สิงห์ปาร์ค – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 08 Oct 2021 12:00:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ออกทริปเลย! “คนรุ่นใหม่” ครึ่งหนึ่งพร้อมเดินทางทันที “เชียงใหม่” จุดหมายยอดฮิต https://positioningmag.com/1355721 Fri, 08 Oct 2021 10:34:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355721 CMMU ทำวิจัยกลุ่มตัวอย่าง พบว่า “คนรุ่นใหม่” ราวครึ่งหนึ่งพร้อมออกเที่ยวทันที ขณะที่ “กลุ่มครอบครัว” ส่วนใหญ่ยังกังวลใจ ขอรอดูสถานการณ์การระบาดก่อน ด้านจุดหมายยอดฮิตของทุกกลุ่มคือ “เชียงใหม่” นักท่องเที่ยวโหยหาธรรมชาติ พร้อมอ่านเคสจริงจากการปรับตัวของ “สิงห์ปาร์ค-เรเนซองส์ พัทยา”

นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) จัดทำงานวิจัย “Neo Tourism” สำรวจกลุ่มตัวอย่าง เก็บความคิดเห็นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหลังการระบาดรอบใหม่เริ่มคลี่คลาย

โดยกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจรวม 50 คน แบ่งเป็น “กลุ่มคนรุ่นใหม่” วัย 18-35 ปี จำนวน 25 คน และ “กลุ่มครอบครัวที่มีบุตรแล้ว” ส่วนใหญ่อยู่ในวัย 36 ปีขึ้นไป จำนวน 25 คน พบอินไซต์ของกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้

 

1) กลุ่มคนรุ่นใหม่ เกือบครึ่งหนึ่งพร้อมเที่ยวทันที

แม้กลุ่มคนรุ่นใหม่ 45.8% จะยังกังวลและขอรอดูสถานการณ์ก่อน แต่มีถึง 43.8% ที่ตอบว่าอยากเที่ยวโดยเร็วที่สุด ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนอีก 10.4% รู้สึกเฉยๆ กับการท่องเที่ยว

ส่วนกลุ่มครอบครัวจะมีความกังวลมากกว่า 52.2% ยังกังวลกับสถานการณ์ มีเพียง 28.3% ที่พร้อมเที่ยวทันที และ 19.6% รู้สึกเฉยๆ ไปเที่ยวหรือไม่ไปก็ได้

ปัจจัยที่จะทำให้ทั้งสองกลุ่มที่ตอบว่ายังกังวล จะคลายความกังวลและออกไปเที่ยว คือ ผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่า 500 คนต่อวัน รองลงมาคือคนในประเทศได้รับวัคซีนเกิน 70% แล้ว และสุดท้ายคือตนเองได้รับวัคซีนที่มั่นใจในประสิทธิภาพแล้ว

 

2) โหยหาธรรมชาติ “เชียงใหม่” คือที่สุดในใจ

สภาวะที่คนเราต้องติดอยู่ในบ้าน เรียนหรือทำงานออนไลน์ตลอดเวลา ทำให้นักท่องเที่ยวโหยหาธรรมชาติกันมากขึ้น โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ 45% ยกให้สถานที่ทางธรรมชาติเป็นจุดหมายอันดับหนึ่ง ขณะที่มีถึง 61% ของกลุ่มครอบครัวที่ต้องการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ

Top 3 จุดหมายในใจของ “กลุ่มคนรุ่นใหม่” คือ 1)เชียงใหม่ 2)ภูเก็ต 3)ชลบุรี
Top 3 จุดหมายในใจของ “กลุ่มครอบครัว” คือ 1)เชียงใหม่ 2)ประจวบคีรีขันธ์ 3)ชลบุรี

 

3) ตั้งงบ 3,000-5,000 บาทต่อทริป

สำหรับระยะเวลาเที่ยวต่อทริปของทั้งสองกลุ่มคือ 3-4 วัน และ ตั้งงบที่ 3,000-5,000 บาทต่อทริปต่อคน เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วสำหรับกลุ่มครอบครัว การตั้งงบราคานี้ลดลงจากในอดีต เพราะต้องการประหยัดให้มากขึ้นในยุคนี้

 

