สมาร์ทวอทช์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 13 Dec 2021 12:10:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Apple ยังครองแชมป์ “สมาร์ทวอทช์” ขายดี Samsung ไล่ตีตื้น Amazfit แซงขึ้นอันดับ 3 https://positioningmag.com/1366480 Mon, 13 Dec 2021 06:16:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366480 การส่งมอบ “สมาร์ทวอทช์” ทั่วโลกช่วงไตรมาส 3/2021 เติบโตถึง 16% แชมป์ยอดขายสูงสุดยังเป็นของ Apple แต่มาร์เก็ตแชร์ลดลง ขณะที่ Samsung พุ่งขึ้นอันดับ 2 ไล่ตีตื้นเจ้าตลาด Amazfit แซงขึ้นที่ 3 ร่วมกับ Imoo ฟาก OS ที่ใช้สมาร์ทวอทช์ Wear OS ของ Google น่าจับตา

Counterpoint Research รายงานการส่งมอบ “สมาร์ทวอทช์” ทั่วโลก ช่วงไตรมาส 3/2021 พบว่า มียอดส่งมอบเพิ่มขึ้นถึง 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการเติบโตดับเบิลดิจิตต่อเนื่องสองไตรมาส

สำหรับ ยอดขายสูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็นของ Apple ครองส่วนแบ่ง 21.8% แต่มาร์เก็ตแชร์ตกลงไปพอสมควรเนื่องจากการเลื่อนเปิดตัว Apple Watch Series 7

อันดับ 2 คือ Samsung ครองส่วนแบ่ง 14.4% พุ่งขึ้นมาจากอันดับ 3 เมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากการเปิดตัว Galaxy Watch 4 และมีการแบ่งเป็นสองโมเดลคือ Basic กับ Classic ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น จนขายดีในสหรัฐฯ และยุโรป

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ Counterpoint Research เชื่อว่า Samsung จะยิ่งรุกหนักในตลาดเอเชีย โดยออกรุ่นที่มีราคาถูกลงภายใน 2-3 ปีนี้

สมาร์ทวอทช์

อันดับ 3 คือ Amazfit ร่วมกับ Imoo ครองส่วนแบ่งตลาด 5.8% เท่ากัน ฝั่ง Amazfit นั้นเติบโตแรง 89% เทียบกับปีก่อน เนื่องจากความนิยมที่พุ่งสูงในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี สเปน เยอรมนี และตุรกี ซึ่งแบรนด์เข้าไปทำตลาดผ่านรายการแข่งขันกีฬา

ตรงกันข้าม แบรนด์ Imoo ซึ่งเจาะตลาดกลุ่มสมาร์ทวอทช์สำหรับเด็กเป็นหลัก มีมาร์เก็ตแชร์ลดลงจากเดิม 6.6% มาเหลือ 5.8%

อันดับ 4 คือ Huawei ที่ยังคงเห็นการหดตัวของส่วนแบ่งตลาดต่อเนื่อง จากเดิมเคยอยู่อันดับ 2 ขณะนี้มีมาร์เก็ตแชร์เหลือ 5.0% เท่านั้น

แบรนด์อื่นๆ ที่น่าจับตาคือ Noise และ Boat ซึ่งเป็นแบรนด์อินเดียทั้งคู่ และมีการเติบโตเป็นเท่าตัวเทียบกับปีก่อน กลายเป็นแบรนด์มาแรงในอินเดีย

สมาร์ทวอทช์

Counterpoint Research ยังกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงสำคัญในด้านระบบปฏิบัติการ (OS) ของกลุ่ม “สมาร์ทวอทช์” ด้วย เนื่องจาก Samsung เปลี่ยนจาก Tizen มาเป็นพันธมิตรใช้ Wear OS ของบริษัท Google ทำให้มาร์เก็ตแชร์พุ่งทะยานเป็น 17.3% จึงน่าจับตามองมากขึ้นว่า Google จะรุกเข้าไปแทนที่ในผู้ผลิตแบรนด์ไหนอีก

