรนด์แรกของลอรีอัล กรุ๊ปที่จะใช้นวัตกรรมขวดบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตนี้

เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการรีไซเคิลพลาสติก PET พัฒนาขึ้นโดย Carbios จะนำไปสู่การผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ทำจากวัสดุที่ได้มาจากการรีไซเคิล 100% โดยใช้ขั้นตอนของเอนไซม์ ซึ่งมีข้อดีคือ มีความเหมาะสมและใช้ได้กับพลาสติก PET ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบบใส แบบมีสี แบบขุ่น และแบบหลายชั้น และจะทำให้พลาสติกเหล่านี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ไม่สิ้นสุด

ฌัก เพล ผู้อำนวยการฝ่ายบรรจุภัณฑ์และการพัฒนา ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า

“เราได้ทำงานร่วมกับ Carbios มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เพื่อพัฒนาขวดใบแรกที่ทำจากพลาสติก PET ที่ได้มาจากเทคโนโลยีการรีไซเคิลด้วยเอนไซม์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ใช้แทนการรีไซเคิลพลาสติกเชิงกล เรายินดีอย่างยิ่งที่ขวดเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นจริงในโครงการนำร่อง และเราได้สร้างบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตร่วมกับพันธมิตรของเรา นี่จะเป็นนวัตกรรมยอดเยี่ยมสำหรับอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการนำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานด้านการหมุนเวียน (circularity) ที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว”

จูลิโอ เบียร์กามาสกี ประธานแบรนด์ไบโอเธิร์ม กล่าวว่า

“ไบโอเธิร์มเป็นแบรนด์บุกเบิกเครื่องสำอางที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการลดขยะเป็นศูนย์กลางของแผนยุทธศาสตร์ของแบรนด์ เราดีใจที่ได้เป็นแบรนด์ความงามแบรนด์แรกที่ประสบความสำเร็จในการผลิตขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล โดยใช้เทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกของ Carbios”

เมื่อปี พ.ศ.2560 ลอรีอัลได้รวมกลุ่มบริษัทกับ Carbios ซึ่งมี Nestlé Waters, PepsiCo และ Suntory Beverage & Food Europe เข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมโซลูชันการรีไซเคิลพลาสติกด้วยการใช้นวัตกรรม และการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้เป็นอุตสาหกรรม และต่อมาในปี พ.ศ. 2562 ลอรีอัลได้ลงทุนใน Carbios ผ่านกองทุนร่วมทุน BOLD หรือ Business Opportunities for L’Oréal Development

ด้วยโปรแกรมเพื่อความยั่งยืนปี 2030 ของลอรีอัล กรุ๊ป “L’Oréal for the Future” บริษัทฯ ได้ยกระดับการทำงาน เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนโฉมการดำเนินธุรกิจ และได้ตั้งเป้าหมายใหญ่ในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างด้านบรรจุภัณฑ์ อาทิ

  • ภายในปี พ.ศ. 2568 บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะเป็นแบบที่สามารถรีฟิลได้ นำมาใช้ซ้ำได้ รีไซเคิลได้ หรือย่อยสลายได้
  • ภายในปี พ.ศ. 2573 บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะมาจากวัสดุรีไซเคิล หรือแหล่งชีวภาพ และจะไม่ใช้พลาสติกผลิตใหม่ที่มาจากแหล่งกำเนิดฟอสซิลอีกต่อไป
  • ส่วนประกอบ 100% ที่ใช้ในสูตรต่าง ๆ และวัสดุที่มาจากแหล่งชีวภาพจะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และจะมาจากแหล่งที่ยั่งยืนภายในปี พ.ศ. 2573

เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ลอรีอัล กรุ๊ปทำงานร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หลายราย เพื่อให้บริษัทมีช่องทางเข้าถึงเทคโนโลยีที่ดีที่สุด นอกจาก Carbios แล้ว ลอรีอัลยังร่วมมือกับ Albéa ผู้นำระดับโลกด้านบรรจุภัณฑ์ความงาม  ในการพัฒนาหลอดเครื่องสำอางหลอดแรกที่ใช้กระดาษแข็งที่ผ่านการรับรองจาก FSC ในปี พ.ศ.2562

