สตาร์ทอัป – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 08 Sep 2021 10:19:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ร้อยเดียวก็แบ่งจ่ายได้’ Atome เขย่าไทย บริการ “ผ่อน 0%” ตั้งแต่เสื้อผ้ายันเครื่องสำอาง https://positioningmag.com/1350829 Wed, 08 Sep 2021 09:20:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350829 “ผ่อน 0%” จะไม่ได้มีเฉพาะการซื้อสินค้าราคาสูง เช่น ทีวี ตู้เย็น อีกต่อไป เมื่อแอปฯ Atome (อะโทมี่) จากสิงคโปร์บุกไทย แค่ผูกบัตรเดบิต/เครดิตสามารถแบ่งจ่ายไร้ดอกเบี้ยได้ 3 เดือน ยอดซื้อขั้นต่ำ 100 บาทก็ใช้ได้ โดยมุ่งเป้ากลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่น บิวตี้ ไลฟ์สไตล์ และท่องเที่ยว มีแบรนด์เป็นพันธมิตรแล้ว 36 ราย เช่น GQ, ALDO, Charles & Keith, EVEANDBOY, Agoda

วิธีชำระเงินแบบ Buy Now Pay Later (BNPL) หรือซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ในไทยอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะส่วนใหญ่ผูกติดอยู่กับโปรโมชันบัตรเครดิต และมักจะเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ราคาสูงเท่านั้นที่มีโปรฯ ให้ใช้

แต่ตลาดอาจจะเปลี่ยนไปเมื่อ Atome (อะโทมี่) แพลตฟอร์มชำระเงินจากสิงคโปร์บุกไทย บริการของ Atome คือ ให้ลูกค้าผูกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตกับแอปพลิเคชัน จากนั้นนำแอปฯ ไปใช้ซื้อสินค้ากับร้านค้าพันธมิตรได้ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ลูกค้าสามารถแบ่งชำระเงินบิลนั้นเป็น 3 งวด 3 เดือน โดยคิดดอกเบี้ย 0% และไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ

โดยฝั่งที่จะเสียค่าบริการคือร้านค้า จะถูกคิดค่าธรรมเนียมจากการทำรายการชำระเงิน แต่ร้านค้าจะได้รับชำระเงินเต็มทันที

Atome เปรียบเทียบว่า บริการของตนนั้นเหนือกว่าบัตรเครดิตเพราะถ้าหากลูกค้า ‘เบี้ยวหนี้’ จะไม่มีการคิดดอกเบี้ย (เทียบกับบัตรเครดิตดอกเบี้ยผิดนัดชำระสูงถึง 16-18%) แต่ยังมีค่าปรับการผิดนัดชำระที่ 0.53% ของยอดหนี้ และลูกค้าแต่ละรายมีโอกาสผิดนัดชำระไม่เกิน 2 ครั้ง จากนั้นจะถูกระงับออกจากระบบ

 

เน้น ‘สายแฟ’ และ ‘บิวตี้’ ของราคา 2-3 พันบาท

“ภูมิพงษ์ ตันเจริญผล” ผู้จัดการทั่วไป Atome ประเทศไทย อธิบายที่มาของแอปฯ มีการเปิดตัวแห่งแรกในสิงคโปร์ อยู่ภายใต้เครือสตาร์ทอัพ Advance Intelligence Group ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพระดับ Series C ที่มีเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและ e-KYC เป็นฐานประเมินความเสี่ยงเป็นหนี้เสียของลูกค้าให้กับ Atome

ปัจจุบันแอปฯ ขยายตัวไปแล้ว 9 ประเทศแถบเอเชีย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ จุดมุ่งเน้นหลักจะเป็นสินค้าหมวดแฟชั่น บิวตี้ ไลฟ์สไตล์ และอีคอมเมิร์ซ โดยรวมทุกประเทศที่ไปปักหมุด มีพันธมิตรแบรนด์ค้าปลีกแล้ว 5,000 แบรนด์ มีฐานบัญชี 20 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายผ่านแอปฯ สะสม 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการเข้ามาบุกไทย ขณะนี้มีพันธมิตรแล้ว 36 รายใน 4 หมวดคือ แฟชั่น บิวตี้ ไลฟ์สไตล์ และท่องเที่ยว (ดูรายชื่อแบรนด์ได้ในภาพด้านล่าง) โดยอนาคตจะเร่งขยายพันธมิตรให้ครอบคลุมกว่านี้

ภูมิพงษ์กล่าวว่า Atome มีขั้นต่ำการใช้จ่ายที่แบ่งชำระได้แค่ 100 บาทเท่านั้น ทำให้ครอบคลุมสินค้าทุกชิ้นแน่นอน ส่วนวงเงินสูงสุด ถ้าลูกค้าผูกกับบัตรเดบิตจะได้วงเงิน 10,000 บาท ถ้าผูกบัตรเครดิตได้วงเงิน 20,000 บาท แต่หลังจากนี้ เมื่อบริษัทมีดาต้าลูกค้ามากพอ จะมีการให้ credit score ลูกค้าเพื่อเพิ่มวงเงินได้เป็นรายๆ ไป

เขายังเปิดเผยด้วยว่า เท่าที่เคยให้บริการมา ลูกค้ามักจะซื้อของเฉลี่ย 70 เหรียญสหรัฐต่อบิล หรือประมาณ 2,000-3,000 บาท เห็นได้ชัดว่าสินค้าที่ผ่อนชำระไม่จำเป็นต้องเป็นเงินก้อนใหญ่ ตรงกับเป้าหมายสินค้าแฟชั่นและบิวตี้

