วัตสัน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 10 Apr 2023 07:36:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ยุคช้อปออนไลน์ก็ไม่หวั่น! “วัตสัน” จัด “โปรโมเชื่อม” ดันยอดขายออนไลน์ตีคู่ออฟไลน์ https://positioningmag.com/1426936 Mon, 10 Apr 2023 06:28:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1426936 เป็นที่ทราบกันดีว่า พฤติกรรมการช้อปแบบไร้รอยต่อของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ทำให้ภาคธุรกิจแทบทุกอุตสาหกรรมหันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดแบบ O2O เช่นเดียวกับ วัตสัน ประเทศไทยที่ใช้กลยุทธ์แพลตฟอร์ม O+O เป็นรูปแบบธุรกิจและกลยุทธ์หลักในทุกตลาดทั่วโลก

วัตสัน ประเทศไทย เริ่มลุยตลาดออนไลน์อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2560 โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากความต้องการที่จะเจาะฐานกลุ่ม Younger ควบคู่ไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้จึงได้สร้าง Platform strategy ที่เรียกว่า O+O (Offline+Online) ซึ่งแตกต่างจากกลยุทธ์ O2O ที่คนทั่วไปรู้จัก

สำหรับวัตสัน ประเทศไทย O2O เป็นเพียงการอำนวยความสะดวก ให้ผู้บริโภคสามารถช้อปปิ้งจากช่องทางไหนก็ได้ แต่ O+O เป็นมากกว่านั้น คือ การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ามีความสะดวก สามารถช้อปผ่านช่องทางไหนที่ไหน หรือเวลาไหนก็ได้เชื่อมต่อทุกช่องทางการช้อปได้แบบไร้รอยต่อ

ในการทำ O+O จึงได้สร้างรูปแบบ Omni- Channel ขึ้นมา ประกอบไปด้วยเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมลูกค้าเข้ากับหน้าร้าน และออนไลน์ รวมถึงให้ข้อมูลข่าวสาร, โมบายล์ แอปพลิเคชัน Watsons TH ทำหน้าที่เป็นอีคอมเมิร์ซ, โซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter , IG และ LINE ทำหน้าที่สร้างคอมมูนิตี้ในการให้ข้อมูลข่าวสาร และสร้างการรับรู้ตลอดจน CRM Platform ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าทั้งอัปเดตข่าว โปรโมชัน และสิทธิพิเศษต่างๆ

O+O ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นช่องทางการขายออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ อีกหลายช่องทาง เช่น การขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ อีมาร์เก็ตเพลส Chat & Shop ของร้านวัตสันที่มีบริการกว่า 350 สาขา สั่งสินค้า และรอรับสินค้าได้ที่บ้าน

เกิดความร่วมมือกับคู่ค้าอย่าง Food Panda และ Grab สร้างการบริการในรูปแบบ Quick Commerce ทั้งมีการจับมือกับ SkinX เป็นแพลตฟอร์มพบแพทย์ผิวหนังออนไลน์แบบครบวงจร

หลังปรับสู่กลยุทธ์ O+O เต็มรูปแบบ วัตสันออนไลน์มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยช่องทางออนไลน์มียอดการจำหน่ายเติบโตสูงขึ้นถึง 3 เท่า

พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย เผยว่า

“เราเล็งเห็นว่า ลูกค้าของเราจะซื้อสินค้าทั้งจากออนไลน์ และหน้าร้าน การมีช่องทางออนไลน์ไม่ได้ส่งผลให้ยอดขายหน้าร้านลดลง ในทางกลับกันลูกค้าที่ช้อปปิ้งทั้งทางออนไลน์และหน้าร้านมีการใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าที่ซื้อหน้าร้านอย่างเดียว ถึง 3 เท่า”