และยังร่วมมือกับ Purecycle เพื่อผลิตพลาสติก polypropylene (PP) ที่รีไซเคิลด้วยการใช้สารละลาย และในเดือนตุลาคม 2563 ลอรีอัลได้ร่วมมือกับ LanzaTech และ Total พร้อมทั้งได้ประกาศให้โลกได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่า สามารถผลิตขวดเครื่องสำอางที่ใช้พลาสติก polyethylene (PE) ที่ผลิตจากก๊าซคาร์บอน ซึ่งถูกปล่อยออกมาจากภาคอุตสาหกรรมและถูกนำมารีไซเคิล

]]>
1342011
บิวตี้กลับมาบวก! “ลอรีอัล” ยอดขายไตรมาสแรกโต 10.2% ได้แรงหนุนจากจีน-ออนไลน์ https://positioningmag.com/1329711 Mon, 03 May 2021 14:02:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1329711 ลอรีอัล กรุ๊ป ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2564 โดยมียอดขายมูลค่า 7,610 ล้านยูโร เติบโต 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการขยายตัว 47.2% โดยคิดเป็นสัดส่วน 26.8% ของยอดขาย

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง และผลิตภัณฑ์เวชสำอางมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยธุรกิจทุกแผนกดังกล่าวขยายตัวขึ้นในอัตราเลข 2 หลัก แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ขณะที่การขยายตัวของแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงขับเคลื่อนด้วยความสำเร็จจากแบรนด์สกินแคร์ต่างๆ โดยเฉพาะลังโคม คีลส์ และเฮเลน่า รูบินสไตน์ ส่วนผลิตภัณฑ์เวชสำอางยังคงต่อยอดการเติบโตที่แข็งแกร่งในปีที่แล้ว ขณะที่ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคก็มีความเสถียรภาพ แต่ยังถูกฉุดรั้งจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เมคอัพซึ่งยังคงซบเซาอยู่

ทุกภูมิภาคมียอดขายที่สูงขึ้น ยกเว้นยุโรปตะวันตกที่ยังได้รับผลกระทบจากมาตรการที่เกี่ยวพันกับวิกฤตด้านสุขภาพ โดยอเมริกาเหนือมีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมทั้งส่วนออนไลน์ และออฟไลน์ และทุกโซนในตลาดใหม่มียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 10%

โดยเฉพาะในโซนเอเชียแปซิฟิก ที่กลับมาเติบโตได้เทียบเท่ากับอัตราการขยายตัวในช่วงระยะเวลาก่อนที่จะเกิดโรคระบาด ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงมาก โดยได้แรงสนับสนุนอย่างชัดเจนที่สุดจากตลาดจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ฌอง-ปอล แอกง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า

“ในขณะที่สถานการณ COVID-19 มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างมากเนื่องจากโครงการฉีดวัคซีนนั้น ด้วยพันธสัญญา และความมุ่งมั่นของทีมงานของลอรีอัลจากทั่วทุกมุมโลก เราจึงมีกำลังใจในการต่อสู้เพื่อเติบโตธุรกิจ เราเน้นให้ความสำคัญกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และการลงทุนในปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์ต่างๆ เราจึงเชื่อมั่นในความสามารถของบริษัทที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นเหนือกว่าตลาด รวมทั้งการมียอดขายและผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอีกปี”

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามแผนกธุรกิจ

  • ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมียอดขายเพิ่มขึ้น 21.0%
  • ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคมียอดขายลดลง 0.7%
  • ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมียอดขายเพิ่มขึ้น 14.6%
  • ผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายโตขึ้น 28.7%

ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามโซนภูมิภาค

  • โซนยุโรปตะวันตกมียอดขายลดลง 2.4%
  • โซนอเมริกาเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 6.3%
  • โซนตลาดใหม่
    • เอเชียแปซิฟิกมียอดขายเพิ่มขึ้น 23.8%
    • จีนมียอดขายเพิ่มขึ้น 37.9%
    • ละตินอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 15.1%
    • ยุโรปตะวันออกมียอดขายเพิ่มขึ้น 10.7%
    • แอฟริกาและตะวันออกกลางมียอดขายเพิ่มขึ้น 12.7%
]]>
1329711
‘ลอรีอัล’ เล็งปั้นตลาด ‘ผู้ชาย’ เป็นกลุ่มสร้างการเติบโตใหม่ใน 10 ปีข้างหน้า https://positioningmag.com/1328795 Thu, 22 Apr 2021 08:35:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328795 ‘ลอรีอัล’ (L’Oreal) บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่สัญชาติฝรั่งเศสได้ตั้งเป้าสร้างการเติบโตใหม่ ๆ โดยจะเน้นไปที่กลุ่ม ‘ผู้ชาย’ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้, เอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลาง

35 ตลาดทั่วเอเชียใต้, เอเชียแปซิฟิก, ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือของลอรีอัลที่เรียกย่อ ๆ ว่า ‘SAPMENA’ กำลังเป็นภูมิภาคสำคัญที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดย ‘Vismay Sharma’ ประธานของภูมิภาค กล่าวว่า สาเหตุที่ภูมิภาคดังกล่าวมีโอกาสเติบโตในอนาคต ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนประชากร เพราะภูมิภาคเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรโลก 40% โดยมีอายุเฉลี่ยที่ 28 ปี

“ภูมิภาคนี้หรือ SAPMENA ที่เราเรียกกำลังจะเป็นกลไกการเติบโตที่สำคัญสำหรับเรา นี่คือที่ที่เราจะได้ผู้บริโภคจำนวนมากที่สุดในทศวรรษหน้า และผู้บริโภคกว่า 40% ในภูมิภาคมีอายุน้อยกว่า 25 ปี นั่นทำให้มันน่าตื่นเต้นมากสำหรับเราและเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์สำหรับอนาคต”

ที่ผ่านมา ลอรีอัลที่มีอายุ 112 ปีกำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยค่อนข้างทำได้ดีในช่วงที่มีการระบาด และไตรมาสแรกที่ผ่านมาก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 10.2% ซึ่งกลับมาใกล้ระดับก่อนเกิดการระบาด

Vismay Sharma กล่าวว่า การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้กระตุ้นความต้องการในสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความแข็งแรง นอกจากนี้ผู้บริโภคยังต้องการผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

Hong Kong, December 19, 2018: Hair coloring products in Mannings store.

โดยบริษัทความงามของญี่ปุ่น Shiseido รายงานว่ามีการเติบโตเป็นเลขสองหลักของสายการแต่งหน้าผู้ชายในปี 2020 เนื่องจากผู้บริโภคชายเริ่มใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตนมากขึ้นหลังจากที่ต้องประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ซึ่งลอรีอัลคาดว่าความสนใจในเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายจะยังคงดำเนินต่อไปโดยเฉพาะในภูมิภาค SAPMENA

“ในอดีตผู้ชายไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามมากพอการเจาะกลุ่มนี้นัก ขณะที่การใช้จ่ายเฉลี่ยก็ลดลงมาก ความถี่ในการใช้งานก็ลดลงมาก แต่ตอนนี้เราจะเห็นว่าผู้ชายมีความเข้าใจเรื่องผิวพรรณมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับน้ำหอมที่พวกใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ซึ่งส่วนนี้น่าสนใจมากในแง่ของเปอร์เซ็นต์การเติบโต”

อย่างไรก็ตาม การที่เห็นโอกาสของกลุ่มผู้ชายไม่ได้แปลว่าการเติบโตของผู้หญิงลดลง โดยในกลุ่มผู้หญิงจะยังคงเป็นฐานผู้บริโภคที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามในอนาคต

Source

]]>
1328795
“ลอรีอัล” ตั้งเป้าสินค้าต้องเคารพสิ่งแวดล้อม ใช้วัตถุดิบมาจากพืช 95% ภายในปี 2573 https://positioningmag.com/1324283 Tue, 23 Mar 2021 07:59:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324283 ลอรีอัล พลิกโฉมฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม (R&I) ครั้งสำคัญ ด้วยการใช้หลักวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Sciences) ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นไปตามความตั้งใจของบริษัทที่จะนำเสนอสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเคารพต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

