สิทธิมนุษยชน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 08 Sep 2020 06:28:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สหรัฐฯ เตรียมแบนสินค้าที่ใช้ “ฝ้าย” จากซินเจียง โจมตีจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ https://positioningmag.com/1295773 Tue, 08 Sep 2020 06:08:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1295773 สหรัฐฯ อยู่ระหว่างพิจารณาแบนสินค้าที่ใช้ “ฝ้าย” จากมณฑลซินเจียง ประเทศจีน เป็นการตอบโต้กลับหลังมีรายงานพบว่าจีนบังคับใช้แรงงานเก็บฝ้าย และจีนมีการปราบปรามลงโทษอย่างรุนแรงต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์ซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียง

สำนักข่าว The New York Times อ้างอิงแหล่งข่าวภายในที่เกี่ยวข้องสามราย กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาแบนสินค้าที่ผลิตโดยใช้ฝ้ายจากมณฑลซินเจียง ประเทศจีน เพื่อตอบโต้จีนในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมอุยกูร์

การแบนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสินค้าประเภทเสื้อผ้าและสินค้าเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ที่ใช้ฝ้ายเกือบทั้งตลาด เนื่องจากผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ดังระดับโลกส่วนใหญ่ต่างใช้ฝ้ายและเส้นใยผ้าที่ส่งมาจากซินเจียง พื้นที่ส่งออกฝ้ายหลักของโลก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าการแบนจะแบนเฉพาะสินค้าที่ส่งตรงออกมาจากซินเจียง หรือนับรวมไปถึงสินค้าที่นำไปแปรรูปที่ประเทศแห่งที่สามแล้วด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะตัดสินใจอย่างไร

แบรนด์ดังอย่าง H&M, Muji, Uniqlo ต่างก็เคยมีชื่อเข้าไปพัวพันกับ “ฝ้ายซินเจียง” ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะมณฑลซินเจียงคือตลาดส่งออกฝ้ายหลักของโลก

การตอบโต้ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังมีรายงานออกมาว่า รัฐบาลจีนกวาดต้อนชาวอุยกูร์ให้ใช้แรงงานในไร่ฝ้าย โรงงานผลิตผ้าฝ้าย รวมถึงโรงงานประเภทอื่นๆ และหากขัดขืนจะถูกส่งเข้า “ค่ายกักกัน”

ค่ายกักกันดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีชุดข้อมูลโต้กลับกันไปมาตั้งแต่ปี 2561 โดยจีนกล่าวว่าค่ายเหล่านี้คือ “โรงเรียน” ที่ให้การศึกษาใหม่แก่ชาวอุยกูร์ที่มีแนวโน้มหัวรุนแรงคลั่งศาสนา ไม่ได้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นวิธีการเพื่อป้องกันกลุ่มผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ซินเจียง

ขณะที่รายงานจาก The Australian Strategic Policy Institute พบว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งเข้าค่ายกักกัน
มีนับล้านคน และข้อหาที่ทำให้ถูกส่งเข้าค่ายนั้นเกิดจากยังคงถือวัตรปฏิบัติตามแบบผู้นับถืออิสลาม เช่น สตรีสวมผ้าคลุมผม มีคัมภีร์อัลกุรอ่านไว้ในครอบครอง ทำละหมาด หรือถ้าหากมีญาติพี่น้อง-เพื่อนอยู่ในต่างประเทศจะถูกส่งเข้าค่ายเช่นกัน เพราะถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ก่อการร้าย

ส่วนการบังคับใช้แรงงานในโรงงาน ชาวอุยกูร์จะถูกบังคับกักตัวให้อยู่ในหอพักของโรงงานเพื่อทำงาน และหลังหมดชั่วโมงทำงานจะต้องเข้าห้องเรียนภาษาจีนแมนดารินกับการฝึกอบรมอุดมการณ์ ภายในจะมีกล้องวงจรปิดคอยจับตาตลอดเวลา และห้ามมิให้ทำกิจกรรมทางศาสนา

