ศูนย์การค้าเมกาบางนา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 07 Feb 2024 05:22:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เจาะแผน ‘เมกา บางนา’ จะเพิ่มทราฟฟิกอย่างไรหลังทำ New High และมี ‘ห้างฯ ใหม่’ มาท้าชน https://positioningmag.com/1461615 Tue, 06 Feb 2024 04:25:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461615 นับตั้งแต่เปิดตัวไปครั้งแรกในช่วงเดือนพฤษภาคม 2555 ปัจจุบัน เมกา บางนา (Mega Bangna) ก็ให้บริการมา 11 ปีเต็ม โดยมีจำนวนลูกค้ามากกว่า 550 ล้านคน แม้ว่าโควิดจะทำให้เมกา บางนาสะดุดไปบ้าง แต่ในปีที่ผ่านมา ทางศูนย์ฯ ก็สามารถเพิ่มจำนวนทราฟฟิกสู่ระดับ New High ได้ คำถามคือ ไม่ใช่แค่รักษาระดับทราฟฟิก แต่จะดันให้เติบโตได้อย่างไร

New High 53 ล้านคน

ในช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 เมกาบางนา (Mega Bangna) มียอดทราฟฟิกปีละประมาณ 50 ล้านคน แต่ในปี 2566 นี้ วรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกา บางนา เล่าว่า จำนวนทราฟฟิกเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ราว 10% อยู่ที่ 53 ล้านคน ซึ่งทำสถิติ New High โดยเฉลี่ยแล้วมีทราฟฟิกประมาณเดือนละ 4.4 ล้านคน โดยในวันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) มีลูกค้าเฉลี่ยกว่า 1.2 แสนคนต่อวัน และมากกว่า 2.2 แสนคนต่อวัน ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยลูกค้า

  • 81% มาเพื่อทานอาหาร
  • 32% ช้อปปิ้งสินค้าไลฟ์สไตล์
  • 23% ซื้อของตกแต่งบ้าน

ที่น่าสนใจคือ 53% ของลูกค้ามาเป็น ครอบครัว นอกจากนี้ 40% ของลูกค้ายังมี สัตว์เลี้ยง อีกด้วย

เฟิร์สจ็อบเบอร์ เป้าหมายเพิ่มทราฟฟิก 10%

วรรณวิมล ยอมรับว่า การที่เมกา บางนาทำยอด New High ไปในปีที่ผ่านมา ปีนี้จึงถือเป็นความท้าทายว่าจะทำให้จำนวนทราฟฟิกของศูนย์ เติบโต 10% ตามเป้าอย่างไร อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ฯ มองว่า กลุ่มผู้สูงวัยและคนรักสัตว์ ถือเป็น 2 กลุ่มที่มีการเติบโตอย่างมาก อีกทั้งยังมีการใช้จ่ายที่สูง ทำให้ศูนย์ฯ ต้องการจะสร้างคอมมูนิตี้ของ 2 กลุ่มนี้เพื่อ สร้างความผูกพัน ทำให้มาบ่อยขึ้น และกลุ่มที่อยากเพิ่มจำนวนก็คือ นักศึกษา-เฟิร์สจ็อบเบอร์ ที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 22%

“กลุ่มผู้สูงวัยและคนรักสัตว์เราเห็นศักยภาพด้านกำลังการใช้จ่าย เพราะคนที่มีสัตว์เลี้ยงเขายอมจ่าย ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยเขาไม่ได้มีภาระ แต่มีเงินพร้อมใช้จ่าย ซึ่งเราไม่ได้หวังว่าจำนวนจะเพิ่มขึ้น แต่ต้องการเพิ่มความใกล้ชิด ส่วนที่เราอยากเพิ่มคือกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยและเฟิร์สจ็อบเบอร์”

ปัจจุบัน นอกเหนือจากเมกา บางนาแล้ว ฝั่งของ IKEA เป็น Pet friendly โดยอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้

ทุ่มงบการตลาด 200 ล้านจัดอีเวนต์

หนึ่งในจุดที่ วรรณวิมล จะใช้สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าก็คือ งานอีเวนต์ ซึ่งแต่ละปีเมกา บางนาจะจัดอีเวนต์เฉลี่ย 13 ครั้ง หรือเฉลี่ยราวเดือนละครั้ง และในปีนี้ศูนย์ฯ วางงบส่วนนี้ไว้ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีที่ผ่านมา โดยจำนวนอีเวนต์จะเท่าเดิมแต่จะจัดใหญ่ขึ้น ซึ่งภายใน 13 อีเวนต์นี้ จะเป็น 5 งานซิกเนอเจอร์ของทางศูนย์ฯ ที่เหลือจะเป็นอีเวนต์ตามเทศกาล

“แม้เราจะต้องการจับกลุ่มผู้สูงวัย แต่คาแรกเตอร์ของเราจะต้องมีความทันสมัยตลอดเวลา และมีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น อย่างช่วงสงกรานต์เราจะใช้เป็นอีเวนต์สำหรับกลุ่มผู้สูงวัยหรือกลุ่มครอบครัว ในส่วนของกลุ่มคนรักสัตว์เราก็จะมีงาน Mega Pets Day และมีสวนให้พาน้อง ๆ เดินเล่น”

นอกจากนี้ การสื่อสารของเมกา บางนาจะยังทำทั้งภายในศูนย์ฯ และบนโซเชียลมีเดีย โดยปีนี้จะเพิ่มแพลตฟอร์ม TikTok ในการสื่อสารกับลูกค้า เพราะพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลของลูกค้าแพลตฟอร์มไม่เหมือนกัน

เพิ่มแบรนด์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น

ในส่วนของร้านภายในเมกา บางนามีการเช่าเต็มพื้นที่รวมแล้ว 900 ร้าน โดยแบ่งเป็น ร้านอาหาร 30% สินค้าแฟชั่น 40% และร้านสินค้าไลฟ์สไตล์และเซอร์วิส 30% วรรณวิมล เล่าว่า ปีที่ผ่านมา ทางศูนย์ได้มีร้านที่ใหม่ อาทิ แฟลกชิปสโตร์ของ Nike, New Balance และร้าน Gentle Women มาเปิดใหม่ โดยทั้งหมดต่างเป็นแบรนด์ที่อยู่ในกระแสและเป็นที่นิยมของกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น ในส่วนของร้านอาหารก็มีแบรนด์ใหม่ ๆ เช่นกัน อาทิ Sushi Seki, Ampersand, Minimelts, Toro Fries และถ้วยถัง นอกจากนี้ ส่วนต่อขยายของเซ็นทรัลก็เพิ่งเปิดไปช่วงปลายเดือนที่แล้ว

โดยในปีนี้เมกา บางนาก็มีแผนจะดึงร้านเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และร้านอาหารมาเปิดใหม่ โดยจะเห็นความชัดเจนช่วงไตรมาส 2 ของปี