โดยภายในปี 2573 ส่วนผสม 95% ของผลิตภัณฑ์ลอรีอัลจะมาจากพืชที่สามารถปลูกทดแทนได้ แหล่งแร่ธาตุที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น หรือกระบวนการผลิตแบบหมุนเวียน ขณะที่การพัฒนาสูตรต่างๆ ทั้ง 100% จะพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำเป็นสำคัญ

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีทั้งต่อสุขภาพ และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น และการปกป้องโลกเป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งในขณะนี้ การปรับเปลี่ยนการทำงานของฝ่าย R&I ของลอรีอัลนั้นมีเป้าหมายที่ท้าทายมาก

โดยลอรีอัลจะใช้ธรรมชาติเป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อสร้างสรรค์ส่วนประกอบทางเลือก ซึ่งมาจากวัตถุดิบที่สามารถปลูกทดแทนหรือหมุนเวียนได้ เพื่อทดแทนส่วนผสมที่ผลิตหรือมีส่วนประกอบจากปิโตรเลียมซึ่งเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป

ลอรีอัลจะใช้วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อมล่าสุด เพื่อให้การผลิตส่วนผสมต่างๆ เป็นไปอย่างยั่งยืน และสกัดสิ่งที่ดีที่สุดจากธรรมชาติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในปี 2563 ที่ผ่านมา

  • วัตถุดิบ 80% ของลอรีอัล กรุ๊ป สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
  • วัตถุดิบ 59% เป็นวัตถุดิบที่สามารถผลิตทดแทนหรือหมุนเวียนได้
  • 34% เป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ หรือมีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ
  • ส่วนผสม 29% ที่ใช้ในสูตรต่างๆ ของลอรีอัลนั้น ได้รับการพัฒนาขึ้นตามหลักการของเคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Chemistry)

นิโคลา ฮิโรนิมุส รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า

ลอรีอัลกำลังก้าวเข้าสู่การพลิกโฉมฝ่ายวิจัย และนวัตกรรมของบริษัทด้วยวิทยาการวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เราตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2573 เราจะสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ความงามที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นและปลอดภัย สำหรับผู้บริโภคทั้งหญิงและชายทั่วโลก พร้อมทั้งปกป้องสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป”

ณ ปัจจุบัน ลอรีอัล มีระบบบริหารจัดการคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในแต่ละขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกมากกว่า 100 ขั้นตอน ครอบคลุมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด มีกระบวนการพัฒนาและทดสอบคุณสมบัติของตัวผลิตภัณฑ์ ให้คงคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน

โดยผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ใน ลอรีอัล กรุ๊ป ส่วนใหญ่มีอายุอย่างน้อย 3 ปี นับจากเดือนปีที่ผลิต โดยผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลทั่วโลกได้รับการทดสอบและรับรองคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยตลอดระยะเวลาของอายุผลิตภัณฑ์

Source

]]>
1324283
ไวรัสทำหยุดสวย! “ลอรีอัล” ปี 63 รายได้ลดลง 4.1% แต่กลุ่มเวชสำอางโตทุบสถิติ https://positioningmag.com/1320739 Wed, 24 Feb 2021 14:41:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320739 อุตสาหกรรมความงามได้รับผลกระทบไม่แพ้อุตสาหกรรมอื่นๆ “ลอรีอัล” ได้ประกาศปลประกอบการปี 2563 ด้วยยอดขายมูลค่า 27,990 ล้านยูโร ลดลง 4.1% ส่วนใหญ่มาจากจุดจำหน่ายสินค้าต้องปิดตัวจากล็อกดาวน์ แต่ผู้บริโภคดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้กลุ่มเวชสำอางเติบโตแบบทุบสถิติ

อีคอมเมิร์ซโตพุ่ง 62%

การแพร่ระบาดไปทั่วโลกของ COVID-19 ในปี 2563 ก่อให้เกิดวิกฤตด้านอุปทาน เนื่องจากจุดจำหน่ายสินค้าส่วนใหญ่ต้องปิดให้บริการ ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามมียอดขายที่ตกต่ำลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม้ภาพรวมรายได้ทั้งปีจะลดลง 4.1% แต่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ยอดขายในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 4.8% และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ เป็นการสร้างการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง

ในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ทำให้ต้องหันมาพึ่งพาช่องทางดิจิทัล และอีคอมเมิร์ซมากขึ้น นอกจากจะรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคไว้ได้ ยังสามารถชดเชยยอดขายจากการปิดจุดจัดจำหน่ายสินค้าได้เป็นจำนวนมาก โดยยอดขายส่วนอีคอมเมิร์ซพุ่งขึ้นถึง 62% โดยเพิ่มขึ้นทุกแผนก และทุกภูมิภาค และมีขนาดเป็น 26.6% ของยอดขายของทั้งบริษัทในปีที่แล้วซึ่งมากเป็นประวัติการณ์

เวชสำอางฮีโร่! โตสูงเป็นประวัติการณ์

ในปีที่แล้วแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายโตเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีพลวัตอย่างมาก และแบรนด์ต่างๆ ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดด้วยคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

ในส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคสามารถฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบในกลุ่มผลิตภัณฑ์เมคอัพ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในผลิตภัณฑ์หลักอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปิดร้านทำผมในช่วงครึ่งปีแรกนั้น สามารถดีดตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง และยังเติบโตได้อย่างโดดเด่นกว่าตลาดโดยรวมอย่างชัดเจนตลอดปี

และท้ายสุด แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง สามารถเติบโตได้ดีกว่าตลาดโดยรวม แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ลำบากยิ่ง และกลับมาเติบโตได้ในไตรมาสสุดท้าย

ฌอง-ปอล แอกง ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลอรีอัล กรุ๊ป บอกว่า

“ในช่วงต้นปี 2021 สถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่กลุ่มผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลกก็ยังคงมีความต้องการในเรื่องความสวยความงาม เราจึงมั่นใจในศักยภาพที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นเหนือกว่าตลาดอีกครั้งในปีนี้ ตลอดจนประสบความสำเร็จในการเติบโตยอดขายและผลกำไรได้อีกปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของวิกฤตโรคระบาดด้วยเช่นกัน” 

สรุปยอดขายแบ่งตามแผนก

  • แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ยอดขายลดลง -6.4%
  • แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ยอดขายลดลง -4.7%
  • แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง ยอดขายลดลง -8.1% ในขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามขั้นสูงทั่วโลกหดตัวลงประมาณ 14% ลอรีอัลได้ส่วนแบ่งตลาดในแผนกนี้เพิ่มขึ้นเกือบทุกภูมิภาค
  • แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ยอดขายเติบโต +18.9% สูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีมูลค่ายอดขายทะลุ 3,000 ล้านยูโรเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

สรุปยอดขายแบ่งตามภูมิภาค

  • ยุโรปตะวันตก ยอดขายลดลง -10.3%
  • อเมริกาเหนือ ยอดขายลดลง -7.4%

กลุ่มตลาดใหม่

  • ละตินอเมริกา ยอดขายลดลง -1.5%
  • ยุโรปตะวันออก ยอดขายลดลง -4.9%
  • แอฟริกา และตะวันออกกลาง ยอดขายลดลง -3.3%
  • เอเชียแปซิฟิก ยอดขายเพิ่มขึ้น +3.5% โดยยอดขายในไตรมาส 4 พุ่งขึ้น +16.6%
  • จีน มียอดขายเพิ่มขึ้น +27.0%

ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย แปซิฟิก สถานการณ์ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเทศที่ยอดขายได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากการแพร่ระบาด อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเวียดนามนั้น ทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น ในกลุ่มตลาดผลิตภัณฑ์เมคอัพยังคงตกต่ำอยู่ แต่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำตลาดโดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ดูแลผม และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั้น ทำให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในแต่ละไตรมาส

ฌอง-ปอล แอกง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลอรีอัล กรุ๊ป

อีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางที่ผลักดันการเติบโต ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงและผลิตภัณฑ์เวชสำอางมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดหลักทุกแห่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แบรนด์ลา โรช-โพเซย์ และเซราวี ช่วยผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางให้เติบโตขึ้น ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคมียอดขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากยอดขายที่ดีของแบรนด์การ์นิเย่

