เกาหลี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 13 Jan 2023 09:13:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘เกาหลีใต้’ ขึ้นแท่นประเทศที่ใช้เงินกับ ‘แบรนด์เนม’ มากที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1415463 Fri, 13 Jan 2023 07:52:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415463 ถ้าใครเป็นแฟนซีรีส์เกาหลี น่าจะเห็นเสื้อผ้าหน้าผมเครื่องแต่งกายของตัวละครโดยเฉพาะพระนางที่เป๊ะปัง แถมยังใช้แบรนด์เนมทั้งตัว ซึ่งภาพลักษณ์ในซีรีส์นั้นก็ไม่ได้เกินจริงเท่าไหร่นัก เพราะจากผลสำรวจพบว่าชาวเกาหลีนั้นใช้เงินกับสินค้าหรู ๆ มากที่สุดในโลก

จากการประเมินของ มอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่า ชาวเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเฉลี่ยต่อหัวมากที่สุดในโลก โดยในปี 2022 ที่ผ่านมาการใช้จ่ายในสินค้าหรูเติบโตขึ้นถึง 24% เป็น 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.6 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็น 325 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน (ราว 10,000 บาท) นั่นมากกว่าค่าใช้จ่าย 55 ดอลลาร์สหรัฐ และ 280 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ของชาวจีนและชาวอเมริกันตามลำดับ

การเติบโตของแบรนด์หรูในเกาหลีใต้นั้น เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ในช่วงไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley อธิบายว่า ความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยของผู้ซื้อชาวเกาหลีใต้นั้นได้รับแรงหนุนจากทั้ง กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้ต่อครัวเรือนของคนเกาหลีเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2021 และ 76% ของรายได้ต่อครัวเรือนมาจากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาสูงขึ้นนับตั้งแต่ปี 2020

อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเกาหลีใช้เงินซื้อแบรนด์เนมก็คือ การแสดงถึงสถานะทางสังคม โดยในเกาหลีใต้นั้น การแสดงความมั่งคั่งถือเป็นที่ยอมรับของสังคม โดยจากการสำรวจของ McKinsey พบว่ามีเพียง 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวเกาหลีเท่านั้นที่คิดว่า การอวดรวยโดยใช้แบรนด์เนมนั้นนิสัยที่ไม่ดี เทียบกับ 45% ของญี่ปุ่นและ 38% ของจีน

“คนดังในเกาหลีเกือบทั้งหมดต่างก็เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์หรู เพื่อกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค เช่น Fendi ที่ใช้ Lee Min-Ho, Chanel ที่ใช้ G-Dragon และ Dior ที่มี Rose แห่งวง Blackpink เป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งก็ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า”

สำหรับภาพรวมของสินค้าลักชัวรี่ทั่วโลกในปี 2023 นี้ McKinsey คาดการณ์ว่า จะเติบโตประมาณ 5-10% โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการจากสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าปัจจุบัน ผู้บริโภคจีนจะใช้จ่ายกับสินค้าหรูน้อยกว่าเกาหลีใต้ถึง 6 เท่า แต่ตลาดเกาหลีใต้กับจีนนั้นมีความใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะการใช้สินค้าฟุ่มเฟือยเป็นเครื่องหมายแสดงสถานะ

“เราคาดว่าการเติบโตจะกลับมาหลังจากจีนฟื้นตัวจากโควิดในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะได้เห็นภายในไตรมาสแรก”

Source

]]>
1415463
“ตันซันซู” พระเอก Non-Tea ความหวังใหม่ของ “อิชิตัน” ทำลายกำแพงรายได้หมื่นล้าน! https://positioningmag.com/1410129 Sun, 27 Nov 2022 06:26:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410129 เมื่อเทรนด์เกาหลีที่มาแรงแบบเกินต้าน เป็น Soft Power ที่ทำให้ในไทยมีร้านอาหารเกาหลี คาเฟ่เกาหลีเปิดใหม่มากขึ้น แบรนด์เครื่องดื่มก็จำเป็นต้องจับเทรนด์นี้ให้อยู่หมัด “อิชิตัน” จึงขอบุกตลาด K-pop เป็นครั้งแรก ส่ง “ตันซันซู” โซจูแบบไร้แอลกอฮอล์จับเซ็กเมนต์น้ำอัดลม พ่วงความหวังเป็นพระเอกกลุ่ม Non-Tea ช่วยอัพรายได้สู่หมื่นล้าน

บุกหนัก Non-Tea เปิดตลาดน้ำอัดลม

ถ้าพูดถึงแบรนด์ “อิชิตัน” หลายคนจะนึกถึงสินค้าชาเขียวเป็นหลัก เนื่องจากมีภาพจำต่อเนื่องกับ “ตัน ภาสกรนที” ที่อยู่ในตลาดชาเขียวมาอย่างยาวนาน แต่ตลาดชาเขียวเริ่มมีความผันผวน ไม่ได้เติบโตมากมายเหมือนช่วง 10 ปีก่อน อีกทั้งยังโดนพิษการตลาด ภาษีน้ำตาล ทำให้ตลาดมีการสะดุดไปเล็กน้อย

อิชิตันจึงต้องบุกตลาดอื่นที่เป็นกลุ่ม Non-Tea เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างรายได้ให้มากขึ้น ตั้งแต่แรกที่สร้างแบรนด์ได้มีสินค้ากลุ่ม “น้ำด่าง” ออกมาตีตลาดคนรักสุขภาพ มีการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่แค่กลุ่มน้ำด่างคงไม่เพียงพอต่อการสร้างพอร์ตกลุ่มนี้ให้โตให้ได้ดั่งใจ อิชิตันจึงต้องแตกไลน์ไปกลุ่มใหม่ นั่นก็คือ “น้ำอัดลม”

อิชิตันได้เปิดตัวแบรนด์ “ตันซันซู” เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นเครื่องดื่มโซดารสชาติเหมือนโซจู หรือเหล้าเกาหลี มีรสผลไม้ แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ และน้ำตาล ประเดิมด้วย 2 รสชาติโซจูบอมบ์ และโยเกิร์ต ขนาด 360 มิลลิลิตร ราคา 20 บาท เป็นการวาง Positioning ในกลุ่ม “น้ำอัดลม” หรือกลุ่มน้ำสีนั่นเอง

