สงครามราคา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Nov 2025 06:59:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘โบนัส สุกี้’ – ‘ลัคกี้ สุกี้’ เปิดเกมรุกเขย่าบัลลังก์ผู้นำบุฟเฟ่ต์สุกี้ https://positioningmag.com/1547545 Tue, 18 Nov 2025 11:09:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547545 แม้ภาพรวมตลาดธุรกิจร้านอาหารจะดูซบเซา จากความท้าทายในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ สภาพการแข่งขันที่ดุเดือด และต้นทุนพุ่งสูงขึ้น ทว่า ‘ตลาดสุกี้’ ที่ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาทกลับมีความร้อนแรง โดยเฉพาะเซ็กเม้นต์ Budget Buffet ราคาต่ำกว่า 300 บาทลงมา

ล่าสุด ‘ศึกบุฟเฟ่ต์สุกี้’ ระลอกใหม่ปะทุ โดยพี่ใหญ่ MK ประกาศส่ง ‘โบนัส สุกี้’ ลุยตลาดสุกี้ Budget Buffet เต็มกำลัง ซึ่งจากนี้จะขยาย 1-2 สาขาทุกสัปดาห์ และตั้งเป้าว่า ในปี 2569 มีสาขามากกว่า 70 สาขา สร้างรายได้กว่า 3,600 ล้านบาท เพื่อให้โบนัส สุกี้ เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต

การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ทาง MK จะใช้ศักยภาพของกรุ๊ปทั้งหมดที่มี อาทิ เครือข่ายร้านอาหารกว่า 600 สาขาในเครือ, ซัพพลายเออร์มากกว่า 1,000 ราย, คลังสินค้าและครัวกลางรองรับได้ 1,000 สาขา, ระบบโลจิสติกส์พร้อมรถขนส่งกว่า 500 คัน ส่งของได้ทุกวันทั่วไทย ที่ขาดไม่ได้ คือ ‘ราคาเข้าถึงง่าย’ มาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ

‘ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า MK ให้ความสนใจและศึกษาตลาดบุฟเฟ่ต์มานานพอสมควร เนื่องจากมีการเติบโตน่าสนใจ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือ ต้องการมากกว่าแค่ความคุ้มค่า

นั่นจึงเป็นที่มาของ ‘โบนัส สุกี้’ แบรนด์ใหม่ในเซ็กเม้นท์ Budget Buffet ที่จะมาเสริมพอร์ตสุกี้ของ MK ให้แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งนอกจากความคุ้มค่าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความหลากหลาย และประสบการณ์ที่ดีในมื้ออาหาร

สำหรับโบนัส สุกี้ จะเน้นสร้างความแตกต่างและขับเคลื่อนการเติบโต ภายใต้กลยุทธ์ 6 Extra Bonus ประกอบด้วย

Product : การมีเมนูมากกว่า 60 รายการ และมีมากกว่าแค่สุกี้ ทั้งติ่มซำ ของทานเล่น น้ำจิ้ม และเมนูซิกเนเจอร์ เช่น หมูนุ่มหมักไข่โบนัส โรลปูอัดโบนัส พร้อมไฮไลต์เครื่องดื่มสลัชชีชาไทย

Price : ราคาเข้าถึงง่าย 219 บาท ทานได้ 2 ชั่วโมง 15 นาที และจะมีการทำโปรโมชันต่อเนื่องทุกเดือน

People : จะใช้ศักยภาพของเอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ปในเรื่องการเทรนนิ่งพนักงาน เพื่อให้บริการและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามาเป็นจุดแข็ง รวมถึงจะจ้างงานคนในท้องถิ่นตามการขยายตัวของแบรนด์

Promotion Bonus : ให้โบนัสลูกค้ากับเมนูพิเศษที่แจกฟรีทุกโต๊ะ วันละสองรอบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ชั่วโมงโบนัส’

Place : ร้านมีขนาดใหญ่ประมาณ 500 ตร.ม. บาร์อลังการ และสะอาด โดยเริ่มต้นจะโฟกัสเปิดในทำเลทั้งหัวเมืองใหญ่และเมืองรองที่เป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีศักยภาพในการเติบโต

Process : ความพร้อมทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน มาตรฐาน MK Group ระบบการจัดการที่สาขา จัดเก็บสินค้าอย่างมีระบบ สดใหม่ สามารถเสิร์ฟได้รวดเร็ว ระบบหลังบ้านที่รองรับการขยายได้แบบไม่สะดุด

ทั้งสองเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี และจุดแข็งที่มีทั้งหมด จะทำให้โบนัสสุกี้เติบโตเร็วแบบก้าวกระโดด เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และคาดหวังจะเป็นผู้นำของตลาดนี้ในอนาคต

ทำไมทั้งคู่ถึงเชื่อมั่นแบบนั้น?

ส่วนหนึ่งเห็นจากการเปิดมา 4 เดือนแรก มีลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำแล้วกว่า 25% และทานซ้ำสูงสุด 37 ครั้งภายใน 4 เดือน ขณะที่ผลสำรวจความพึงพอใจลูกค้าพบว่า กว่า 95% ประทับใจ ทั้งการบริการ พนักงาน และความคุ้มค่า

สำหรับแผนขยายสาขา ในปี 2568 จะเปิดให้ครบ 16 สาขา และในปี 2569 จะขยายมากกว่า 70 สาขา มียอดขายรวมกว่า 3,600 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มเป็น 100 สาขาทั่วประเทศในปี 2570

พอใจผลประกอบการไม่หวั่นกำไรลด

แม้การทำศึกบุฟเฟ่ต์ที่มี ‘สงครามราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักจะฉุดให้กำไรไตรมาส 3 ปี 2568 ของ MK ลดลง แต่ทางธีร์บอกว่า รู้สึกพอใจกับผลประกอบการดังกล่าว โดยเฉพาะการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น 5%

พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ทำให้กำไรลดลง โดยเขาบอกว่า หลัก ๆ มาจากสภาพเศรษฐกิจ และ Fixed cost ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น เช่น ค่าแรง ค่าเช่าพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งจากนี้ต้องมาดูว่า จะหาวิธีควบคุมและบริหารจัดการให้ดีขึ้นได้อย่างไร

สำหรับการประเมินภาพปีหน้า ธีร์มองว่า การแข่งขันจะสูงขึ้น และสงครามราคาเหมือนในปีนี้ก็จะยังมีให้เห็น ส่วนการมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นผู้เล่นรายเดิมในตลาด ทั้งคู่มองเชิงบวก คือ เมื่อมีผู้เล่นใหม่เข้ามา ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดยิ่งเติบโตมากขึ้น

“ถ้าถามว่า มองการแข่งขันตอนนี้อย่างไร เรามองการแข่งขันมีทุกยุค สำหรับผมการแข่งขันเป็นสิ่งสวยงาม เป็นความสนุก และแต่ละรายมีทางของตัวเอง เราเองก็จะชนะด้วยข้อดีและจุดเด่นของเราที่จะนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขันของเรา นอกจากโบนัส สุกี้แล้ว ทาง MK ยังจะสานต่อบุฟเฟ่ต์คุ้มคุ้ม 299 บาท ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไร ขอรอดูผลตอบรับเมื่อจบปี 2568 อีกครั้ง”

ลัคกี้ สุกี้ ผนึกกำลัง CRG ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้

ด้านบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ และ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ หลังจาก CRG เข้ามาร่วมทุน 40% ก็เตรียมเร่งสปีดในการขยายสาขาเต็มกำลัง

‘ณัฐ วงศ์พานิช’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมทุนกับมิราเคิล แพลนเนท คือ การจับมือกันของสององค์กรที่มีความแข็งแกร่ง เพื่อนำศักยภาพที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่ายมาผนึกกัน ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯ เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจร้านสุกี้ในรูปแบบบุฟเฟต์มีโอกาสขยายได้อีกมาก และเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์ ลัคกี้ สุกี้ และ ลัคกี้ บาร์บีคิว ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือครั้งนี้ จะนำความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารจัดการด้านธุรกิจอาหาร เทคโนโลยี และเครือข่ายพันธมิตรทางการค้าในปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนให้มิราเคิล แพลนเนท มีการเติบโตทั้งด้านผลการดำเนินงาน และการขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว ตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับแผนการขยายธุรกิจ จะมีขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ปีละ 20 – 25 สาขา เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง และมีจำนวนสาขา 100 – 120 สาขาทั่วประเทศ