อีเวนต์หาเสียงของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ทัลซา โอคลาโฮมา คืนวันที่ 20 มิถุนายน 2020 (Photo : Twitter@realDonaldTrump)

ในอีกมุมหนึ่ง การตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจประเมินได้ว่าเกิดจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบใหม่กำลังงวดใกล้เข้ามาทุกที ทำให้ทรัมป์พยายามแสดงแสนยานุภาพตอบโต้จีน ตั้งแต่การโจมตีจีนอย่างหนักว่าเป็นต้นเหตุการระบาดของไวรัสโคโรนาและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อด้วยการแบนบริษัทจีนอีกหลายบริษัท และการเคลื่อนไหวครั้งนี้น่าจะเป็นการเดินหมากล่าสุด โดยใช้เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเป็นฐานโจมตี

อย่างไรก็ตาม จากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ปะทุขึ้นมานานปี ทำให้บริษัทเสื้อผ้าหลายรายเริ่มย้ายฐานผลิตออกจากจีนมาระยะหนึ่งแล้ว โดยส่วนใหญ่จะย้ายไปยังเวียดนาม บังกลาเทศ และอินโดนีเซีย แต่หลายรายก็ยังพบว่าคุณภาพการผลิตในประเทศอื่นยังไม่เทียบเท่าจีน และหาพื้นที่ลงทุนโรงงานได้ยากเนื่องจากมีคู่แข่งที่ต้องการย้ายฐานผลิตจำนวนมาก

ทั้งนี้ หลายๆ บริษัทที่มีชื่อเข้าไปพัวพันกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับ กล่าวว่าซัพพลายเชนในประเทศจีนค่อนข้างคลุมเครือ ทำให้พวกเขาก็ตรวจสอบย้อนกลับได้ยากว่าฝ้ายที่นำมาใช้ผลิตนั้นมาจากแหล่งไหน

Source : The New York Times, BBC

]]>
1295773
“กัมพูชา” จ่อออกกฎหมายปรับเงินหญิงนุ่งสั้น-ใส่ชุดซีทรู หวังอนุรักษ์วัฒนธรรม https://positioningmag.com/1290534 Sat, 01 Aug 2020 14:00:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290534 กัมพูชากำลังเสนอร่างกฎหมายที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถปรับเงินกับผู้ที่ถูกมองว่าแต่งกายไม่เหมาะสมได้ กฎหมายที่นักรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนมองว่าอาจถูกใช้ลดทอนเสรีภาพของผู้หญิง และส่งเสริมวัฒนธรรมการยกเว้นโทษในเรื่องความรุนแรงทางเพศ

ร่างกฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้ในปีหน้าหากได้รับการอนุมัติจากกระทรวงต่างๆ และรัฐสภา จะกำหนดห้ามผู้ชายเปลือยท่อนบนเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ และห้ามผู้หญิงสวมใส่สิ่งที่สั้นเกินไปหรือชุดซีทรู

ขณะที่ร่างกฎหมายของรัฐบาลฉบับนี้ถูกระบุว่า เป็นหนทางที่จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของชาติ แต่นักวิจารณ์วิตกว่ากฎหมายนี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและกดขี่ผู้หญิงในประเทศ

ในช่วงหลายเดือนมานี้ เราได้เห็นการกำกับควบคุมร่างกายและเครื่องแต่งกายของผู้หญิงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ที่ลดทอนสิทธิของผู้หญิงในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตนและการแสดงออก และกล่าวโทษผู้หญิงสำหรับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพวกเขา เรากังวลว่าสิ่งนี้จะถูกนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสมกับผู้หญิงที่ใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐานของพวกเขาเองจัก สุเพียบ ผู้อำนวยการศูนย์สิทธิมนุษยชนกัมพูชา กล่าว

แต่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยที่เป็นผู้นำกระบวนการร่างกฎหมาย กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม

มันเป็นเรื่องดีที่จะสวมใส่สิ่งที่ไม่สั้นมากไปกว่าครึ่งต้นขา มันไม่ใช่เรื่องของความสงบเรียบร้อย แต่เป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี เจ้าหน้าที่รัฐ กล่าว