 

เจาะช่องว่างคนถือ “บัตรเดบิต”

ตลาดที่ Atome เล็งเห็นนั้นคือผู้ถือบัตรทั้งหลายซึ่งจะนำมาผูกกับแอปฯ นอกจากบัตรเครดิตแล้ว ตลาดที่สนใจอย่างมากคือผู้ถือ “บัตรเดบิต”

ภูมิพงษ์กล่าวว่า ในประเทศไทยมีการใช้บัตรเครดิต 24 ล้านใบ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 1 คนจะมีบัตรเครดิต 3 ใบ ทำให้จริงๆ แล้วมีคนที่เข้าถึงบัตรเครดิตแค่ 7-8 ล้านคนเท่านั้น

Photo : Shutterstock

เทียบกันแล้ว ผู้ถือบัตรเดบิตมีมากกว่า 3 เท่า หรือเท่ากับมากกว่า 20 ล้านคนที่มีบัตรเดบิต เป็นเป้าหมายของแอปฯ นี้ เพราะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ค่อยได้โปรโมชันดีๆ เหมือนบัตรเครดิต ทั้งที่หลายคนมีกำลังซื้อ โดยเฉพาะคนวัย 18-30 ปี ที่ยุคนี้หันมาเป็นฟรีแลนซ์ ยูทูปเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ มากขึ้น กลุ่มนี้จะเข้าไม่ถึงบัตรเครดิตและถือบัตรเดบิตกันมากกว่า

 

เพิ่มขนาดตะกร้าให้ร้านค้า 30%

ตัดภาพมาที่ฝั่งร้านค้า ในเมื่อแอปฯ จะเก็บค่าธรรมเนียมกับร้านแล้วทำไมร้านต้องเป็นพันธมิตร? ภูมิพงษ์อธิบายจากสถิติที่เก็บมา ร้านค้าจะได้ประโยชน์ 3 อย่างจาก Atome คือ

1.ลูกค้าเพิ่ม ‘basket size’ ในการช้อปประมาณ 30% เพราะผลจากการแบ่งจ่ายได้ทำให้ลูกค้าสบายใจขึ้นที่จะจับจ่าย เป็นผลดีกับร้านค้า

2.โอกาสเปลี่ยนยอดเข้าชมเป็นยอดขาย (conversion rate) สูงขึ้น เพราะการมีตัวเลือกแบ่งชำระ 3 เดือนทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย

3.แอปฯ มีการเก็บบิ๊กดาต้าของพฤติกรรมลูกค้าไว้ให้แบรนด์ สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ใช้งานทำการตลาดเพิ่มได้

 

อุปสรรค : คนไทยไม่รู้จัก BNPL

ข้อมูลจาก Worldpay from FIS ระบุว่า การชำระเงินแบบ Buy Now Pay Later จะเติบโต 43% ต่อปีไปจนถึงปี 2024 เป็นหนึ่งในวิธีชำระเงินที่โตเร็วที่สุด แต่สำหรับในไทย วิธีชำระเงิน BNPL ยังไม่ค่อยคุ้นหู

“ภูมิพงษ์ ตันเจริญผล” ผู้จัดการทั่วไป Atome ประเทศไทย

ภูมิพงษ์มองว่าสิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่ง ทำให้บริษัทต้องสร้างการรับรู้ทั้งวิธีชำระเงินและแบรนด์ของตนเองในไทย โดยจะลงทุนด้านการตลาดสูง ทั้งนี้ จะเริ่มทุ่มการตลาดเมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายมากกว่านี้ และค้าปลีกไทยเริ่มฟื้นตัว

ส่วนคู่แข่งในไทย ระบุว่ายังไม่มีคู่แข่งโดยตรง Atome น่าจะเป็นรายแรกๆ ที่เปิดตัวเป็นช่องทางชำระ BNPL ผ่านแอปฯ แต่ในต่างประเทศล้วนมีคู่แข่งในตลาด ทำให้ต้องจับตามองเสมอว่าคู่แข่งจะเริ่มเข้ามาบุกไทยเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม การเข้ามาก่อนและมีพันธมิตรก่อนย่อมได้เปรียบ

Atome ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย คือภายในสิ้นปีนี้หวังมีผู้ใช้ถึง 200,000 คน และภายในสิ้นปี 2022 ต้องการมีผู้ใช้ทะลุ 2 ล้านคน!