เหตุผลในการบุกตลาดน้ำอัดลมนั้น ง่ายๆ เลยก็คือ ตลาดใหญ่มาก มูลค่าการตลาดสูง มีมูลค่าใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตลาดเครื่องดื่ม ปัจจุบันมีมูลค่า 42,695 ล้านบาท เติบโต 5.5% แบ่งเป็นน้ำดำ 36,000 ล้านบาท หรือมีสัดส่วน 72% เติบโต 6.2% ส่วนน้ำสีมีมูลค่า 12,000 ล้านบาท มีสัดส่วน 28% เติบโต 3.8%

ที่น่าสนใจคือตลาดไม่มีน้ำตาล หรือ Sugar Free แม้จะยังมีขนาดเล็ก แต่มีการเติบโตสูง เพราะด้วยเทรนด์การดูแลสุขภาพมากขึ้น น้ำดำแบบไม่มีน้ำตาล มีการเติบโต 20.2% ส่วนน้ำสีแบบไม่มีน้ำตาล เติบโต 57.2%

ด้วยตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อิชิตันต้องแตกไลน์สินค้าใหม่ จะอยู่เพียงแค่ชาเขียวแบบเดิมไม่ได้ อีกทั้ง ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้บอกว่า จริงๆ อยากทำน้ำอัดลมตั้งแต่ 3 ปีก่อนแล้ว แต่มาติดช่วง COVID-19 พอดี ปีนี้ได้ลงทุนเครื่องจักรที่สามารถทำน้ำอัดลมได้ เลยทำสินค้าใหม่ขึ้นมา

นอกใจญี่ปุ่น จับเทรนด์เกาหลีครั้งแรก

ในการเปิดตัวตันซันซูครั้งนี้ คุณตันถึงเอ่ยปากเลยว่า “รู้สึกเขิลๆ” เพราะต้องนอกใจญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก หลังจากทำตลาดญี่ปุ่นมากว่า 20 ปี แล้วต้องมาทำตลาดเกาหลีในปีนี้ แต่คุณตันก็บอกว่าเป็นไปตามเทรนด์ เพราะตนเองไม่สามารถเป็น CEO ได้ตลอด ต้องมีสินค้าที่จับคนรุ่นใหม่เข้ามาบ้าง

“อยู่กับญี่ปุ่นมา 20 ปี เป็นครั้งแรกที่เดินออกจากญี่ปุ่นมาเกาหลี ยังเขินๆ อยู่ ต้องยอมรับว่าเกิดจากสังคมของลูกหลาน แฟนคลับที่เรียกร้อง ถ้าอยากจับ K-pop แต่มาทำญี่ปุ่นก็ทำไม่ได้ แต่วัฒนธรรมญี่ปุ่นกับเกาหลีก็ใกล้เคียงกันอยู่ ตอนนี้ต้องโฟกัสธุรกิจคนรุ่นใหม่ แต่ก่อนทำธุรกิจชาญี่ปุ่นมาตลอด แต่ตอนนี้ต้องหาเทรนด์ใหม่ๆ” 

เบื้องหลังในการพัฒนาตันซันซูขึ้นมา ใช้เวลาประมาณ 1 ปี เริ่มต้นจากคุณตันพบเห็นบรรยากาศรอบตัว ทั้งเวลาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน ลูกๆ ก็ชอบซื้อโซจูมาสังสรรค์ หรือเวลาไปสนามบิน ก็จะเจอแฟนคลับกลุ่มศิลปินเกาหลีมาเฝ้ารอศิลปินกันอย่างเนืองแน่น พร้อมกับบอกคุณตันว่าอยากให้คุณตันทำสินค้าที่เกี่ยวกับเกาหลี หรือดึงศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์

คุณตันจึงเริ่มเห็นโอกาสอันมหาศาลของ K Wave หรือคลื่นของ K-pop ที่ถาโถมในไทย และทั่วโลก มีข้อมูลว่าปัจจุบันตลาด K-POP Community ประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 6 ของโลกด้วยมูลค่าสินค้าและบริการกว่า 9.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 350 ล้านบาท เป็นตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยกลุ่ม Gen Z ซึ่งมีความเป็นกลุ่มก้อนเหนียวแน่นชัดเจน

เห็นได้จากการรวมพลังเพื่อสนับสนุนศิลปินที่รักเต็มที่ เช่น การ sold out ของแทบทุกคอนเสิร์ต การสร้างปรากฏการณ์ห้างแตก การมีด้อมระดับนานาชาติที่ทรงพลังในโซเชียลมีเดียเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทรงพลัง เมื่อมองในภาพรวมสัดส่วนประชากรไทย Gen Z มีสัดส่วนถึง 23% มีบทบาทสำคัญในตลาดอุปโภคบริโภค มีอำนาจในการตัดสินใจเลือกและจับจ่ายสินค้าที่เหมาะกับตนเอง ดังนั้น การเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมใหม่นี้จึงส่งผลให้อิชิตันพัฒนาเครื่องดื่มที่ตอบสนองพลังร่วมสมัย และเป็นการพลิกโฉมยุคใหม่ของอิชิตันด้วย

นอกจากนี้ไทยยังได้รับอิทธิพลจากเกาหลีในหลายๆ ด้าน ทั้งแฟชั่น เครื่องสำอาง อาหาร ซีรีส์ บันเทิง รวมไปถึงการท่องเที่ยว คนไทยไปเที่ยวเกาหลีมากขึ้นถึง 12.1% ในช่วงก่อน COVID-19 ทุกอย่างล้วนเป็นอิทธิพลจากเทรนด์ของเกาหลีทั้งสิ้น

โดยเฉพาะ K-drink จะเห็นได้ว่าช่วงปีที่ผ่านมาเราได้เห็นโซจูเป็นหนึ่งในวงสังสรรค์มากขึ้น ตลาดโซจูโตมากกว่า 100% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 1,000 ล้านบาท และยังไม่เคยมีที่ไหนพัฒนาโซจูแบบไม่มีแอลกอฮอล์เลยด้วย

ส่วนชื่อตันซันซู แปลว่า น้ำซ่า คุณตันเล่าว่าก่อนจะเป็นชื่อนี้มีการคิดด้วยกันหลายชื่อ ทั้งอิชิตันโซดา, อิชิตันบอมบ์ แต่ตันซันซูก็ชนะในที่สุด เพราะได้ฟีลเกาหลีเกาใจ และยังสื่อถึงอิชิตันด้วย

เป้าหมายใหญ่ กับรายได้หมื่นล้าน!