ขณะที่ ‘รสรินทร์ ติยะวราพรรณ’ กรรมการบริหาร มิราเคิล แพลนเนท เผยถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจกับ CRG ว่า มาจากความเชื่อมั่นในศักยภาพ และความเป็นมืออาชีพขององค์กร ที่มีความเข้าใจเชิงลึกในธุรกิจร้านอาหาร ทั้งด้านการวางกลยุทธ์ การมองภาพระยะยาว และระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลงานและความสำเร็จที่ CRG สร้างร่วมกับพันธมิตรหลายรายมาแล้ว

“สิ่งที่เรามองหาไม่ใช่เพียงการขยายสาขา แต่คือการสร้างรากฐานธุรกิจที่แข็งแรง และมาตรฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวในระยะยาว ซึ่ง CRG และ มิราเคิล แพลนเนท มีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับธุรกิจอาหารไทยให้แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าให้ ลัคกี้ สุกี้ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้ และบาร์บีคิวของไทยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า”

ตี๋น้อยเตรียมจัดโปรฯฉ่ำ-เปิดสาขาต่อเนื่อง

ขณะที่ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ผู้นำและผู้บุกเบิกตลาดบุฟเฟ่ต์สุกี้ แม้การประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 จะทำกำไรไป 221 ล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบการเติบโตกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ยังเดินหน้าทำตามแผนธุรกิจเดิม โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ไว้ 9,000 ล้านบาท

การสร้างรายได้ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ‘เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ ซีอีโอ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย หลัก ๆ มาจาก ‘การขยายสาขาใหม่’ ซึ่งปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยมี 86 สาขา และ Teenoi BBQ 4 สาขา

ขณะที่ในปี 2569 ตั้งเป้าจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 32 สาขา เป็นจำนวนสูงที่สุดเท่าที่ทำมา พร้อมกับประกาศจัดโปรฯ ต่อแบบฉ่ำ ๆ ไม่หยุดพัก ส่วนรูปแบบจะออกมาเป็นอย่างไรขอให้ติดตาม

ความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายหลักแถมเป็นรายใหญ่ทั้งสามรายแบบไม่มีใครยอมใคร สะท้อนให้เห็นว่า พร้อมสู้กับศึกครั้งนี้ จึงทำให้น่าจับตามองเป็นอย่างมากว่า ศึกบุฟเฟ่ต์สุกี้จะไปจบลงตรงไหน?   

]]>
1547545
Mo-Mo-Paradise ชู ‘ความคุ้มค่า+คุณภาพ’ สู้ศึกตลาดชาบู-สุกี้เดือด https://positioningmag.com/1532302 Mon, 04 Aug 2025 09:16:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532302 ขณะที่เราได้เห็นการสาด ‘สงครามราคา’ ในธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะตลาดสุกี้และชาบูอย่างดุเดือด แต่ทาง Mo-Mo-Paradise ได้ประกาศชัดว่า ไม่สนใจลงไปเล่นในสงครามนี้ และขอโตตามเส้นทางของตัวเอง นั่นคือ ใช้ ‘ความคุ้มค่า+คุณภาพ’ สไตล์ญี่ปุ่นแท้ เป็นจุดแข็งเพื่อสร้าง Brand Love มัดใจลูกค้า

 

“เราอยากให้ลูกค้ามา Mo-Mo-Paradise เพราะรักในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่มาเพราะมีการอัดโปรฯ แรง ๆ หรือลดราคา”

 