เมื่อต้นปี มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในข้อหาการแสดงลามกอนาจารหลังปฏิเสธคำเตือนของเจ้าหน้าที่ที่ให้สวมชุดที่ไม่เปิดเผยเนื้อตัวมากเกินไปขณะขายเสื้อผ้าและเครื่องสำอางผ่านไลฟ์เฟซบุ๊ก

การจับกุมหญิงคนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังนายกรัฐมนตรีฮุนเซนเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตามจับผู้หญิงที่ใช้รูปแบบการขายในลักษณะยั่วยวน ที่ผู้นำเขมรกล่าวว่า สร้างความเสื่อมเสียต่อวัฒนธรรมกัมพูชาและส่งเสริมให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศ

กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวตำหนิการปราบปรามดังกล่าว และเตือนว่ากฎหมายใหม่สามารถทำให้ผู้หญิงตกอยู่ในความเสี่ยงของการถูกคุกคามและความรุนแรงทางเพศได้มากยิ่งขึ้นจากการส่งเสริมวัฒนธรรมการกล่าวโทษเหยื่อ

การตำหนิติเตียนผู้หญิงจากการเลือกเสื้อผ้าของพวกเธอนั้นเป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่าผู้หญิงต้องถูกกล่าวโทษสำหรับความรุนแรงทางเพศที่พวกเธอต้องทนทุกข์ และยังปกป้องวัฒนธรรมของการไม่ต้องรับโทษที่มีอยู่รองผู้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมสากลภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว

ชาวกัมพูชาจำนวนมากยังคงคาดหวังว่าผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายยอมจำนนและเงียบสงบ ตามบทกวี Chbap Srey ที่เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับสตรีที่บรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียน ซึ่งสหประชาชาติกล่าวเมื่อปีก่อนว่าควรถูกกำจัดออกให้หมดไปจากโรงเรียน และยังระบุว่าเป็นสาเหตุของความเสียเปรียบของผู้หญิง

Source

]]>
1290534
ส่อง 5 แคมเปญ “แบรนด์” สินค้าในประเทศไทยฉลอง “Pride Month” ประจำปี 2020 https://positioningmag.com/1284283 Fri, 19 Jun 2020 12:41:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284283 เดือนมิถุนายนเดือนแห่ง “Pride Month” เวียนมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยความสำคัญของเดือนนี้คือการกาปฏิทินร่วมรณรงค์สร้างความเข้าใจต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ หลายแบรนด์ที่จำหน่ายสินค้า-บริการในประเทศไทยมีการออกแคมเปญร่วมสนับสนุน LGBTQ ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้ด้วย Positioning จึงขอยกตัวอย่างแคมเปญดีๆ ที่เราเห็นถึงความตั้งใจขับเคลื่อนสังคมให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

ปีนี้เป็นปีที่ 51 นับจากการประท้วง Stonewall Riots ในสหรัฐอเมริกา และเป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์เรียกร้องสิทธิชาวเกย์ และขยายครอบคลุมถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศทั้งหมดในเวลาต่อมา โดยเลือกเอาเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนที่เกิดเหตุการณ์เป็นเดือนแห่ง “Pride Month” ร่วมรณรงค์กันตลอดเดือน

ประวัติของ Stonewall Riots มาจากตำรวจบุกตรวจค้นผับ Stonewall Inns ซึ่งเป็นแหล่งรวมชาวเกย์และเลสเบี้ยนในนิวยอร์กในปี 1969 การบุกตรวจค้นมีการแยกเอาชายที่แต่งกายเป็นหญิงและหญิงที่แต่งกายเป็นชายไว้ต่างหาก เนื่องจากในยุคนั้นวิถี LGBTQ และการแต่งกายข้ามเพศถือว่าผิดกฎหมาย รวมถึงถูกตราหน้าว่ามีความผิดปกติทางจิต การบุกค้นครั้งนี้นำไปสู่ความรุนแรงทั้งจากผู้ถูกจับกุมต่อตำรวจ และจากตำรวจต่อชาวเกย์ จนเกิดการจลาจลประท้วงบนถนนต่อเนื่อง 6 วัน

