เครือเซ็นทรัล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 20 Feb 2024 03:33:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เซ็นทรัลพัฒนา” เล่นใหญ่! ผนึกพันธมิตรระดับโลกสร้าง Mega Magnet ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศตลอดทั้งปี https://positioningmag.com/1463165 Tue, 20 Feb 2024 09:45:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463165

ประเดิมต้นปีรับศักราชใหม่ “เซ็นทรัลพัฒนา” ก็ได้เตรียมเซอร์ไพร์สนักช้อปทั่วโลกด้วยการเปิดตัวพันธมิตรยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่จะทำให้การช้อปปิ้งไร้พรมแดน ไร้ขีดจำกัดมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นแม็คเน็ตในการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาเที่ยวไทย เป็นการประตุ้นเศรษฐกิจตลอดทั้งปี

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทย และผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ ประกาศดึงพันธมิตรระดับโลก WeChat Pay และ Linkiebuy ในเครือ Xingyun Group ในการขยายช่องทางการขายสินค้าแบรนด์ในเครือเซ็นทรัล เจาะตลาดจีนบนดิจิทัลแพลตฟอร์มด้วย WeChat Mini Program

พร้อมกันนี้ยังได้จับมือ Lotte Duty Free จากประเทศเกาหลีใต้ ทำ Cross Membership ร่วมกับ The 1 เพื่อมอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับสมาชิก อีกทั้งยังเตรียมเปิด Klook Lounge พื้นที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวที่แรกที่เซ็นทรัลเวิลด์

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“ตัวเลขนักท่องเที่ยวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่าตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยเกิน 3 ล้านคนแล้ว สร้างรายได้มากกว่า 1แสนล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 5.1 แสนคน, มาเลเซีย 3.2 แสนคน, เกาหลีใต้ 2.2, รัสเซีย 2.2แสนคน, แสนคน และอินเดีย 1.6 แสนคน

เซ็นทรัลพัฒนาเองมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว จากการมีศูนย์การค้าในเครือมากถึง 40 สาขาโดยมีศูนย์การค้าให้บริการอยู่ในจังหวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศไทยถึง 15 สาขาครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทยตั้งแต่ภาคกลางและภาคตะวันออก อาทิ กรุงเทพมหานครฯ, อยุธยา, ชลบุรี, จันทบุรี, ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย, ภาคอีสาน ได้แก่ อุดรธานี, ภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ไปจนถึงเกาะสมุย อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่เรากำลังทำ จะเป็นการต่อยอดการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบ Online to Offline อย่างครบทุกมิติ เรามุ่งมั่นที่จะสร้าง Mega Magnet เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้เข้ามาเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่องและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้คึกคักตลอดทั้งปี”


3 แม็คเน็ตดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก

  1. Global Partnerships strengthens เสริมแกร่งพันธมิตรระดับโลก

จับมือร่วมกับ WeChat Pay และ Linkiebuy ขยายช่องทางการขายสินค้าแบรนด์ในเครือเซ็นทรัล ที่เป็นที่ชื่นชอบของนักช้อปชาวจีนอยู่แล้ว อย่าง GoodGoods, Comma And, และ Hug Craft เจาะตลาดจีนบนดิจิทัลแพลตฟอร์มด้วย WeChat Mini Program โดย Mini Program เป็นแพลตฟอร์มแอปฯ ที่ซ้อนอยู่บน WeChat อีกที พูดง่ายๆ คือ แบรนด์สามารถพัฒนาแอปฯ บนแพลตฟอร์ม WeChat ได้อย่างเต็มที่ ใส่ฟีเจอร์ได้หลากหลาย ส่วนในแง่ของประสบการณ์ของผู้ใช้งานก็สะดวกสบายมากกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตน รวมถึงสามารถทำธุรกรรมผ่านแอปบน Mini Program ได้ทันทีผ่าน WeChat Pay

ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานรายเดือน (MAU) ของ WeChat อยู่ที่ราว 1.36 พันล้านคน WeChat Pay ราว 1พันล้าน Transaction ต่อวัน และ Mini Program ราว 1.1 พันล้านคน ทำให้นักช้อปชาวจีนจะเข้าถึงแบรนด์ในเครือเซ็นทรัลได้อย่างสะดวก และง่ายดายมากยิ่งขึ้นด้วยบริการสั่งซื้อสินค้าแบบ Online to Offline (O2O) บนแพลตฟอร์ม WeChat Mini Program โดยสามารถชำระเงินพร้อมรับส่วนลดและสิทธิพิเศษผ่าน WeChat Pay ได้เลยทันที ก่อนจะเดินทางมารับสินค้าจริงที่ประเทศไทย

อีกทั้งยังได้บริษัท LinkieBuy ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่อง Social Commerce มาดูแลหลังบ้านให้บนแพลตฟอร์มดังกล่าว ยังเตรียมโปรโมชันพิเศษ และสิทธิพิเศษต่างๆ ไว้ให้กับลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ โดยในปี 2567 นี้คาดว่าจะสามารถให้บริการแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น เช่น การส่งสินค้าไปถึงมือลูกค้าชาวจีนที่อยู่ในประเทศจีนได้โดยตรง

พร้อมกันนั้นศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล ภูเก็ตจับมือกับ Lotte Duty Free ประเทศเกาหลีทำ Cross Membership ร่วมกับ The 1 มอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟซึ่งในปี 2567 นี้ ลูกค้าล็อตเต้สามารถรับสิทธิพิเศษเมื่อเดินทางมาประเทศไทยที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และศูนย์การค้าเซ็นทรัลภูเก็ต ซึ่งเป็น 2 เดสติเนชั่นหลักของ นักท่องเที่ยวเกาหลี ในขณะที่ลูกค้าสมาชิก The 1 และ The 1 Exclusive สามารถกดรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้บน The 1 แอปพลิเคชัน และแลกรับสิทธิ์พร้อมกับใช้บริการได้ที่ล็อตเต้ ดิวตี้ ฟรี 4 สาขาหลักในเกาหลีใต้ ได้แก่ สาขาเมียงดง, เวิลด์ทาวเวอร์, ปูซาน, และ เซจู

  1. The 1st Tourist Hub Destination in Southeast Asia ฮับของนักท่องเที่ยวแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Klook แพลตฟอร์มท่องเที่ยวชั้นนำสัญชาติฮ่องกง ร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวให้ครบทุกมิติ เปิดให้บริการ “คลูก เลานจ์ (Klook Lounge)” พื้นที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรสำหรับนักท่องเที่ยวแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ โซนฮักไทย ชั้น 1 ซึ่งเปิดให้บริการแล้ววันนี้

นอกจากนี้ยังร่วมกันพัฒนาไอศกรีมรสชาติสูตรพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน “yOurwOrld Of jOy” สะท้อนความเป็นอัตลักษณ์ของทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ และ Klook โดยได้แบรนด์ไอศกรีมชื่อดังสัญชาติไทย “Guss Damn Good” มาร่วมรังสรรค์ไอศกรีมรสชาติสุดพิเศษ นอกจากนี้ยังมีจุดให้บริการ Shuttle Service ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล วิลเลจ ซึ่งเป็นทั้งจุดนัดพบและจุด Drop Off ทริปในกรุงเทพฯ  สำหรับลูกค้าที่ซื้อแพ็กเกจออนไลน์ผ่าน Travel Platform ต่างๆ รวมถึงกลุ่มกรุ๊ปทัวร์อีกด้วย

  1. Global Magnet & Tenant Local Products

สำหรับเซ็นทรัลเวิลด์ ถือเป็นศูนย์การค้าระดับ World Class ที่พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกครั้งที่มาเยือน โดยมีแบรนด์ดังหลากหลายไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว อาทิ 1.  Flagship store: Apple Store, Uniqlo, Adidas 2. One & Only in Thailand: Lululemon, The Cheesecake Factory, Canton Paradise, Tai Er 3. ร้านอาหารระดับMichelin: ปังชา, บ้านเบญจรงค์ ปาย, Tsuta Ramen พร้อมโซน Hug Thai ที่ปรับปรุงขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ บริเวณชั้น 1 ซึ่งประกอบไปด้วย Hug Thai Food court: Local Hero – Street Foods, Hug Craft: Thai Souvenir, Good Goods และ จริงใจมาร์เก็ต: สินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นคุณภาพแบบร่วมสมัย