ตลาดชาพร้อมดื่มในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการเติบโต 23% มีมูลค่า 10,380 ล้านบาท คาดการณ์ว่าทั้งปี 2022 จะมีมูลค่า 13,000 เติบโต 20% เรียกว่าเป็นการเติบโต 2 หลักในรอบ 5 ปี โดยในช่วงก่อน COVID-19 เคยมีมูลค่า 16,000 ล้านบาท ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดชาพร้อมดื่มมีการเติบโต ส่วนใหญ่มาจากการคลายล็อกดาวน์ มาตรการเปิดเมือง เปิดเศรษฐกิจ ทำให้ยอดขายในร้านสะดวกซื้อเติบโตได้ดี แต่ในปีหน้าคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโต 15-20%

ในการออกตันซันซูในครั้งนี้ คุณตันคาดหวังว่าตัวนี้จะเป็นตัวเอกหลักของกลุ่ม Non-Tea ในการสร้างรายได้ให้มากขึ้น เรียกว่าเป็น “ความหวังใหม่” ก็ว่าได้ เพราะตอนนี้กลุ่ม Non-Tea มีสัดส่วนรายได้แค่ 4% เท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้มีสินค้าเพียงแค่น้ำด่างแค่ตัวเดียว ตั้งเป้าให้มีสัดส่วน 12% ในปีหน้า

โดยคุณตันมีเป้าหมายใหญ่ก็คือรายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท เคยตั้งเป้ามา 4-5 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมามีสะดุดทั้งเรื่องภาษีน้ำตาล เรื่องโปรโมชัน และ COVID-19 ในปีนี้เริ่มมีสัญญาที่ดีขึ้น เป็นปีแรกที่รายได้ของไตรมาส 3 ชนะช่วงไตรมาส 2 หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาหลายปี

อีกหนึ่งสัญญาณที่คุณตันมองว่าตันซันซูจะเป็นความหวังใหม่ได้นั้น เนื่องจากหลังที่วางตลาดได้ไม่นาน สินค้าก็ได้ขาดตลาด อิชิตันเคยเกิดปรากฏการณ์นี้ก็ตอนออก “เย็นเย็น” เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ขาดตลาดเช่นเดียวกัน จึงมองว่าสินค้าน่าจะได้รับการตอบรับดี

สำหรับตันซันซูจะทำการตลาดแนว Real Korean นอกจากจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์นเทรดทั่วไปแล้ว มีแผนจะเข้าร้านอาหารเกาหลี และซูเปอร์มาร์เก็ตเกาหลีเพิ่มเติม ส่วนถ้าจะมีพรีเซ็นเตอร์ ก็ต้องเป็นคนเกาหลีจริงๆ จะเป็นศิลปิน หรือนักแสดง ยังคงเป็นความลับ อาจจะได้เห็นในช่วงปีหน้าก็เป็นได้

]]>
1410129
ชาวเกาหลี จัด ‘Revenge Travel’ เเห่เที่ยวต่างประเทศ ยอดจองตั๋วพุ่ง ‘ฮาวาย-ไซปัน’ ยอดฮิต https://positioningmag.com/1380125 Fri, 01 Apr 2022 12:21:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380125 ชาวเกาหลีใต้ เเห่เที่ยวต่างประเทศ หลังอัดอั้นมานานกว่า 2 ปี จากข้อจำกัดต่างๆ ในช่วงวิกฤตโควิด ปักหมุดจุดหมายปลายทางยอดนิยมฮาวายไซปันกวมอาเซียนยุโรป

ผมซื้อตั๋วไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตัดสินใจเเบบง่าย ๆ เลย รู้สึกเหมือนกำลังชดเชยที่ไม่ได้ออกไปท่องเที่ยวตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถไปต่างประเทศได้บ่อยเหมือนเมื่อช่วงก่อนโควิด

ชายชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ Reuters ระหว่างที่เขาเเละภรรยากำลังจะขึ้นเครื่องที่สนามบินนานาชาติอินชอน เพื่อไปเที่ยวฮาวาย หลังฉีดวัคซีนครบโดส

ชาวเกาหลีใต้จำนวนมาก กำลังเข้าสู่ช่วง “Revenge Travel” ซึ่งเป็นคำที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดีย เนื่องจากผู้คนต่างแย่งชิงเพื่อจองทริปต่างประเทศ หลังไม่ได้ท่องเที่ยวเป็นเวลานานจากการเเพร่ระบาดที่ยืดเยื้อ

เมื่อวันที่ 21 มี.. รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประกาศยกเลิกมาตรการเข้าประเทศต้องกักตัว 7 วัน สำหรับผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดครบ 2 เข็มเเล้ว

โดยการจำกัดดังกล่าวเคยได้รับการผ่อนคลายลงในปีที่แล้ว แต่ก็กลับมาบังคับใช้อีกครั้งในเดือนธันวาคม เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ เกาหลีใต้จึงค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวดลง เเม้ขณะนี้จะมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่หลายเเสนคนต่อวัน เช่นเดียวกับหลายประเทศที่มีการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางลงบ้างเเล้วอย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ผลสำรวจความคิดเห็น ชี้ให้เห็นว่า ชาวเกาหลีดูพร้อมที่จะเดินทางมากขึ้น ไม่ค่อยกังวลกับผลกระทบเมื่อติดโควิด และค่อยๆ มองว่าเเม้จะป้องกันไปก็ไร้ประโยชน์