เป็นคำตอบของ ‘สุรเวช เตลาน’ ซีอีโอ บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด ผู้บริหาร Mo-Mo-Paradise ในไทย เมื่อถูกถามว่า ทางแบรนด์จะมีโปรโมชั่นเด็ดอะไรออกมาสำหรับเพิ่มยอดขายและดึงกำลังซื้อผู้บริโภคในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก

 

สำหรับการให้ลูกค้ารักในแบบที่ Mo-Mo-Paradise เป็น ก็คือ จะชู ‘ความคุ้มค่า’ และ ‘คุณภาพ’ ตามแบบฉบับชาบูสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ มาเป็นทั้งจุดขายและจุดแข็ง ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งที่สุรเวชใช้สร้างธุรกิจนับตั้งแต่นำแบรนด์นี้เข้ามาในไทยเมื่อ 18 ปีก่อน

 

ขณะที่การขยายสาขา ในปีนี้ยังไม่มีแผนขยายสาขาใหม่ แต่จะหันมาเน้นสร้างการเติบโตของยอดขายในร้านเดิม (Same store sale growth) ให้มากขึ้นแทน ผ่านการปรับปรุงคุณภาพการบริการ นำเทคโนโลยี อาทิ ระบบ POS, ERP, AI ฯลฯ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ควบคู่ไปกับการมีเงินทุนสำรองและกระแสเงินสดที่เหมาะสม

 

“18 ปี เรามี 30 สาขา ถือว่าน้อยนะเมื่อเทียบกับจำนวนปีที่ทำธุรกิจ ทว่าอย่างที่บอกเราอยากโตในแบบของเรา อย่างก่อนหน้านี้ช่วงที่ร้านชาบูแข่งกันเดือด ๆ จะเห็นหลายแบรนด์นำสินค้าอื่นเข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะซูชิและปลาแซลมอน แต่เราไม่ทำ เนื่องจากไม่ใช่ตัวตนและทางของแบรนด์เรา ซึ่งเราไม่เคยเขว้ ทำให้เราเดินได้อย่างแข็งแรงมาถึงทุกวันนี้”

 

เศรษฐกิจมีลงก็มีขึ้นได้

 

ส่วนสภาพเศรษฐกิจ สุรเวชบอกว่า มีขึ้นก็มีลง เมื่อลงก็มีโอกาสขึ้น โดยตั้งแต่เขาทำธุรกิจมานาน 18 ปี ไม่เคยมีปีไหนที่คนบอกว่า ‘เศรษฐกิจดี’ ที่สำคัญวิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก แม้ดูจะลากยาวและมีความท้าทายเป็นอย่างมากก็ตาม

 

ขณะที่ ‘สงครามราคา’ เราจะเห็นการเล่นกลยุทธ์นี้ไปอีกสักระยะ แต่คงไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะแต่ละแบรนด์รู้ดีว่า ในระยะยาวกลยุทธ์ดังกล่าสไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจ ทั้งกระทบภาพลักษณ์และมีผลในเรื่องรายได้อย่างแน่นอน

 

สำหรับการดำเนินงานของ Mo-Mo-Paradise ช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2568 ยังเห็นการเติบโต ซึ่งทั้งปี 2568  ทางบริษัทฯวางเป้ายอดขายไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำไป 1,700 ล้านบาท มาจากแบรนด์ Mo-Mo-Paradise เป็นหลัก

 

ส่วนอีก 3 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ Nabezo Premium ร้านชาบูและสุกี้ยากี้ระดับพรีเมียม, Gyukatsu Kyoto Katsugyu ร้านเนื้อทอดสไตล์ญี่ปุ่น และ Guljak Topokki & Chicken ร้านต๊อกบกกีและไก่ทอดเกาหลี ที่ตอนนี้มีสาขารวม 8 แห่ง คาดว่า จะสร้างยอดขายให้ราว 100 ล้านบาท

]]>
1532302
‘สงครามราคา’ คือ ทางรอดวิกฤตร้านอาหารจริงหรือ? https://positioningmag.com/1529915 Mon, 14 Jul 2025 06:54:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529915 ตอนนี้เราได้เห็นดีกรีความร้อนแรงของ ‘สงครามราคา’ ในธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสุกี้ จากสองยักษ์ใหญ่อย่าง ‘MK’ และ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ยังไม่รวมร้านอาหารอื่น ๆ ที่ทยอยงัดไม้นี้มาเป็นกลยุทธ์เรียกลูกค้าหลังต้องเผชิญปัญหายอดขายตกจากภาวะเศรษฐกิจจนหลายแห่งเสี่ยงต้องปิดตัว

คำถามคือ การเล่นสงครามราคา หรืออัดโปรฯ แรง ๆ ช่วยฝ่าวิกฤตที่ต้องเจออยู่จริงหรือไม่ ?

