3 สิ่งที่ “ธุรกิจโรงแรม” ต้องเปลี่ยนหลังโรคระบาด จากมุมมอง The Standard บูทิกโฮเทลหรู

ธุรกิจโรงแรมไทยน่าจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้างแล้วจากการคลายล็อกดาวน์รอบล่าสุด มาฟังมุมมองจาก The Standard เชนโรงแรมฝั่งตะวันตกว่า ธุรกิจโรงแรมต้องปรับตัวอย่างไรหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว พร้อมอัปเดตแผนการบุกเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่งทั่วโลก โดย 2 แห่งแรกจะเปิดบริการในไทยที่ “หัวหิน” และ “ตึกมหานคร” กรุงเทพฯ

The Standard เป็นเชนโรงแรมบูทิกที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐฯ แห่งแรกตั้งอยู่ในฮอลลีวูด (เพิ่งปิดไปเมื่อต้นปีนี้) และกลายเป็นภาพลักษณ์ความชิค แฟชั่น อาร์ต และงานปาร์ตี้ของดาราคนดังของฮอลลีวูด DNA ของแบรนด์ถูกส่งต่อให้กับทุกๆ แห่งที่มีการเปิดทำเลใหม่ ปัจจุบันมี 6 แห่งในลอสแอนเจลิส ไมอามี่ นิวยอร์ก ลอนดอน และมัลดีฟส์

หลังจาก บมจ.แสนสิริ เข้าไปซื้อหุ้น 35% เมื่อปี 2560 โรงแรม The Standard กำลังจะมาเปิดตัวในไทยที่หัวหิน วันที่ 1 ธันวาคมนี้ และปี 2565 จะเปิดบนตึกมหานคร กรุงเทพฯ

The Standard, High Line นิวยอร์ก

มาฟังมุมมองจาก “อมาร์ ลัลวานี่” ซีอีโอ Standard International ถึงทิศทางของธุรกิจโรงแรมหลัง COVID-19 ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสถานการณ์เริ่มฟื้น

 

กลุ่มนักธุรกิจเดินทาง ‘น้อยลง’

3 อย่างที่ลัลวานี่มองว่าจะเปลี่ยนไปและอาจจะเป็นการเปลี่ยนอย่างถาวรสำหรับ “ธุรกิจโรงแรม” จากประสบการณ์ฝั่งตะวันตกซึ่งโรงแรมกลับมาเปิดบริการได้เต็มที่แล้ว คือ

เรื่องแรก นักธุรกิจที่เดินทางระยะสั้นจะลดลง เพราะความเคยชินจากเทคโนโลยีประชุมออนไลน์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินทาง และบริษัทยังต้องรัดเข็มขัดทำให้จะตัดงบส่วนนี้ออก อย่างไรก็ตาม ทริปเดินทางธุรกิจที่เป็นงานใหญ่ เดินทางไกล อยู่หลายวัน จะยังคึกคักเหมือนเดิม

“อมาร์ ลัลวานี่” ซีอีโอ Standard International

“การได้เห็นหน้ากันจริงๆ จับมือทักทายกันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเจอกันแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไปคืนเดียวกลับ ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ การเปิด Zoom คุยกันจะสะดวกกว่า แต่ถ้าเป็นงานสัมมนายาวหลายวัน มีกิจกรรมมากกว่าแค่ไปประชุม งานแบบนี้จะยังต้องการที่พักอยู่” ลัลวานี่กล่าว

โดยเขายกตัวอย่างรายได้ของโรงแรมปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนักเดินทางธุรกิจเพียง 8% เทียบกับก่อนเกิดโรคระบาดจะมีสัดส่วน 25%

 

ดีไซน์โรงแรมต้อง ‘ยืดหยุ่น’

เรื่องที่สอง คือการออกแบบโรงแรมต้องยืดหยุ่นได้มากกว่าเดิม พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนฟังก์ชันตามสถานการณ์ เช่น เปลี่ยนไนต์คลับไปเป็นร้านอาหาร เผื่อในกรณีการระบาดกลับมา และมีฟังก์ชันที่จะได้รับผลกระทบ

เรื่องที่สาม ยังเกี่ยวพันกับงานดีไซน์ โรงแรมใหม่ๆ ของ The Standard จะมีพื้นที่กลางแจ้งหรือ open-air มากขึ้น เพราะคำนึงถึงเรื่องสุขอนามัย