ขบวนพาเหรด Pride Month ในเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เดือนมิถุนายน 2019 (Photo: Shutterstock)

แม้การเรียกร้องสิทธิ LGBTQ จะส่งผลให้มุมมองของสังคมต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศดีขึ้นเป็นลำดับ แต่การเลือกปฏิบัติยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ “Pride Month” ยังมีต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2019 มีผู้ร่วมงานเดินขบวนเทศกาลนี้ในนิวยอร์กถึง 5 ล้านคน และมีการจัดเทศกาลในทำนองเดียวกันทั่วโลก

ปี 2020 อาจจะเป็นปีที่การรณรงค์ “Pride Month” เงียบเหงาไปสักหน่อยเนื่องจากโรคระบาด COVID-19 ทำให้ไม่สามารถจัดการเดินขบวนรณรงค์ได้ แต่เหล่าแบรนด์สินค้าและบริการที่มีจุดยืนสนับสนุนความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ ยังคงจัดแคมเปญหรือแนวนโยบายเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง ที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลโก้หรือออกสินค้าสีรุ้งเท่านั้น!

 

1.”แสนสิริ” – ลงนามกับ UN ผลักดันสิทธิ LGBTI

ปีนี้ “แสนสิริ” แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทย ยกระดับการสนับสนุน LGBTI (เลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล บุคคลข้ามเพศ และบุคคลเพศกำกวม) ด้วยการลงนามในข้อตกลง UN Standards of Conduct for Business ซึ่งเป็นข้อตกลงเพื่อให้คำมั่นว่าบริษัทจะปฏิบัติตามหลักการทางธุรกิจ 5 ข้อเหล่านี้

  • เคารพสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม LGBTI ในทุกการดำเนินการทางธุรกิจ
  • ขจัดการเลือกปฏิบัติกับกลุ่ม LGBTI ในสถานที่ทำงาน
  • ให้การสนับสนุนเชิงรุกแก่พนักงาน LGBTI สร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวก ให้ความเชื่อมั่น ทำให้พนักงานทำงานร่วมกันได้อย่างมีเกียรติ
  • ป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่อาจเกิดจากการกีดกันโดยคู่ค้า คู่สัญญา ลูกค้า หรือบุคคลอื่นๆ
  • ผลักดันประเด็นความเท่าเทียมอย่างเป็นสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยในสังคม สนับสนุนทางการเงิน หรือปัจจัยอื่นๆ

โดยแสนสิริมีข้อปฏิบัติในองค์กรที่แสดงออกตามหลักการเหล่านี้แล้ว เช่น การจัดห้องน้ำแบบไม่ระบุเพศที่ชั้น 1 ของทุกตึกในสำนักงานใหญ่ หรือการเป็นพันธมิตรธนาคาร 4 แห่ง คือ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ออมสิน และ ยูโอบี เพื่ออำนวยความสะดวกให้ครอบครัว LGBTI กู้ซื้อบ้านร่วมกันได้ง่ายขึ้น

ประเด็นการช่วยผลักดันให้ LGBTI กู้ซื้อบ้านร่วมกันเพื่อสร้างชีวิตคู่เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากปกติแล้วธนาคารมักจะไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือเป็นเครือญาติกู้สินเชื่อบ้านร่วมกัน เมื่อประเทศไทยยังไม่มีการจดทะเบียนสมรสเพศเดียวกัน ทำให้การกู้ซื้อบ้านของคู่รัก LGBTI ยุ่งยากขึ้น แต่ก็มีหลายธนาคารดังกล่าวข้างต้นที่มีเกณฑ์การตรวจสอบและอนุมัติให้แล้วในปัจจุบัน

 