“เรามองว่าสัดส่วนของร้านในศูนย์ฯ จะไม่ได้เปลี่ยนแต่มีความวาไรตี้มากขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่าเรามีสิ่งที่ตรงใจลูกค้า”

เพิ่มสมาชิก MEGA SMILE REWARDS 10%

สำหรับลอยัลตี้โปรแกรมของเมกา บางนา ก็คือ เมกา สไมล์ รีวอร์ดส (MEGA SMILE REWARDS) ที่เปิดตัวในปี 2019 ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 3.6 แสนคน แอคทีฟประมาณ 35% โดยสมาชิกมียอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จอยู่ที่ 4,500 บาทขึ้นไป โดยในปีนี้ เมกาบางนาตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกและยอดใช้จ่ายอีก 10%

จุดที่จะดึงดูดให้ลูกค้าเป็นสมาชิกมากขึ้นก็คือ ได้แต้ม 2 ต่อ โดยนอกจากจะนำใบเสร็จสะสมคะแนนกับร้านค้าที่ซื้อ จากนี้จะสามารถนำมาสะสมกับ Mega Smile Reword ได้ด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถเปลี่ยนแต้มในแพลตฟอร์มพันธมิตรได้ ปัจจุบันมีเมกาบางนามีพาร์ตเนอร์ 2 ราย ได้แก่ ปตท. และ The 1

Mega Smile Reword ช่วยให้เรารู้ได้ว่ากลุ่มลูกค้าเราเป็นใคร อายุเท่าไหร่ ใช้จ่ายมากแค่ไหน ซื้ออะไร และชอบแลกแต้มกับอะไร โดยเรามีตั้งแต่ของกิน ส่วนลด หรือสิทธิประโยชน์จากร้านค้าที่ร่วมรายการ

ไม่เคยจำกัดว่าเป็น Mid-Tier!

วรรณวิมล ทิ้งท้ายว่า ศักยภาพของเมกาบางนายังไปได้อีกมาก โดยดูจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของพื้นที่แถบนี้ (โซนกรุงเทพฯ ตะวันออก) สะท้อนได้จากการเข้ามาของคู่แข่ง (แบงค็อก มอลล์ ของกลุ่มเดอะมอลล์) พร้อมย้ำว่า เมกา บางนาไม่เคยบอกว่าดีไซน์มาเป็น Mid-Tier หรือ Upper Tier และเชื่อว่าที่ศูนย์ฯ มีสินค้าที่หลากหลายและค่อนข้างครบ รวมถึงสินค้าแบรนด์ลักชัวรี่ ดังนั้น ต่อให้เป็นกลุ่มที่มี่กำลังซื้อสูงก็มีสินค้าที่ตอบโจทย์

“ตอนนี้เขามองว่าไม่ต้องเข้าเมืองก็ได้ เพราะที่นี่มีหมด และยอดใช้จ่ายก็ไม่น้อยหน้าในเมืองเลยแม้โลเคชั่นเราจะอยู่ในสมุทรปราการ และลูกค้าเราก็ไม่ได้มีแค่คนสมุทรปราการ แต่มีคนในเมืองด้วย”

]]>
1461615
คุยกับ I Found Something Good มัลติแบรนด์กิฟต์ช็อป รันวงการ ‘สติกเกอร์’ นักวาดไทย https://positioningmag.com/1320454 Tue, 23 Feb 2021 12:20:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320454 ภาพของวัยรุ่น ‘ต่อคิวยาว’ เพื่อรอซื้อ ‘สติกเกอร์’ ของนักวาดคนไทย สร้างความเเปลกใจให้ผู้ที่เดินผ่านไปมาไม่น้อย สะท้อนความนิยมของตลาดได้เป็นอย่างดี

ย่างเข้าปีที่ 2 กับการเดินทางของ ‘I Found Something Good’ ร้านมัลติแบรนด์ที่รวบรวมผลงานศิลปะน่ารักกุ๊กกิ๊ก ที่เข้าไปเเล้วต้องได้ของออกมาสักชิ้น เเม้จะเริ่มทำธุรกิจมาได้ไม่นาน เเต่กลับต้องเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่อย่าง COVID-19

จาก ‘ความชอบ’ สู่ ‘ธุรกิจทำเงิน’ ของ 4 สาวเพื่อนซี้ วัย 24-25 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งที่หลงใหลในงานศิลปะ อย่าง เบลล์-อริยา สภานุรัตนา , นัตโตะ-ณัฐวดี กาญจนโกมล, โรล-นดี จรรยาประเสริฐ และ ร็อค-นดา จรรยาประเสริฐ

วันนี้เติบโตขึ้นไปอีกขั้น พร้อมหาโอกาสใหม่ ขยายสาขาจากสยามสเเควร์ สู่ศูนย์การค้าใหญ่ชานเมือง เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าให้กว้างกว่า ‘วัยรุ่น’

Positioning จะพามารู้จัก ‘I Found Something Good’ เสพงานศิลป์ให้เป็นไลฟ์สไตล์…ให้มากขึ้นกัน 

โอกาสธุรกิจจาก ‘ความชอบ’

I Found Something Good เกิดขึ้นจากความสนใจเเละชอบสะสมงานศิลปะของทั้ง 4 คน เวลาที่พวกเขาไปงาน Art Market ก็มักจะคิดเสมอว่า อยากให้มีร้านที่สามารถเเวะมาซื้อของเหล่านี้ได้ตลอด สร้าง community เล็กๆ เพื่อเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่ง ณ ตอนนั้นกระเเสงาน Art Market ในไทยก็เพิ่งเริ่มบูมมาได้ราว 1-2 ปีเท่านั้น 

หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ในช่วงปลายปี 2019 เริ่มคิดหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ เดิมที ‘เบลล์’ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ได้เปิดร้านขายสติกเกอร์น่ารักๆ ทางออนไลน์อยู่เเล้ว จึงได้มาพูดคุยกัน เเละเห็นตรงกันว่า 

“ทุกวันนี้เมืองไทยมีนักวาด นักศิลปะรุ่นใหม่เยอะมาก ความสามารถสูงไม่เเพ้ต่างชาติ เเต่ส่วนใหญ่กระจายตัวกันตามโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่าง ทวิตเตอร์ เราจึงเห็นโอกาสที่จะเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้มาโชว์ผลงาน”

อย่างในญี่ปุ่นจะมีร้านรวมงานศิลปะเยอะ เเต่ในไทยไม่ค่อยมีเเละหายากมาก ส่วนใหญ่จะเป็นงานของต่างชาติที่นำเข้ามา 