ลัลวานี่ยังอัปเดตสถานการณ์ตลาดฝั่งตะวันตกด้วยว่า ในสหรัฐฯ เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โรงแรมของเครือในนิวยอร์กกลับมา ‘มีชีวิตชีวา’ แม้ยังต้องระวังตัว ส่วนที่ไมอามี่เรียกว่าเกือบจะกลับมาปกติเท่ากับก่อน COVID-19

 

อย่างไรก็ตาม โรงแรมที่ตั้งอยู่ในลอนดอนและมัลดีฟส์อาจจะยังฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่า เพราะปกติมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการเป็นส่วนมาก เทียบกับในสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากกำลังซื้อของคนในประเทศเอง ทำให้ประเทศท่องเที่ยวต้องรอการเปิดพรมแดนเสรีจึงจะฟื้นตัวชัดเจน

 

เตรียมเปิดโรงแรม 9 แห่ง ปักหมุดในไทย 2 แห่ง

ด้านแผนขยายธุรกิจของ The Standard จะยังมีต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดตัวโรงแรม 9 แห่งจนถึงปี 2568 ได้แก่ หัวหิน, กรุงเทพฯ, อิบิซ่า, สิงคโปร์, เมลเบิร์น, ลิสบอน, บรัสเซลล์, ดับลิน และลาสเวกัส

เห็นได้ว่าจะมีโรงแรมที่เปิดตัวในไทยด้วย นั่นคือ The Standard, Huahin และ The Standard, Bangkok Mahanakhon ถือเป็นการบุกเอเชียครั้งแรกของแบรนด์

The Standard, Huahin

สำหรับ The Standard, Huahin โลเคชันอยู่ติดหาดหัวหินบริเวณซอยหัวหิน 65 ใกล้ๆ กับมาร์เก็ตวิลเลจ มีห้องพักและวิลล่าทั้งหมด 199 ห้อง คอนเซ็ปต์จะใช้โรงแรม The Standard, Miami เป็นแม่แบบ ให้ความรู้สึกเป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ ‘ฮิพ’ แต่ไม่ ‘เยอะ’ เกินไป

แน่นอนว่าริมหาดต้องมีบาร์ติดหาดคือ Lido และ The Juice Café รวมถึงมีร้านอาหาร Praca เสิร์ฟอาหารไทยในบ้านสไตล์โคโลเนียล เปิดบริการวันที่ 1 ธันวาคมนี้

ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ The Standard, Bangkok Mahanakhon อยู่บนตึกมหานครที่เป็นไอคอนใหม่ของกรุงเทพฯ ทำเลใจกลางเมืองระหว่างสีลมกับสาทร ห้องพักจะมีทั้งหมด 155 ห้อง ใช้เครื่องนอนจาก Davines, เครื่องเสียง Bang & Olufsen และมีเครื่องชงกาแฟ Nespresso รองรับไลฟ์สไตล์

ลัลวานี่กล่าวว่า ต้องการจะให้ที่นี่เป็น ‘แฟล็กชิป’ ของเอเชีย ด้วยความที่กรุงเทพฯ คือเมืองที่ไม่เคยหลับใหล มีสีสันตลอดเวลา The Standard จึงต้องการเป็นฮับการพบปะของคน เห็นได้จากการออกแบบร้านอาหารที่เน้นการแฮงเอาต์กับเพื่อน

The Tea Room

ไม่ว่าจะเป็น The Parlor นัดจิบกาแฟเม้าท์ยามสายได้จนถึงจัดทอล์กโชว์ยามเย็น The Tea Room ตกแต่งโทนขาวดำดึงดูดคนรักการถ่ายภาพ The Standard Grill เน้นการเป็นสเต็กเฮาส์แห่งใหม่สไตล์อเมริกัน Mott 32 ร้านอาหารสไตล์จีนกวางตุ้งแบบโมเดิร์น รวมถึงจะเป็นผู้ออกแบบและบริการ “รูฟท็อปบาร์” บนชั้น 76 ของตึกมหานคร ชมวิวกรุงเทพฯ ยามเย็นจนถึงยามค่ำคืน เตรียมเปิดบริการปี 2565

ลัลวานี่กล่าวว่า คอนเซ็ปต์ของโรงแรม The Standard ทั่วโลกจะเน้นดึงดูดชุมชนในที่ที่โรงแรมตั้งอยู่ ทำให้รายได้ 50% จะมาจากกลุ่ม F&B และ 90% ของรายได้ F&B นี้คือคนในพื้นที่ที่เข้ามากินดื่มกัน น่าจับตามองว่าโรงแรมจะดึงดูดคนไทยและ expat อย่างไรในตลาดที่แข่งขันสูงมากของกรุงเทพฯ