ภายในงานเสวนา ‘เสิร์ฟแผนรอด: สูตรลับร้านอาหารไทยฝ่าวิกฤต’ ที่ทาง ‘เคทีซี’ หรือ ‘บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)’ จัดขึ้น ทาง ‘สุรเวช เตลาน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด ผู้บริหารร้าน  Mo-Mo-Paradise ในไทย แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ว่า สงครามราคากำลังเป็นกระแสในช่วงนี้ และเป็นวิธีง่ายสุดในการสร้างยอดขาย แต่เมื่อทำแล้วได้ประโยชน์จริงหรือไม่ในระยะยาวจริง เป็นคำถามที่ต้องคิดดี ๆ เพราะแบรนด์ที่ทำสงครามราคาได้ ต้องสะสมบุญให้มากพอ

การสะสมบุญที่ว่า ได้แก่ ‘สายป่านเรื่องเงินทุนต้องยาว’ เพื่อให้สามารถเล่นสงครามราคาได้ในระยะเวลาหนึ่งแบบไม่กระทบ และ ‘ขนาดธุรกิจต้องได้’ เช่น จำนวนสาขาต้องมีมากพอ และโครงสร้างธุรกิจต้องเอื้ออำนวย ซึ่งสำหรับ Mo-Mo-Paradise แล้ว เขามองว่า ไม่เหมาะกับการลงมาเล่นสงครามราคา หรืออัดโปรฯ แรง ๆ จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และ Brand value ที่สร้างมาตั้งแต่แรก

“เราไม่เหมาะกับวิธีนี้ เพราะสะสมบุญมาไม่มากพอเท่าแบรนด์ใหญ่ 18 ปี เรามี 30 สาขา คือเราไม่ใหญ่ และหากเราลงเล่นสงครามราคา ในระยะยาวมันไม่คุ้มกัน ดังนั้น เวลาทำโปรโมชั่นเราไม่ได้อยากสร้างให้ลูกค้ารู้สึกว่า Mo-Mo-Paradise ต้องราคาถูกถึงจะมากิน แต่มาเพราะความคุ้มค่าบวกคุณภาพ เพื่อไม่ให้แบรนด์เสียราคา”

ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ ‘จักรกฤติ สายสมบูรณ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ Maguro Group ที่ยอมรับว่า ‘ราคา’ มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ซึ่งเห็นผลตอบรับชัดเจนเมื่อทำแล้ว ‘เวิร์กจริง’ เพราะตอนนี้เงินกระเป๋าของแต่ละคนน้อยลง การจ่ายแต่ละครั้งจึงต้องได้ดีลดีที่สุด โดยในระยะเวลาที่ทำจะเพิ่มยอดได้ประมาณ 30%

อย่างไรก็ตาม การเล่นสงครามราคา จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและแบรนด์ เพราะการลดราคาแรง ๆ หรืออัดโปรฯ บ่อย จะส่งผลต่อมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ และเกิดคำถามจากลูกค้าว่า ‘ลดราคา คุณค่าและคุณภาพลดลงด้วยหรือไม่?’ หรือ ‘ทำไมถึงขายราคาเดิมไม่ได้แล้ว?’

