เทรนด์รักษ์โลก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 15 May 2025 06:54:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Mycelium Coffin โลงศพสัตว์เลี้ยงที่ทำจากเห็ด ‘ผู้ชุบชีวิตจากความตาย’ แบบรักษ์โลก https://positioningmag.com/1521694 Wed, 14 May 2025 12:08:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1521694 จากกระแสความยั่งยืน และไม่ต้องการทิ้งมลพิษไว้ให้กับสิ่งแวดล้อมแม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้ว ทำให้เราได้เห็นการคิดค้น ‘โลงศพรักษ์โลก’ ขึ้นมามากขึ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศ ส่วนในไทยก็มีผู้บุกเบิกแล้ว นั่นคือ Mycelium Coffin โลงศพสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ทำจากเห็ด ที่ ‘ดร.จิราวรรณ คำซาว’ พัฒนาขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ผู้ชุบชีวิตจากความตาย’ 

 

ที่มาของไอเดีย ดร.จิราวรรณ เล่าว่า ด้วยตัวเธอจบปริญญาเอกด้านจุลชีววิทยา (Microbiology) จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความชอบงานทางด้านเชื้อรา (Mycology) และทำงานด้านอนุรักษ์ป่า ทำให้สนใจในเรื่องระบบนิเวศ และเห็นว่า ‘เห็ด’ เป็นผู้ย่อยสลายที่ดี 

 

นอกจากนี้ สังเกตเห็นเมื่อเวลาสัตว์เลี้ยงตาย คนมักนิยมนำไปฝังเพราะเชื่อว่า จะเป็นการเพิ่มปุ๋ยธรรมชาติให้ดิน แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการทำให้ดินเป็นพิษ มีไนโตรเจนมากเกิน ส่งผลให้พืชหรือต้นไม้บริเวณรอบพื้นที่ที่นำสัตว์เลี้ยงไปฝังตายได้ ขณะที่ถ้านำไปเผา ก็ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศมากมาย

 

เธอจึงต้องการนำเห็ดที่ทำหน้าที่ย่อยสลายได้ดีมาต่อยอดช่วยแก้ Pain point ดังกล่าว โดยทำวิจัยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาจนจะได้ Mycelium Coffin หรือโลงศพจากเส้นใยของเห็ดราสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกมา

 

“โลงศพรักษ์โลกที่คิดค้นและพัฒนาจะสร้างขึ้นจากไมซีเลียม (Mycelium) ซึ่งเป็นเส้นใยจากเห็ดรา นำมาผสมกับซังข้าวโพด วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร แล้วนำไปขึ้นแม่พิมพ์ให้ออกมาเป็นรูปร่าง โดยโลงศพนี้จะสามารถย่อยสลายได้ภายในเวลาเพียงแค่ 45 วัน”

 

คอนเซ็ปต์ของ Mycelium Coffin ก็คือ ‘ผู้ชุบชีวิตจากความตาย’ โดยจะทำหน้าที่หมุนเวียนธาตุให้เกิดใหม่ ด้วยการส่งต่อธาตุให้พืชพรรณต่าง ๆ ได้ดูดซับเพื่อใช้งอกงามและเจริญเติบโตต่อไป 

 

ดร.จิราวรรณ อธิบายว่า ก่อนจะย่อยซากไมซีเลียมจะมีความชื้นเข้ามาช่วยเลี้ยงให้เติบโต จากนั้นจะค่อย ๆ ย่อยสลายซาก พร้อมกับดูดซับและหมุนเวียนธาตุอาหารที่เกิดขึ้น ส่งต่อไปยังพืชพรรณต่าง ๆ รอบพื้นที่

 

ปัจจุบัน Mycelium Coffin ยังเป็นแบบ Made to order มีสนนราคาอยู่ที่ 6,500 บาท แชะหากเป็นที่เก็บกระดูก ราคาจะอยู่ที่ 4,000 บาท ซึ่งถือว่า ‘ราคาแรง’ ใช้ได้เลยทีเดียวเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายกับวิธีฝังหรือเผา

 