Photo : Shutterstock

ยอดขายตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศบนเเพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 11st ในช่วงระหว่างวันที่ 11 มี.. ที่มีประกาศยกเลิกมาตรการกักตัว จนถึงวันที่ 27 มี.. นั้นเพิ่มขึ้นกว่าแปดเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เหล่าสายการบินและบริษัทนำเที่ยว รายงานว่า ความต้องการเดินทางไปฮาวาย ไซปัน และกวม พุ่งสูงขึ้นมาก รวมไปถึงบางประเทศในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักท่องเที่ยวผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสเเล้วสามารถเข้าประเทศได้เเบบไม่ต้องกักตัว

โดยไซปันและกวม มีข้อตกลง ‘travel bubble’ กับเกาหลีใต้อยู่แล้ว พร้อมยังเสนอการตรวจโควิดฟรี และจ่ายค่ากักตัวให้ถ้านักเดินทางตรวจเจอโควิด เเละชาวเกาหลีใต้ทุกคนที่มาเยือนไซปันได้รับเงิน 100 ดอลลาร์เพื่อจูงใจให้จับจ่ายซื้อของกับร้านท้องถิ่น

ด้านบริษัททัวร์ในเครือกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่าง Interpark Corp รายงาน ยอดจองเครื่องบินที่เดินทางไปโอเชียเนีย ระหว่างวันที่ 11-22 มี..65 เติบโตขึ้นถึง 324% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2021 เเละไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 268% ไปยุโรปเพิ่มขึ้น 262%

เมื่อวันอาทิตย์ (27 มี..) ที่ผ่านมา บริษัทเเห่งหนึ่งขายแพ็กเกจทัวร์ไปฮาวายกว่า 5,200 เเพ็กเกจหมดเกลี้ยง ภายในเวลาเพียง 70 นาที

Lee Jeong-pil ผู้จัดการทั่วไปแผนกโฮมช้อปปิ้งของ CJ กล่าวว่า ความต้องการเดินทางต่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นว่า มาตรการควบคุมการเดินทางจากโควิด-19 กำลังจะใกล้สิ้นสุดลงเเล้ว

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1380125
เปิดเส้นทาง “มาชิตะ” กับกลยุทธ์ Partnership Marketing จับ “สาหร่าย” คู่ร้านอาหารอย่างลงตัว! https://positioningmag.com/1338888 Mon, 26 Jul 2021 03:00:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338888
หากพูดถึงตลาดสาหร่ายในประเทศไทย หลายๆ แบรนด์มักเดินเกมด้วยการสื่อถึงสไตล์ “เกาหลี” มาโดยตลอด เพราะเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องสาหร่ายเป็นอันดับต้นๆ และมีกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัย มีวัฒนธรรมการทานสาหร่ายที่แข็งแกร่ง

โดยที่แบรนด์ “มาชิตะ” ก็มีการสร้างแบรนด์ด้วยสไตล์เกาหลีมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินเกมสร้างความต่างจากคู่แข่ง โดยทุกสินค้าเป็นสูตร 0% ผงชูรส (No Msg) โดยนำเข้าสาหร่ายคุณภาพพรีเมี่ยม จากประเทศเกาหลี 100% อีกทั้งยังเป็นเจ้าแรกที่พ่วงกลยุทธ์ Partnership Marketing ยิ่งตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์มากขึ้นไปอีก

ฉีกกรอบตลาด สร้างความต่างด้วย Partnership Marketing

มาชิตะเป็นแบรนด์สาหร่ายภายใต้เครือ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” จนถึงวันนี้ได้ทำตลาดมานับ 10 ปี แรกเริ่มนั้นมาชิตะก็ใช้กลยุทธ์ “โอปป้า มาร์เก็ตติ้ง” โดยเป็นแบรนด์สาหร่ายรายแรกของไทยที่มีการนำพรีเซ็นเตอร์เกาหลีมาใช้เป็นกลยุทธ์การทำตลาด เพื่อสร้างการรับรู้อย่างรวดเร็ว และจับกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น

ตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์มาชิตะได้เริ่มใช้ “คยูฮยอน” น้องเล็กแห่งวงในตำนานอย่างซูเปอร์ จูเนียร์ โดยคยูฮยอนอยู่ในครอบครัวมาชิตะถึง 5 ปี ก่อนที่ในปี 2560 จะถูกเปลี่ยนมาเป็น 5 หนุ่มวง NCT วงน้องใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงขณะนั้น และตามมาด้วย “พัคจีฮุน” อดีตสมาชิกบอยแบนด์ “วอนนาวัน (WANNA ONE)”

ต้องบอกว่าการทำตลาดของสินค้าในพอร์ตของสิงห์ กลยุทธ์ที่สำคัญนอกเหนือจากการใส่ใจเรื่องคุณภาพของสินค้าแล้วก็คือการ “สร้างความแตกต่าง” ของสินค้าหรือแบรนด์ ให้โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่ง โดยได้มีการศึกษาและติดตามเทรนด์ผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้

มาชิตะเองก็เช่นกัน แม้จะเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จด้วยโอปป้า มาร์เก็ตติ้งอย่างมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะสร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่นในตลาด ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาชิตะได้หันมาทำการตลาดแนวใหม่ เดินเกม Partnership Marketing ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกๆที่หันมาเล่นกลยุทธ์นี้ ย้ำภาพสาหร่ายไม่ใช่แค่สแน็คที่ต้องอยู่บนชั้นขนมอย่างเดียวเท่านั้น แต่สามารถนำรสชาติที่ได้รับความนิยมในร้านอาหารชื่อดังต่างๆมาอยู่ในซองสาหร่ายมาชิตะได้ ทำให้แบรนด์มีความโดดเด่น สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และวางจุดยืน สร้างความยั่งยืนให้กับแบรนด์ได้อย่างดี

มาชิตะได้ประเดิมกลยุทธ์นี้ตั้งแต่ปี 2561 ด้วยการจับมือกับ “บาร์บีคิวพลาซ่า” แบรนด์ปิ้งย่างชื่อดัง ส่งสาหร่ายทะเลทอดกรอบ “เบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า” จำหน่ายตามหน้าเชลฟ์ร้านค้าชั้นนำต่างๆ พร้อมต่อยอดการตลาดจากเชลฟ์สแน็ค สู่โปรโมชั่นในร้านอาหารบาร์บีคิวพลาซ่ากับชุดเครื่องเคียงเกาหลี พร้อมสาหร่ายจากมาชิตะในชุด