สิ่งที่ตามมา คือ ลูกค้าเดิมที่ปลุกปั้นและติดตามกันมาตั้งแต่เริ่มต้นอาจจะหายไป และได้ลูกค้าใหม่ที่ไม่มีลอยัลตี้เข้ามาแทน โดยลูกค้ากลุ่มนี้พร้อมจะสวิตช์แบรนด์ทันที เมื่อ ‘ที่ไหนมีโปรฯ ก็พร้อมจะเปลี่ยนไปที่นั้นทันที’ ซึ่งเป็น กลุ่มลูกค้าที่ไม่ยั่งยืน

สำหรับ Maguro Group เอง ด้วยจุดยืนและโครงสร้างของแบรนด์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อลดราคา หรือจัดโปรฯ ถี่ แม้จะมีบ้างตามสถานการณ์แต่จะมีไม่บ่อยนัก โดยทางออก จักรกฤติ ให้ความสำคัญกับการให้มากกว่า ‘ราคาถูก’ ด้วยการไปเจาะความต้องการของลูกค้าให้ลึกขึ้น ให้ลูกค้าจ่างเงินน้อยลง แต่ได้อาหาร ตลอดจนบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานดีเหมือนเดิม เช่น แบรนด์มากุโระ จะมีขนาดอาหารต่อจาน (Portion Size) ที่ค่อนข้างใหญ่ จึงมีการลดขนาดอาหารให้เหมาะกับการกินต่อคนมาในราคาถูกลงเป็นต้น

ทั้งสองผู้บริหารทิ้งท้ายว่า เราคงเห็นภาพของการเล่นสงครามราคาไปอีกสักระยะ แต่คงไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะแต่ละแบรนด์รู้ดีว่า ในระยะยางกลยุทธ์นี้ไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจและจะส่งกระทบในเรื่องรายได้อย่างแน่นอน

]]>
1529915
แก้เกมผู้ซื้อหวังโปรโมชัน? Tesla ทำเซอร์ไพรส์ “ปรับขึ้น” ราคารถในตลาดสำคัญ ขึ้นแรงที่สุดในจีน https://positioningmag.com/1429411 Wed, 03 May 2023 10:57:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429411 เมื่อเดือนก่อน “อีลอน มัสก์” ยืนยันว่าจะตรึงราคา Tesla ให้ต่ำ เน้นยอดขายมากกว่าอัตรากำไร แต่ขณะนี้บริษัทเพิ่งจะ “ปรับขึ้น” ราคารถในตลาดสำคัญ โดยเฉพาะในจีนที่ขึ้นแรงที่สุด นักวิเคราะห์คาดบริษัทต้องการลดความคาดหวังของผู้ซื้อว่าจะมีการลดราคาลงอีกเรื่อยๆ

ในช่วงที่ผ่านมา Tesla มีการลดราคารถยนต์ลงหลายครั้งติดต่อกัน จนกำไรของบริษัทลดลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 รวมถึงทำให้เกิดสงครามราคาในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า

กระทั่งล่าสุด Tesla ทำเซอร์ไพรส์ “ปรับขึ้น” ราคารถยนต์ในตลาดสำคัญ รวมประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา สวนทางกับที่ “อีลอน มัสก์” คยให้ทิศทางไว้ในงานประกาศผลกำไรไตรมาสแรกซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนก่อนว่า บริษัทจะยังคงทำราคาให้ต่ำหรืออาจจะลดราคาอีกเพื่อเน้นสร้างยอดขายก่อน อัตรากำไรไว้ทีหลัง

ในประเทศจีนนั้นมีการปรับขึ้นราคาเป็นสัดส่วนสูงสุด โดยรถยนต์เอสยูวี Model Y และรถยนต์ซีดาน Model 3 ต่างก็ปรับขึ้นราคามา 2,000 หยวน (ประมาณ 10,000 บาท) ทำให้ปัจจุบันรถ Model Y ในจีนปรับมาเป็นราคาเริ่มต้น 263,900 หยวน และ Model 3 ปรับเป็นเริ่มต้น 231,900 หยวน

อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวก็ยังถูกกว่าราคาเดิมที่เคยขายเมื่อต้นปี 2023 เพราะช่วงที่ผ่านมา Tesla ลดราคาไปหลายรอบ