Source

]]>
1366480
1 ปีที่รอคอย! Google ปิดดีล ‘Fitbit’ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1314622 Sun, 17 Jan 2021 11:48:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314622 เป็นเวลา 1 ปีแล้วที่ ‘Google’ ดีลจะซื้อกิจการของ ‘Fitbit’ แบรนด์สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่พัฒนาสู่สมาร์ทวอทช์ (Smartwatch) ในที่สุด คณะกรรมาธิการยุโรปซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารของสหภาพยุโรปก็ได้อนุมัติดีลดังกล่าวที่มีมูลค่าสูงถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ย้อนไปช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2019 Google ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ ‘Fitbit’ แต่ที่เพิ่งจะปิดดีลโดยสมบูรณ์เอาตอนนี้ก็เพราะหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศเริ่มจับตาการซื้อกิจการของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ โดยในกรณีของ Fitbit นั้น EU ได้ห่วงเรื่องของการนำข้อมูลส่วนบุคคลด้ายสุขภาพที่ Fitbit มีไปใช้ประโยชน์ อาทิ การใช้โฆษณา รวมถึงการผูกขาดด้วย ดังนั้น ทาง EU จึงได้เพิ่มข้อกำหนดที่ Google ต้องปฏิบัติตามในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดย Google จะไม่สามารถใช้ข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ Fitbit ในเขตเศรษฐกิจยุโรป รวมถึงไอซ์แลนด์, ลิกเตนสไตน์ และนอร์เวย์ เพื่อการโฆษณา

“เราสามารถอนุมัติการเข้าซื้อกิจการ Fitbit ของ Google ได้ เนื่องจากข้อผูกพันดังกล่าวจะทำให้มั่นใจได้ว่า ตลาด Wearable และข้อมูลด้านสุขภาพดิจิทัลที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่จะยังคงเปิดกว้างและแข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จะสามารถแบ่งปันข้อมูลสุขภาพและการออกกำลังกายต่อไปได้อย่างไรหากพวกเขาเลือกที่จะทำ” Margrethe Vestager รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวในแถลงการณ์

Lifestyle photo of Fitbit Charge 4.

ในส่วนของทาง Google เองได้ยืนยันว่าบริษัทไม่ได้มีแผนใช้ข้อมูลสุขภาพของ Fitbit แต่ซื้อเพื่อฮาร์ดแวร์ไม่ใช่ซื้อเพื่อเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ โดยสัญญาว่าข้อมูลของ Fitbit จะถูกแยกจากข้อมูลด้านโฆษณาของกูเกิล และสัญญาว่าจะเปิด API ของ Android ให้บริษัทฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เข้าถึงต่อไป

“เราเชื่อว่าข้อตกลงนี้จะกระตุ้นการพัฒนานวัตกรรมในตลาด Wearable และช่วยให้เราสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น เราเข้าใจดีว่าหน่วยงานกำกับดูแลต้องการตรวจสอบธุรกรรมนี้อย่างใกล้ชิดและเราได้ทำงานร่วมกับพวกเขาเพื่อแก้ไขข้อกังวลของพวกเขา รวมถึงข้อผูกพันทางกฎหมายที่คณะกรรมาธิการยุโรปยอมรับในตอนนี้”

“สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นจากความมั่นใจที่เราทำมาตั้งแต่เริ่มต้น ว่าเรามุ่งมั่นที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Fitbit และจะลงทุนและสนับสนุนผู้ผลิตและนักพัฒนาต่อไป เรายังคงทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการซื้อกิจการ” โฆษกของ Google กล่าวในแถลงการณ์

ที่ผ่านมา Fitbit มียอดขายมากกว่า 100 ล้านเครื่องจนถึงปัจจุบันและมีผู้ใช้ 28 ล้านคนที่แอคทีฟ การซื้อ Fitbit จะช่วยให้ Google สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Apple, Samsung, Huawei และ Garmin ในตลาด Wearable ได้

Lifestyle photo of Fitbit Charge 4.
]]>
1314622
“หูฟัง” ขายดีถล่มทลาย Work from Home ดันยอดโต 124% ในปีเดียว https://positioningmag.com/1314327 Thu, 14 Jan 2021 12:03:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314327 “การ์ทเนอร์” เปิดมูลค่าตลาดอุปกรณ์สำหรับสวมใส่ไฮเทคในปี 2563 ทั่วโลก พบเติบโตขึ้น 49.4% โดยแรงผลักดันการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดคืออุปกรณ์ “หูฟัง” ซึ่งมียอดขายทะยานถึง 124% ผลจากการหาซื้อหูฟังที่ดีขึ้นไว้ใช้เรียนหรือทำงาน Work from Home ด้านข้อมูล IDC เห็นชัดว่า AirPods จาก Apple ได้อานิสงส์จากกระแสนี้ไปเต็มๆ

การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยและที่ปรึกษา เปิดเผยมูลค่าการใช้จ่ายไปกับ “อุปกรณ์สำหรับสวมใส่ไฮเทค” ปี 2563 ทั่วโลก โดยรวมมูลค่าสินค้า 6 ประเภท คือ สมาร์ทวอทช์, สายรัดข้อมือ, หูฟัง, จอแสดงผลสวมศีรษะ, เสื้อผ้าอัจฉริยะ และ สมาร์ทแพทช์ พบว่า ปีที่แล้วมียอดขายรวมกันกว่า 68,985 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 49.4% จากปี 2562

ตัวเลขของการ์ทเนอร์จะเห็นได้ว่า กลุ่มสินค้าที่ผลักดันการเติบโตคือ “หูฟัง” ซึ่งมียอดขายรวม 32,724 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 124% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยการเติบโตอย่างมหาศาลนี้ถูกระบุว่า เป็นเพราะพนักงานซึ่งทำงานจากบ้าน (Work from Home) ต้องซื้อหูฟังที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นในการประชุมออนไลน์ และผู้บริโภคทั่วไปเมื่ออยู่บ้านร่วมกับครอบครัวก็สนใจซื้อหูฟังมาใช้กับสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นด้วย

หูฟัง ประชุม
Work from Home ทำให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องหา “หูฟัง” มาใช้งานในการประชุมออนไลน์สูงขึ้น

การเติบโตของยอดขายหูฟังทะลุทะลวงมากจนคิดเป็นสัดส่วน 47.4% และเป็นสินค้าอันดับ 1 ในกลุ่มอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค สลับกับปี 2562 ที่สินค้าอันดับ 1 ของกลุ่มนี้ยังเป็น “สมาร์ทวอทช์”

นอกจากแรงส่งจากโรคระบาดที่เปลี่ยนวิถีชีวิตแล้ว ก่อนหน้านี้ในปี 2562 บริษัทวิจัย International Data Corporation (IDC) ก็เคยคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่า “หูฟัง” จะเป็นสมรภูมิใหม่ของกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค เพราะเมื่อค่ายโทรศัพท์มือถือผลิตรุ่นที่ไม่มีช่องเสียบหูฟังกันมากขึ้นเรื่อยๆ การผลิตหูฟังไฮเทคมาชิงตลาดก็ยิ่งดุเดือด

 

Apple ผู้นำแห่งตลาดอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค

สำหรับแบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาด ข้อมูลจาก IDC เมื่อไตรมาส 2 ปี 2563 ระบุว่า ไตรมาสดังกล่าว Apple คือผู้เล่นที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงที่สุด รวมทุกอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค โดย “แบรนด์ 5 อันดับแรกที่ขายดีที่สุดประจำไตรมาส” มีดังนี้

  1. Apple ยอดขาย 29.4 ล้านชิ้น มาร์เก็ตแชร์ 34.2%
  2. Huawei ยอดขาย 10.9 ล้านชิ้น มาร์เก็ตแชร์ 12.6%
  3. Xiaomi ยอดขาย 10.1 ล้านชิ้น มาร์เก็ตแชร์ 11.8%
  4. Samsung ยอดขาย 7.1 ล้านชิ้น มาร์เก็ตแชร์ 8.3%
  5. Fitbit ยอดขาย 2.5 ล้านชิ้น มาร์เก็ตแชร์ 2.9%

แน่นอนว่าสินค้าชูโรงของ Apple ย่อมเป็น AirPods และ Apple Watch นั่นเอง แต่จากอัตราการเติบโตของหูฟังทั้งตลาดในปีที่แล้ว เราคงจะพูดได้ว่าเป็น AirPods และหูฟัง Beats ที่ได้แรงหนุนมหาศาล

 