ที่ผ่านมามาชิตะได้เปิดตัวรสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอทั้งรสออริจินัล รสสไปซี่ รสบาร์บีคิว รสลาบ หรือรสต้มยำ แต่การร่วมมือกับบาร์บีคิวพลาซ่า ถือเป็นการปฏิวัติวงการขนม และร้านอาหาร ในการจับมือร่วมกันของ 2 อุตสาหกรรม สร้างความต่างจากตลาด โดยดึงเอกลักษณ์คือ “น้ำจิ้ม” สูตรเฉพาะของบาร์บีคิวพลาซ่ามาผสานกับสาหร่ายทะเลทอดกรอบจนได้เป็น“รสเบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า” เปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองชิมสินค้า

จากนั้นมาชิตะได้ตอกย้ำกลยุทธ์ Partnership Marketing อย่างต่อเนื่อง ในแคมเปญ “มาชิตะ x ร้านดัง อร่อยปัง ยกกำลังสอง” ประเดิมโปรเจ็กต์แรกควงแบรนด์ไก่ทอดเกาหลีชื่อดังอย่าง “บอนชอน ชิคเก้น” (BonChon Chicken) นำเมนู Signature ยอดนิยมของร้านอย่าง “ไก่ทอดซอยการ์ลิค” ลงซองสาหร่าย ในครั้งนี้มาชิตะได้บุกตลาดสาหร่ายอบ

เมื่อปี 2563 มาชิตะก็ได้ผนึกกำลังกับ “ซูกิชิ” (Sukishi) ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลีชื่อดัง เปิดตัวรสชาติใหม่ “รสซี่โครงย่าง หมักซอสเกาหลี” เมนู Signature ยอดนิยมของร้าน

และเมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมานี้เอง มาชิตะได้จับมือกับ “ฮะจิบัง ราเมน” ร้านราเมนสัญชาติญี่ปุ่นชื่อดัง ได้เปิดตัวสาหร่ายอบรสชาติใหม่ “รสราเมนเย็น” ดึงเมนู Signature ยอดนิยมของร้าน เดินหน้ารักษาบังลังก์แชมป์ตลาดสาหร่ายอบ

ไขว้ฐานลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์

ต้องบอกว่าการเลือกร้านอาหารที่จะมาร่วม Collaboration ของมาชิตะนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะ ต้องใส่ใจและมีความพิถีพิถัน ทุกพาร์ทเนอร์ที่ร่วมมือกัน ล้วนแต่เป็นร้านอาหารที่มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับและไว้วางใจของผู้บริโภค ที่สำคัญคือรสชาติต้องอร่อย ซึ่งถือเป็นการผนึกจุดแข็งของทั้งคู่ได้อย่างลงตัว ด้วยการดึงเอาเมนูเด่น เมนูดังของร้าน ผสานเข้ากับสาหร่ายคุณภาพพรีเมี่ยม จากเกาหลี 100% เกิดเป็นรสชาติที่แปลกใหม่

นอกจากนี้ยังมีความสำคัญทั้งเรื่องการขยายช่องทางการขาย และการขยายฐานลูกค้าของกันและกันอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสินค้าขนมขบเคี้ยว ช่องทางการขายส่วนใหญ่จะอยู่ที่เชลฟ์วางสินค้าตามร้านค้าต่างๆ ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ

แต่การเป็นพาร์ทเนอร์กับร้านอาหาร ยังสามารถขยายช่องทางการขายไปยังหน้าร้านอาหารต่างๆ ได้อีก เป็นการเสริมช่องทางการขายได้มากขึ้น

อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เรียกว่าเป็นการไขว้ฐานลูกค้ากัน ลูกค้าที่เป็นแฟนๆ ร้านอาหาร ก็ได้ทดลองชิมมาชิตะ ส่วนลูกค้ามาชิตะก็ได้ลิ้มรสเมนูเด็ดของร้านอาหาร โดยที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ ล้วนมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ และกลุ่มครอบครัว จะช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มเหล่านี้มากขึ้น

ผู้นำสร้างสีสันให้ตลาด

ถ้าพูดถึงในบรรดาตลาดขนมขบเคี้ยว รวมถึงตลาดสาหร่ายเองนั้น ปกติแล้วส่วนใหญ่จะมีความเคลื่อนไหวหลักแค่เพียงการออกรสชาติใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค และสร้างสีสันให้ตลาด

แต่การ Partnership Marketing ของมาชิตะนั้น เรียกว่าเป็นผู้นำในการสร้างสีสันใหม่ๆ ที่แตกต่างอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดขนมขบเคี้ยว รวมถึงตลาดร้านอาหารด้วย เรียกว่าตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ครบทุกกลุ่มตั้งแต่วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ไปจนถึงวัยทำงาน ทำให้เกิดการลองของใหม่อย่างต่อเนื่อง

เรียกว่าเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่กระตุ้นการเติบโตให้ตลาดอีกด้วย เพราะตลาดล้วนเติบโตตามนวัตกรรม และสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ และส่วนใหญ่การจับมือของมาชิตะกับร้านอาหารนั้น จะเป็นรสชาติชั่วคราว ที่วางจำหน่ายเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น เพื่อสร้างสีสัน และเป็นรสชาติพิเศษ ยิ่งสร้างความ Exclusive ให้ผู้บริโภคด้วย

ยุคนี้ต้องเฮลท์ตี้

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้มาชิตะเป็นแบรนด์ที่แตกต่างเหนือคู่แข่งรายอื่นในตลาด เป็นแบรนด์ที่ตอกย้ำเรื่องคุณภาพ ชูจุดเด่นเรื่อง “สุขภาพ” มาโดยตลอด โดยที่เป็นแบรนด์เดียวในตลาดสาหร่ายที่ทุกสินค้าเป็นสูตร 0% ผงชูรส (No Msg) ใช้สาหร่ายคุณภาพพรีเมี่ยม จากประเทศเกาหลี 100%