ขณะที่ในสหรัฐฯ​ Model Y ปรับมาทำราคาเริ่มต้น 47,240 เหรียญสหรัฐ และ Model 3 ปรับมาเริ่มที่ 40,240 เหรียญสหรัฐ เฉลี่ยแล้วขึ้นราคา 250 เหรียญสหรัฐต่อคัน (ประมาณ 8,500 บาท) โดยเมื่อเดือนก่อน บริษัทเพิ่งจะขึ้นราคารถ Model S และ Model X ในตลาดสหรัฐฯ อีกคันละ 2,500 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 85,000 บาท) แต่รถทั้งสองรุ่นนี้เป็นตลาดเล็กที่มีสัดส่วนเพียง 2.5% ของยอดขายรวมทั้งบริษัท

ในตลาดสำคัญอื่นๆ เช่น แคนาดา มีการปรับขึ้นราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,500 บาท ส่วนในญี่ปุ่นปรับขึ้นราคาคิดเป็นเงินไทยราว 9,100 บาท

ภาพจาก Shutterstock

กลยุทธ์การขึ้นราคาแต่ขึ้นไม่มากแบบนี้ นักวิเคราะห์มองว่าบริษัท Tesla กำลังทำการตลาดในอีกรูปแบบเพื่อดึงให้ดีมานด์สูงขึ้นทันที

“Tesla ขึ้นราคาเพื่อสวนกระแสความคาดหวังของลูกค้าที่มองว่าเดี๋ยวบริษัทจะลดราคาลงอีก ป้องกันไม่ให้ลูกค้าเลือกที่จะรอดูไปก่อน เผื่อมีลดราคาครั้งต่อไป” นักวิเคราะห์จาก Citi กล่าว

นอกจากนี้ การลดราคาซ้ำๆ ของ Tesla ในช่วงที่ผ่านมายังทำให้กลยุทธ์ลดราคาเริ่มจะไม่ได้ผล

ในตลาดสหรัฐฯ นั้นบริษัทเคยลดราคามาแล้ว 6 ครั้งก่อนจะขึ้นราคาครั้งล่าสุด

ส่วนในจีน ตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทก็ลดราคาหลายครั้งมากในช่วงเดือนตุลาคม 2022 จนถึงเดือนมกราคม 2023 เพราะเริ่มจะเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่ง เช่น BYD การลดราคาของ Tesla ถือเป็นตัวการสร้รางสงครามราคารถอีวีในจีน เพราะหลังจากนั้นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่าสิบยี่ห้อต่างก็ลดราคาแข่งขันบ้าง

จากกลยุทธ์ลดราคา ทำให้ยอดขายของ Tesla ในจีนพุ่งขึ้น 35% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยขายได้ 88,000 คัน แต่ก็ยังแพ้คู่แข่ง BYD ที่ขายได้เกิน 100,000 คันในเดือนเดียวกัน (ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน)

การลดราคาหนักในช่วงที่ผ่านมาของ Tesla ช่วยเร่งยอดขายได้จริง แต่ก็ทำให้ตัวเลขอัตรากำไรต่ำลงไปด้วย โดยในไตรมาส 1/2023 บริษัททำรายได้สูงขึ้น 24% แต่กำไรขั้นต้นลดลง 19.3% ลดสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 ส่วนกำไรสุทธิก็ลดลง 24% จากปีก่อนหน้า

Source

]]>
1429411
“สงครามราคา” ทำตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กรป่วน ทรูขยับหาลูกค้า SMB https://positioningmag.com/1141432 Wed, 27 Sep 2017 09:52:02 +0000 http://positioningmag.com/?p=1141432 ตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กรแข่งดุ หลังมีแบรนด์ใหม่เข้ามาป่วนตลาดด้วยสงครามราคา ส่งผลให้ทรู อินเทอร์เน็ต ต้องขยับหาตลาดองค์กรขนาดกลางและย่อย คาดรักษาการเติบโตในธุรกิจนี้ราว 7-8%

จากดีกรีการแข่งขันเข้มข้นขึ้นในตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กร เนื่องจากมีผู้ให้บริการรายใหม่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้เกิดสงครามราคา ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่มีผลกระทบ  ทำให้ใมูลค่ารวมในตลาดไม่เติบโตเท่าที่ควร