2.โรงหนัง House Samyan – จัดพื้นที่ฉายให้หนัง LGBTQ

ไม่เพียงแต่เปลี่ยนโลโก้มีแถบธงสีรุ้งด้านล่าง เดือนนี้โรงหนัง House Samyan ยังมีโปรแกรมฉายภาพยนตร์เก่า 3 เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตและความรักของ LGBTQ อย่าง Beautiful Thing (1996), Tangerine (2019) และ Portrait of a Lady on Fire (2019)

เดือนมิถุนายนปีนี้เป็นช่วงที่วิกฤตโรคระบาด COVID-19 เพิ่งคลี่คลาย และโรงภาพยนตร์เพิ่งได้รับอนุญาตให้กลับมาฉายได้ตามปกติ ทำให้ภาพยนตร์เด่นๆ หลายเรื่องเลือกจะเลื่อนเปิดฉายออกไปก่อน จนโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ต้องดีลหนังเก่าที่ผู้ชมน่าจะสนใจดูซ้ำกลับมาฉายใหม่

สำหรับโรงหนัง House ก็เช่นกัน ภาพยนตร์หลายเรื่องในตารางเป็นการฉายซ้ำหนังเก่า โดยเลือกที่จะสนับสนุน “Pride Month” ด้วยการอุทิศพื้นที่ฉายราว 1 ใน 3 ให้กับหนัง LGBTQ ซึ่งมีส่วนช่วยเปิดพื้นที่ให้คอนเทนต์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศไปสู่สังคมได้มากขึ้น

 

3.Guss Damn Good – เวิร์กช็อปค้นหารสไอศกรีม

ไอศกรีมรส Equality จาก Guss Damn Good ที่ได้จากการเวิร์กช็อปร่วมกับลูกค้าเมื่อปี 2019

มาถึงแบรนด์ของกินกันบ้าง แบรนด์ไอศกรีม Guss Damn Good ที่มี 9 สาขาหน้าร้านและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเป็นแบรนด์ไอศกรีมคนไทยที่ก่อตั้งเมื่อปี 2014

ปีนี้น่าเสียดายที่วิกฤต COVID-19 ทำให้ Guss Damn Good ไม่สามารถจัดเวิร์กช็อปค้นหารสชาติไอศกรีมเพื่อเฉลิมฉลอง “Pride Month” ได้ แต่ได้นำรสชาติไอศกรีม Equality ที่ได้จากการเวิร์กช็อปปีที่แล้วกลับมาจำหน่ายใหม่ พร้อมกับการตกแต่งร้านด้วยธงสีรุ้งทั่วทั้งร้าน และเปลี่ยนสติกเกอร์ปิดกล่องจัดส่งพัสดุไอศกรีมเป็นสีรุ้ง

ย้อนไปปี 2019 แบรนด์ Guss Damn Good จัดเวิร์กช็อป We support LGBTQ+ เนื่องจาก “นที จรัสสุริยงค์” ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ เล็งเห็นถึงความไม่เท่าเทียมต่อ LGBTQ ในสังคมไทย เพราะพนักงานเพศหลากหลายของร้านคนหนึ่งถูกเลือกปฏิบัติจากลูกค้า

หน้าร้าน Guss Damn Good ประดับธงสีรุ้ง (Photo by Guss Damn Good)

ตัวแบรนด์ที่มีจุดยืนเป็นไอศกรีมที่ถ่ายทอดรสชาติความทรงจำ ต้องการให้ทานไอศกรีมแล้วนึกถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่แล้ว จึงนำจุดยืนของแบรนด์มาช่วยสนับสนุน สร้างสรรค์เวิร์กช็อปกับลูกค้า จนออกมาเป็นไอศกรีมรส Equality (ความเท่าเทียม) และ Love is Love (รักก็คือรัก)

การจัดเวิร์กช็อปให้ลูกค้าเข้าร่วมคิดค้นรสชาติ ทำให้มีคนจำนวนมากขึ้นที่ได้ engagement กับการคิดคำนึงถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อถึงหรือเรียกร้องให้กับ LGBTQ ไม่ใช่แค่การหากิมมิกเพื่อขายสินค้าเท่านั้น