“ตอนนั้นในตลาดเเทบจะไม่มีร้านมัลติเเบรนด์ที่รวบรวมของคนไทยเลย เป็นช่องว่างธุรกิจที่เราเห็นว่าน่าจะโตไปได้ พร้อมไปกับการได้ช่วยขับเคลื่อนวงการนี้ด้วย” 

คนรุ่นใหม่ เสพศิลปะที่ ‘จับต้องได้’ 

พอตกลงกันได้ ก็เริ่มลงมือทำทันที…ไม่รอรีให้เสียเวลา โดยทั้ง 4 คนลงขันกันเพื่อเปิดสาขาเเรก ด้วยเงินราว 4-5 เเสนบาท จากเงินเก็บสะสมของทุกคน เเละบางส่วนจากการสนับสนุนจากครอบครัว ซึ่งยอมรับว่าต้อง ‘อธิบาย’ เกี่ยวกับธุรกิจนี้ให้ผู้ใหญ่เข้าใจกันเยอะทีเดียว 

ชื่อของ I Found Something Good มีความหมายถึงการพบเจอสิ่งที่ดีๆ เเละอยากเเบ่งปันให้ผู้อื่น เปิดตัวมาด้วยการเป็นร้านเล็กๆ ในย่านวัยรุ่น อย่างสยามสเเควร์ 

โดยเริ่มหาผลงานของศิลปินเเละเหล่านักวาดไทย จากกลุ่มเพื่อนที่รู้จักกัน ช่วงเเรกๆ ต้องอาศัย ‘ความเชื่อใจ’ กันมาก เพราะที่ร้านยังไม่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ

หลังเปิดร้านได้ไม่นาน ก็ได้รับเสียงตอบรับ ‘ดีเกินคาด’ ทำให้มองเห็นโอกาสอื่นๆ ที่จะนำมาต่อยอดไปได้อีก 

“สมัยก่อน เมื่อพูดถึงงาน Craft หรือ Art คนทั่วไปมักจะมองว่าต้องเป็นงานศิลปะยิ่งใหญ่ เป็นภาพวาดอลังการ เเต่เด็กๆ รุ่นนี้เสพงานศิลปะที่หลากหลายเเละเปิดกว้างมากขึ้น เน้นจับต้องได้จริงเเละใช้ในชีวิตประจำวันได้ กลายเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของพวกเขา” 

สร้าง community รวมพลคนชอบ ‘สติกเกอร์’ 

เมื่อคนซื้ออยู่ในโลกออนไลน์ ก็ต้องโปรโมตผ่านโลกออนไลน์ I Found Something Good เลือกทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง ‘ทวิตเตอร์’ เพื่อโปรโมตร้าน 

โดยได้เเรงสนับสนุนจากศิลปิน-นักวาดที่มี ‘ฐานเเฟนคลับ’ อยู่เเล้ว ช่วยเเชร์เเละกระจายข่าว ค่อยๆ สร้าง community พูดคุยรวมกลุ่มคนที่ชอบเหมือนกันขึ้นมา ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักได้รวดเร็ว มีคนต่อคิวซื้อเเถวยาวเหยียด

จากร้านเล็กๆ ห้องเดียว ตัดสินใจย้ายร้านขึ้นมาอยู่ชั้น 3 สยามสแควร์วัน เพื่อรองรับการเติบโต จากเริ่มเเรกกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นนักเรียนมัธยม จากนั้นขยับมาเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ใหญ่วัยทำงานที่เข้ามามากขึ้น ปรับทาร์เก็ตให้เป็นผู้คนทุกช่วงวัย 

ทุกวันนี้ I Found Something Good เปิดให้บริการมาราว 2 ปี นับว่าเป็นร้าน ‘มัลติเเบรนด์’ ที่รวมงานสติกเกอร์ของคนไทยรายเเรกๆ โดยมีสินค้าในร้านกว่า 200 เเบรนด์ จำนวนมากกว่า 1 หมื่นชิ้น 

“พวกเรามองว่านี่เป็นเเค่ก้าวเเรกเท่านั้น ถ้าถามว่าสำเร็จเเล้วหรือยัง ก็ต้องบอกว่ายังไม่ถึงจุดวางไว้ เพราะยังต้องไปต่อได้อีกเยอะ ลึกๆ รู้สึก ‘ดีใจมาก’ ที่ได้เป็นจุดเล็กๆ ที่ได้ช่วยให้ศิลปินได้เติบโต สร้าง community เเละไลฟ์สไตล์ให้คนรุ่นใหม่ เป็นกำลังใจให้พวกเราได้สู้ต่อ” 

ปัจจุบัน มีศิลปินที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ I Found Something Good ราว 200 คนทั่วประเทศ โดยยังมีแผนขยายความร่วมมือไปเรื่อยๆ นักวาดคนไหนสนใจก็ติดต่อมาได้

พลิก ‘ขายออนไลน์’ พยุงรายได้ช่วง COVID-19 

เมื่อมองย้อนไปยังจุดเริ่มต้น ทุกคนยังไม่มีความรู้พื้นฐานธุรกิจ อีกทั้งยังอายุน้อย การ ‘ดีลงาน’ ก็ถือว่าเป็น ‘งานยาก’ ต้องเรียนรู้กันใหม่ โดยอาศัยการปรึกษาพ่อเเม่ ปรึกษาผู้รู้ทำธุรกิจมาก่อน เเละปรึกษากันเอง ค่อยๆ ทำเป็นระบบร้านขึ้นมา 

เเต่หลังเปิดร้านมาได้เพียง 5 เดือน ก็เจอมรุสมครั้งใหญ่ที่กระทบธุรกิจทั่วโลกอย่าง COVID-19 เเต่ในอีกมุมก็ทำให้เหล่านักธุรกิจรุ่นใหม่ ได้เรียนรู้การก้าวผ่านอุปสรรค นั่นก็คือ การปรับตัวเพื่อรับมือกับ ‘วิกฤต’ 

“โชคดีที่ตอนนั้น เราเริ่มคุยกันว่าจะขยับไปทำเว็บไซต์เเละขายผ่านออนไลน์กันมากขึ้น ในวันที่ทางการประกาศล็อกดาวน์ ตรงกับวันเเรกที่เราเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ เมื่อต้องปิดร้านชั่วคราว เเต่เรายังสามารถขายของได้” 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนรายได้ ที่ ‘เคยได้’ ยอมรับว่าหายไปพอสมควร เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายหน้าร้าน เเต่ก็ถือว่าได้หาช่องทางพยุงรายได้ ไม่ได้ขาดช่วงเเละช่วยซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายได้ 

สำหรับช่องทางการขายในปัจจุบัน ลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นหน้าร้าน เนื่องจากมีจุดเด่นอยู่ที่ ‘การได้เห็นของจริง’ เพราะสติกเกอร์เเต่ละชิ้น จะมีรายละเอียดที่เเตกต่างกันออกไป อย่างเช่น บางอันมีลวดลายที่มีมิติ กันน้ำได้หรือไม่ได้ เป็นต้น 