ที่ผ่านมาตลาดสาหร่ายได้รับอานิสงส์จากเทรนด์การดูแลสุขภาพอยู่แล้ว เพราะผู้บริโภคมีความเชื่อว่า การกินสาหร่ายดีต่อสุขภาพ ไม่ทำให้อ้วนเมื่อเทียบกับการกินขนมชนิดอื่น และสาหร่ายเองก็มีหลายสูตรทั้งทอด ย่าง อบ ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามใจชอบ

แต่ผู้บริโภคอาจจะกังวลเรื่องเครื่องปรุง ความเค็ม หรือแม้แต่การทอด มาชิตะจึงนำ Pain Point เหล่านั้นมาพัฒนาสินค้า ยกเครื่องสูตรใหม่ชู “0% ผงชูรส” ในสินค้าทุกชนิด และชูสินค้า “สาหร่ายอบ” เป็นโปรดักส์ ฮีโร่ในการสร้างการเติบโต และทำตลาดแก่ผู้บริโภค ทำให้ปัจจุบันมาชิตะสามารถเป็นผู้นำในเซ็กเมนต์สาหร่ายอบด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 39%

ด้านภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายมีมูลค่าประมาณ 2,101 ล้านบาท แม้มูลค่าตลาดจะลดลงเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่แบรนด์สาหร่ายมาชิตะ ยังคงมีการเติบโต ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดปี 2563 อยู่ที่ 18.3% โดยเฉพาะสาหร่ายประเภทอบ แม้ตลาดรวมจะติดลบ 19.2% แต่มาชิตะเติบโตถึง 6% มีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 31.5%

จะเห็นได้ว่าเส้นทางของมาชิตะกับการใช้สูตรเด็ด Partnership Marketing ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์ ทั้งสร้างความแตกต่างให้เหนือคู่แข่ง อีกทั้งยังช่วยสร้างสีสันให้ตลาดได้อย่างดี สุดท้ายยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ด้วย นับว่าเป็นสูตรสำเร็จในการจับคู่สาหร่ายกับร้านอาหารได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว!
]]>
1338888
เกาหลีออกกฎใหม่ ห้ามใช้ไอดอลสาวโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว https://positioningmag.com/1252242 Mon, 04 Nov 2019 15:14:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1252242 หลังจากที่บ้านเราตื่นตัวกันมานานในเรื่องของโฆษณาเหล้า และบุหรี่ ทางด้านเกาหลีใต้ที่มักมีการใช้ไอดอลสาวๆ โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เริ่มออกกฎแบนไม่ให้ใช้รูปคนดังสาวๆ มาโฆษณาบนขวดเครื่องดื่มอีกต่อไป

ด้านกระทรวงสาธารณสุขของเกาหลีใต้ ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ว่า กำลังมีการพิจารณาห้ามใช้รูปศิลปิน ดารา นักร้อง ปิดฉลากลงบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่ม โซจู (เหล้าขาวเกาหลี) ที่นิยมใช้ดารา หรือไอดอลสาวๆ คนดังมาโฆษณา และปิดรูปไว้ที่ขวดอย่างชัดเจน ถือเป็นการเชิญชวนนักดื่ม และเพิ่มจำนวนนักดื่มวัยเยาว์ให้เพิ่มมากขึ้นด้วย แม้ว่าการใช้สาวๆ คนดังมาโฆณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นเรื่องปกติของสังคมเกาหลีที่นิยมทำมานานแล้วก็ตาม

โดยกฎดังกล่าวได้ถูกบัญญัติ และเตรียมบังคับใช้ทางกฎหมายแล้ว

“ซองบุหรี่มีภาพของการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็งให้ได้ดู เพื่อเตือนถึงผลกระทบด้านสุขภาพที่จะได้รับจากการสูบบุหรี่ เพราะฉะนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะมีการห้ามใช้รูปดาราศิลปินนักร้องมาปิดไว้ที่ข้างขวดบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน”

การตัดสินใจออกกฎดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงกฎหมายห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ที่ดูจะอ่อนแออย่างมากเมื่อเทียบกับแคมเปญรณรงค์ลดการสูบบุหรี่ นอกจากนั้นเกาหลีใต้ที่เป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ โออีซีดี (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) ก็นับเป็นเพียงประเทศเดียวที่มีการใช้รูปคนดังมาโฆษณาลงบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

จากการบังคับใช้กฎดังกล่าว บรรดาพรีเซ็นเตอร์คนดังตัวท็อปของประเทศที่เคยรับงานประเภทนี้ทั้ง ซูจี, ไอยู, ซอลฮยอน, นาอึน, ไอรีน และ เซจอง ก็จะไม่มีใบหน้าติดอยู่บนขวดแอลกอฮอล์เพื่อเชิญชวนนักดื่มอีกต่อไป

Source

]]>
1252242
เมียงดง มิดิโอะ รีเทลเกาหลีบุกไทย https://positioningmag.com/1157448 Mon, 19 Feb 2018 06:00:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1157448 โมเดิร์นเทรดเริ่มมีสีสันแปลกตามากขึ้น เมื่อทุนเกาหลีเริ่มเข้ามาบุกตลาดค้าปลีกเมืองไทย ต่อยอดจากธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ เครื่องสำอาง และธุรกิจศัลยกรรมความงาม ที่ได้รับความนิยมตามกระแสคลื่นวัฒนธรรมเกาหลีที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง มีกลุ่มแฟนคลับเกาะติดเทรนด์อย่างเหนียวแน่น

แม้ขณะนี้ยังไม่มีนักลงทุนเกาหลีเข้ามาบุกเบิกศูนย์การค้าขนาดใหญ่ แต่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชิมลางขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทล็อตเต้ (Lotte) ผู้ประกอบกิจการธุรกิจขนาดใหญ่และร้านค้าสินค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) รายใหญ่ในเกาหลีใต้ โดยเช่าพื้นที่ขนาด 10,000 ตร.. เปิดร้านค้าระดับเวิลด์คลาส เพื่อทดลองใช้ไทยเป็นฐานการลงทุน และทำตลาดแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากขยายสาขาดิวตี้ฟรีชอปในประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เนื่องจากกลุ่มล็อตเต้มีธุรกิจในเครือข่ายจำนวนมาก ทั้งธุรกิจอาหาร ร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สวนสนุก ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจการเงิน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ไอที รวมถึงธุรกิจที่อยู่อาศัย กลุ่มเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