ผุด “โปรโมเชื่อม” ดันการขายแบบไร้รอยต่อ

ในเดือนเมษายน วัตสันเปิดตัว “โปรโมเชื่อม” โปรโมชันที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อการช้อปปิ้งหน้าร้าน และออนไลน์สำหรับสมาชิกวัตสัน คลับ โดยหากสมาชิกวัตสัน คลับซื้อสินค้าในช่องทางออนไลน์ จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 5% เมื่อช้อปสินค้าที่หน้าร้านวัตสันในเดือนเดียวกัน เช่นเดียวกัน หากซื้อสินค้าที่หน้าร้านก่อนก็จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 5% เมื่อซื้อสินค้าทางออนไลน์ในเดือนเดียวกัน โปรโมเชื่อม จะเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการสลับช่องทางการซื้อไป-มา ของผู้บริโภค

พสิษฐ์ เสริมอีกว่า โดยปกติแล้วยอดซื้อออนไลน์ต่อบิลจะมากว่ายอดซื้อหน้าร้านถึง 2 เท่า ซึ่งอาจเป็นผลมาจาก ช่องทางออนไลน์ มีจำนวนมากถึงประมาณ 16,000 SKU ขณะที่หน้าร้าน สามารถมีสินค้าได้เพียง 6,000 SKU เท่านั้น

เมื่อโอกาสการมองเห็นสินค้าที่มากกว่า มีผลให้เกิดโอกาสการซื้อที่มากกว่า นั่นหมายความว่า โปรโมเชื่อม จะกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มยอดซื้อเดิมของลูกค้าหน้าร้านที่ขยับไปซื้อออนไลน์ ขณะเดียวกัน ลูกค้าเดิมที่เคยซื้อออนไลน์เป็นหลัก ก็จะขยับมาซื้อสินค้าที่หน้าร้าน ทำให้ยอดขายหน้าร้านโตขึ้น

สมาชิกวัตสัน คลับ ที่มียอดซื้อสะสมถึงเกิน 14,000 บาทก็จะขึ้นเป็น Watson Elite Member ซึ่งจะเป็นลูกค้ากลุ่มที่ได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างจากสมาชิกปกติ การจะรักษาแรงค์ความเป็น Elite เอาไว้ ก็ต้องมียอดซื้อสะสมสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน โดยที่ Elite Member มียอดซื้อเฉลี่ยมากกว่าสมาชิกปกติถึง 4.9 เท่า

อีกนัยหนึ่ง คือ โปรโมเชื่อม จะไม่ใช่เพียงกลยุทธ์กระตุ้นการขายเท่านั้น หากโปรโมเชื่อมสามารถเพิ่มโอกาสการขายและกระตุ้นยอดขายต่อบิลต่อสมาชิกให้สูงขึ้นได้จริง โอกาสที่สมาชิกวัตสัน คลับ กว่า 8 ล้านคน บางส่วนจะถูกอัปเกรดขึ้นเป็น Elite Member หน้าใหม่จะสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจเติบขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็เป็นได้

ปัจจุบันมี วัตสัน ประเทศไทยมีสาขากระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศยกเว้นอุทัยธานี รวม 670 สาขา วางแผนขยายสาขาเพิ่มเฉลี่ยปีละ 50 สาขา ซึ่งจะเปิดสาขาในจังหวัดอุทัยธานีในปีนี้ พร้อมตั้งเป้าเปิดครบ 1,000 ภายในปี 2572

ในปีนี้ได้เปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ที่วังน้อย จังหวัดอยุธยา เพราะเป็นทำเลที่สะดวกทั้งในด้านการขนส่ง และขนาดพื้นที่ ที่มีขนาดมากถึง 10,000 ตร.ม. ปัจจุบันถูกใช้ไปแล้วเกือบเต็มพื้นที่ ซึ่งคลังใหม่นี้จะทำหน้าที่กระจายสินค้าให้กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ

]]>
1426936
จับ 5 เทรนด์สำคัญวงการ “บิวตี้-เครื่องสำอาง” 2566 จากพลัง “ดาต้า” ของร้าน “วัตสัน” https://positioningmag.com/1423484 Thu, 16 Mar 2023 08:02:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423484 ปี 2566 เป็นปีที่ทุกวงการธุรกิจจะกลับมาฟื้นเต็มรูปแบบ รวมถึงธุรกิจ “บิวตี้-เครื่องสำอาง” จากขุมพลัง “ดาต้า” ของร้าน “วัตสัน” ร้านจำหน่ายเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ที่มีสาขามากที่สุดในไทย พบเทรนด์สำคัญๆ ในช่วงหลังโควิด-19 ที่ต้องจับตา