‘ในงานประมูลอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กรบางครั้ง จะเจอการเข้ามาเสนอราคาแข่งขันในระดับที่ลดค่าบริการจากปีก่อนหน้าสูงถึง 50% ซึ่งถ้าประเมินจากรูปแบบการให้บริการแล้ว ทรูไม่สามารถให้บริการได้ แต่ก็มองว่าอาจจะเกิดขึ้นในช่วงแรกที่ต้องการส่งแบรนด์เข้าสู่ตลาด’ วสุ คุณวาสี ผู้อำนวยการ ฝ่ายขายธุรกิจทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า

วสุ คุณวาสี

จากการประเมินมูลค่าตลาดอินเทอร์เน็ตในกลุ่มองค์กรธุรกิจ คาดว่าจะอยู่ที่เกือบ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเฉพาะการให้บริการอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่รวมกับการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งปีที่ผ่านมาทรู อินเทอร์เน็ตมีส่วนแบ่งในตลาดนี้ราว 26% หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 2.4 พันล้านบาท

‘ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาทรู อินเทอร์เน็ต ทำรายได้ไปแล้วประมาณ 1,270 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือเติบโต 7% หรือคิดเป็นรายได้ราว 2,570 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าก็คาดว่าจะรักษาการเติบโตในระดับ 7-8% เช่นเดิม ด้วยการเพิ่มโซลูชัน และแอปพลิเคชันมาเสริม’

อย่างไรก็ตาม ทรู อินเทอร์เน็ต ยอมรับว่า ในช่วงปีนี้มีการปรับลดอัตราการเติบโตลงเหลือ 7% จากปีก่อนหน้าที่อยู่ราว 14-15% ซึ่งส่วนที่หายไปเกิดจากการแข่งขันทางด้านราคา แต่ในแง่ของจำนวนลูกค้าก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์หลักของทรู อินเทอร์เน็ต หลังจากนี้คือการเข้าไปให้ความรู้แก่กลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดกลาง และเล็กที่แต่เดิมเป็นนิติบุคคลที่ใช้งานแพกเกจอินเทอร์เน็ตของกลุ่มคอนซูเมอร์อยู่ รับรู้ว่าเมื่อมาใช้แพกเกจขององค์กรธุรกิจจะได้รับบริการที่ดีขึ้นอย่างไร โดยเฉพาะในธุรกิจที่อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญในการให้บริการ

ขณะเดียวกัน ในปีนี้ทรูได้มีการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับการขยายแบนด์วิดท์ในการเชื่อมต่อกับต่างประเทศเพิ่มอีก 250 Gbps ทำให้สิ้นปีนี้ทรูจะมีอินเทอร์แบนด์วิดท์รวม 700 Gbps รวมถึงการขยายเพิ่ม CDN เพื่อรองรับการใช้งานคอนเทนต์จากต่างประเทศให้เร็วขึ้น ด้วยเงินลงทุนกว่า 400 ล้านบาท ร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการคอนเทนต์ชั้นนำแทบทุกรายในตลาด

สำหรับการให้บริการทรู อินเทอร์เน็ต ปัจจุบันให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรราว 9,600 ราย โดยราว 6,000 รายจะใช้บริการแบบ Leased Line ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มที่ใช้งานบิสสิเนสแพกเกจในระดับราคาที่ย่อยลงมา แต่ทั้งนี้ในกลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการใช้งานหลักแสนบาทต่อเดือนก็มีจำนวนมากกว่า 100 ราย

ทั้งนี้ จากข้อมูลส่วนแบ่งตลาดผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในกลุ่มลูกค้าองค์กรล่าสุด ทรู อินเทอร์เน็ตครอง ส่วนแบ่งกว่า 26% ตามด้วยซีเอสล็อกอินโฟ และ ทีโอที ที่ 19% เท่ากัน ส่วนที่เหลือคือ กสท โทรคมนาคม เอไอเอส (AWN) และเคเอสซีที่ 7% 6% และ 5% ตามลำดับ

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000098654

]]>
1141432