]]>
1463165
CENTEL เจอพิษ COVID-19 ขาดทุน 45 ล้าน มองการท่องเที่ยวฟื้นได้เร็วสุดไตรมาส 3 https://positioningmag.com/1278664 Thu, 14 May 2020 13:14:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1278664 ผลประกอบการเป็นไปตามคาดหลังวิกฤตโรคระบาด COVID-19 พังธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร “CENTEL” เจ้าของเชนโรงแรมเซนทาราและร้านอาหารเครือ CRG รายงานรายได้ไตรมาสแรกลดลง -18.5% และขาดทุนสุทธิ 45.1 ล้านบาท พลิกกลับจากปีก่อนที่เคยทำกำไรอู้ฟู่ มองอนาคตการท่องเที่ยวปี 2563 กรณีที่ดีที่สุดจะกลับมาเริ่มฟื้นตัวไตรมาส 3

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL รายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไตรมาส 1/63 ทำรายได้ 4,601 ล้านบาท ลดลง -18.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ด้านผลกำไรพบว่า ขาดทุนสุทธิ 45.1 ล้านบาท พลิกกลับจากปีไตรมาส 1 ปีก่อนที่เคยมีกำไรสุทธิถึง 826 ล้านบาท

ทั้งนี้ CENTEL มีธุรกิจสองส่วนหลักคือ รายได้ธุรกิจโรงแรม และรายได้ธุรกิจอาหาร โดยได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ระบาดทั้งสองกลุ่มธุรกิจ แต่ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า วัดจากรายได้ธุรกิจโรงแรมที่ลดลง -34.8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ธุรกิจอาหารลดลงเล็กน้อยที่ -2.9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากบริษัทสามารถปรับไปบริการจัดส่งเดลิเวอรี่ช่วยพยุงรายได้ได้บ้าง

โรงแรมในกรุงเทพฯ อ่วมสุด

สำหรับธุรกิจโรงแรมในเครือเซ็นทรัลที่เปิดบริการแล้วมีทั้งหมด 42 แห่ง (7,808 ห้อง) ในจำนวนนี้เป็นโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 18 แห่ง (4,457 ห้อง) ส่วนที่เหลือเป็นสัญญาจ้างบริหาร

ในกลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ มีอัตราการเข้าพักลดลง -24.6% และทำรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ลดลง -31.7% โดยโลเคชันที่หนักที่สุดคือโรงแรมในกรุงเทพฯ เทียบกับโรงแรมในต่างจังหวัดของไทยและที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ เนื่องจากโรงแรมที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีอัตราการเข้าพักลดลง -34.3% และ RevPar ลดลงถึง -51.9% สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม

โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

สาเหตุเป็นเพราะไวรัส COVID-19 ส่งผลให้งานสัมมนาในกรุงเทพฯ เลื่อนการจัดงานไปก่อน ขณะที่โรงแรมต่างจังหวัดและที่มัลดีฟส์ยังมีนักท่องเที่ยวอยู่จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ และนักท่องเที่ยวบางกลุ่มกลับปรับเพิ่มขึ้นด้วย เช่น มัลดีฟส์มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสที่ผ่านมา

เดลิเวอรี่พยุงยอดขายร้านอาหาร

ด้านธุรกิจอาหารในเครือเซ็นทรัลทั้งหมด 14 แบรนด์ เช่น KFC, Mister Donut, Auntie Anne’s , โอโตยะ, Pepper Lunch, The Terrace ฯลฯ รวมทั้งหมด 1,060 สาขา รายได้รวมลดลง -2.9% แต่หากวัดยอดขายเฉพาะสาขาเดิม (Same Store Sales) มียอดขายลดลง -9.5%