4) “ความสะอาด” มาอันดับหนึ่งเมื่อเลือกที่พัก

อินไซต์อีกประการที่น่าสนใจคือกลุ่มตัวอย่างต่างยกให้ “ความสะอาด” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเมื่อเลือกที่พัก ดังนั้น ผู้ประกอบการควรสื่อสารเรื่องมาตรการความสะอาดในโรงแรมให้ลูกค้าทราบ

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต้องการข้อมูลที่เกี่ยวกับ COVID-19 ในพื้นที่ด้วย เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัด มาตรการที่เกี่ยวกับการไปเที่ยวอย่างการเข้า-ออกจังหวัด เวลาเปิด-ปิดของสถานที่ท่องเที่ยว มาตรการการใช้งาน facility ในโรงแรม เป็นต้น

 

5) รุ่นใหม่ไปคาเฟ่ รุ่นใหญ่ขออยู่ในโรงแรม

กิจกรรมที่คนรุ่นใหม่ต้องการทำเมื่อไปเที่ยวคือ ‘Café Hopping’ ไปกินดื่มในคาเฟ่ ถ่ายรูปสวยๆ ทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย แต่กลุ่มครอบครัวต้องการอยู่ในโรงแรมหรือรีสอร์ทแบบเป็นส่วนตัว ไม่ต้องไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตทุกแห่งก็ได้ เพราะยังกังวลถ้าต้องเจอคนจำนวนมาก

 

6) ยอมจ่ายแพงกว่าถ้ายกเลิกได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองกลุ่มมองเหมือนกันคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ 75.2% และกลุ่มครอบครัว 70.2% ยอมจองที่พักหรือตั๋วเดินทางต่างๆ ในราคาแพงกว่า ถ้าหากยกเลิกได้ในภายหลัง เพราะสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน อาจมีคำสั่งจากรัฐที่กระทบกับการท่องเที่ยว หรือการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนทำให้ต้องการยกเลิก

สรุป : CMMU มองว่า Neo Tourism หลังการระบาด มี 3 ข้อที่นักท่องเที่ยวต้องการ และผู้ประกอบการต้องยึดไว้ในใจคือ
1) Nature Seeking – นักท่องเที่ยวโหยหาธรรมชาติสูง
2) Hygiene – นักท่องเที่ยวต้องการสุขอนามัยที่ดีเป็นอันดับหนึ่ง
3) Flexi – นักท่องเที่ยวต้องการความยืดหยุ่น ยอมจ่ายแพงกว่าถ้ายกเลิกขอเงินคืนได้

 

สิงห์ปาร์ค : ปรับไปลุย Sports Event แทน

สิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย

ในงานสัมมนาเปิดข้อมูล Neo Tourism ทาง CMMU มีการเชิญวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วย โดย “ชัยภัฏ จาตุรงคกุล” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดเผยสถานการณ์ของสิงห์ปาร์ค ตั้งแต่มีการระบาดเมื่อปีก่อน ทำให้บริษัทต้องปรับตัวสูงมาก รัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายหลายส่วน และปรับมาตรการด้านสุขอนามัย เช่น ทำความสะอาดถี่ขึ้น เมนูอาหารใช้การสแกน QR CODE แทนเพื่อลดสัมผัส

ด้านแผนการตลาดปรับไปเน้นคนในท้องถิ่นใกล้เคียงแทน เช่น เชียงใหม่ แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เพราะสามารถขับรถมาเที่ยวได้ง่าย สอดคล้องกับความต้องการของคนยุคนี้ที่ระวังการติดเชื้อ จะเน้นเที่ยวแบบ Road Trip แทนการขึ้นเครื่องบิน

ส่วนการจัดอีเวนต์ซึ่งปกติสิงห์ปาร์คจะจัดบ่อยและจัดใหญ่ มีคนเข้าอีเวนต์ 40,000-50,000 คน ปัจจุบันก็ต้องลดสเกลลงมาเหลือไม่เกิน 10,000 คน