ดร.จิราวรรณอธิบายว่า ที่มีราคาสูง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขึ้นแม่พิมพ์มีราคาแพง แต่เมื่อเทียบกับการรักษ์โลก ไม่ปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และก๊าซเรือนกระจกที่กระทบต่อโลกเป็นอย่างมากและส่งผลยาวนาน ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับบรรดาทาสทั้งหลาย 

 

โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงมองเป็นโอกาสที่สามารถทำเป็นธุรกิจได้ 

]]>
1521694
บาร์บี้เก่าก็ช่วยโลกได้นะ! บริษัทของเล่นเปิดให้นำ ‘ของเล่นเก่า’ มารีไซเคิลเพื่อลดขยะพลาสติก https://positioningmag.com/1331298 Mon, 10 May 2021 07:24:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331298 ข่าวดีสำหรับเด็กยุค 90 ที่มีใจอยากช่วยโลกและมีของเล่นพัง ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่มี ‘ตุ๊กตาบาร์บี้’ เพราะบริษัท ‘Mattel’ (แมทเทล) บริษัทของเล่นอายุ 76 ปีที่เป็นผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ จะรับซากของเล่นเพื่อนำไปรีไซเคิลเพื่อลดขยะพลาสติกให้กับโลกนี้

การระบาดของโรค COVID-19 ทำให้เกิดความต้องการของเล่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็ก ๆ ใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทของเล่นขนาดใหญ่หลายแห่งพยายามที่จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หลังจากหลายทศวรรษที่ต้องพึ่งพาพลาสติกในการผลิตสินค้า ทั้งตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการทำลายสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น บริษัท Mattel จึงริเริ่มทำโครงการ ‘Mattel PlayBack’ ที่ออกแบบมาเพื่อนำวัสดุในของเล่นเก่า กลับมาใช้ใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Mattel ในอนาคต โดยผู้บริโภคสามารถเข้าร่วมโปรแกรมได้โดยไปที่เว็บไซต์ของ Mattel เพื่อพิมพ์ฉลากการจัดส่งฟรี และรับบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งของเล่นของพวกเขากลับไปที่บริษัท

จากนั้นของเล่นจะถูกจัดเรียงและแยกตามประเภทวัสดุและแปรรูปและรีไซเคิลตามที่บริษัทกำหนด สำหรับวัสดุที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตของเล่นใหม่ จะถูกนำไปรีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ หรือเปลี่ยนจากขยะเป็นพลังงาน ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นการเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัท สู่อนาคตที่มุ่งเน้นความยั่งยืน เพื่อจะใช้วัสดุพลาสติกรีไซเคิล 100% สำหรับผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2573

“เราต้องเก็บวัสดุที่มีค่าเหล่านี้ออกจากหลุมฝังกลบ” Pamela Gill-Alabaster หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนของ Mattel กล่าว

ภาพจาก shutterstock

เบื้องต้น บริษัทจะเปิดรับของเล่นจาก 3 แบรนด์ ได้แก่ ตุ๊กตาบาร์บี้, ของเล่น Matchbox และ MEGA และมีแผนจะเพิ่มแบรนด์อื่น ๆ ในอนาคต ขณะที่โครงการดังกล่าวจะเริ่มในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และสหราชอาณาจักร โดยที่ผ่านมา Mattel ได้ทดลองใช้โปรแกรมที่คล้ายกันในแคนาดาโดยรับของเล่นเก่าจาดแบรนด์ MEGA ในปี 2020 โดยร่วมมือกับ TerraCycle ซึ่งเป็นบริษัทรีไซเคิลที่ตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์

ไม่ใช่แค่ฝั่งยุโรป แต่ในฝั่งเอเชียก็มีโคงการที่คล้าย ๆ กัน อย่าง ‘Bandai’ (บันได) บริษัทของเล่นรายใหญ่ของญี่ปุ่นและของโลกได้เปิดตัวโครงการ ‘Gunpla Recycling Project’ ซึ่งให้ลูกค้านำแผง Runner ที่เหลือจากการต่อ ‘Gundam’ มาบริจาคเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ โดยตอนนี้บริษัทกำลังติดตั้ง drop boxes ในร้านค้าทั่วประเทศญี่ปุ่น