แม้ว่าเซ็นทรัลจะปรับไปรุกตลาดจัดส่งอาหารเดลิเวอรี่ แต่ก็ยังทดแทนรายได้นั่งทานในร้านไม่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นและไทย

ตัดงบลงทุนครึ่งหนึ่ง

สถานการณ์ปัจจุบันของ CENTEL ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ เหลือเพียง 2 แห่งที่ยังเปิดทำการคือ เซ็นทาราฯ เซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทราฯ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยบริษัทมีการลดต้นทุน ตัดงบลงทุนปี 2563 ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 4 พันล้านบาท เพื่อลงทุนเฉพาะส่วนที่จำเป็นและเป็นงานต่อเนื่อง รวมถึงให้พนักงานลาโดยไม่ได้รับค่าจ้าง (leave without pay)

บริษัทประเมินว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่โรคระบาดค่อยๆ คลี่คลาย เชื่อว่าจะควบคุมได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และหลังจากนั้นธุรกิจท่องเที่ยวจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 เมื่อภาครัฐผ่อนคลายการจำกัดการเดินทางคาดว่านักท่องเที่ยวชาวไทยจะเริ่มมีดีมานด์เพิ่มขึ้น ติดตามมาด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติและงานสัมมนา อย่างไรก็ตาม คาดว่า RevPar ของปีนี้จะลดลงไป 40-50% เทียบกับปีก่อน

ร้านอาหารโอโตยะ ในเครือเซ็นทรัล

ส่วนธุรกิจอาหาร ประเมินยอดขายปี 2563 อยู่ที่ 1-1.5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดเมื่อเดือนเมษายนมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน บริษัทจะเริ่มขยายสาขาอีกครั้งในไตรมาส 3 และจะเน้นเฉพาะสาขาที่ขายแบบเดลิเวอรี่เป็นหลักคือ สาขารูปแบบ Cloud Kitchen, สแตนด์อะโลน และไดรฟ์ ทรู

รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกเป็นการฉายภาพผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงเดือนเดียวคือเดือนมีนาคม ขณะที่ไตรมาส 2 ซึ่ง COVID-19 จะแผลงฤทธิ์เต็มไตรมาส เชื่อว่าผลกระทบจะรุนแรงยิ่งขึ้น หวังเพียงว่าสถานการณ์จะดีขึ้นโดยเร็วเพื่อกลับมาฟื้นธุรกิจได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

Source

]]>
1278664
เจาะรายได้และกำไรครึ่งปีแรก 2019 ของ “โรบินสัน” ก่อนจะออกจากตลาดหลักทรัพย์ไปอยู่ภายใต้ Central Retail https://positioningmag.com/1241885 Fri, 09 Aug 2019 12:00:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1241885 ก่อนหน้านี้ไม่นาน บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน)” เพิ่งแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าจะเพิกถอนหุ้นออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อไปอยู่ภายใต้บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด” (Central Retail) ที่ถือหุ้นใหญ่ 53.83% ก่อนจะเข้า IPO แทน

นี่เป็นไปตามเป้าหมายของเครือเซ็นทรัลที่กำลังพลิกโฉมประวัติศาสตร์ 72 ปีของการทำธุรกิจค้าปลีกโดยแปลเปลี่ยนจาก Family Business สู่บริษัทมหาชนเพื่อทำให้ธุรกิจคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

อ่านต่อ : ประวัติศาสตร์ 72 ปี ต้องจารึก ถึงเวลา “เครือเซ็นทรัล” พลิกโฉม “ธุรกิจค้าปลีก” จาก Family Business สู่ “บริษัทมหาชน”

แต่ก่อนจะออกจากตลาดหลักทรัพย์ มาดูกันก่อนว่าครึ่งปีแรก 2019 ที่ผ่านมาโรบินสัน มีรายได้และกำไรเท่าไหร่กันบ้าง ?

