ในช่วงที่ผ่านมา Tesla มีการลดราคารถยนต์ลงหลายครั้งติดต่อกัน จนกำไรของบริษัทลดลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 รวมถึงทำให้เกิดสงครามราคาในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า
กระทั่งล่าสุด Tesla ทำเซอร์ไพรส์ “ปรับขึ้น” ราคารถยนต์ในตลาดสำคัญ รวมประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา สวนทางกับที่ “อีลอน มัสก์” เคยให้ทิศทางไว้ในงานประกาศผลกำไรไตรมาสแรกซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนก่อนว่า บริษัทจะยังคงทำราคาให้ต่ำหรืออาจจะลดราคาอีกเพื่อเน้นสร้างยอดขายก่อน อัตรากำไรไว้ทีหลัง
ในประเทศจีนนั้นมีการปรับขึ้นราคาเป็นสัดส่วนสูงสุด โดยรถยนต์เอสยูวี Model Y และรถยนต์ซีดาน Model 3 ต่างก็ปรับขึ้นราคามา 2,000 หยวน (ประมาณ 10,000 บาท) ทำให้ปัจจุบันรถ Model Y ในจีนปรับมาเป็นราคาเริ่มต้น 263,900 หยวน และ Model 3 ปรับเป็นเริ่มต้น 231,900 หยวน
อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวก็ยังถูกกว่าราคาเดิมที่เคยขายเมื่อต้นปี 2023 เพราะช่วงที่ผ่านมา Tesla ลดราคาไปหลายรอบ
ขณะที่ในสหรัฐฯ Model Y ปรับมาทำราคาเริ่มต้น 47,240 เหรียญสหรัฐ และ Model 3 ปรับมาเริ่มที่ 40,240 เหรียญสหรัฐ เฉลี่ยแล้วขึ้นราคา 250 เหรียญสหรัฐต่อคัน (ประมาณ 8,500 บาท) โดยเมื่อเดือนก่อน บริษัทเพิ่งจะขึ้นราคารถ Model S และ Model X ในตลาดสหรัฐฯ อีกคันละ 2,500 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 85,000 บาท) แต่รถทั้งสองรุ่นนี้เป็นตลาดเล็กที่มีสัดส่วนเพียง 2.5% ของยอดขายรวมทั้งบริษัท
ในตลาดสำคัญอื่นๆ เช่น แคนาดา มีการปรับขึ้นราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,500 บาท ส่วนในญี่ปุ่นปรับขึ้นราคาคิดเป็นเงินไทยราว 9,100 บาท
กลยุทธ์การขึ้นราคาแต่ขึ้นไม่มากแบบนี้ นักวิเคราะห์มองว่าบริษัท Tesla กำลังทำการตลาดในอีกรูปแบบเพื่อดึงให้ดีมานด์สูงขึ้นทันที
“Tesla ขึ้นราคาเพื่อสวนกระแสความคาดหวังของลูกค้าที่มองว่าเดี๋ยวบริษัทจะลดราคาลงอีก ป้องกันไม่ให้ลูกค้าเลือกที่จะรอดูไปก่อน เผื่อมีลดราคาครั้งต่อไป” นักวิเคราะห์จาก Citi กล่าว
นอกจากนี้ การลดราคาซ้ำๆ ของ Tesla ในช่วงที่ผ่านมายังทำให้กลยุทธ์ลดราคาเริ่มจะไม่ได้ผล
ในตลาดสหรัฐฯ นั้นบริษัทเคยลดราคามาแล้ว 6 ครั้งก่อนจะขึ้นราคาครั้งล่าสุด
ส่วนในจีน ตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทก็ลดราคาหลายครั้งมากในช่วงเดือนตุลาคม 2022 จนถึงเดือนมกราคม 2023 เพราะเริ่มจะเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่ง เช่น BYD การลดราคาของ Tesla ถือเป็นตัวการสร้รางสงครามราคารถอีวีในจีน เพราะหลังจากนั้นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่าสิบยี่ห้อต่างก็ลดราคาแข่งขันบ้าง
จากกลยุทธ์ลดราคา ทำให้ยอดขายของ Tesla ในจีนพุ่งขึ้น 35% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยขายได้ 88,000 คัน แต่ก็ยังแพ้คู่แข่ง BYD ที่ขายได้เกิน 100,000 คันในเดือนเดียวกัน (ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน)
การลดราคาหนักในช่วงที่ผ่านมาของ Tesla ช่วยเร่งยอดขายได้จริง แต่ก็ทำให้ตัวเลขอัตรากำไรต่ำลงไปด้วย โดยในไตรมาส 1/2023 บริษัททำรายได้สูงขึ้น 24% แต่กำไรขั้นต้นลดลง 19.3% ลดสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2020 ส่วนกำไรสุทธิก็ลดลง 24% จากปีก่อนหน้า