ล่าสุด กลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์ของเกาหลีเริ่มบุกรีเทลตามมาอีกระลอก อย่าง อาร์โควา (Arcova Korean Lifestyle Stores) ร้านจำหน่ายสินค้าราคาเดียว เริ่มต้นที่ 50 บาท ซึ่งเน้นสินค้าเจาะกลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน คนรุ่นใหม่ มีสินค้ามากกว่า 10,000 เอสเคยู ทั้งกลุ่มเครื่องสำอาง ของใช้ในชีวิตประจำวัน สินค้าแฟชั่น ตุ๊กตา สินค้าจิปาถะ โดยเปิดตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จนล่าสุดเปิดแล้ว 5 สาขา ได้แก่ สาขาเอ็มบีเค เซ็นเตอร์พอยท์ โชว์ดีซี จีทาวเวอร์ และซีคอนสแควร์

ส่วนร้านมิดิโอะ (Midio Korean Selections) ร้านนี้เพิ่งเปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ที่ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ล่าสุดขยายเพิ่มอีก 2 สาขาที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์และยูเนี่ยนมอลล์ รวมถึงมีแผนเดินสายจัดอีเวนต์สร้างการรับรู้แบรนด์ร่วมกับกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

สุรชัย ปิยวัชรวิจิตร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซี.เอ.พี. มิวสิค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายซีดี ดีวีดี วีซีดี คาราโอเกะ เพลงและภาพยนตร์ต่างประเทศ ภายใต้ชื่อร้าน “CAP” เปิดเผยกับผู้จัดการ 360” ว่า บริษัทตัดสินใจขยายไลน์ธุรกิจใหม่ หลังจากธุรกิจจำหน่ายซีดี ดีวีดี เริ่มชะลอตัวตามเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของทั่วโลก โดยลงทุนซื้อสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ร้าน “Midio” จากบริษัทร่วมทุนเกาหลีจีนในประเทศจีน โดยถือเป็นแบรนด์ร้านค้าปลีกที่มีความแข็งแกร่งมากในตลาดเซาท์อีสต์เอเชีย มีเครือข่ายสาขาจำนวนมากในประเทศจีน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ จนล่าสุดเข้ามาเปิดสาขาในไทย

ทั้งนี้ ชื่อ “Midio” เป็นชื่อที่แปลงมาจาก “Myeong-dong” หรือที่นักชอปแฟนคลับเกาหลีเรียกว่าเมียงดงซึ่งถือเป็นย่านชอปปิ้งสุดฮิตและคึกคักมากที่สุดในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ประมาณสยามสแควร์เมืองไทย เป็นทั้งศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารนับไม่ถ้วน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเคยได้รับการจัดอันดับเป็นชอปปิ้งสตรีทที่มีมูลค่าแพงที่สุดด้วย

สุรชัยกล่าวว่า แบรนด์มิดิโอะมีความเป็นเกาหลีชัดเจนและมีความแข็งแกร่งทั้งรูปลักษณ์และตัวสินค้า ขณะที่แบรนด์คู่แข่งส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น บางแบรนด์เป็นสินค้าจากจีนหรือเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่คนไทยทำเอง แต่มิดิโอะเน้นสินค้านำเข้าและรูปแบบสไตล์เกาหลี มีความฟรุ้งฟริ้งมากและลวดลายความน่ารักต่างจากสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น มั่นใจว่าจะเป็นจุดแตกต่างที่โดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งวัยรุ่น คนรุ่นใหม่และแฟนคลับเกาหลีในไทยที่มีฐานจำนวนมาก

สินค้ามีทั้งสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ของขวัญ สินค้าที่ระลึก ราคาขายในไทยเริ่มต้นที่ 69 บาท โดยกลุ่มสินค้ายอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ ตุ๊กตา น้ำหอม หมอนรองคอ น้ำหอมปรับอากาศ และหน้ากากปิดตา ซึ่งยอดขายหลักในขณะนี้ยังมาจากหน้าร้าน แต่บริษัทจะเร่งขยายฐานลูกค้าผ่านออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ ทั้งขายส่งและขายปลีก โดยเฉพาะการขายผ่านออนไลน์มีโอกาสเติบโตสูงมากเนื่องจากช่วงทดลองตลาด 3 เดือนแรก สินค้าได้รับการตอบรับอย่างดี กลุ่มลูกค้ามองความนิยมสินค้าสไตล์เกาหลีตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากกว่าสไตล์ญี่ปุ่น ทั้งในแง่แฟชั่น สีสันความสดใส

นอกจากนี้ ซี.เอ.พี.มิวสิค อยู่ระหว่างการติดต่อกับบริษัทแม่ เพื่อเพิ่มกลุ่มสินค้าไลเซนส์ตัวการ์ตูนและดาราเกาหลีที่คนไทยรู้จักและชื่นชอบ เพื่อเปิดกลยุทธ์รุกตลาดและสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับแดนกิมจิ

ด้านแผนการขยายสาขาในปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดร้านมิดิโอะเพิ่มอีก 2 แห่งในศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และเซ็นทรัล พื้นที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80 ตารางเมตร งบลงทุนต่อสาขาประมาณ 5 ล้านบาท

สำหรับการขายแฟรนไชส์ยังต้องรอเวลาอีกระยะ เพื่อให้ระบบต่างๆ มั่นคงก่อน หรืออาจไม่ขายแฟรนไชส์ด้วย เนื่องจากบริษัทเน้นหาลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีที่สนใจซื้อสินค้าไปจำหน่าย โดยใช้จุดขายเรื่องสินค้ามีมาตรฐานและคุณภาพมากกว่าสินค้าราคาเดียวตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งผู้สนใจสามารถซื้อสินค้าและไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์เหมือนแบรนด์อื่นๆ