เส้นทางออกกำลังกายในสิงห์ปาร์ค

รวมถึงกำลังมองแนวทางหันไปเน้นอีเวนต์ที่เว้นระยะห่างได้มากขึ้น จากเดิมมีการจัดคอนเสิร์ต ก็หันไปจัดอีเวนต์กีฬาแทน เช่น งานวิ่ง ขี่จักรยาน เพราะเป็นงานที่ผู้ร่วมแข่งขันจะเว้นระยะห่างกันโดยธรรมชาติ และเสริมด้วยกิจกรรมย่อย เช่น ออกร้าน การแสดงท้องถิ่น รองรับครอบครัวที่ติดตามผู้เข้าแข่งขัน

ด้วยสถานการณ์ทำให้สิงห์ปาร์คยังจำกัดนักท่องเที่ยวไม่เกิน 50% ของที่รองรับได้ อีเวนต์ก็มีขนาดเล็กลง ทำให้ต้นทุนต่อหัวของนักท่องเที่ยวสูงขึ้น และการดึงสปอนเซอร์สนับสนุนอีเวนต์จะยากขึ้น โจทย์การบริหารต้นทุนจึงท้าทายมาก

“ยากที่สุดตอนนี้คือเราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีก เราต้องทำแผนกันเป็นรายเดือน การวางบัดเจ็ทยากมาก แม้ว่ารัฐมีแผนเปิดการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ต้องระวังว่าอีก 2 เดือนอาจจะเกิดการระบาดอีกก็ได้ ดังนั้นเราต้องรัดเข็มขัด ทำงานด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ใช้โซเชียลทุกช่องทางเพื่อสื่อสารดึงคนมา” ชัยภัฏกล่าว

 

เรเนซองส์ พัทยา : ลูกค้าเปลี่ยนมาจอง ‘Last Minute’

โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ทแอนด์สปา

ด้าน “สุพจี วิริยะยรรยงสุข” ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดสรรรายได้ โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ทแอนด์สปา กล่าวถึงสถานการณ์ของโรงแรมหลัง COVID-19 กลุ่มลูกค้าต้องเปลี่ยน เพราะปกติโรงแรมจะมีแขกชาวต่างชาติมากกว่า 50% แต่เมื่อปิดประเทศทำให้ต้องหันมาทำการตลาดลูกค้าคนไทยมากขึ้น

ช่องทางที่ลูกค้าคนไทยใช้จะเน้นโซเชียลมีเดีย โรงแรมจึงใช้โซเชียลมีเดียโปรโมตถี่ขึ้น ลงทุนกับการใช้ KOL รีวิวที่พัก เน้นการขายวอชเชอร์ราคาพิเศษ และไปร่วมเทรดโชว์ต่างๆ ขณะนี้หลังคลายล็อกดาวน์ อัตราการเข้าพักก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ

ภาพสวยๆ จาก KOL เป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดลูกค้าชาวไทย

พฤติกรรมลูกค้าอีกส่วนที่น่าสนใจคือ ก่อนเกิด COVID-19 ลูกค้าจะจองโรงแรมล่วงหน้าเป็นเวลานานและยอมจ่ายแบบไม่สามารถคืนเงินได้ (non-refundable) เพราะจะได้ราคาดีที่สุด แต่ปัจจุบัน ลูกค้าจะจองโรงแรมแบบ ‘Last Minute’ เช่น จะเข้าพักวันเสาร์ ลูกค้ามักจองวันพุธ-พฤหัส และยังยอมจ่ายแพงกว่าถ้าหากขอยกเลิกคืนเงินได้ เพราะลูกค้าไม่มั่นใจว่าจะเกิดเหตุกะทันหันในวันเดินทางหรือไม่

เมื่อทั้งสองพฤติกรรมนี้รวมกัน ทำให้ลูกค้ามักจะจองผ่านโซเชียลมีเดีย ทักเข้ามาใน Facebook, Instagram หรือ LineOA เพราะลูกค้าต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ ก่อน เช่น facility ของโรงแรมเปิดบริการไหม และเมื่อตัดสินใจได้ก็จะจองผ่านโซเชียลมีเดียต่อเนื่องไปเลย

สุพจีหวังว่าต่อจากนี้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น เมื่อโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 เริ่มต้น และมีโครงการทัวร์เที่ยวไทยเข้ามาเสริม เชื่อว่าถ้าผ่านไปสักระยะแล้วไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดประเทศ

]]>
1355721
“Nitro Cold Brew Tea” โอกาสใหม่ของ “สิงห์ปาร์ค” ขยายตลาดชาให้เติบโต https://positioningmag.com/1233609 Mon, 10 Jun 2019 04:59:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1233609 เป็นระยะเวลากว่า 3 ปีที่แล้วที่ทาง สิงห์ปาร์คร่วมทุนกับมารุเซ็น” (Maruzen) เป็นบริษัทที่ทำชาเขียวมายาวนานถึง 85 ปี โดยนำ Know-how เครื่องจักร กระทั่งคนปลูกมาจากญี่ปุ่น โดยปีนี้เป็นปีแรกที่เริ่มทำกำไรแล้ว

รายได้หลัก 85% มาจากกลุ่ม B2B ด้วยขายให้กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นวัตถุดิบให้กับโรงงานผลิตสินค้าที่ต้องใช้ผงชาเขียว รวมไปถึงร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ ซึ่งจากการผลิตในเมืองไทยทำให้ราคาขายถูกกว่าผลิตจากญี่ปุ่นอย่างน้อยก็ 20 – 30% ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาเขียวโตในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ส่วนอีก 15% มาจากกลุ่ม B2C ซึ่งออกมาในรูปแบบชาผงสำหรับชงเอง วางขายในร้านโมเดิร์นเทรดต่างๆ ขณะเดียวกันเมื่อ B2B แข็งแรงแล้ว ในปีนี้สิงห์ปาร์ค จึงจะหันมาให้ความสนใจกับกลุ่ม B2C มากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 30% ส่วน B2B เหลือ 70%

พงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์คเชียงราย จำกัด อธิบายว่า ตลาดชาประเภทชงมี Big Name ยี่ห้อที่คนส่วนใหญ่รู้จักที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้วมารุเซ็นเป็นส่วนหนึ่งในนั้น

แต่ทั้งนี้การจะชิงส่วนแบ่งของตลาดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนที่ดื่มชาอาจจะไม่ได้ดื่มเพราะว่าชอบชาเป็นกิจจะลักษณะ หากดื่มเพราะว่าดูดีหรือเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แต่อาจจะไม่ได้ซื้อเพื่อมาดื่มทุกวัน

ดังนั้นการแข่งขันชาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามห้างสรรพสินค้าจะไม่เห็นกล่องชาในรูปแบบเชยๆ อีกต่อไป เพราะตลาดเริ่มเล็กลงๆ ตลาดชาเลยจะไปโตในช่องทางที่ดื่มง่ายขึ้น

ยอมรับว่าพฤติกรรมการบริโภคชามีการเปลี่ยนแปลงไป การนำใบชามาชงใส่น้ำร้อนเริ่มลดน้อยลง ถ้าหากยังขายชาที่เป็นใบอยู่เพื่อให้คนนำไปต้ม ไปใส่น้ำแข็ง น้ำตาลเองก็คงจะหดลงเรื่อยๆ ตามสภาวะของโลกที่เป็นอยู่

จึงเป็นที่มาของการพัฒนามารุเซ็น ไนโตร โคลด์ บรูว์ ทีที่ถูกวางเป็นสินค้า Highlight โดยเป็นเครื่องดื่มชาคราฟท์ วิธีทำคือเป็นชาหมักเย็น ที่เทคนิคการนำไนโตรเจนเข้ามาเบลนเพื่อให้เกิดความละมุน หน้าตาที่ออกมาจะคล้ายๆ เบียร์ในเรื่องของสีและฟอง เบื้องต้นได้เริ่มจำหน่ายในงานต่างๆ ที่ทางสิงห์ปาร์คจัดขึ้นมาบ้างแล้ว

รวมไปถึงเตรียมขยายสู่ช่องทางร้านสะดวกซื้อด้วย เบื้องต้นมีการหารือกับร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทของกลุ่มเซ็นทรัล ในการทดลองจำหน่ายสินค้า โดยจะเลือกสาขาที่ผู้บริโภคจำนวนมากมีกำลังซื้อสูง เช่น สุขุมวิท สยามสแควร์ เป็นต้น