“นวลพรรณ ชัยนาม” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย เปิดข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคตลาด “บิวตี้-เครื่องสำอาง” ในช่วงหลังผ่านพ้นโควิด-19 ที่น่าสนใจ จากการเก็บ “ดาต้า” ของวัตสัน (Watsons) ที่มีร้านสาขาอยู่มากกว่า 650 สาขาทั่วประเทศ และมีฐานลูกค้าสมาชิกประมาณ 7 ล้านคน โดยความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคมีดังนี้

 

1.ลูกค้าช้อปออนไลน์ไม่ลดลงแม้โรคระบาดคลี่คลาย

ในช่วงโควิด-19 วัตสันมีการออกกลยุทธ์ O+O หมายถึง Offline+Online เพื่อดึงให้ลูกค้าเลือกหาสินค้าและช้อปปิ้งได้ทั้งสองช่องทาง ส่งเสริมกันและกัน

“เราคิดว่าหมดโควิด-19 แล้วลูกค้าที่ซื้อออนไลน์คงจะลดลง แต่ปรากฏว่าไม่ลดลงเลย และลูกค้าเข้าหน้าร้านก็กลับมามากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการช้อปออนไลน์กลายเป็น norm ของสังคมไปแล้ว” นวลพรรณกล่าว

อีกส่วนหนึ่งที่ลูกค้าออนไลน์ไม่ลดลง วัตสันศึกษาพบว่าเป็นเพราะยุคก่อนการช้อปออนไลน์เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ แต่สมัยนี้ทุกวัยมีความรู้ในการซื้อของออนไลน์และเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมด

ออนไลน์ยังสำคัญกับการขายผลิตภัณฑ์บิวตี้
2.Search ก่อนช้อป และรู้ลึกรู้จริง

80-90% ของลูกค้าวัตสันยุคนี้มีการค้นหาข้อมูลสินค้าก่อนซื้อ และการค้นหาก็ไม่ใช่เพียงผิวเผิน แต่ต้องการทราบรายละเอียดเชิงลึก

“ลูกค้าต้องการรู้ลึกว่าผลิตภัณฑ์ใส่ส่วนประกอบอะไรบ้าง ส่วนประกอบนั้นมาจากไหน เพราะเดี๋ยวนี้ลูกค้ามีความรู้หมดว่าส่วนประกอบนั้นๆ คืออะไร ใช้ทำอะไร จนกระทั่งรู้ว่าส่วนประกอบชนิดนี้ต้องมาจากแหล่งไหนถึงจะดีที่สุด” นวลพรรณกล่าว

เป็นการบ้านกลับมาที่วัตสันจะต้องฝึกฝนพนักงานร้านให้รู้ลึกรู้จริงเช่นกัน หากลูกค้าสอบถามเข้ามาจะต้องตอบได้ เพื่อคงความเป็นร้านผู้เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์บิวตี้

 

3.“For Men” สินค้าม้ามืดแห่งยุค

ผลิตภัณฑ์ที่มาแรงมากๆ ในยุคนี้คือ ผลิตภัณฑ์บิวตี้สำหรับผู้ชาย (For Men)

“ผู้ชายที่หันมาใช้ผลิตภัณฑ์บิวตี้จะเริ่มจากพื้นฐานก่อน เช่น โฟมล้างหน้า สกินแคร์บำรุงผิว จนคนที่มั่นใจมากขึ้นก็จะหันมาลงแป้ง คุชชั่น รองพื้น เขียนคิ้ว อายไลเนอร์ เพราะผู้ชายก็ต้องการจะดูดีเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้ามีงานสังคมสำคัญๆ” นวลพรรณกล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้ชายหลายคนอาจจะยังใช้ของผู้หญิงทดแทนไปก่อนเพราะผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายมีให้เลือกไม่มาก กลุ่มสินค้า For Men ที่วัตสันมีจำหน่ายจะเป็นยี่ห้อ เช่น ศรีจันทร์, in2it, Dermaction Plus by Watsons ซึ่งเป็นกลุ่มที่ออกไลน์สินค้าสำหรับผู้ชาย