]]>จากดีกรีการแข่งขันเข้มข้นขึ้นในตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กร เนื่องจากมีผู้ให้บริการรายใหม่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้เกิดสงครามราคา ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่มีผลกระทบ ทำให้ใมูลค่ารวมในตลาดไม่เติบโตเท่าที่ควร
‘ในงานประมูลอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กรบางครั้ง จะเจอการเข้ามาเสนอราคาแข่งขันในระดับที่ลดค่าบริการจากปีก่อนหน้าสูงถึง 50% ซึ่งถ้าประเมินจากรูปแบบการให้บริการแล้ว ทรูไม่สามารถให้บริการได้ แต่ก็มองว่าอาจจะเกิดขึ้นในช่วงแรกที่ต้องการส่งแบรนด์เข้าสู่ตลาด’ วสุ คุณวาสี ผู้อำนวยการ ฝ่ายขายธุรกิจทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า
จากการประเมินมูลค่าตลาดอินเทอร์เน็ตในกลุ่มองค์กรธุรกิจ คาดว่าจะอยู่ที่เกือบ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเฉพาะการให้บริการอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่รวมกับการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งปีที่ผ่านมาทรู อินเทอร์เน็ตมีส่วนแบ่งในตลาดนี้ราว 26% หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 2.4 พันล้านบาท
‘ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาทรู อินเทอร์เน็ต ทำรายได้ไปแล้วประมาณ 1,270 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือเติบโต 7% หรือคิดเป็นรายได้ราว 2,570 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าก็คาดว่าจะรักษาการเติบโตในระดับ 7-8% เช่นเดิม ด้วยการเพิ่มโซลูชัน และแอปพลิเคชันมาเสริม’
อย่างไรก็ตาม ทรู อินเทอร์เน็ต ยอมรับว่า ในช่วงปีนี้มีการปรับลดอัตราการเติบโตลงเหลือ 7% จากปีก่อนหน้าที่อยู่ราว 14-15% ซึ่งส่วนที่หายไปเกิดจากการแข่งขันทางด้านราคา แต่ในแง่ของจำนวนลูกค้าก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์หลักของทรู อินเทอร์เน็ต หลังจากนี้คือการเข้าไปให้ความรู้แก่กลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดกลาง และเล็กที่แต่เดิมเป็นนิติบุคคลที่ใช้งานแพกเกจอินเทอร์เน็ตของกลุ่มคอนซูเมอร์อยู่ รับรู้ว่าเมื่อมาใช้แพกเกจขององค์กรธุรกิจจะได้รับบริการที่ดีขึ้นอย่างไร โดยเฉพาะในธุรกิจที่อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญในการให้บริการ
ขณะเดียวกัน ในปีนี้ทรูได้มีการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับการขยายแบนด์วิดท์ในการเชื่อมต่อกับต่างประเทศเพิ่มอีก 250 Gbps ทำให้สิ้นปีนี้ทรูจะมีอินเทอร์แบนด์วิดท์รวม 700 Gbps รวมถึงการขยายเพิ่ม CDN เพื่อรองรับการใช้งานคอนเทนต์จากต่างประเทศให้เร็วขึ้น ด้วยเงินลงทุนกว่า 400 ล้านบาท ร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการคอนเทนต์ชั้นนำแทบทุกรายในตลาด
สำหรับการให้บริการทรู อินเทอร์เน็ต ปัจจุบันให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรราว 9,600 ราย โดยราว 6,000 รายจะใช้บริการแบบ Leased Line ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มที่ใช้งานบิสสิเนสแพกเกจในระดับราคาที่ย่อยลงมา แต่ทั้งนี้ในกลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการใช้งานหลักแสนบาทต่อเดือนก็มีจำนวนมากกว่า 100 ราย
ทั้งนี้ จากข้อมูลส่วนแบ่งตลาดผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในกลุ่มลูกค้าองค์กรล่าสุด ทรู อินเทอร์เน็ตครอง ส่วนแบ่งกว่า 26% ตามด้วยซีเอสล็อกอินโฟ และ ทีโอที ที่ 19% เท่ากัน ส่วนที่เหลือคือ กสท โทรคมนาคม เอไอเอส (AWN) และเคเอสซีที่ 7% 6% และ 5% ตามลำดับ
]]>