การหาทางเลือกอื่นแทนพลาสติกมีความสำคัญต่อการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้การตลาดที่ “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับบริษัทต่าง ๆ เช่นกันในปัจจุบัน เนื่องจากผู้ซื้อเริ่มใส่ใจมากขึ้นว่าการเลือกของพวกเขามีผลต่อโลกใบนี้อย่างไร เพราะทั้งการผลิตและการทิ้งพลาสติกมีผลกระทบร้ายแรงต่อโลก ตั้งแต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงอุดตันทางน้ำและพลาสติกที่สะสมในมหาสมุทร

Source

]]>
1331298
โตเกียวโอลิมปิก 2020 เปิดตัว “เตียงนอนกระดาษ” สำหรับนักกีฬา หลังจบงานรีไซเคิลได้ https://positioningmag.com/1260062 Fri, 10 Jan 2020 06:54:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1260062 Photo : Jae C Hong / AP

ตามที่เคยประกาศเเนวทางไว้ว่าการเเข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ จะใช้วัสดุหมุนเวียนเพื่อรักษ์สิ่งเเวดล้อมให้มากที่สุด ล่าสุดทางผู้จัดงานเปิดตัว “เตียงนอนกระดาษ” สำหรับนักกีฬา โดยจะนำไปรีไซเคิลหลังจบงาน

จากข้อมูลของสำนักข่าว AP รายงานว่า เตียงนอนที่จะใช้ในหมู่บ้านนักกีฬานี้ ทำมาจากลังกระดาษเเข็ง หรือ Cardboard ชนิดพิเศษ เป็นวัสดุที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 200 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าน้ำหนักที่มากที่สุดของนักกีฬาที่ร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2016 ที่รีโอเดจาเนโร

Takashi Kitajima ผู้จัดการทั่วไปของหมู่บ้านนักกีฬา เปิดเผยว่า หลังจบการเเข่งขันจะมีการนำเตียงนอนกระดาษเหล่านี้ไปรีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษเพื่อใช้งานด้านอื่นๆ ต่อไป ส่วนผ้าห่มจะนำไปรีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติก
ตามเเนวทางของการจัดงานโอลิมปิก 2020 ที่จะเน้นใช้วัสดุหมุนเวียนให้มากที่สุด

ขณะที่หมู่บ้านนักกีฬา จะสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับนักกีฬาจากทั่วโลก ประกอบด้วยอาคาร 21 หลัง เเละต้องใช้เตียงกว่า 18,000 เตียงซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างเพิ่มเติม โดยหลังจากจบงานครั้งนี้ ก็จะประกาศขายขายและให้เช่าพื้นที่ต่อไป

ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นได้ประกาศว่าจะใช้ “เหรียญรางวัล” ที่ทำมาจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการจัดทำเเคมเปญรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชนซึ่งได้รับอุปกรณ์ทั้งหมดกว่า 78,895 ตัน รวมถึงโทรศัพท์มือถือ 6.21 ล้านเครื่องซึ่งทำให้ได้ทองคำ 32 กิโลกรัม เงิน 3,500 กิโลกรัมและทองแดง 2,200 กิโลกรัม

ที่ผ่านมา การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความยั่งยืนเเละใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง เช่น สนามกีฬาในการเเข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ที่พยองชาง เกาหลีใต้ เมื่อปี 2018 ที่ใช้งบก่อสร้างกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เเต่ถูกทำลายหลังจากจบงาน

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับที่พัก อย่างเช่นในงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองโซชี ประเทศรัสเซีย ในปี 2014 เเละโอลิมปิก 2016 ที่รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ก็มีส่วนที่ก่อสร้างไม่เสร็จ

สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียว 2020 มีกำหนดจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมถึง 9 สิงหาคม ในขณะที่พาราลิมปิกฤดูร้อน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมถึง 6 กันยายน ปี 2020