ในอนาคตหากมีแบรนด์ที่ออกผลิตภัณฑ์ For Men หลากหลายขึ้น เป็นไปได้ที่วัตสันจะเริ่มจัดโซนบิวตี้สำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ชายที่คิดเร็ว ซื้อเร็ว มีเป้าหมายในการหยิบ ไม่นิยมเดินดูของในร้านเหมือนผู้หญิง

วัตสัน
ไลน์ผลิตภัณฑ์ For Men ของแบรนด์ Dermaction Plus by Watsons
4.การกลับมาของ “Make up”

ช่วงที่เกิดโรคระบาด ไลน์ผลิตภัณฑ์ Make up หรือเครื่องสำอางตกแต่งใบหน้านั้นทำยอดขายได้ลดลง เพราะคนไทยอยู่บ้านมากขึ้น หากออกไปนอกบ้านก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย จึงไม่น่าแปลกใจที่สินค้า เช่น ลิปสติก รองพื้น จะขายได้ไม่ดีนัก

แต่เรื่องราวเหล่านั้นเป็นอดีตไปแล้ว นวลพรรณกล่าวว่า ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อน จนถึงไตรมาส 1 ปีนี้ ยอดขายกลุ่ม Make up กลับมาโตแบบดับเบิลดิจิต โดยเฉพาะลิปสติกที่ขายดีสุดๆ สอดคล้องกับห้วงเวลาที่คนไทยเริ่มกล้าที่จะถอดหน้ากากอนามัย

บิวตี้ เครื่องสำอาง
Make up กลับมาขายดี โดยเฉพาะ “ลิปสติก”
5.ตลาดแมสยิ่งประหยัด ตลาดไฮเอนด์แพงไม่ว่าแต่ขอสิ่งที่ดีที่สุด

สุดท้ายคือพฤติกรรมที่มีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ วัตสันพบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคแบ่งความเปลี่ยนแปลงได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

ตลาดแมส เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ทำให้การซื้อสินค้าจะเริ่มลดความถี่ลง เพราะลูกค้าพยายามใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นให้ได้นานขึ้น ใช้อย่างประหยัด

แต่ในทางกลับกัน ตลาดกลางบนจนถึงไฮเอนด์ แม้ซื้อสินค้าน้อยชิ้นลงแต่จะจ่ายในราคาแพงขึ้นต่อชิ้น หากเล็งเห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นของคุณภาพดี เพราะมองว่าคุ้มค่ากว่า

 

พร้อมแชร์ “ดาต้า” จับมือกับพาร์ทเนอร์ดันให้สินค้าขายดี

ดาต้าเหล่านี้วัตสันไม่ได้เก็บไว้คนเดียว แต่เป็นข้อมูลที่แชร์กับพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตสินค้าที่ลงจำหน่ายในร้าน เพื่อช่วยกันผลักดันให้สินค้าขายดีขึ้น หรือชี้เทรนด์การออกสินค้าใหม่ต่างๆ เช่น กระแส Make up ที่กลับมา วัตสันจะส่งสัญญาณไปที่เจ้าของแบรนด์ว่าลูกค้ากำลังหาสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ควรออกสินค้าใหม่ และทำคอนเทนต์การตลาด

วัตสันยังมีการฉลองความสำเร็จให้กับพาร์ทเนอร์ผ่านรางวัล Health Wellness and Beauty Awards (HWB) ด้วย โดยเป็นรางวัลที่มอบให้กับสินค้า 100 ชิ้นจาก 100 หมวดหมู่ที่ขายดีที่สุดในแต่ละปี เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานร่วมกันต่อไป