นอกเหนือจากเรื่องชา พงษ์รัตน์ ระบุว่ายังมีความสนใจเรื่องของกาแฟ เนื่องจากพบว่ากาแฟของเชียงรายก็มีคุณภาพ ในช่วงหลังจะมี Roster (คนคั่วกาแฟ) เยอะ เลยจะทำในรูปแบบของ Single Origin เช่น กาแฟปางขอน

วิธีการคือ จะคัดเฉพาะกาแฟดอยปางขอน ให้คนคั่วเป็นคนเชียงราย คั่วส่งให้ในรูปแบบของเขา โดยจะระบุเลยว่าใครเป็นคนคั่ว และจะมี Artwork ที่เขียนให้สินค้าโดยเฉพาะ เป็นศิลปินที่เป็นคนเชียงรายทำออกมาเป็น Package เพื่อสร้างสีสันให้กับกาแฟ

โดยมีที่มาที่ไปไม่ใช่แค่การซื้อกาแฟมาแล้วบรรจุถุง กาแฟจะกลับมาสู่จุดเริ่มต้นในเรื่องนโยบาย คือ การช่วยเหลือและส่งเสริมเกษตรกรภายในจังหวัดหรือภายในภาคเหนือ เบื้องต้นจะวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ของสิงห์ปาร์คคาดจะคัด Roster ให้ได้ประมาณ 1 รายก่อน

ขณะเดียวกันในกลุ่มของสินค้าเกษตรเตรียมผลักดันให้เข้าไปจำหน่ายในกลุ่มห้างสรรพสินค้า The Mall, Tops Supermarket, Villa มากขึ้น เช่น พืช ผัก สมุนไพรต่างๆ เมล่อน มะเขือเทศ บลูเบอร์รี่ ผักสลัด โดยทางสิงห์ปาร์คจะทำหน้าที่คนกลางในการนำสินค้าของกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่เข้าไปจำหน่าย

นอกจากนั้นยังสนใจที่จะผลักดันผลไม้ เช่น กล้วย สับปะรด ไปจำหน่ายที่โตเกียว โอลิมปิก 2020” ซึ่งจะมีนักกีฬา ครอบครัวนักกีฬา ผู้มาเที่ยวก็จะมีมาก ปริมาณการใช้ก็จะต้องนำเข้าเป็นจำนวนมหาศาล

ที่มา : Singha Park Chiang Rai สิงห์ปาร์ค เชียงราย

โดยสิงห์ปาร์คจะประสานกับสภาหอการค้าเพื่อสรุปว่าจะมีสินค้าอะไรบ้าง พร้อมกับช่วยยกมาตรฐานสินค้าเกษตรให้ถูกหลักเรื่องอาหารปลอดภัยหรือ Food safety

ปี 2019 “สิงห์ปาร์คตั้งเป้ารายได้เติบโต 25% ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจแปรรูปทางการเกษตร และธุรกิจท่องเที่ยว

]]>
1233609
“เทศกาลบอลลูน” สูตรปั้น Love Destination ของ “สิงห์ปาร์ค” https://positioningmag.com/1214533 Sat, 16 Feb 2019 07:11:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1214533 การท่องเที่ยวถือเป็นตลาดที่ใหญ่โตมโหฬาร เฉพาะปี 2018 ที่ผ่านมา มีเม็ดเงินสะพัดกว่า 3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านล้านบาท และคนไทยเที่ยวไทยด้วยกันเองอีกราว 1 ล้านล้านบาท

แต่ถึงจะมีน่านน้ำขนาดใหญ่ที่ใครๆ ก็แทรกตัวเข้าไปอยู่ได้ หากยุคนี้การจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปยังสถานที่นั้นๆ และมีชื่อเสียงโด่งดังจนนักท่องเที่ยวอยากไป นอกจากสถานที่แล้วอีเวนต์คือแรงดึงที่ขาดไปไม่ได้ ซึ่งสิ่งสำคัญอยู่ที่ ต้องแตกต่างจากคนอื่น ไม่จัดซ้ำกันจนดึงนักท่องเที่ยวกันเอง

สูตรที่ว่านี้คือสูตรที่สิงห์ปาร์คทำอยู่ ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ปีละ 2 ครั้ง ได้ แต่ Singha Park Chiangrai Farm Festival On The Hill ที่มักจะจัดในช่วงปลายปี และ Singha International Balloon Fiesta ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งแต่ละงานก็ถูกวางเป้าหมายต่างกัน