ช่วงที่ขายดีที่สุดคือช่วงเทศกาลเเละวันหยุดยาว ส่วนเวลาที่ขายดีในเเต่ละวัน จะเป็นช่วงเย็นๆ หลังเลิกเรียน โดยสินค้าที่ขายดีที่สุด ได้เเก่ สติกเกอร์ , โปสการ์ด , พวงกุญเเจ เเละเทียนหอม 

จากเริ่มต้นที่ต้องทำทุกอย่าง ทุกหน้าที่ เเละมีทีมที่เป็นญาติมาช่วยอีกเเค่ 2 คน มาตอนนี้บริษัทขยายทีมงานให้ใหญ่ขึ้น มีออฟฟิศเเละจ้างพนักงานดูเเลหน้าร้าน มีผู้จัดการสาขา เเละเเอดมินคอยตอบลูกค้า รวมทั้งหมด 10 คน มีการเเบ่งหน้าที่การรับผิดชอบกันเเน่ชัด สื่อสารกันตลอดเวลา 

ขยายฐานลูกค้า ให้เข้าถึง ‘ผู้ใหญ่’

จุดเด่นของ I Found Something Good  อันดับหนึ่งคือการเป็น ‘Local Brand’ ที่มีผลงานศิลปะฝีมือคนไทย 100% รองลงมาคือ ‘ราคาที่จับต้องได้’ เด็กๆ สามารถซื้อได้ในราคา ‘หลักสิบหลักร้อย’  สินค้ามีความหลากหลาย โดยมีการใช้จ่ายเฉลี่ยราว 150-200 บาทต่อคน 

ตามมาด้วย ‘บรรยากาศของร้าน’ เมื่อมาเจอลูกค้าได้มาเจอคนที่ชอบในสิ่งเดียวกัน จึงมีความที่อยากซื้อไว้สะสมมากขึ้น รู้สึกเป็นพื้นที่ของเขา เป็น comfort zone ที่เดินดูของได้นานๆ

จากสาขาเเรกในสยามสเเควร์วัน ย่านวัยรุ่น สู่การขยายสาขามาที่ ‘เมกาบางนา’ ศูนย์การค้าใหญ่ชานเมืองที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกช่วงวัย เพื่อเจาะกลุ่มครอบครัวเเละวัยทำงาน 

โดยเหตุผลที่เลือก ‘เปิดสาขาใหม่’ ที่เมกาบางนา เพราะมองว่าเป็นศูนย์การค้าที่มีทราฟฟิกเยอะ บรรยากาศทันสมัย มีลูกค้าทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ มาเป็นครอบครัวเเละกลุ่มเพื่อน อีกทั้งเมกาบางนายังมีการเติบโตต่อเนื่อง เเม้จะอยู่ในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 

เมื่อถามว่า ทำไมจึงเลือกขยายสาขาในช่วงเวลานี้ เจ้าของร้าน I Found Something Good บอกว่าเป็นหนึ่งในแผนที่จะทำอยู่เเล้วในช่วงสิ้นปี 2020 โดยคิดไว้ว่าโรคระบาดน่าจะซาลงเเล้ว เเต่เมื่อต้องมาเจอ COVID-19 ระลอกใหม่ จึงต้องสู้กันใหม่ หาวิธีปรับตัวกันอีก เเต่ครั้งนี้มองว่าจะรับมือ ‘ได้ดีกว่าเดิม’ เพราะผ่านประสบการณ์เเบบนี้มาเเล้ว 

กลยุทธ์หลักๆ ของปีนี้ หลังขยายสาขาที่ 2 เรียบร้อยเเล้ว จึงจะเป็นการสร้าง ‘ระบบหลังบ้าน’ ให้เเข็งเเรง เรียกได้ว่า ‘กลับมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น’ ทำความเข้าใจปัญหาที่มีเเละเตรียมตัวต่อยอดธุรกิจต่อไป 

‘ให้คุณค่า’ คือคีย์หลักของวงการ ‘สติกเกอร์’ ไทย

หลังจากที่อยู่ในวงการสติกเกอร์ไทยนาน  มองว่าปัญหาใหญ่ๆ ที่ต้องผลักดันคือเรื่อง ‘การให้คุณค่างานศิลปะ’ เพราะหลายคนยังตั้งคำถามว่า ทำไมราคาเท่านี้ อยากให้มองว่ากว่าจะสร้างสรรค์ผลงานออกมา 1 ชิ้น มันมี ‘ต้นทุน’ มากกว่าค่ากระดาษเเละค่าหมึกพิมพ์ ทั้งการฝึกฝน ทักษะเเละการเล่าเรียนต่างๆ ที่ต้องใช้เวลานานหลายปี 

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงปัญหาเรื่อง ‘ซัพพลายเออร์’ ที่มีในท้องตลาดจำนวนน้อย เวลาผลิตสติกเกอร์จึงไม่ค่อยมีความหลากหลายของวัตถุดิบ เนื้อสติกเกอร์ยังมีให้เลือกค่อนข้างจำกัด 

เหล่านี้เป็นปัญหาที่สอดคล้องกันว่า ถ้าสังคมให้ความสำคัญกับงานศิลปะมากขึ้น บรรดาซัพพลายเออร์ก็จะพัฒนาสินค้าให้มีมากขึ้นตามไปด้วย หาอะไรใหม่ๆ มาสู้กันบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็มองว่าตลาดนี้เริ่มดีขึ้น มีการนำของใหม่ๆ มาให้ศิลปินมาลองใช้กัน เเต่ก็ยังถือว่าน้อย เมื่อเทียบกับประเทศที่ให้การสนับสนุนด้านงานวาดการ์ตูนอย่างญี่ปุ่น 

ส่วนปัญหาเรื่อง ‘ลิขสิทธิ์’ ทางร้านก็พยายามคัดสรรสินค้าไม่เหมือนกัน ไม่นำของละเมิดลิขสิทธิ์เข้ามาขาย โดยมีการพูดคุยข้อตกลงกับศิลปินที่เป็นพาร์ตเนอร์ด้วยอย่างจริงจัง  

“ไม่อยากให้มองว่าวงการสติกเกอร์ เป็นเเค่เทรนด์หรือกระเเสที่เกิดขึ้นชั่วคราว เเต่ให้มองว่าเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ผู้คนนำมาปรับใช้ ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นในทุกๆ วัน” 

โดยปัจจุบัน มีทั้งการนำ ‘สติกเกอร์’ ไปตกเเต่งห้อง ตกเเต่งของใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เเละเครื่องเขียนต่างๆ นำไปใช้ตอนจดตารางการทำงาน จดสรุปการเรียน ช่วยให้มีกำลังใจในการอ่านหนังสือมากขึ้น ฯลฯ 