เมื่อเดือน พ.ย. ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการจัดพื้นที่ภูมิภาคใหม่บางพื้นที่ ได้แก่ โซนเอเชียเหนือ โซน SAPMENA (South Asia, Pacific, Middle East, North Africa) และโซนแอฟริกาใต้ซาฮารา โดยในโซนเอเชียเหนือประกอบด้วยจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ส่วนในโซน SAPMENA เป็นโซนที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ ซึ่งประกอบด้วยเอเชียใต้ แปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ

]]>
1320739
ลอรีอัลเปิดตัว L’Oréal Water Saver ประหยัดน้ำได้ 80% ดูแลเส้นผมแบบยั่งยืน https://positioningmag.com/1315758 Fri, 22 Jan 2021 05:38:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1315758 ลอรีอัล เปิดตัว “L’Oréal Water Saver” นวัตกรรม Beauty Tech ล่าสุด ที่งาน CES 2021 ซึ่งเป็นระบบดูแลเส้นผมเพื่อความยั่งยืนสำหรับร้านซาลอนและสำหรับการใช้ที่บ้าน โดยลอรีอัลได้พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวร่วมกับโจซา (Gjosa) บริษัทนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม โดย L’Oréal Water Saver นำเสนอการสระและดูแลเส้นผมรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่จะช่วยประหยัดน้ำได้มากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยกระดับความหรูหราและประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีประหยัดน้ำได้ 80%

การสระผมที่ร้านซาลอนนับเป็นบริการที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมาหลายยุคสมัย และด้วยนวัตกรรม L’Oréal Water Saver การสระผมรูปแบบใหม่นี้จะเป็นมิตรต่อโลกเรามากยิ่งขึ้น จากนวัตกรรมที่สามารถประหยัดน้ำได้มากถึง 80% ลอรีอัลได้พลิกโฉมประสบการณ์สระผมแบบดั้งเดิม

ด้วยนวัตกรรมที่ผสานเทคโนโลยีการใช้น้ำพลังงานสูงให้เกิดประโยชน์สูงสุด เข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษจากแบรนด์ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oréal Professionnel) และเคเรสตาส (Kérastase) ซึ่งผลิตภัณฑ์จะถูกปล่อยออกมาพร้อมกับกระแสน้ำ

นิโคลา อิโรนิมุส รองประธานบริหารสูงสุด ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า

“ลอรีอัลเชื่อว่า ความรับผิดชอบของเราคือการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนโลก น้ำทุกหยดนั้นมีค่า ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีใหม่ของลอรีอัลจึงให้ความสำคัญกับน้ำทุกหยด L’Oréal Water Saver ถือเป็นการยกระดับนวัตกรรม Beauty Tech ของเราไปอีกขั้น ด้วยการมอบประสบการณ์การดูแลเส้นผมที่ยอดเยี่ยม ที่มาพร้อมความยั่งยืนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในธุรกิจของเราในทุกมิติ”

นวัตกรรม L’Oréal Water Saver เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมเทคโนโลยีของลอรีอัล และโจซา (Gjosa) บริษัทนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมจากสวิตเซอร์แลนด์ จนได้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมชิ้นแรกของโลกที่ผสานความเชี่ยวชาญด้านสูตรผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของลอรีอัลที่มีมานานกว่าศตวรรษ เข้ากับเทคโนโลยีการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดของโจซา ที่ใช้หลักการแยกส่วนซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในเครื่องยนต์สำหรับจรวด เพื่อกำหนดรูปแบบการไหลของน้ำ

โดยหยดน้ำจะไหลออกมาปะทะกันตามทิศทางที่กำหนดและกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ขนาดของหยดน้ำนั้นเล็กลง และเร่งให้เกิดความเร็วของกระแสน้ำ ส่งผลให้กระแสน้ำที่ไหลออกมาสามารถนำมาสระและชะล้างเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้แชมพู ครีมนวด และทรีตเมนต์อื่นๆ สามารถล้างออกได้ง่าย