อย่าง “Farm Festival” ก็เป็นการกระตุ้นช่วงต้นฤดูการท่องเที่ยวของเชียงราย ซึ่งจริงๆ แล้วจะว่าไปเทศกาลดนตรีในเมืองไทยก็มีอยู่หลายงานใหญ่ และมักจะจัดในฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้นความน่าสนใจอยู่ที่ “Balloon Fiesta” หรือเทศกาลบอลลูน

พงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด อธิบายว่าเทศกาลบอลลูนเกิดขึ้นเพราะต้องการให้ฤดูกาลท่องเที่ยวไฮซีชั่นของเชียงราย ซึ่งเป็นเมืองรองขยายออกไปอีก จากเดิมที่นักท่องเที่ยวจะหนาแน่นในฤดูหนาวที่กินเวลาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนมกราคม แต่ต้องการขยายไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ด้วย

เพียงแต่การจะมีแค่บอลลูน ซึ่งปรกติคนไทยก็ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนักอย่างเดียว ก็อาจไม่ดึงดูดและสร้างการจดจำที่เพียงพอ จึงต้องคิดคอนเซ็ปต์ให้โดดเด่น ประกอบกับเดือนกุมภาพันธ์มี 1 วันที่คนรู้จักกันดีคือ วันที่ 14 หรือวันแห่งความรัก จึงได้นำมาร่วมกันและวางเทศกาลบอลลูนเป็น “Love Destination”

เพราะภายในงานจะมีการจัดเลือกคู่รัก มาจดทะเบียนสมรส ณ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ในช่วงเช้า ทั้งยังได้ขึ้นบอลลูนไปตะโกน ”บอกเลิฟกับคนรัก” บนท้องฟ้า แบบ Exclusive ชมความสวยงามของจังหวัดเชียงรายแบบ 360 องศาในตอนสายๆ ซึ่งในปี 2019 มีทั้งหมด 20 คู่ด้วยกัน ด้าน “บอลลูนแฟนซี” หลากหลายสีสันที่สวยงามมีทั้งหมด 35 ลูก จาก 13 ประเทศทั่วโลก โดยมีการแข่งขันบอลลูนนเพื่อชิงถ้วยรางวัลและเงินรางวัลกว่า 500,000 บาทด้วย

การแข่งขันบอลลูนไม่ได้เน้นแข่งอย่างจริงจัง แต่ต้องการเอนเตอร์เทนคนดูและให้มีส่วนร่วมด้วย สังเกตได้เลยบอลลูนไม่ได้ไกลจากคนที่มาดูมากนัก

นอกการบอลลูนแล้วยังได้เพิ่มกิมมิกของงานขึ้นมาอีก 2 กิจกรรม ได้แก่ 1.การแสดงโขนกลางแปลงแบบเต็มคณะ เรื่องรามเกียรติ์ ในตอนชื่อ “อินทรชิตแผลงศรนาคบาศ” มีผู้ร่วมแสดงกว่า 100 ชีวิต จากกลุ่มศิลปินวังหน้าในวันที่ 15 และ 16 กุมภาพันธ์ ปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้ว

2.ร่วมกับศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรม มหัศจรรย์สีสันคนบนดอย นำศิลปะและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขา 9 เผ่า ในจังหวัดเชียงรายมาจัดแสดง แต่ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การแข่งขันกีฬาพื้นบ้านชนเผ่าจำนวน 11 ชนิดกีฬา “พงษ์รัตน์ บอกว่าสำหรับการแข่งขันกีฬาปีนี้ถือเป็นปีทดลอง หากเป็นไปด้วยดีอาจจะยกขึ้นมาเป็นอีกอีเวนต์แยกเลยก็ได้

ทั้งนี้ เทศกาลบอลลูนจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ใช้งบการจัดงาน 30 ล้านบาท คาดว่ามีทราฟฟิกตลอด 5 วันของการจัดงาน 300,000 คน เพิ่มขึ้นจากครั้งแรกที่มีทราฟฟิกประมาณ 100,000 ราย.

]]>
1214533