สำหรับ 6 เดือนของปี 2019 ที่ผ่านมาโรบินสัน” เปิดห้างสรรพสินค้าใหม่ 1 แห่ง ที่จังหวัดพะเยา โดย ณ ปัจจุบัน มี สาขาเปิดให้บริการทั้งหมด 49 แห่งในประเทศไทย (แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 11 แห่ง และสาขาใน ต่างจังหวัด 38 แห่ง) และสาขาในประเทศเวียดนาม 1 แห่ง

1. รายได้จากการขายรวม เพิ่มขึ้น 248 ล้านบาท หรือ 2.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็น 12,846 ล้านบาทอันเป็นผลมาจากยอดขายของสาขาใหม่

2. รายได้ค่าเช่า มีจำนวน 1,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185 ล้านบาท หรือ 10.4% โดยมาจากการเติบโตของรายได้ค่าเช่าจากสาขาเดิมที่มีอยู่ และสาขาใหม่ที่เปิดดำเนินการในปีที่แล้ว โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าเฉลี่ย (average occupancy rate) 99%

3. รายได้รวม มีจำนวน 15,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 511 ล้านบาท หรือ 3.4% โดยหลักเป็นผล จากการเติบโตของรายได้จากการขายรวม รายได้ค่าเช่า รายได้จากการลงทุนและรายได้อื่น

4. กำไรสุทธิมีจำนวน 1,243 ล้านบาท ลดลง 213 ล้านบาท หรือ 14.7% โดยหลักเป็นผลมาจากการบันทึกรายการพิเศษ (one-off/special items) ได้แก่

  • การรับรู้ ผลขาดทุนจากเงินลงทุนของบริษัทร่วมจำนวน 178.4 ล้านบาท
  • สำรองผลประโยชน์เมื่อเกษียณอายุของพนักงานจำนวน 49.8 ล้านบาท
  • ค่าใช้จ่ายทางภาษีของบริษัทร่วมทางอ้อม ในประเทศเวียดนามจำนวน 37 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามหากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

]]>
1241885
ประวัติศาสตร์ 72 ปี ต้องจารึก ถึงเวลา “เครือเซ็นทรัล” พลิกโฉม “ธุรกิจค้าปลีก” จาก Family Business สู่ “บริษัทมหาชน” https://positioningmag.com/1240993 Wed, 31 Jul 2019 09:39:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1240993 วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมาบริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน)” แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ได้อนุมัติการเพิกถอนหุ้นออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของ “บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด” (Central Retail) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 53.83% โดยมีเป้าหมายเพื่อนำ Central Retail เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน

นี่ถือเป็นการแปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนนำมาสู่การแถลงข่าวในวันนี้ (31 กรกฎาคม) ทศ จิราธิวัฒน์ประธานกรรมการบริหาร เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า เครือเซ็นทรัลอยู่ในธุรกิจค้าปลีกมา 72 ปีแล้ว จากจุดเริ่มต้นห้องแถวที่ถนนเจริญกรุง

ก่อนจะขยับขยายและแตกแขนง จนวันนี้มีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก รวม 1,979 แห่ง ครอบคลุม 51 จังหวัดทั่วประเทศไทย และขยายทั้งในประเทศอิตาลีและเวียดนาม รวม 134 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2019)

ที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกบริหารแบบธุรกิจภายในครอบครัว นี่จึงถือเป็นก้าวสำคัญของการนำธุรกิจหลักไปเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งมีการเตรียมพร้อมและปรับโครงสร้างมา 3 ปีแล้ว

เครือเซ็นทรัลเชื่อว่าการนำ Central Retail เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถพุ่งทะยานเหมือนหุ้นรุ่นพี่ที่เข้าไปก่อนหน้านี้ถึง 2 ตัว ทั้งบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)” เข้าตลาดเมื่อ 29 ปีก่อน Market Cap หรือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ได้เพิ่ม 29.1 เท่า จาก 1,600 ล้านบาท เป็น 26,575 ล้านบาท

และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)” ที่เข้าต่อจากธุรกิจโรงแรม 5 ปี โดย Market Cap เพิ่มขึ้น 37.3 เท่า จาก 8,900 ล้านบาท เป็น 332,112 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นเป็นการยืนยันถึงประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เป็นอย่างดี

นอกเหนือจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความมั่นใจของเครือเซ็นทรัลมาจากตัวเลขต่างๆ ที่มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกเป็นอย่างมาก ทั้งอัตรารายได้ของประชากรต่อคนที่คาดว่าจะเพิ่มจาก 505 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15,500 บาท เป็น 685 ดอลลาร์สหรัฐ ราว 21,000 บาทภายในปี 2023

การขยายตัวของเมืองจากสัดส่วน 49.9% ในปี 2018 เป็น 53.6% ภายในปี 2023 ประชากรกว่า 40% อยู่ในวัยที่มีกำลังซื้อ ที่สำคัญจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 37 ล้านคนเป็น 52 ล้านคนในปี 2023 นอกจากนั้น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ติดอันดับ 20 เมืองท่องเที่ยวของโลกด้วย

ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของเครือเซ็นทรัลเป็นความต้องการของบริษัทเองไม่ได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนแรงกดดันจากดิจิทัล ดิสรัปชั่น” ซึ่งแท้จริง “พฤติกรรมของผู้บริโภค” ต่างหากที่เข้ามาดิสรัปต์ธุรกิจค้าปลีกตัวจริง

ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมาเครือเซ็นทรัลมีการเตรียมตัวนำธุรกิจค้าปลีกเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาโดยตลอด ทั้งการเพิ่มผู้บริหารระดับสูงที่เป็นชาวต่างชาติ หรือแยกธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มแฟชั่น ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, Central Marketing Group (CMG) และ รีนาเชนเต (Rinascente)
  • กลุ่มฮาร์ดไลน์ ได้แก่ ไทวัสดุ, เพาเวอร์บายเหงียนคิมร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเวียดนาม
  • กลุ่มฟู้ด ได้แก่ ท็อปส์ แบ่งเป็น ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่, ท็อปส์ พลาซ่า, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, แฟมิลี่มาร์ท บิ๊กซี และลานชี มาร์ทในเวียดนาม

ขณะเดียวกันก็ได้รุกเข้าหาพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเปลี่ยนจากหน้าร้านที่เป็นออฟไลน์เข้าสู่โลกออนไลน์ เพื่อเติมเต็มการเป็น Omnichannel โดยใช้ศักยภาพในการนำเสนอสินค้าและบริการสำหรับเฉพาะบุคคลแบบ Personalization

โดยได้จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีกว่า 27 ล้านรายทั่วโลก ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี Machine Learning การพัฒนาบริการใหม่ๆ รวมทั้งระบบการจ่ายเงินออนไลน์ในทุกรูปแบบ

การเข้า IPO มาจาก 3 เป้าเหตุผลหลัก 1. การเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ สร้างความน่าเชื่อถือกับบริษัทต่างชาติ เพราะสามารถตรวจสอบได้ 2. ดึงดูดผู้มีความสามารถจากประเทศต่างๆ และ 3. การหาเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม รายละเอียดนอกเหนือจากนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ประเภทหุ้น (แบบ Filing) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะดำเนินให้แล้วเสร็จภายในปีนี้

ทั้งนี้การยื่น Filing ไม่มีผลต่อการทำธุรกิจปัจจุบันซึ่งแต่ละปีมีการลงทุนปีละ 4 – 5 หมื่นล้านอยู่แล้ว ซึ่งตลอด 3 ปีมานี้รายได้เติบโต 8%

สำหรับในปี 2018 มีรายได้ 240,297 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มอาหาร 43% กลุ่มแฟชั่น 35% ที่เหลือ 22% กลุ่มฮาร์ดไลน์ เมื่อแยกแต่ละประเทศรายได้จากเวียดนามมีสัดส่วน 14% ส่วนอิตาลี 8.5%

]]>
1240993
“เครือเซ็นทรัล” รื้อโครงสร้างใหญ่ เตรียมนำ “โรบินสัน” ออกจากตลาดหลักทรัพย์ และ IPO “เซ็นทรัล รีเทล” แทน https://positioningmag.com/1240696 Sat, 27 Jul 2019 12:09:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1240696 สดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนที่ผ่านมา (25 กรกฎาคม) บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน)” แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเพิกถอน หุ้นออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เพื่อเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด” (Central Retail) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วน 53.83%