]]>
1350829
“จีน” สั่งเชือดวัฒนธรรมทำงานหนัก 996 ละเมิดกม.แรงงานรุนแรง พบมีคนเสียชีวิต https://positioningmag.com/1349061 Sun, 29 Aug 2021 14:33:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349061 ศาลสูงจีนออกประณามวัฒนธรรมการแข่งขันสูงในธุรกิจจีนที่บังคับให้พนักงานทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 3 ทุ่มตลอด 6 วันต่อสัปดาห์ หรือเรียกว่า 996 โดยชี้ว่า เป็นการละเมิดต่อกฎหมายแรงงานจีน และสมควรที่จะไม่มีอีกต่อไป หลังมีพนักงานบริษัทชื่อดัง 2 คนเสียชีวิต

CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า วันพฤหัสบดีที่ 26 ส.ค. ศาลสูงจีนออกมาประณามยาวเหยียด ถึงสิ่งที่เป็นแนวประพฤติปฏิบัติต่อการทำงานของบริษัทจีนที่มีการแข่งขันสูงที่เรียกว่า 996 เป็นทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 3 ทุ่มตลอด 6 วันต่อสัปดาห์ โดยบริษัทเหล่านี้ต่างอ้างว่า เป็นวัฒนธรรมองค์กรบริษัทไฮเทค ธุรกิจสตาร์ทอัป และธุรกิจเอกชนอื่นๆ

ศาลสูงสุดประชาชนจีนกล่าวผ่านแถลงการณ์ที่ออกมาพร้อมกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงสังคมว่า

“การทำงานล่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปเมื่อไม่นานมานี้ในบางภาคอุตสาหกรรมได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง แรงงานสมควรที่จะได้รับการหยุดพักและการพักผ่อน การที่ต้องปฏิบัติตามระบบการทำงานแห่งชาติถือเป็นหน้าที่ที่นายจ้างทุกคนสมควรต้องปฏิบัติตามกฎหมาย”

ศาลสูงสุดประชาชนจีนยังได้กล่าวไปถึงตัวอย่างบางบริษัทในหลายเซกเตอร์ที่ละเมิดกฎหมายแรงงานจีนในเรื่องชั่วโมงการทำงานของพนักงาน รวมไปถึงบริษัทผู้ให้บริการชื่อดังของจีนที่ไม่ได้ระบุชื่อเจาะจง ซึ่งสั่งให้พนักงานของตัวเองทำงานตามแบบวัฒนธรรม 996 แต่ศาลจีนยืนยันว่า การสั่งให้พนักงานทำงานระยะเวลาเกินสัญญาว่าจ้างถือเป็นการละเมิดขั้นร้ายแรงต่อกฎหมายแรงงานจีน และสมควรต้องยกเลิก

การออกมาประณามวัฒนธรรมการทำงานหนักของบริษัทจีนล่าสุดไม่ใช่สิ่งใหม่ เพราะเมื่อ 2 ปีก่อน ผู้ก่อตั้งบริษัทอาลีบาบา แจ็ค หม่า ออกมาชื่นชมวัฒนธรรมการทำงาน 996 ของจีนอย่างมาก และทำให้เขาถูกวิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งการที่ศาลจีนและกระทรวงทรัพยากรมนุษย์จีนออกมาจัดการวัฒนธรรม 996 นี้เกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาที่รัฐบาลจีนกำลังกวาดล้างธุรกิจภาคเอกชนภายในประเทศด้วยการออกกฎเกณฑ์ใหม่ พร้อมกับการสั่งปรับมหาศาลเพื่อควบคุมอิทธิพลบริษัทเอกชนในจีน

(Photo by Lintao Zhang/Getty Images)

การกวาดล้างบริษัทเอกชนจีนถือเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลสำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และเจ้าหน้าที่จีนระดับสูงอื่นเพราะเป็นการจัดการต่อความเสี่ยงข้อมูลด้านความมั่นคงในประเทศและความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา และป้องกันการไร้เสถียรภาพในสังคม

ศาลสูงสุดประชาชนจีนกล่าวผ่านแถลงการณ์ต่อว่า “ไม่มีสิ่งผิดสำหรับการทุ่มเทต่อการทำงานอย่างหนัก แต่มันไม่สามารถเป็นโล่ป้องกันนายจ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมายไปได้”

เมื่อเดือนมกราคมต้นปีนี้ มีรายงานว่า บริษัท Pinduoduo เผชิญหน้าต่อการกวาดล้างอย่างหนักเนื่องมาจากบริษัทสั่งให้พนักงานทำงานเป็นระยะเวลายาวนาน หลังจากที่มีพนักงาน 2 คนของบริษัทเสียชีวิตอย่างกะทันหัน หนึ่งในนั้นเสียชีวิตจากการทำอัตวินิบาตกรรม

Source

]]>
1349061
สตาร์ทอัปไทยเจ๋ง! ปั้น “เจ๊าะแจ๊ะ” AI Chatbot ผู้ช่วยร้านค้าออนไลน์-ธุรกิจเอสเอ็มอี https://positioningmag.com/1247788 Thu, 26 Sep 2019 23:07:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1247788 เทคโนโลยี Chatbot เป็นเทรนด์ที่เติบโตควบคู่มากับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อเป็น “ผู้ช่วย” ร้านค้าออนไลน์ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ต้องการได้รับข้อมูลแบบรวดเร็วทันใจ แวดวง “สตาร์ทอัป” ไทย ก็มีความก้าวหน้าในการพัฒนา AI Chatbot เช่นกัน

ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้บริหารเจ้าของ iApp Technology Co.,Ltd ซึ่งได้ร่วมกับทีมงานที่มีประสบการณ์ พัฒนา “แชทบอท” เจ๊าะแจ๊ะ เทคโนโลยี AI Chatbot เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมกิจการของผู้ประกอบการออนไลน์ ให้สามารถแข่งขันและเติบโตในธุรกิจนี้ได้ และจากความสำเร็จในการพัฒนา “เจ๊าะแจ๊ะ” แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางด้าน AI ของสตาร์ทอัปไทย ด้วย

ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้บริหารเจ้าของ iApp Technology Co.,Ltd

ที่มาของการพัฒนาแชทบอท เจ๊าะแจ๊ะ เกิดขึ้นมาจาก การเติบโตของผู้ค้าบนโลกออนไลน์ และปัญหาที่พบบ่อยสำหรับการค้าบนออนไลน์ คือ ลูกค้าคนไทย ต้องแชทก่อนซื้อ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ต้องอดหลับอดนอนเพื่อคอยตอบคำถามลูกค้า และถ้าตอบแชทลูกค้าช้าก็จะพลาดโอกาส การขาย หรือ ลืมสรุปออเดอร์ ทำออเดอร์ตกหล่น รวมไปถึงการขายดีมาก แต่ต้นทุนด้านบุคลากรสูง จนไม่เหลือกำไร

ครั้งแรก AI แชทบอท ภาษาไทย

การทำงานของ “เจ๊าแจ๊ะ” เป็นแชทบอท รายแรกที่พัฒนาออกมาในรูปแบบภาษาไทย ทำให้ผู้ใช้งานทำงานได้ง่าย หน้าที่ของแชทบอท เหมือนกับหุ่นยนต์สามารถตอบโต้กับลูกค้าได้ สามารถสรุป Order รายวัน อัตโนมัติ ระบบพิมพ์ ใบเสร็จ สติ๊กเกอร์ปิด ตอบคำถามลูกค้าได้ตลอดเวลา หากลูกค้าต้องการคุยกับเจ้าของสามารถส่งต่อให้คนพูดคุยต่อได้ (1-1 Chat) ระบบสามารถตรวจสอบยอดโอนเงินอัตโนมัติ และรับการชำระเงินผ่านทาง Mobile App ได้

นอกจากนี้ ระบบคอยแจ้งความก้าวหน้าการส่งสินค้าให้ลูกค้าอัตโนมัติ ระบบคอยตรวจสอบ Stock ให้อัตโนมัติ ระบบคอยสรุป Insight สินค้าไหนเด่น และคำถามที่ถามบ่อยๆ วิธีปรับปรุงการขายให้ดีขึ้น

ปัจจุบันแชทบอท ถือว่า เป็น AI ที่มาแรง แต่การสร้างออกมาให้ดีไม่ใช่เรื่องง่าย โดยต้องเตรียมข้อมูล FAQ ข้อมูลสินค้า จำนวนมหาศาล หากเขียนข้อมูลไม่ดี ปัญหาคือ ลูกค้าถามสินค้าอย่างหนึ่งตอบอีกอย่างหนึ่ง

การพัฒนาแชทบอท AI มีทั่วโลก แต่สิ่งที่ เจ๊าะแจ๊ะ แตกต่าง คือ สามารถพัฒนาเป็นภาษาไทยได้สำเร็จ และเป็นระบบอัตโนมัติ ที่ทำให้ไม่ต้องเตรียม FAQ มหาศาลอีกต่อไป ที่สำคัญ คือ ระบบแชทบอทด้วยเสียงบน Smart Speaker และหุ่นยนต์ ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาแชทบอทของเจ๊าะแจ๊ะ ให้สามารถทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ ในการต้อนรับลูกค้าของ SCG และพัฒนาให้ใช้บนเว็บไซต์ ซึ่งตอนนี้มีบริษัทด้านออกแบบตกแต่งบ้าน ได้นำไปใช้ และ พัฒนาให้ใช้กับระบบโซเชียลเน็ตเวิร์ก

เจาะลูกค้ากลุ่ม SME

รูปแบบธุรกิจของเจ๊าะแจ๊ะ ได้วางกลุ่มเป้าหมาย ไว้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ประกอบการ SME ซึ่งกลุ่มนี้ คือ กลุ่มที่สามารถเลือกบริการได้ 2 แบบ คือ สามารถใช้บริการได้ฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่จะมีโฆษณาแทรกเข้ามา ลูกค้าสามารถโหลดโปรแกรมไปใช้ได้เลย ซึ่งวิธีการไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่ เข้าไปที่ Chochae.AI เพื่อ ป้อนข้อมูลร้านค้า หลังจากนั้น กรอกรายละเอียดสินค้า และนำเข้า Excel ไฟล์ บอทพร้อมใช้งานและพร้อมรับลูกค้าได้ทันที แบบที่ 2 คือ ลูกค้าเลือกใช้แบบเสียค่าใช้จ่ายรายเดือน เดือนละ 990 บาท ซึ่งจะไม่มีโฆษณามาแทรก

ส่วนรูปแบบธุรกิจแบบที่ 2 คือ กลุ่ม Corporate ให้คำปรึกษาและรับพัฒนาแชทบอทโดยเฉพาะ และรูปแบบธุรกิจแบบที่ 3 คือ การขายอุปกรณ์ Smart Speaker และหุ่นยนต์ ตอบคำถาม ภาษาไทยสำหรับห้างร้านและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซึ่งปัจจุบัน มีลูกค้า ที่เป็น Corporate เริ่มมีมากขึ้น ในการพัฒนาหุ่นยนต์มาช่วยขายของ เพราะข้อดีของหุ่นยนต์ คือ มีความแม่นยำกว่ามนุษย์

การพัฒนาแชทบอท ไม่ได้ต้องการที่จะมาแย่งการทำงานของมนุษย์ แต่เป็นการสร้าง AI และระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยเสริมศักยภาพมนุษย์ ไม่ใช่มาทดแทน