 

4.”เจนเนอราลี่” – ปลดล็อก “คู่ชีวิต” เป็นผู้รับประโยชน์กรมธรรม์

อีกแคมเปญที่มีผลต่อการใช้ชีวิตคู่ของคู่รักเพศเดียวกัน คือเรื่องของกรมธรรม์ประกันชีวิต ปีนี้ “เจนเนอราลี่” ออกแคมเปญ “Gen LOVE Wins เพราะความรักชนะทุกสิ่ง” โดยเปิดกว้างให้คู่ชีวิต LGBTQ สามารถระบุชื่อผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นคู่ชีวิตของตนเองได้ เพียงแสดงหลักฐานการใช้ชีวิตร่วมกัน เช่น ภาพถ่ายบนโซเชียลมีเดีย ภาพถ่ายการสมรส หลักฐานการซื้อหรืออยู่บ้านเดียวกัน หลักฐานการทำธุรกิจร่วมกัน ทะเบียนสมรส (กรณีจดทะเบียนในต่างประเทศ)

ประเด็นนี้มีความสำคัญเพราะปกติแล้วการลงชื่อผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิต มักจะต้องระบุความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือทางกฎหมาย ขณะที่คู่รักเพศเดียวกันในไทยยังไม่ได้รับการรับรองให้จดทะเบียนสมรสได้ ทำให้บริษัทประกันแต่ละแห่งจะต้องมีนโยบายของบริษัทเองเพื่อรองรับ

นอกจากเจนเนอราลี่แล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่เปิดกว้างในประเด็นนี้เช่นกัน เช่น กรุงไทยแอ็กซ่า เมืองไทยประกันชีวิต เอฟดับบลิวดี ช่วยสนับสนุนให้ LGBTQ ดำเนินชีวิตได้อย่างเท่าเทียม

 

5.”Beautrium และ Levi’s” – สินค้าสีรุ้งส่งรายได้บริจาคให้ LGBTQ

(ซ้าย) แคมเปญจำหน่ายหน้ากากผ้าจาก Beautrium (ขวา) สินค้าคอลเลกชัน Levi’s Pride 2020 : Use Your Voice

วิธีสนับสนุน LGBTQ ที่ทำได้ไม่ยาก คือการสนับสนุนทางการเงิน โดยบางแบรนด์อาจจะจัดทำสินค้าการกุศลเพื่อระดมทุนไปบริจาคให้กับองค์กรที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

เช่นปีนี้ Beautrium แบรนด์ร้านขายเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์สัญชาติไทย เลือกผนวกการฉลอง “Pride Month” เข้ากับยุค COVID-19 ผลิตหน้ากากผ้าสายสีรุ้งในราคา 99 บาท รวมถึงลดราคาสินค้ากลางปีวันที่ 15-30 มิถุนายน 2563 รายได้จากการจำหน่ายหน้ากากและสินค้าลดราคาช่วงนี้ จะนำไปบริจาคให้กับองค์กรที่สนับสนุนกลุ่ม LGBT เช่น สื่อออนไลน์ Spectrum ที่มุ่งเน้นเสนอคอนเทนต์เรื่องเพศและสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ

หรือแบรนด์ Levi’s ที่ผลิตสินค้าคอลเลกชัน Levi’s Pride 2020 : Use Your Voice มีทั้งหมวก เสื้อยืด แจ็กเก็ตยีนส์ กระเป๋า โดยรายได้จะนำไปบริจาคให้กับ OutRight Action International องค์กรรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน ยุติความรุนแรงต่อ LGBTI ในระดับสากล

แบรนด์และแคมเปญเหล่านี้คือตัวอย่างของการสนับสนุน “Pride Month” ที่มากไปกว่าการกล่าวถึง เปลี่ยนโลโก้ หรือผลิตสินค้าสีรุ้งมาจำหน่าย แต่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ LGBTQ ใช้ชีวิตได้อย่างภาคภูมิใจและเท่าเทียมกับบุคคลรักต่างเพศมากขึ้น

]]>
1284283