Eucerin Spotless Brightening Booster Serum 30 ml

โดยรางวัล HWB จะมีรางวัลใหญ่ที่สุดคือ รางวัล Best of the Best สินค้าที่ทำยอดขายสูงสุดกับวัตสัน และปี 2023 รางวัลนี้ตกเป็นของ Eucerin Spotless Brightening Booster Serum 30 ml จาก บริษัท ไบเออร์สด็อฟ (ประเทศไทย)

นวลพรรณกล่าวว่า รางวัล HWB นั้นมีจัดขึ้นมาร่วม 20 ปีแล้ว และมีจัดแยกในทุกๆ ตลาดจำนวน 15 ตลาดที่วัตสันเข้าไปลงทุน สินค้าที่ขายดีที่สุดก็มักจะเป็นภาพสะท้อนตลาดนั้นๆ ด้วย อย่างในประเทศไทยนั้นสินค้าที่เป็น Best of the Best ก็มักจะตกอยู่ในกลุ่มสกินแคร์เกือบทุกปี

“นวลพรรณ ชัยนาม” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย

การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์นั้นจะสร้างความสัมพันธ์ที่วิน-วิน คือเมื่อพาร์ทเนอร์นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ เข้ามาขายในร้าน วัตสันจะใช้ดาต้าจากระบบ CRM ช่วยให้พาร์ทเนอร์หาผู้บริโภคที่เหมาะสมกับลักษณะสินค้า และมีการทำโปรโมชันได้เหมาะสมกับรอบการซื้อ

“ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าประจำรายหนึ่งจะกลับมาที่ร้านทุกๆ 65 วันเพื่อซื้อสกินแคร์ เพราะเป็นรอบเวลาการใช้ผลิตภัณฑ์หนึ่งชิ้นจนหมดของเขา เมื่อใกล้ครบรอบเวลาวัตสันจะส่งโปรฯ พิเศษให้เพื่อดึงให้ลูกค้าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เดิมและซื้อกับวัตสัน” นวลพรรณอธิบาย

จากสินค้า 5,000 SKUs ในร้าน มีเพียง 100 SKUs เท่านั้นที่จะได้รับรางวัลแต่ละปี สินค้าที่ได้รางวัล HWB จึงการันตีได้ว่าเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยอมรับ โดยร้านยังร่วมกับพาร์ทเนอร์จัดโปรโมชันลดราคาสำหรับสินค้าที่ได้รางวัล HWB ด้วยที่ร้านวัตสัน ระหว่างวันที่ 9-29 มีนาคม 2566 แวะไปเช็กได้ว่ามีสินค้าไหนที่ได้รางวัลนี้บ้างที่นี่

]]>
1423484
“ลิสเตอรีน” ร่วมสร้างรอยยิ้มที่สดใส ผ่านแคมเปญ “Healthier Breath, Healthier Mouth, Healthier Life ลมหายใจดีเพื่ออีกชีวิตที่ดีขึ้น” https://positioningmag.com/1409365 Mon, 28 Nov 2022 04:00:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409365

ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม แต่ทราบหรือไม่ว่ายังมีเด็กไทยหลายคนที่ขาดโอกาสในการมีรอยยิ้มที่ดี และสุขภาพที่ดี เนื่องจากภาวะ “ปากแหว่งเพดานโหว่” ที่สร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอีกด้วย

จากสถิติของจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกในทุกๆ 3 นาที ประมาณการว่ามีเด็กหนึ่งคนที่เกิดมาพร้อมกับภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ ในประเทศไทยพบทารกที่เกิดมามีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ 1 ราย ต่อทารกแรกเกิด 700 รายโดยประมาณ ทารกที่เกิดมาพร้อมกับภาวะปากแหว่งเพดานโหว่นั้นจะไม่สามารถดื่มนมแม่ หรือกลืนอาหารได้อย่างปกติ เกิดอาการสำลัก ทำให้อาหารหรือของเหลวเข้าไปในทางเดินหายใจ เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีปัญหาระบบการหายใจ หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของทารกได้ นอกจากนี้ยังความผิดปกติในการการพูดออกเสียง และการได้ยินเสียง

การรักษาภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ในเด็กแต่ละราย ไม่ใช่การผ่าตัดเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการรักษาที่ต้องต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีการเจริญเติบโต ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่นซึ่งยาวนานเป็น 10  ปี โดยเฉลี่ยต้องผ่าตัด 3-5 ครั้ง และจำเป็นต้องรักษาทางฟันและเติมกระดูกเพดานปาก ในประเทศไทยยังมีผู้ป่วยเด็กปากแหว่งเพดานโหว่จำนวนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับโอกาสผ่าตัดแก้ไขเลยจนตลอดชีวิต

ลิสเตอรีน (LISTERINE) น้ำยาบ้วนปากอันดับหนึ่งในประเทศไทย จึงเห็นความสำคัญของปัญหาปากแหว่งเพดานโหว่ ได้จับมือพันธมิตร วัตสัน และมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ประเทศไทย (Operation Smile Thailand) จัดแคมเปญ “Healthier Breath, Healthier Mouth, Healthier Life ลมหายใจดีเพื่ออีกชีวิตที่ดีขึ้น” เพื่อช่วยเหลือน้องๆ ที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ในประเทศไทยให้ได้รับการผ่าตัดรักษา พร้อมสร้างรอยยิ้มที่สดใสและคืนความมั่นใจให้แก่พวกเขาอีกครั้ง

รายละเอียดของแคมเปญนี้ ผู้สนใจสามารถสมทบทุนเพื่อร่วมแคมเปญได้ทันที เพียงซื้อผลิตภัณฑ์ลิสเตอรีนกลิ่นใดก็ได้ในร้านวัตสันทุกสาขา (จำนวน 1 ขวด เท่ากับช่วยสมทบทุน 5 บาท) ได้ตั้งแต่วันนี้ – 21 ธันวาคม 2565

นวลพรรณ ชัยนาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย เริ่มเล่าว่า

“ทางวัตสันเองมีการทำ CSR หลายภาคส่วน ในระดับโกลบอลจะมีแคมเปญเรียกว่า Give a Smile ทำใน 8 ตลาด ได้เริ่มทำมา 5 ปี ทำงานร่วมกับองค์กร Operation Smile Thailand เพื่อสร้างรอยยิ้มแก่น้องๆ ให้สมบูรณ์ขึ้น สำหรับในประเทศไทยได้ทำร่วมกับลิสเตอรีนมาได้ 4 ปี มองว่าเราเป็นอินเตอร์แบรนด์เหมือนกัน มีเครือข่ายทั่วโลก มีนโยบายด้าน CSR ตรงกัน อยากส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพดี โดยเฉพาะสุขภาพช่องปาก”

ในการร่วมมือกันของทั้งวัตสัน และลิสเตอรีน เป็นเหมือนการช่วยกันระดมทุนเพื่อช่วยกันบริจาค โดยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการบริจาคด้วย ใช้หน้าร้านทั้ง 640 สาขาของวัตสันเป็นหลัก ทางวัตสันมีสินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นเพิ่มเติมอีก เช่น กล่องทิชชูลายพิเศษ โดยสินค้ากลุ่มนี้ จะหักยอดขาย 20% เพิ่มมอบให้องค์กรการกุศล รวมถึงในปีนี้ที่มีความพิเศษกว่าทุกปี เปิดให้สมาชิกได้บริจาคพอยท์แก่ Operation Smile ได้ โดย 100 พอยท์เท่ากับ 1 บาท

ทางด้าน ราวี บอร์เดีย ผู้จัดการทั่วไป จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน คอนซูเมอร์เฮลท์ ประเทศไทย ได้เล่าถึงที่มาที่ไปของแคมเปญ Healthier Breath, Healthier Mouth, Healthier Life ลมหายใจดีเพื่ออีกชีวิตที่ดีขึ้น

“ลิสเตอรีนมีวิสัยทัศน์ในการทำ CSR ในประเทศไทย ต้องการให้ทุกคนมีสุขภาพปากที่สมบูรณ์ เพราะเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต สำหรับแคมเปญนี้ต้องการสร้างการรับรู้ให้สังคมว่าเราต้องการช่วยเหลือสังคม ต้องการช่วยคนที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ และให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ได้รับการยอมรับในสังคม สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ต้องการให้โลกมีสุขภาพปากที่ดี” 