Source

]]>
1247788
Marubeni พร้อมลุยปีหน้า จับมือสตาร์ทอัปอเมริกันรีไซเคิลไฟเบอร์ใยผ้า https://positioningmag.com/1243075 Wed, 21 Aug 2019 01:05:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243075 Marubeni เป็นหนึ่งในบริษัทญี่ปุ่นผู้ค้าวัสดุทั้งยางพารา กระดาษ เยื่อกระดาษ และผ้ารายใหญ่ที่สุด วิสัยทัศน์ในนาทีนี้ของเทรดดิ้งเฮาส์สัญชาติญี่ปุ่นคือการหาทางเปิดตลาดวัตถุดิบผ้าสำหรับอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เป็นมิตรกับโลก คาดว่าปีหน้าจะโลกจะได้เห็นความคืบหน้าของการลงทุนที่ Marubeni เทเงินหลักพันล้านเยนลงในสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลผ้าแดนลุงแซมชื่อ Tyton

การร่วมมือนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่า Marubeni กำลังวางแผนผลิตเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลในปี 2020 โดยใช้เทคโนโลยีการรีไซเคิลเส้นใยที่พัฒนาสำเร็จแล้วโดยบริษัท Tyton ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า Marubeni จะลงทุนประมาณ 1 พันล้านเยน (ราว 289.67 ล้านบาท) ในบริษัท Tyton BioSciences 

Tyton BioSciences เป็นบริษัทเกิดใหม่ที่มีสำนักงานที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา บริษัทสามารถพัฒนาวิธีการรีไซเคิลเส้นใยโพลีเอสเตอร์และโพลีคอตตอน แล้วผสมกลับเข้าไปเพื่อผลิตเป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ผืนใหม่

ตลาดมาแน่นอน

ความเคลื่อนไหวของ Marubeni ที่ลงทุนก้อนใหญ่ใน Tyton ตอกย้ำว่าธุรกิจโลกกำลังอยู่ท่ามกลางความสนใจลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตเสื้อผ้ารายใหญ่ หลายรายเดินหน้าประกาศนำเสนอผลิตภัณฑ์แฟชันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ Marubeni จะมองว่าการพัฒนาวัตถุดิบสีเขียวกำลังกลายเป็นอาวุธสำคัญสำหรับธุรกิจของตัวเอง 

กรณีของ Marubeni บริษัทญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่รายนี้ถูกยกให้เป็นบริษัทที่มีบทบาทมากในตลาดแฟชัน เพราะแม้จะไม่ได้มีแบรนด์ในห้างดัง แต่ Marubeni คือผู้จัดหาวัตถุดิบกลุ่มผ้าภายใต้สัญญาการผลิตนับไม่ถ้วน ซึ่งล่าสุด Marubeni วางแผนที่จะทำตลาดวิตถุดิบจากบริษัท Tyton ที่ตั้งเป้าเริ่มการผลิตเส้นใยรีไซเคิลในเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2020

เดินหมากต่อยอด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Marubeni เปิดเกมในตลาดรีไซเคิล เพราะ Marubeni เริ่มนำร่องทำตลาดวัตถุดิบกลุ่มโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลผ่านบริษัทผลิตเครื่องแต่งกายบางรายในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการนำไปผลิตจริงในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง 

ขณะเดียวกัน Marubeni ได้พัฒนาวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดจากการตัดสินใจครั้งใหญ่ในปี 2018 เพื่อสร้างโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตเส้นใยรีไซเคิลกับบริษัทพันธมิตรในประเทศฟินแลนด์

ก้าวต่อไปของ Marubeni ถือว่าเป็นไปตามทิศทางเดียวกับ Fast Retailing บริษัทแม่ของแบรนด์ฮิต Uniqlo และบริษัท Inditex เจ้าของแบรนด์ Zara ที่ลุยผลักดันนโยบายรักษ์โลกอย่างชัดเจนกว่าเดิม ซึ่งไม่เพียงผ้าที่ยังเป็นประเด็นเรื่องไม่มีการลงรายละเอียดว่าเป็นผ้าลดโลกร้อนด้วยเทคโนโลยีอะไร แต่ก็มีการริเริ่มหันมาใช้ถุงช้อปปิ้งและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับโลก ทั้งหมดนี้แสดงว่าแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมกำลังเข้าถึงตลาดวัตถุดิบเสื้อผ้าในวงกว้างเรียบร้อยแล้ว.

Source

]]>
1243075
เปลี่ยนโลกแพ็กเกจจิ้ง สตาร์ทอัปยุโรปใช้เปลือกกุ้งสร้าง “ฟิล์มแรปอาหาร” ไม่ง้อพลาสติก https://positioningmag.com/1242265 Thu, 15 Aug 2019 01:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1242265 [Photos: CuanTec, AM FL/Unsplash]

เปลือกกุ้งมีค่าอย่าทิ้ง! สตาร์ทอัปสกอตแลนด์ปิ๊งไอเดียสร้างฟิล์มแรปถนอมอาหารที่ย่อยสลายได้ การันตีเปลือกกุ้งเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตอาหารทะเลนั้นอุดมด้วยสารประกอบที่มีฤทธิ์ต้านจุลชีพตามธรรมชาติ ผลคือชาวโลกจะใช้แรปถนอมอาหารได้โดยไม่ต้องกังวลกับพลาสติกที่เป็นภาระขยะให้โลกอีกต่อไป