คงความเป็นตัวตน มีทีมเวิร์กเเละใส่ใจลูกค้า 

สำหรับการเเข่งขันในตลาด มองว่ามีความท้าทาย เพราะมีร้านลักษณะคล้ายกันมาเปิดมากขึ้น จากเดิมที่เคยเป็นเจ้าเเรกๆ จึงทำให้ต้องเร่งพัฒนาให้ไม่หยุดนิ่ง 

“ถ้าถามว่าจะให้ขยายสาขาไปเยอะๆ เลยเราก็ทำได้ เเต่จะไม่ได้บรรยากาศเเบบที่เราต้องการ เพราะมันจะดูเป็นธุรกิจจ๋าเกินไป จึงจะพยายามคงความเป็นตัวตนของเรา ไปพร้อมๆ กับการเติบโตที่มากขึ้น” 

หลักการทำงานที่สำคัญที่สุด ที่ทั้ง 4 คนยึดถือ นั่นก็คือ ‘ทีมเวิร์ก’ เพราะไม่มีทางที่คนคนหนึ่งจะทำงานทุกอย่างได้ตั้งเเต่ต้นยันจบ การมีทีมที่ดีทำให้เราทำสิ่งที่คิดให้เกิดขึ้นจริงได้ เเละโตไปได้ด้วยประสิทธิภาพที่มากกว่า 

ต่อมาคือ ‘การดูเเลพนักงาน’ เเม้ว่าเราจะอายุยังน้อย เเต่เมื่อพนักงานในบริษัทเเล้ว ก็ต้องให้สวัสดิการที่ดี สร้างบรรยากาศการทำงานให้พูดคุยกันได้ อาศัยการไว้ใจจากคนทำงาน สบายใจเเละเปิดใจกับเรา 

‘ความพึงพอใจของลูกค้า’ คือสิ่งสำคัญโดยจะมีเช็กฟีดเเบ็กลูกค้าตลอด มีปัญหาอะไรก็เข้าไปเเก้ทันที  ขณะที่การดูเเลศิลปินนั้น จะมีการช่วยโปรโมตผลงานให้อย่างต่อเนื่อง หาโปรโมชันทำร่วมกับศิลปิน เพื่อส่งเสริมการขายให้กันเเละกัน 

เเม้จะเต็มไปด้วยพลังที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เเต่ทุกการทำงานต้องมี ‘ความเหนื่อย’ อย่างตอนที่เช็กสินค้าในสต๊อกไม่ทัน ต้องอดหลับอดนอน เเละมีช่วงที่เเพชชั่นมันลดลง เเต่พอมาเจอลูกค้าหรือได้รับฟีดเเบ็กดีๆ ก็มีส่วนช่วยได้เยอะ 

ส่วนมุมมองของการทำ ‘ธุรกิจกับเพื่อน’ นั้น ทั้ง 4 คนมองไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าการทำงาน ไม่ได้มองว่าเป็นเเค่เพื่อนร่วมงาน เเต่เป็นเพื่อนร่วมชีวิต ฟังความคิดเห็นกันเเละพยายามหาโซลูชันที่พอใจกันทุกฝ่าย 

สุดท้าย I Found Something Good ฝากเเนะนำถึง ผู้ประกอบการรุ่นใหม่’ ที่อยากจะลองทำธุรกิจว่า ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากอะไร ให้สังเกตความชอบของตัวเองดีๆ เพราะการทำธุรกิจต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันจริงๆ ทำงานตลอดเวลา ต้องทุ่มเทเเละวางเป้าหมายให้เเน่ชัด การเลือกพาร์ตเนอร์ที่ไว้ใจได้เป็นสิ่งสำคัญ หาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจทั่วไปเเละเฉพาะธุรกิจของเรา ลงมือทำจริง เเละตั้งมั่นว่าจะ ‘ไม่ถอยกลางทาง’ 

 

]]>
1320454
อัพเดท เมกาบางนา-ศูนย์บริการ 3 ค่ายมือถือ ปิด 26 ต.ค. https://positioningmag.com/1143317 Thu, 12 Oct 2017 11:39:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1143317 ศูนย์การค้าเมกาบางนา และโครงการเมกาซิตี้ (บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด) ปิดบริการชั่วคราว ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. โดยจะเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม2560

โดยยังให้บริการรถรับส่งจากสถานีรถไฟฟ้าอุดมสุขตามเวลาปกติ และเปิดให้บริการที่จอดรถฟรี ตั้งแต่เวลา 06.00 ของวันที่ 26 ตุลาคม จนถึงเวลา 03.00 . ของวันที่ 27 ตุลาคม เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้า พนักงานและบุคคลทั่วไป ที่จะเดินทางไปร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

นอกจากนี้ เมกกาบางนายังร่วมกับ ขสมก. ในการจัดจุดให้บริการรถประจำทางฟรี สำหรับรับส่ง ในเส้นทางเมกาบางนาสนามหลวง ณ บริเวณเมกา เทอร์มินัล ใกล้โซนบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า ตั้งแต่วันที่ 23 – 31 ตุลาคม 2560 เวลา 05.00– 24.00 .

3 ค่ายมือถือปิดศูนย์บริการชั่วคราว 

โอเปอเรเตอร์ 3 ค่าย เอไอเอสและดีแทค ประกาศหยุดทำการชั่วคราวของศูนย์ให้บริการในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 และจะกลับมาเปิดในวันที่ 27 ตุลาคม 2560

เอไอเอส ประกาศงดให้บริการในวันที่ 26 ตุลาคมทั้งวัน ที่เอไอเอส ช็อป และร้านเทเลวิซ ทั่วประเทศ ยกเว้น เอไอเอส ช็อป สาขาสนามบินดอนเมือง, สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามบินสมุย, สนามบินภูเก็ต และสนามบินกระบี่ที่ยังเปิดให้บริการตามปกติ

ทุกสาขาจะเปิดให้บริการตามปกติ ในวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560  แต่สามารถติดต่อ AIS Call Center 1175 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือใช้บริการ Self Service จากตู้บริการอัจฉริยะ บริเวณด้านหน้าเอไอเอส ช็อป ทุกสาขา และแอป my AIS โดยเอไอเอส ช็อป และร้านเทเลวิซ ทุกสาขา

ดีแทค ได้ประกาศหยุดทำการในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 เช่นกัน ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ลูกค้าสามารถติดต่อผ่าน dtac call center หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ ซึ่งเปิดให้บริการตามปกติ และผ่านแอปพลิเคชันดีแทคได้ตลอดเวลา