แหล่งข่าวในวงการธุรกิจค้าปลีกระบุว่า ธุรกิจร้านค้าราคาเดียวยังมีแนวโน้มเติบโตสูง เหตุผลสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจที่กดดันให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าในราคาประหยัดและกลุ่มลูกค้าขยายฐานมากขึ้น จากอดีตที่เป็นกลุ่มประชาชนระดับล่างที่เลือกซื้อสินค้าราคาเดียวตามตลาดนัดหรือร้านค้าตามชานเมือง ปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่และมีความต้องการสินค้าไลฟ์สไตล์ ผู้ค้าส่วนใหญ่จึงพยายามสร้างแบรนด์ตามความนิยม โดยเฉพาะแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลี

แต่เนื่องจากภาพลักษณ์แบรนด์ญี่ปุ่นถูกนำมาใช้ช่วงระยะหนึ่งทำให้แบรนด์เกาหลีกลายเป็นจุดขายใหม่บวกกับกระแสวัฒนธรรมเกาหลียังมีความแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากศิลปินดารา นักร้อง ซึ่งมีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่

ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทยระบุว่า ตลาดรวมค้าส่งค้าปลีกของไทยมีมูลค่ากว่า 3.1 ล้านล้านบาท แยกเป็นค้าปลีกค้าส่งแบบออฟไลน์ประมาณ 3 ล้านล้านบาท และอีก 1 แสนล้านบาทเป็นค้าปลีกค้าส่งในรูปแบบออนไลน์ หากเปรียบเทียบธุรกิจค้าปลีกทุกรูปแบบพบว่า ซูเปอร์มาร์เกตมีอัตราเติบโตเพียง 7% กลุ่มไฮเปอร์มาร์เกตเติบโต 2% คอนวีเนียนสโตร์เติบโต 3% ห้างสรรพสินค้าเติบโต 3% แต่โมเดลค้าปลีกกำลังมาแรงนับจากนี้ คือร้านค้าเฉพาะทาง หรือสเปเชียลตี้สโตร์ หรือร้านขายสินค้าประเภทราคาเดียว

เหมือนในสหรัฐอเมริกาที่เกิดกระแสสมรภูมิร้านดอลลาร์สโตร์ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่หันมารุกตลาดเซกเมนต์นี้ หวังชิงส่วนแบ่งเม็ดเงินจับจ่ายของเหล่ามิลเลนเนียลที่มีมูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

การรุกธุรกิจรีเทลของกลุ่มทุนเกาหลีจึงไม่ใช่แค่รายสองรายเท่านั้นแน่.

สนับสนุนข่าวโดย : gotomanager.com

]]>
1157448
ซัมซุงเตรียมวางขาย “กาแลคซี่ โน้ต 7” รุ่นรีเฟอร์บิช (รุ่นเปลี่ยนแบตเตอรี่) 7 ก.ค.ที่เกาหลี ราคาถูกลง 30% https://positioningmag.com/1131348 Mon, 03 Jul 2017 04:09:01 +0000 http://positioningmag.com/?p=1131348 ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (Samsung Electronics) ได้เตรียมนำสมาร์ทโฟน กาแลคซี่ โน้ต 7 (Galaxy Note 7) อันลือลั่น กลับมาขายใหม่ในเวอร์ชัน รีเฟอร์บิช (Refurbish) โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในเกาหลีใต้วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ 

เชื่อว่าหลายคนคงยังจำได้ดีกับเหตุการณ์สมาร์ทโฟนกาแลคซี่ โน้ต 7 ของซัมซุงระเบิดจนสร้างความเสียหายให้กับซัมซุงอย่างมาก และถึงแม้จะเปลี่ยนสินค้ารอบสองแล้วแต่ก็ยังเกิดปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บริษัทต้องเรียกคืนสินค้าครั้งใหญ่ และนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่มากมายมหาศาล มากไปกว่านั้น สายการบินนานาชาติหลายแห่งก็ปฏิเสธไม่ให้นำสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวขึ้นบินไปพร้อมกันอีกด้วย

ส่วนปัญหาที่ทำให้กาแลคซี่ โน้ต 7 ระเบิดนั้น คาดว่ามาจากแบตเตอรี่ แต่การนำกาแลคซี่ โน้ต 7 กลับมาขายใหม่นี้ ได้มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นคนละรุ่นกับตัวที่ทำให้เกิดการระเบิดแล้ว โดยได้มีการลดความจุแบตเตอรี่ลงให้น้อยกว่าเดิม และต้องผ่านการตรวจวัดมาตรฐานด้านความปลอดภัยตัวใหม่ของซัมซุงด้วย

โดยจำนวนสินค้าที่วางขายนั้นจะมีประมาณ 400,000 เครื่อง ซึ่งซัมซุงให้ชื่อว่า กาแลคซี่ โน้ต 7 แฟนอิดิทชัน (Galaxy Note 7 Fan Edition) สนนราคาอยู่ที่เครื่องละ 699,600 วอน หรือประมาณ 611 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกกว่าราคาเมื่อตอนเปิดตัวประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ได้

และจากเหตุการณ์สมาร์ทโฟนกาแลคซี่ โน้ต 7 ระเบิดนั้น ชื่อเสียงของ “ซัมซุง” เองได้ถูกทำลายลงไปจนเรียกได้ว่าติดลบ และนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายให้กับซัมซุงสูงถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ซัมซุงกลับมาพลิกฟื้นได้อีกครั้งด้วย กาแลคซี่ เอส 8 

รอยเตอร์ได้อ้างแหล่งข่าวระบุว่า ทางบริษัทซัมซุง จะมีการเปิดตัวกาแลคซี่ โน้ต 8 ในช่วงเดือนสิงหาคมด้วย

ส่วนแผนการวางจำหน่าย กาแลคซี่ โน้ต 7 รุ่นรีเฟอร์บิชในตลาดอื่นๆ นอกจากเกาหลีใต้นั้นกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า รุ่นรีเฟอร์บิชนี้จะไม่นำไปขายในสหรัฐอเมริกา และอินเดียเป็นอันขาด


ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000067344

]]>
1131348