สตาร์ทอัปผู้ปฏิวัติวงการฟิลม์แรปอาหารรายนี้มีชื่อว่า CuanTec แนวคิดการนำเปลือกกุ้งที่เหลือจากการผลิตอาหารทะเลมาพัฒนาเป็นแรปพลาสติกพันธุ์ใหม่นั้นได้รับความสนใจในวงกว้าง เพราะวันนี้โลกยังต้องพึ่งพาพลาสติกทั้งที่รู้ว่าไม่อาจพึ่งพาได้ตลอดไป เช่นในวงการค้าปลีกที่ต้องใช้แรปห่ออาหารสด ผัก ผลไม้เพื่อคงความสดใหม่เมื่อวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงร้านอาหารและแม่บ้านทั่วไปที่ต้องการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสียเร็วเกินไป

ที่สำคัญ ความสำเร็จของ CuanTec ยังสามารถแก้ปัญหาได้ 2 เด้ง ทั้งปมขยะอาหารที่การสำรวจพบว่าขยะอาหารอาจสร้างกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าพลาสติก และปมปัญหาพลาสติกล้นโลก ซึ่งสถิติระบุว่าใน 1 ปี ชาวโลกใช้แพคเกจจิงหรือบรรจุภัณฑ์อาหารพลาสติกมากกว่า 160 ล้านตัน โดยพลาสติกเหล่านี้ทำจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และจะถูกรีไซเคิลเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

[Photo: CuanTec]

ใช้ประโยชน์จากขยะ

Cait Murray-Green ซีอีโอสตาร์ทอัป CuanTec (“cuan” เป็นคำภาษาเกลิคแปลว่าทะเล) เปิดเผยว่านักวิจัยของ CuanTec กำลังพัฒนาบรรจุภัณฑ์ต้านจุลชีพที่ย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะมีลักษณะและสัมผัสเหมือนพลาสติกดั้งเดิม แต่ความแตกต่างคือบรรจุภัณฑ์นี้จะไม่เพิ่มขยะที่โลกมีอยู่แล้วหลายล้านตัน

CuanTec ยอมรับว่าการเปลี่ยนของเสียจากอุตสาหกรรมอาหารทะเลให้กลายเป็นห่อพลาสติกชนิดใหม่ที่สามารถย่อยสลายได้อย่างปลอดภัย นั้นมีความท้าทายมากเรื่องการสร้างสิ่งของที่ทำงานเหมือนเดิม แต่จะต้องเปลี่ยนมาเป็นวัสดุที่ยั่งยืนซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย CuanTec เลือกใช้กระบวนการหมักที่คล้ายกับการต้มเบียร์ เพื่อแยกสารที่เรียกว่าไคติน (chitin) จากเปลือกของกุ้งลังกู้สตีน (langoustine) ซึ่งเป็นกุ้งเปลือกแข็งสายพันธุ์กุ้งมังกรหรือล็อบสเตอร์

ปัจจุบัน สถิติชี้ว่าอุตสาหกรรมการประมงในสกอตแลนด์สร้างขยะเปลือกกุ้งเปลือกหอยจำนวนมาก และแม้ว่าไคตินจะมีการนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม แต่กระบวนการสกัดไคตินนั้นมีต้นทุนสูง ทำให้เปลือกหอยเปลือกกุ้งส่วนใหญ่ถูกโยนทิ้งลงถังขยะ พร้อมกับที่อุตสาหกรรมหันมาใช้ไคตินที่ได้จากกระบวนการผลิตจากสารเคมีแทน 

ทั้งหมดนี้ Murray-Green ยอมรับว่ากระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมีต้นทุนสูงจริง แต่บริษัทก็พยายามทำสิ่งใหม่ ด้วยการทิ้งความคิดเรื่องการใช้เคมี และหันมาใช้ความรู้ด้านชีววิทยาแทน

[Photo: CuanTec]

ต้องใสเหมือนพลาสติก

สิ่งสำคัญที่ CuanTec พยายามยึดมั่นเพื่อให้นวัตกรรมของบริษัทประสบความสำเร็จ คือการเน้นคุณภาพด้วยการมุ่งแปลงไคตินธรรมชาติเป็นฟิล์มใสที่สามารถใช้ในบรรจุภัณฑ์ทุกประเภท แทนที่จะเป็นฟิล์มสีเหลืองที่ไม่ได้รับความสนใจจากตลาดในช่วงก่อนหน้านี้   

ปัจจุบัน CuanTec สามารถสร้างต้นแบบฟิลม์ใสได้สำเร็จและกำลังอยู่ในขั้นตอนจัดหาเงินทุนรอบสุดท้าย เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แบบสมบูรณ์ รวมถึงการปฎิบัติตามกฎระเบียบด้านบรรจุภัณฑ์อาหารก่อนจะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อจำหน่ายในวงกว้าง

เบื้องต้น ซูเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Waitrose ในอังกฤษแสดงความสนใจในแรปถนอมอาหารเปลือกกุ้งนี้แล้ว และมีแผนเริ่มต้นนำไปใช้งานเพื่อแรปปลาแซลมอน ซึ่งจะนำร่องก่อนขยายไปใช้กับสินค้าอาหารสดอื่นต่อไป.