ฟีเจอร์จาก L’Oréal Water Saver ประกอบด้วย

  • ความเร็วระดับสูงของกระแสน้ำ และช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับการสระผมตามปกติ: L’Oréal Water Saver ใช้ปริมาณน้ำ 2 ลิตรต่อนาที เมื่อเทียบกับการสระผมทั่วไปที่บ้านซึ่งใช้ปริมาณน้ำถึง 8 ลิตร โดยไม่นับรวมความแตกต่างของแรงดันน้ำ
  • เทคโนโลยีการทำความสะอาด Cloud Cleansing ภายใต้การจดทะเบียนสิทธิบัตร: ด้วยรูปแบบการพ่นน้ำที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กระดับไมโครจะผสานเข้ากับสายน้ำ โดย L’Oréal Water Saver จะทำให้หยดน้ำมีขนาดเล็กกว่าปกติถึง 10 เท่า เพื่อให้น้ำเข้าสู่เส้นผมได้ดีกว่าเดิม และล้างออกได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
  • แดชบอร์ดข้อมูลและรายงานการใช้ทรัพยากร: ข้อมูลการประหยัดน้ำและต้นทุนจะแสดงอยู่บนแดชบอร์ดที่จัดทำขึ้นมาสำหรับเจ้าของร้านซาลอน โดยมีบันทึกรวมประวัติการดูแลเส้นผมแสดงอยู่ด้วย นอกเหนือไปจากการติดตามผลในเรื่องการประหยัดน้ำ พลังงาน และต้นทุน

L’Oréal Water Saver เปิดให้สัมผัสประสบการณ์ที่ร้านซาลอนของลอรีอัลในนิวยอร์ก และปารีส โดยจะมีการขยายบริการนี้ออกไปในประเทศต่างๆ ในปี 2564 และ 2565 บริษัทฯ คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะสามารถขยายบริการ L’Oréal Water Saver ได้ในซาลอนอีกหลายพันแห่งทั่วโลก

ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำได้เป็นจำนวนมหาศาล หรือสูงสุดประมาณ 1 พันล้านแกลลอน หรือ 2.8 พันล้านลิตรต่อปี ส่วนอุปกรณ์ที่สามารถติดตั้งเพื่อการใช้งานภายในบ้านนั้น จะเปิดตัวในภายหลังจากนี้

]]>
1315758
เหยียดผิวเป็นเหตุ สังเกตได้! “ลอรีอัล” ประกาศเลิกใช้คำว่า “Whitening” ในทุกผลิตภัณฑ์ https://positioningmag.com/1285509 Sat, 27 Jun 2020 17:09:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1285509 ลอรีอัล ประกาศว่า จะถอดคำว่า “ทำให้ผิวขาว” (whitening) ออกจากผลิตภัณฑ์ ท่ามกลางกระแสประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวทั่วโลก

“ลอรีอัล กรุ๊ป ตัดสินใจถอดคำว่าทำให้ผิวขาว สม่ำเสมอ กระจ่างใส ออกจากทุกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว” บริษัทระบุในถ้อยแถลง

เช่นเดียวกับยูนิลีเวอร์ในอินเดียและบังกลาเทศที่จะเปลี่ยนชื่อครีมทำให้ผิวขาว “Fair & Lovely” ด้วยเช่นกัน

ยูนิลีเวอร์ ที่โกยรายได้ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์จากผลิตภัณฑ์ในอินเดียเมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า พวกเขาจะเลิกใช้คำว่า “Fair” เป็นชื่อผลิตภัณฑ์ เนื่องจากทางแบรนด์ “มีเจตนารมณ์ที่จะยกย่องทุกโทนสีผิว”

ในช่วงนี้หลายบริษัท รวมทั้ง ลอรีอัล ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว หลังจากการลุกฮือทั่วโลกของขบวนการ Black Lives Matter ภายหลังเหตุตำรวจผิวขาวสังหารชายผิวสีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกานาม จอร์จ ฟลอยด์ ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่แล้ว

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ระบุว่า พวกเขาจะเลิกขายผลิตภัณฑ์ Neutrogena และ Clean & Clear บางส่วน ที่ถูกโฆษณาว่าลดรอยด่างดำในเอเชียและตะวันออกกลาง

หลายบริษัทในสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของบริษัท เช่น Mars ที่ระบุว่ามีแผนจะพัฒนาแบรนด์ Uncle Ben’s ซึ่งใช้ภาพชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาเป็นโลโก้

Source

]]>
1285509