กลุ่มทรู แจ้งงดให้บริการที่ทรูช้อป ทุกสาขาทั่วประเทศ (ยกเว้นสาขาสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต หาดใหญ่ และกระบี่) ในวัน 26 ตุลาคม 2560 เวลา 15.00 น. ซึ่งลูกค้าใช้บริการ ตู้ทรูอัตโนมัติ(TrueMoney Kiosk) หน้าทรูช้อป สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทุกสถานี  เว็บไซต์ www.truecorp.co.th แอปพลิเคชัน True iService และคอลล์เซ็นเตอร์ กลุ่มทรู หมายเลข 1242

]]>
1143317
เมกาบางนาจัดเต็มมหกรรม “Mega Fashion Extraordinary” เอาใจขาช้อปหลากหลายสไตล์ https://positioningmag.com/59563 Wed, 25 Feb 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=59563

นายคริสเตียน โอลอฟสัน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา  จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “Mega Fashion Extraordinary” มหกรรมแฟชั่นประจำปีของศูนย์การค้าเมกาบางนา ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-22 มีนาคม 2558 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Fashion Fun Way ที่นี่ช็อปสนุกที่สุด” อัดแน่นไปด้วยแฟชั่นโชว์จากเหล่านางแบบนายแบบชั้นนำ ดาราและเซเลบริตี้คนดัง ที่จะมาแชร์เคล็ดลับการแต่งหน้า การแต่งกาย และการดูแลบุคลิกภาพ
ให้เหมาะกับแต่ละสไตล์ พร้อมคอนเสิร์ตจากศิลปิน GMM Grammy ตลอดการจัดงาน สำหรับงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจากนักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ อย่าง พลอย-เฌอมาลย์  พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก ณัฐ-ศักดาธร โดยมหกรรมแฟชั่นดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์อีเว้นท์ประจำปีของศูนย์การค้าเมกาบางนา ซึ่งปีนี้มีการวางคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ชื่นชอบแฟชั่นที่มีสไตล์ต่างๆ กัน

สำหรับคอนเซ็ปต์ “Fashion Fun Way ที่นี่ช็อปสนุกที่สุด” ประจำปีนี้ ประกอบไปด้วย 4 ธีมหลัก ได้แก่ Denim (ผ้ายีนส์), Office (ออฟฟิศ), Party (ปาร์ตี้) และ Colorful (สีสันสดใส) ซึ่งทั้ง 4 ธีมสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่ม ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ โดยภายในงานมีการเปิดตัวสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่จากแบรนด์ชั้นนำ ภายในศูนย์การค้าเมกาบางนา พร้อมพบกับกิจกรรมและเวิร์คช้อปมากมาย อาทิ

กิจกรรมสอนแต่งหน้าตามสไตล์การแต่งตัว  โดยเซเลบชื่อดัง ได้แก่ โมเม – Denim (เสาร์ที่ 14 มี.ค.) แพง ขวัญข้าว – Office (อาทิตย์ที่ 15 มี.ค.) พลอย ชวพร – Party (เสาร์ที่ 21 มี.ค.)  และเมญ่า – Colorful (อาทิตย์ที่ 22 มี.ค.) แฟชั่นโชว์จากหลากคอลเล็กชั่นหลายแบรนด์ โดยนางแบบชั้นแนวหน้าของเมืองไทย พร้อมกองทัพนางแบบนายแบบที่จะมาเรียกเสียงฮือฮาตลอดช่วงการจัดงาน มินิคอนเสิร์ตสุดมันส์จากศิลปินชื่อดังในเครือ GMM Grammy อาทิ ชิน-ชินวุฒ  ป๊อป-ปองกูล  Season 5 และ นิว-จิ๋ว เดอะสตาร์

นายคริสเตียน โอลอฟสัน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา  กล่าวว่า “สำหรับกิจกรรม Mega Fashion Extraordinary  เป็นกิจกรรมแฟชั่นยิ่งใหญ่ประจำปีของเมกาบางนา จัดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักช้อปและผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่น ให้ได้สัมผัสกับคอลเล็กชั่นและสไตล์ใหม่ๆ ที่กำลังอินเทรนด์ในปีนี้ โดยใช้ธีมงาน ‘4 Theme 4 Collection’ ซึ่งมุ่งหวังตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี ครอบคลุมทุกสไตล์การแต่งตัวไม่ว่าจะเป็นแนวทะมัดทะแมงแบบเท่ห์ๆ ในธีม Denim หนุ่มสาวออฟฟิศยุคใหม่ในธีม Office ปาร์ตี้บอยและเกิร์ลผู้รักความสนุกสนานในธีม Party และผู้ที่หลงใหลในความสดใสของสีสันอันจัดจ้านในธีม Colorful นอกจากการแสดงสินค้าจากแบรนด์ดังมากมายแล้ว เหล่านักช้อปจะได้สนุกสนานไปกับกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งยังคับคั่งไปด้วยศิลปิน ดาราและเซเลบคนดัง ที่จะมาสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ลูกค้าผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่ทางศูนย์ฯ ได้จัดเตรียมไว้เอาใจผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่น”

“การจัดงานครั้งนี้ทางศูนย์การค้าเมกาบางนามุ่งหวังให้กลุ่มลูกค้าเข้าถึงแฟชั่นในรูปแบบที่หลากหลาย และเหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น รวมทั้งตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ที่ครบครันและทันสมัย เป็นแหล่งรวมสินค้าและบริการต่างๆ ที่เหมาะกับแต่ละไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค เราคาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ทั้งลูกค้าเดิม
และเปิดโอกาสให้ลูกค้าใหม่ๆ ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังกรุงเทพฯ ได้สัมผัสประสบการณ์การช้อปปิ้ง
ที่สนุกสนานในแบบของเมกาบางนา รวมทั้งช่วยสร้างแรงบัลดาลใจในการแต่งตัวให้ได้ตรงตามรสนิยมทางแฟชั่นของแต่ละคน” นายคริสเตียน กล่าวเสริม

ปัจจุบัน ศูนย์การค้าเมกาบางนาต้อนรับเหล่านักช้อปจำนวนเฉลี่ยกว่า 3 ล้านคนต่อเดือน โดยแบ่งสัดส่วนเป็นชาวไทยร้อยละ 92 และชาวต่างชาติร้อยละ 8 สำหรับการจัดงาน “Mega Fashion Extraordinary” ในช่วงระหว่างวันที่  11-22 มีนาคม 2558 นี้ ทางศูนย์ฯ คาดว่ากิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในงาน อาทิ แฟชั่นโชว์ เวิร์คช็อป รวมทั้งศิลปินนักร้องนักแสดงและเหล่าเซเลบริตี้
จะสามารถดึงดูดลูกค้าเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 4-6% และคาดว่าร้านค้าจะสามารถทำยอดขายได้ดีขึ้นเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน
ซึ่งปกติแล้วผู้บริโภคมักจะเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นเพื่อรับกับช่วงซัมเมอร์อยู่แล้ว