ราวียังเสริมอีกว่า เชื่อหรือไม่ว่าเพียงแค่ได้รับการผ่าตัดเพียง 45 นาที ก็มีชีวิตใหม่แล้ว แต่ละคนอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันขึ้นอยู่แต่ละเคส แคมเปญนี้จึงอยากเชิญชวนคนทั่วไปมาช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ ให้ได้โอกาสในการผ่าตัด ให้มียิ้มสดใส ช่วยด้านสุขภาพโดยรวมด้วย

จริงๆ แล้วลิสเตอรีนได้แรงบันดาลใจในการทำแคมเปญนี้จาก “สยามเมืองยิ้ม” เมืองไทยเป็นเมืองยิ้ม แต่ก็พบว่ายังมีเด็กหลายคนที่มีรอยยิ้มไม่สมบูรณ์ นอกจากรอยยิ้มที่ไม่สดใสแล้ว ยังนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพอีกด้วย ทางลิสเตอรีนได้ทำงานร่วมกับ มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ประเทศไทยมาเป็นเวลา 9 ปีแล้ว ในปีนี้เป็นการทำแคมเปญครั้งใหญ่ที่สุด เนื่องจากต้องการสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น เพราะช่วงสถานการณ์ COVID-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่มีการผ่าตัดเลย เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ต้องไปช่วยเคส COVID-19 กันหมด

นอกจากแคมเปญนี้จะมีการระดมทุนเพื่อน้องๆ ที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่แล้ว ยังใช้เพลงลมหายใจมาใช้ในแคมเปญ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น เรียบเรียงโดย “บอย โกสิยพงษ์”

ราวีบอกอีกว่า “เพลงเป็นเครื่องมือที่มีพลังมาก ช่วยเล่าเรื่องได้ เชื่อมต่อผู้คนได้ง่าย เป็นภาษาสากล และมีความลึกซึ้งเข้าถึงจิตวิญญาณได้ เลยใช้เพลงในการเล่าเรื่อง เชื่อมต่อเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม เพลงนี้ถูกร้องโดยเด็กๆ ที่ได้รับการผ่าตัดจริงๆ ทำให้มีพลังมากขึ้น”

ติดตามชมวิดีโอแคมเปญ “Healthier Breath, Healthier Mouth, Healthier Life ลมหายใจดีเพื่ออีกชีวิตที่ดีขึ้น” ซึ่งใช้เพลง “ลมหายใจ” เวอร์ชั่นพิเศษ โดยบอย โกสิยพงษ์ พร้อมขับร้องโดยคณะประสานเสียงที่เคยเข้ารับการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่จนหายดีแล้ว เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนร่วมแคมเปญฯ ได้ทาง Facebook: @Mr.Listerine  หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง  https://www.facebook.com/Mr.Listerine/ หรือ https://www.listerine.co.th/

]]>
1409365
“วัตสัน” แก้โจทย์ ผู้บริโภคไม่ภักดีแบรนด์ เปิดตัว One Pass บัตรเดียวใช้ได้ทั่วเอเชีย https://positioningmag.com/1243371 Thu, 22 Aug 2019 00:00:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243371 การศึกษาล่าสุดของ “นีลเส็น” เรื่องความภักดีต่อแบรนด์ของผู้บริโภคทั่วโลกสัดส่วน 91% บอกชอบลองของใหม่ โดยเฉพาะในยุคอีคอมเมิร์ซ ที่มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย พฤติกรรม “คนไทย” ก็ไม่ต่างจากดัชนีโลก เพราะ 90% เปิดใจชอบลองของใหม่เช่นกัน

อีกทั้งต้นทุนการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าการรักษาฐานลูกค้าเก่าถึง 5 เท่า กลยุทธ์การตลาด Loyalty Program ของแบรนด์ต่างๆ จึงถูกงัดมาใช้อย่างเข้มข้น