สมาร์ทวอทช์-สมาร์ทแพทช์ ขายดีขึ้น คนใส่ใจสุขภาพ

ตัวเลขของการ์ทเนอร์มีจุดน่าสนใจอีกหนึ่งอย่างคือ “สมาร์ทวอทช์” และ “สายรัดข้อมือ” สินค้าที่ใช้ติดตามมอนิเตอร์สุขภาพ นับก้าวการเดิน การเต้นของหัวใจ ฯลฯ สองประเภทนี้รวมกันมีมูลค่าตลาด 26,745 ล้านเหรียญสหรัฐ และเติบโตราว 17% จากปี 2562 การ์ทเนอร์ระบุว่า การเติบโตนี้เกิดจากความสนใจสุขภาพที่มากขึ้นของผู้บริโภค

ตัวอย่างสมาร์ทแพทช์จากบริษัท Epicore Biosystems พัฒนาขึ้นเพื่อวัดปริมาณเหงื่อในนักกีฬา (Photo : Dailymail UK)

นอกจากกลุ่มสมาร์ทวอทช์แล้ว ปีที่แล้วการ์ทเนอร์ยังเพิ่มหมวดสินค้าใหม่คือ “สมาร์ทแพทช์” หรือ แผ่นแปะอัจฉริยะ เข้ามาด้วย โดยสินค้าตัวนี้เป็นเซ็นเซอร์เช็กสุขภาพในด้านต่างๆ นำมาติดบนผิวหนังโดยตรง ทำให้ตรวจวัดได้แม่นกว่าอุปกรณ์สวมใส่อื่นๆ สมาร์ทแพทช์สามารถเช็กได้ทั้งอุณหภูมิร่างกาย การเต้นของหัวใจ น้ำตาลในเลือด ฯลฯ และสามารถสั่งการระยะไกลเพื่อให้ยาอัตโนมัติแก่ผู้ป่วยได้ด้วย เช่น ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับอินซูลินได้ทันที

การ์ทเนอร์รายงานว่า สมาร์ทแพทช์มีการคิดค้นขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่นำมาใช้ได้ช้าเพราะติดข้อกำหนดกฎระเบียบด้านการแพทย์ และพบการต่อต้านของผู้ป่วยด้วย แต่เชื่อว่าหลังจากนี้การให้บริการด้านสุขภาพอัตโนมัติจะเป็นที่คุ้นเคยขึ้น และทำให้สมาร์ทแพทช์เป็นที่ต้องการสูงขึ้น

 

ปี 2564 ตลาดอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคยังโตต่อ

สำหรับปี 2564 การ์ทเนอร์ประเมินว่าตลาดอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคจะยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเดิมคือ การทำงานระยะไกลกับการรักษาสุขภาพ และคาดว่าจะทำให้ตลาดเติบโตขึ้น 18.1% เป็นมูลค่า 81,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

“หูฟัง” ก็ยังเป็นสินค้าขายดีต่อเนื่องแม้จะชะลอความร้อนแรง โดยคาดว่าจะมียอดขาย 39,220 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือโตขึ้น 20% รวมถึงกลุ่ม “สมาร์ทวอทช์-สายรัดข้อมือ” คาดว่ามียอดขายรวมกัน 30,733 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือโตขึ้นราว 15% ขณะที่กลุ่ม “สมาร์ทแพทช์” ที่เป็นสินค้ากลุ่มใหม่มาแรง คาดว่าจะมียอดขาย 5,963 ล้านเหรียญ หรือโตขึ้นราว 27%

น่าสนใจว่าการแข่งขันของปีนี้จะเป็นอย่างไรต่อ เพราะ IDC เคยระบุไว้ตั้งแต่ปี 2562 ว่ากลุ่มหูฟังนั้นเป็นสมรภูมิ นอกจากผู้เล่นหลักที่เอ่ยชื่อไปข้างต้น จะมีทั้งผู้เล่นหน้าเก่าที่ผลิตหูฟังพรีเมียมอย่าง Sony, Bose, Jabra หรือผู้เล่นใหม่ที่มาจากค่ายเทคฯ อื่นๆ เช่น Amazon, Android, Microsoft, Google ก็กระโดดมาร่วมวงผลิตหูฟังด้วย

Source: Gartner, BusinessWire, ZD.net

]]>
1314327