Source

]]>
1242265
จับตาค้าปลีกพันธุ์ใหม่! สตาร์ทอัป Rise Mrkt หวังแจ้งเกิด “ร้านชำออนไลน์ไร้พลาสติก” https://positioningmag.com/1242208 Tue, 13 Aug 2019 22:59:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1242208 สตาร์ทอัปดาวรุ่ง Rise Mrkt วางแผนทำคลอดตัวเองด้วยฐานะบริษัทขายของชำปลอดพลาสติกให้ได้ในปีหน้า 2020 หากแคมเปญระดมทุนล่าสุดประสบความสำเร็จ Rise Mrkt จะใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้สำหรับทุกผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่าย ท่ามกลางไอเดียสำคัญนั่นคือบริการขอคืนบรรจุภัณฑ์จากลูกค้าที่ไม่มีบ่อฝังกลบ เพื่ออาสาสานต่องานย่อยสลายบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดแบบไม่ต้องทิ้งลงถังขยะเลย

Rise Mrkt ระบุรายละเอียดในแผนทำแคมเปญ Crowdfunding ว่าจะเน้นจำหน่ายของชำแห้งเป็นหลัก เช่น ถั่วและข้าวในช่วงเริ่มต้น ซึ่งบริษัทจะมีนโยบายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพื่อให้ลูกค้าส่งบรรจุภัณฑ์ไม่ใช้แล้ว ไปยังโรงงานของ Rise Mrkt ที่อยู่ใกล้ที่สุด นอกจากนี้ Rise Mrkt จะทำงานร่วมกับเกษตรกรและผู้ผลิตโดยตรง เพื่อให้สามารถกำหนดราคาที่แข่งขันได้กับยักษ์ใหญ่ออนไลน์อย่าง Amazon

Rise Mrkt ยังวางแผนซื้อเครดิตคาร์บอนสำหรับทุกออเดอร์ที่จัดส่ง เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซตัวการทำโลกร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการจัดส่งด้วย เรียกว่าคิดมาครบสำหรับการแจ้งเกิดเป็นรูปแบบการค้าปลีกเพื่อคนรักษ์โลก

ดีเดย์ปีหน้า

Jordyn Gatti ผู้ก่อตั้ง Rise Mrkt อธิบายว่าควรเป็นความรับผิดชอบของแบรนด์ที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์ และจะต้องรับผิดชอบให้ได้ ทำให้ Rise Mrkt ไม่เพียงแต่หวังจะจัดส่งอาหารในถุงที่ย่อยสลายได้ แต่จะช่วยให้ผู้บริโภคทำปุ๋ยหมักจากบรรจุภัณฑ์ในขั้นตอนสุดท้ายด้วย แนวคิดร้านชำเป็นมิตรกับโลกนี้สามารถตอบโจทย์เทรนด์แรงที่ผู้บริโภคต้องการลดปริมาณขยะและมลพิษกันมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเห็นเทรนด์นี้ได้ชัดขึ้นอีกในปีหน้า

การวิจัยล่าสุดจาก Nielsen ชี้ว่า 81% ของผู้บริโภคคิดว่า ทุกบริษัทควรช่วยปรับปรุงสิ่งแวดล้อมโลก ดังนั้นไอเดียของ Rise Mrkt จึงถือว่าสอดคล้องกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ปัญหาเดียวคือการเข็นโครงการนี้ให้แจ้งเกิดในตลาดได้จริง เพราะแคมเปญ Kickstarter ที่ Rise Mrkt เปิดไว้นั้นเพิ่งระดมทุนได้ 3,154 เหรียญสหรัฐเท่านั้น จากเป้าหมาย 25,000 เหรียญ (สถิติช่วง 13 สิงหาคม 2019 ซึ่งมีเวลาอีก 18 วันกว่าแคมเปญจะสิ้นสุด)

อย่างไรก็ตาม สื่ออเมริกันมองว่ายังมีข้อจำกัดในโมเดลธุรกิจที่ Rise Mrkt คิดไว้ เพราะแม้การขายถั่ว ข้าว และของแห้งอาจถูกใจผู้ซื้อที่มุ่งมั่นและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมาก แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักมองหาร้านค้าแบบครบวงจรและประสบการณ์สะดวกสบาย จนไม่มีแรงจูงใจในการซื้อสินค้าเพียงบางอย่างจากร้านของชำออนไลน์ แม้ว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้จะชื่นชมแนวคิดปลอดพลาสติกก็ตาม

นอกจากนี้ ราคาของบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ ยังจะเป็นต้นทุนสำคัญหาก Rise Mrkt จะขยายตลาดในอนาคต ซึ่งจะเสียเปรียบร้านค้าปลีกที่ใช้พลาสติกต้นทุนต่ำ

แก้ปมขยะล้นอย่างยั่งยืน 

ไม่เพียง Rise Mrkt แต่ยังมีแบรนด์ค้าปลีกหลายแห่งในสหรัฐฯ ที่เน้นจุดยืนลดขยะอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่ต้องการขานรับกับการสำรวจที่พบว่าคนอเมริกันสร้างขยะมากกว่า 4 ปอนด์ต่อคนต่อวัน ตัวเลขนี้จึงเป็นโอกาสยิ่งใหญ่สำหรับผู้ค้าปลีกในการหาโซลูชันบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่แตกต่างจากคู่แข่ง