“วัตสัน” ร้านเพื่อสุขภาพและความงาม ได้จัดทำผลสำรวจเพื่อเจาะลึกเทรนด์การช้อปปิ้งสินค้าบิวตี้ในผู้บริโภคขนาดใหญ่ 14,000 คน ใน 7 ตลาดเอเชีย พบว่าผู้บริโภคเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียประมาณ 1.7 ครั้งต่อปี

สำหรับคนไทยเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในเอเชียประมาณ 1.2 ครั้งต่อปี โดยแหล่งท่องเที่ยว หรือสถานที่ที่คนไทยเดินทางไปช้อปปิ้งและท่องเที่ยวบ่อยที่สุด ได้แก่ ฮ่องกงและสิงคโปร์

“บัตรเดียว” ใช้ช้อปทั่วเอเชีย

พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมนักช้อปสินค้าบิวตี้ พบว่าเวลาเดินทางไปต่างประเทศ มักจะเข้าไปซื้อสินค้าในร้านค้าที่เป็นแบรนด์คุ้นเคย เพื่อเลือกดูสินค้าที่ใช้ประจำและหากมีโปรโมชั่นลดราคาก็มักจะซื้อกลับมาด้วย รวมทั้งเลือกซื้อสินค้าที่แตกต่างจากร้านในประเทศไทย

วัตสัน จึงจัดโปรแกรม Watsons One Pass ซึ่งเป็น Loyalty Program ให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือบัตรสมาชิกวัตสัน สามารถใช้ในร้านวัตสัน ทั่วเอเชีย 8 ประเทศ ทั้ง ไทย ฮ่องกง มาเก๊า จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

โดยผู้ถือบัตรสมาชิกวัตสันในประเทศไทย เมื่อนำไปใช้ในประเทศอื่นๆ จะได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกัน ใช้ได้ทั้งบัตรสมาชิกวัตสัน หรือบัตรสมาชิกอิเล็กทรอนิกส์ในแอปพลิเคชั่นวัตสัน, Virtual card สิทธิประโยชน์ เช่น ได้รับคะแนนสะสมปกติ รับส่วนลดพิเศษเมื่อซื้อสินค้าในร้านวัตสัน

ปัจจุบันมีสมาชิกวัตสัน 86.1 ล้านรายในเอเชีย ที่จะได้รับสิทธิพิเศษจากสมาชิก Watsons One Pass เหมือนกันในทั้ง 8 ประเทศ ประเทศไทยมีบัตรสมาชิก 5.5 ล้านราย การทำโปรแกรม Watsons One Pass ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้ลูกค้ามี Loyalty กับแบรนด์วัตสัน เพราะอย่างที่รู้กันว่าผู้บริโภคยุคนี้มีโอกาสเปลี่ยนแบรนด์สูง

ส่องพฤติกรรมช้อปปิ้งสินค้าบิวตี้

จากการสำรวจพฤติกรรมนักช้อป ในเอเชีย ของ “วัตสัน” พบว่าแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยเดินทางไปช้อปปิ้ง และท่องเที่ยวบ่อยที่สุด ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เมื่อผู้บริโภคเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ จะมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 50%

พบว่ากว่า 90% ของผู้ถือบัตรสมาชิกวัตสันในเอเชีย มีแนวโน้มที่จะช้อปในร้านวัตสันเมื่อเดินทาง ในมาร์เก็ต/ท้องถิ่นอื่นๆ หากได้สิทธิประโยชน์ของสมาชิกในตลาดท้องถิ่นนั้นๆ

สมาชิกวัตสันมียอดใช้จ่ายในการซื้อสินค้าในร้านวัตสันมากกว่าลูกค้าที่ไม่ได้เป็นสมาชิก 2.3 เท่า ปัจจุบันวัตสันในประเทศไทยมีทั้งหมด 520 สาขา และในสิ้นปี 2562 คาดว่าจะมี 560 กว่าสาขา เปิดสาขาใหม่เฉลี่ยปีละ 50 สาขา

]]>
1243371