มาร่วมชมและเลือกซื้อสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่ๆ พร้อมสัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สนุกไม่เหมือนใครกันในงาน “Mega Fashion Extraordinary” ช่วงระหว่างวันที่ 11-22 มีนาคม 2558 ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน สามารถดูได้ทางเว็บไซต์ www.mega-bangna.com  

]]>
59563
เมกาบางนาชูภาพลักษณ์ “แฟมิลี่ เดสติเนชั่น” ดันยอดผู้ใช้บริการปี 58 โต 6% https://positioningmag.com/59438 Thu, 12 Feb 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=59438

เมกาบางนา ศูนย์การค้าแนวราบชั้นนำระดับภูมิภาคที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็น “สุดยอดศูนย์การค้าสำหรับทุกคนในครอบครัว” (Family Destination) เตรียมผุดแคมเปญสร้างสรรค์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แก่ลูกค้า พร้อมทุ่มงบกว่า กว่า 15 ล้านบาทจัดกิจกรรมทางการตลาดช่วงตรุษจีน ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้เข้าใช้บริการตลอดปี 2558 ขึ้นจากเดิม 4-6%

สโรชา ลายสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การค้าเมกาบางนา เปิดเผยว่า “ด้วยพื้นที่ค้าปลีกรวมกว่า 400,000 ตร.ม. ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านค้ากว่า 800 ร้าน ใน 10 โซน ครอบคลุมสินค้าและบริการครบครันตั้งแต่แฟชั่นแบรนด์ดังทั้งจากในและต่างประเทศ ร้านอาหารนานาชาติ ของแต่งบ้าน ไอทีและเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์กีฬา ไปจนถึงสุขภาพและความงาม ธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทประกัน นอกจากนี้ยังเป็นเมกามอลล์แห่งแรกในประเทศไทยที่รวมเอา 5 เมกาสโตร์ชั้นนำ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า โฮมโปร เมกาซีนีเพล็กซ์ในเครือเมเจอร์ และอิเกียสโตร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในบ้านระดับโลกแห่งแรกในเมืองไทยและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไว้รวมกันในที่เดียว พร้อมที่จอดรถฟรีที่รองรับได้ถึง 9,000 คัน เมกาบางนาจึงมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเป็นศูนย์การค้าที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง”

“เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ดังกล่าวให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าและบริการด้านแฟชั่นและอาหาร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนผู้เช่าพื้นที่ที่มากที่สุดในศูนย์ฯ ในปี 2558 เมกาบางนาจึงเน้นการสร้างสรรค์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้สัมผัสผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่มีคุณภาพ โดดเด่น และตอบสนองความเฉพาะของลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกไลฟ์สไตล์ คาดว่าจะช่วยสร้างความประทับใจและการจดจำ ตลอดจนช่วยเพิ่มอัตราการเข้าใช้บริการซ้ำ (re-visit) ของลูกค้าทั้งกลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่มากขึ้น

“เมกา วันเดอร์ฟูล ไชนิส” แจกโชคใหญ่รับตรุษจีน

นอกจากนี้ เมกาบางนายังได้ทุ่มงบส่งเสริมการตลาดสำหรับช่วงตรุษจีนกว่า 15 ล้านบาท เพื่อจัดแคมเปญ “เมกา วันเดอร์ฟูล ไชนิส” (Mega Wonderful Chinese) ให้ผู้มาใช้บริการได้เพลิดเพลินกับการจับจ่ายสุดคุ้ม พร้อมลุ้นรับโชคตลอดเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยผู้ที่จับจ่ายภายในศูนย์การค้าเมกาบางนา ครบทุก 500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2558 จะได้รับคูปองชิงโชคเพื่อลุ้นรับของรางวัลรถยนต์ Honda CR-Z มูลค่า 1,975,000 บาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นจากร้านค้า ของกำนัล และสิทธิพิเศษอีกมากมายจากบัตรเครดิตชั้นนำเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร่วมรายการ ได้แก่ บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ บัตรเครดิตStandard Charters บัตรเครดิตกรุงศรีฯ บัตรเครดิตกสิกรไทย บัตรเครดิต ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย และบัตรเครดิต KTC บัตรเครดิตUOB เป็นต้น

ต่อยอดความสำเร็จนับแต่ก้าวแรก

“เมกาบางนาพัฒนาขึ้นจากรูปแบบของเมกามอลล์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนในประเทศไทยนั้นนับเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศูนย์การค้าแนวราบ ที่มีขนาดใหญ่และครบครันมากเช่นนี้ จากความสำเร็จในปัจจุบันที่มีผู้เข้าใช้บริการในศูนย์ฯ เฉลี่ยเดือนละ 3 ล้านคน เมกาบางนายังคงเดินหน้าปรับปรุงและพัฒนาองค์ประกอบและรายละเอียดต่างๆ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้มากยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะด้านความทันสมัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

การออกแบบและการจัดวางพื้นที่ของทุกๆ ร้านค้าให้มีชีวิตชีวา ตลอดจนการออกแบบภูมิทัศน์ พื้นที่สีเขียว พื้นที่เปิดรับแสงสว่างจากธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับทุกคนในครอบครัวอย่างแท้จริง” สโรชากล่าว

 

 

]]>
59438
เมกาบางนา ซูเปอร์ไบค์ 2015 : เทรนด์ ออน เดอะ แทรค https://positioningmag.com/59429 Wed, 11 Feb 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=59429

ศูนย์การค้าเมกาบางนา จัดงานเมกาบางนา ซูเปอร์ไบค์ 2015 (Megabangna Super Bike 2015) ที่สุดของมหกรรมมอเตอร์ไซต์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี ภายใต้แนวคิด ไบค์โร้ด แอนด์ แฟชั่นสตรีท (Bike Road and Fashion Street) ตื่นตาตื่นใจกับทัพซูเปอร์ไบค์จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Ducati  Kawazaki  Yamaha  Honda Suzuki และสินค้าแฟชั่น อุปกรณ์ตกแต่งรถสำหรับผู้ที่ชื่นชอบซูเปอร์ไบค์  เพื่อให้ทุกการขับขี่ดูดีไม่ตกเทรนด์  พร้อมสนุกสุดมันส์ไปกับกิจกรรมพิเศษมากมายเพื่อชาวไบเกอร์โดยเฉพาะ อาทิ คอนเสิร์ตจากศิลปินขวัญใจชาวร็อค หนุ่ย อำพล ลำพูน (28 ก.พ.) ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์  (7 มี.ค.)  บันนี่เกิร์ลโชว์ โดยเพลย์บอย ไทยแลนด์  พร้อมเปิดตัวรถรุ่นใหม่และโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้น พบกัน 26 กุมภาพันธ์ ถึง 8 มีนาคมนี้ ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา

]]>
59429
“เมกาบางนา ไทย คูซีน” รวมสุดยอดอาหารไทยนานาชนิด ชวนย้อนวันวานกับอาหารเลิศรสสูตรต้นตำรับ พร้อมกิจกรรมความบันเทิงอีกมากมาย https://positioningmag.com/58085 Tue, 08 Jul 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58085
เมกาบางนา ศูนย์การค้าแนวราบระดับภูมิภาคแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดงาน เมกาบางนา ไทย คูซีน”(Megabangna Thai Cuisine) ภายใต้แนวคิด “อาหารไทยในความทรงจำ” เป็นปีที่ 2 งานเดียวที่รวมสุดยอดอาหารไทยนานาชนิด เพื่อให้เหล่านักชิมได้ย้อนวันวานไปกับอาหารเลิศรสสูตรต้นตำรับ กับบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างความเป็นไทยและความทันสมัยไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว พร้อมเพลิดเพลินกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินดังมากมาย ขนขบวนอาหารไทยอันทรงคุณค่า ต้นตำรับชาววังขนานแท้ อาหารไทยทั้ง 4 ภาค และอาหารประกอบในพระราชพิธีสำคัญต่างๆ รวมกว่า 80 ร้าน เพื่อร่วมสืบสานวัฒนธรรมการกินและอาหารไทยให้คงอยู่ ในระหว่างวันที่  3-13 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา

ณัฐพร รุ่งขจรกลิ่น รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา กล่าวว่า “เมกาบางนาไทย คูซีน ตั้งใจอยากให้ลูกค้าเข้ามาสัมผัสกับรสชาติอาหารไทยแท้แบบดั้งเดิม ภายใต้บรรยากาศยุคเก่าสไตล์ไทยโมเดิร์น  เพื่อรำลึกถึงอดีตอันน่าประทับใจอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสมัยคุณตายังหนุ่ม คุณยายยังสาว หรือคุณแม่ในวัยเด็ก ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อาหารไทยในความทรงจำ” หวังปลุกคนรุ่นเก่าได้หวนระลึกถึงความทรงจำในอดีต และพาลูกหลานหรือครอบครัวมาร่วมย้อนอดีต พร้อมบอกเล่าเรื่องราวเก่าๆ ในยุคสมัยที่ดำเนินวิถีชีวิตแบบไทยและความทรงจำกับรสชาติอาหารที่แสนอร่อย และปัจจุบันเริ่มหาทานได้ยากขึ้นทุกที”

ภายในงานนอกจากผู้เข้าชมจะได้เพลิดเพลินไปกับอาหารไทยนานาชนิด ยังจะได้รับความรู้เกี่ยวกับอาหารไทย อาทิ อาหารไทยแท้รสชาติจะถึงเครื่อง มีความเข้มข้นและจัดจ้าน สมัยก่อนแกงไทยส่วนใหญ่จะเป็นแกงเลียง และแกงป่าเพราะไม่ใส่กะทิ ต่อมาเมื่อมีแกงใส่กะทิเข้ามาในครัว จึงมีแกงเผ็ดเกิดขึ้น และคนไทยช่างคิด เปลี่ยนพริกแห้งสีแดง มาใช้พริกสดสีเขียว และใส่ใบพริกสดลงไปตำในน้ำพริกแกงนั้นเพื่อให้สีเขียวชัดขึ้น สำหรับที่มาชื่อแกงเขียวหวานคือแกงที่มีสีเขียวนวล ไม่ใช่แกงสีเขียวรสหวาน เป็นต้น

ส่วนขนมไทยก็มีเรื่องชวนน่ารู้มากมาย อาทิ ขนมฝอย หรือขนมโบราณที่ใช้เฉพาะงานหมั้น แสดงถึงการตีตราจองว่าหญิงนั้นมีคู่หมั้นแล้ว ขนมโพรงแสม สำหรับใช้ในพิธีแต่งงานเพื่อแทนเสาบ้านเสาเรือน ให้คู่บ่าวสาวอยู่กันยั่งยืนและร่ำรวย เป็นต้น ขนมสามกอง ใช้เสี่ยงทายในพิธีแต่งงาน หากขนมยังติดกันทั้ง 3 ลูกในขณะที่ทอด หมายความว่าคู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานจะอยู่ด้วยกันดีและมีลูกด้วยกัน แต่ถ้าติดกันอยู่เพียง 2 ลูก หมายถึงจะมีลูกยากหรือไม่มี ถ้าแยกหรือหลุดออกทั้ง 3 ลูก หมายถึงจะอยู่ด้วยกันไม่ยืด 

นอกจากนี้ อาหารไทยยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมประจำชาติที่มีการสั่งสมภูมิปัญญาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เช้น คนไทยสมัยก่อนใช้ภูมิปัญญาค้นหาวิธีคลายร้อนในช่วงหน้าร้อน โดยอาศัยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น ตลอดจนผลไม้ตามฤดูกาลมาประกอบเป็นอาหารหลากหลาย ทั้งอาหารจานหลักและของหวาน อาทิ ข้าวแช่ ขนมจีนซาวน้ำ ที่อุดมไปด้วยสมุนไพรคลายร้อน และครบทางคุณค่าทางโภชนาการ แกงส้มเปลือกแตงโมกับปลาช่อนแห้ง เปลือกแตงโมจะช่วยระบายความร้อนได้อีกวิธีหนึ่ง แต่ไม่ใช้เปลือกแตงโมส่วนสีเขียว จะนำส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวติดสีแดงมาใช้แกง ส่วนเครื่องแกงต่างๆ ก็เป็นสมุนไพรที่ช่วยปรับธาตุให้สมดุล เป็นต้น รวมทั้งยังมีเครื่องดื่มสมุนไพรอีกมากมายที่คิดค้นเพื่อช่วยดับร้อน อาทิ น้ำใบเตย น้ำใบบัวบก น้ำมะขาม น้ำอัญชัน ว่านหางจระเข้ น้ำตะไคร้ฯ

“เมกาบางนา ไทย คูซีน จะเป็นอีกหนึ่งงานที่ทำให้ทุกครอบครัวได้เก็บเกี่ยวความทรงจำกับตำรับอาหารไทยอันทรงคุณค่าที่นับวันจะสูญหายและหาทานยากขึ้น นอกจากจะอิ่มอร่อยไปกับอาหารไทยและอาหารชาววังขนานแท้ ยังมีกิจกรรมบันเทิงและมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินคนดัง อาทิ ลิเดีย (13 ก.ค.) เจนนิเฟอร์ คิ้ม (12 ก.ค.) ตั๊กแตน ชลดา (5 ก.ค.) ผลัดเปลี่ยนมาสร้างสีสันให้ลูกค้าของเรารับความประทับใจกลับบ้านไปทุกคน” คุณณัฐพร กล่าวทิ้งท้าย

]]>
58085