การสำรวจของ Accenture พบว่ากว่า 1 ใน 3 ของผู้บริโภคจะพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์เมื่อตัดสินใจซื้อ โดย 72% กล่าวว่าจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว และเมื่อถามว่าผู้บริโภคจะหลีกเลี่ยงวัสดุบรรจุภัณฑ์ใดมากที่สุด ปรากฏว่าพลาสติกนั้นครองแชมป์ โดย 77% มองว่าพลาสติกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

หาก Rise Mrkt สามารถแจ้งเกิดในฐานะบริษัทที่มีความก้าวหน้าด้านบรรจุภัณฑ์ อย่างน้อยที่สุดก็อาจจุดประกายให้ลูกค้าบางกลุ่ม เนื่องจากวันนี้ผู้ค้าปลีกบางรายไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาขยะพลาสติก ซึ่งล่าสุด Greenpeace ได้ออกรายงานฉบับเต็มเพื่อตีแผ่ความจริงในร้านขายของชำที่ไร้ประสิทธิภาพเรื่องการลดพลาสติก 

ปัจจุบัน แบรนด์ใหญ่อย่าง Walmart ยังประกาศคำมั่นพร้อมลดปริมาณการใช้พลาสติกโดยมีเป้าหมายนำบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิลได้ 100% ในสายการผลิตฉลากของบริษัทภายในปี 2025 ท่ามกลางผู้ค้าปลีกหลายรายที่ยกเลิกการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ขณะที่ผู้ค้าปลีกไทยหลายรายก็เริ่มลดการใช้ถุงพลาสติกและกำลังหาทางกำจัดหลอดพลาสติกและวัสดุอื่นที่จะเป็นขยะย่อยสลายยาก.

Source

]]>
1242208
สะเทือนแน่! กูเกิลประกาศลงทุนใน “โก-เจ็ก” สตาร์ทอัปร่วมเดินทางอินโดนีเซีย เป็นครั้งแรกในภูมิภาคนี้ https://positioningmag.com/1154973 Tue, 30 Jan 2018 03:59:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154973 กูเกิล (Google) ออกมายอมรับแล้วว่า บริษัทมีการลงทุนในธุรกิจของโก-เจ็ก (Go-Jek) สตาร์ทอัปด้านบริการร่วมเดินทางของอินโดนีเซีย โดยถือเป็นครั้งแรกของกูเกิลที่ได้ลงทุนในธุรกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขในการลงทุนแต่อย่างใด มีเพียงรายงานจากรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ว่าอาจมีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,145 ล้านบาทเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ธุรกิจร่วมเดินทางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดีเลยทีเดียว เพราะคู่แข่งอย่างแกร็บ (Grab) และอูเบอร์ (Uber) ต่างก็มีนายทุนให้การสนับสนุนแล้ว นั่นก็คือ ค่ายซอฟท์แบงค์ (Softbank) ส่วนโก-เจ็กนั้น ก่อนหน้านี้ก็มีนายทุนอย่างเท็นเซนต์ (Tencent) และ JD.com เป็นแบ็กให้เช่นกัน

แต่การประกาศอย่างเป็นทางการของกูเกิลในครั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยมูลค่าที่ได้ลงทุนอย่างเป็นทางการ มีเพียงสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า มีมูลค่าที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่านั้น

การลงทุนรอบนี้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ร่วมลงทุนกับโก-เจ็ก ทั้งสิ้นสามบริษัท ได้แก่ เทมาเส็ก (Temasek) จากสิงคโปร์ Meituan-Dianping จากจีนแผ่นดินใหญ่ และกูเกิล จากสหรัฐอเมริกา ทำให้มูลค่าของโก-เจ็ก พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับตลาดอินโดนีเซีย ตามการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า 133 ล้านคน และถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับที่ห้าของโลกในแง่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต แต่ที่น่าสนใจ คือ ตัวเลข 133 ล้านคนนี้ เป็นตัวเลขแค่ครึ่งประเทศเท่านั้น ยังมีอีกครึ่งประเทศที่ประชากรยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และหากทำได้ก็หมายความถึงตัวเลขมหาศาล

บริการของโก-เจ็กนั้น มีตั้งแต่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง บริการด้านเดลิเวอรีอาหาร ไปจนถึงการให้บริการนวด ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดสามารถเรียกใช้ได้ผ่านแอปพลิเคชันทั้งสิ้น

สำหรับจุดเด่นของโก-เจ็ก ตามการวิเคราะห์ของกูเกิล พบว่ามีหลายด้าน ตั้งแต่ทีมบริหารที่แข็งแกร่ง และตัวแอปพลิเคชันที่พบว่าสามารถช่วยให้ชีวิตของคนอินโดนีเซียสะดวกสบายได้มากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้เคยมีซีอีโอของอูเบอร์ อย่าง Dara Khosrowshahi ออกมากล่าวว่า ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เป็นตลาดที่ไม่สามารถทำกำไรได้ แต่ก็น่าประหลาดใจที่ภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายด้าน รวมถึงเรื่องของการลงทุนด้วย เฉพาะบริการร่วมเดินทางนั้น ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าจะมูลค่าถึง 20,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2025 และตลาดที่ใหญ่ที่สุดก็คือ อินโดนีเซีย นี่เอง.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000009569

]]>
1154973