5 อันดับผู้ถือหุ้นมากที่สุดของ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน)

  • บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด 27.75%
  • บริษัท ซี.อาร์.จี.บริการ จำกัด 26.08%
  • บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 7.08%
  • สำนักงานประกันสังคม 4.77%
  • นายสุทธิลักษณ์ จิราธิวัฒน์ 2.40%

รายได้และกำไรของ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน)

  • ปี 2558 รายได้ 29,213.88 ล้านบาท กำไร 2,153.04 ล้านบาท
  • ปี 2559 รายได้ 30,767.32 ล้านบาท กำไร 2,815.08 ล้านบาท
  • ปี 2560 รายได้ 30,860.04 ล้านบาท กำไร 2,741.54 ล้านบาท
  • ปี 2561 รายได้ 32,106.68 ล้านบาท กำไร 2,936.69 ล้านบาท
  • ไตรมาส 1 ปี 2562 รายได้ 4,337.67 ล้านบาท กำไร 759.95 ล้านบาท

ขณะเดียวกันเตรียมนำ Central Retail เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมธุรกิจค้าปลีกต่างๆ ของ Central Retail ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และประเทศอิตาลี ให้เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพียงบริษัทเดียว

อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอย่างเป็นทางการจะเปิดเผยในวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งเครือเซ็นทรัลจะมีการแถลงข่าวในเรื่อง “New Central New Retail” นำโดย ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ, ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร และ ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

ข่าวเกี่ยวเนื่อง 

]]>
1240696
เซ็นทรัลเทงบ 900 ล้าน แปลงโฉม “Big C เวียดนาม” 34 สาขา ให้ High-end มากขึ้น https://positioningmag.com/1239151 Mon, 15 Jul 2019 08:19:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1239151 เพราะมีประชากรกว่า 93 ล้านคน และคาดว่าในอีก 5 ปีจำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นอีก ขณะกำลังซื้อส่วนใหญ่ที่มาจากกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญ GDP เติบโตกว่า 7 – 10% ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่เครือเซ็นทรัลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

เฉพาะปี 2017 เครือเซ็นทรัลทำรายได้จากเวียดนามคิดเป็นมูลค่ากว่า 44,800 ล้านบาท จาก 5 ธุรกิจ ได้แก่ ศูนย์การค้า ธุรกิจแฟชั่น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจฮาร์ดไลน์ และธุรกิจออนไลน์ ณ สิ้นปี 2017 มีสาขารวมกันทั้งสิ้น 210 สาขา

แน่นอนว่ารายได้หลักมาจาก Big C ซึ่งเครือเซ็นทรัลได้ใช้เงินกว่า 3.68 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อ “Big C เวียดนามจากกลุ่มคาสิโน ฝรั่งเศส ไปเมื่อปี 2016 ซึ่งมีการขยายธุรกิจเรื่อยมา

ที่มา : Facebook Big C Vietnam

ล่าสุดได้อีกเตรียมเทงบอีก 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 900 ล้านบาทในการแปลงโฉม 34 สาขา ให้ High-end มากขึ้น โดยจะทยอยทำไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2021

ขณะเดียวกันได้พูดคุยกับบรรดาซัพพลายเออร์เสื้อผ้ากว่า 200 ราย ที่ส่งมาขายใน Big C ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีความ High-end ด้วย

เชื่อว่าการลงทุนครั้งนี้เป็นไปตามแผนที่เครือเซ็นทรัลได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ที่ต้องการใหภายใน 5 ปีต่อจากนี้ จะปั๊มสาขาให้เพิ่มขึ้น 3 เท่า เพิ่มเป็น 720 สาขา ด้วยงบลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 16,500 ล้านบาท

Source

]]>
1239151
ค้าปลีกเกาะเทรนด์รักษ์โลก ตามดูผลงาน “ลดขยะ” https://positioningmag.com/1232359 Thu, 30 May 2019 23:05:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1232359 1232359