ที่มา : businessinsider
Photo : Jae C Hong / AP

]]>
1260062
Adidas ลุยเปลี่ยนขยะทะเลเป็นรองเท้า-ชุดกีฬา รับยอดขายสินค้ารักษ์โลกพุ่งแรงทะลุล้าน https://positioningmag.com/1246667 Tue, 17 Sep 2019 09:59:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1246667 ตั้งแต่ปี 2015 แบรนด์รองเท้าชุดกีฬาชื่อดังอย่าง Adidas ประกาศความร่วมมือกับ Parley for the Oceans องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ทำโครงการเปลี่ยนขยะพลาสติกในทะเลให้กลายเป็นสปอร์ตแวร์รักษ์โลก โดยขยะที่เป็นขวดพลาสติกจะถูกนำมารีไซเคิลเพื่อใช้ทดแทนโพลีเอสเตอร์ ล่าสุดปีนี้ 2019 Adidas ย้ำว่าจะผลิตรองเท้าจากขยะทะเลให้ได้ 11 ล้านคู่ ซึ่งจะตอบโจทย์ตลาดคนรักษ์โลกที่แห่ซื้อรองเท้าขยะทะเลเกิน 1 ล้านคู่ในปี 2018 ที่ผ่านมา

การผลิตรองเท้าจากขยะพลาสติกในทะเลหรือที่เรียกว่า ocean plastic จำนวนสิบล้านคู่นั้นถือว่าเทียบไม่ได้กับที่ Adidas ผลิตรองเท้ามากกว่า 400 ล้านคู่ทุกปี แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะกระบวนการผลิตรองเท้านั้นต้องการทรัพยากรจำนวนมากจนอาจกลายเป็นภาระและขยะที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น Adidas จึงเป็นส่วนหนึ่งของหลายแบรนด์ที่เปลี่ยนไปใช้แหล่งวัตถุดิบอื่น ซึ่งไม่เพียงลดขยะให้โลก แต่ยังสร้างแบรนด์และเพิ่มยอดขายได้ด้วย

สถิติจาก Adidas ช่วงพฤษภาคม 2018 ชี้ว่า Adidas สามารถจำหน่ายรองเท้าที่ทำจากขยะพลาสติกในทะเลมากกว่า 1 ล้านคู่แล้ว ตัวเลขนี้คาดว่าจะเติบโตต่อไป เช่นเดียวกับขยะพลาสติกในทะเลบางส่วนที่จะลดลงได้อีก เพราะ Adidas ใช้ขวดพลาสติกมากกว่า 11 ใบต่อการสร้างรองเท้า 1 คู่

อีก 5 ปีไม่ใช้พลาสติกใหม่เลย

Adidas ยังประกาศแผนชัดเจนว่าจะไม่มีการใช้พลาสติกมือ 1 แบบสร้างขึ้นใหม่หรือ virgin plastic ในสินค้า Adidas ภายในปี 2024 เพื่อสานต่อเป้าหมายนี้ Adidas จึงวางเป้าหมายว่าปี 2019 บริษัทจะผลิตรองเท้า 11 ล้านคู่ด้วยพลาสติกรีไซเคิลจากขยะในมหาสมุทร ซึ่งจะทำคู่ไปกับความเคลื่อนไหวล่าสุด FutureCraft.Loop ที่ถูกประกาศเมื่อเมษายนที่ผ่านมา

Adidas ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่ FutureCraft.Loop ซึ่งมีจุดเด่นที่การเป็นรองเท้าวิ่งที่มี “closed loop” หรือวงจรการผลิตแบบปิดที่จะไม่มีการเพิ่มวัสดุใหม่เข้ามาในวงจร และรองเท้าในตระกูลนี้จะสามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้แบบ 100%

Eric Liedtke ประธานบอร์ดบริหาร Adidas ระดับโลก กล่าวว่าการนำขยะพลาสติกออกจากระบบถือเป็นก้าวแรก แต่ Adidas ไม่สามารถหยุดแค่นี้ เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับรองเท้าหลังจากที่ถูกสวมใส่จนใช้การไม่ได้แล้ว รองเท้าก็จะถูกทิ้งไป ซึ่งอาจจะถูกนำไปฝังกลบหรือเผาทำลาย จนอาจกลายเป็นมลภาวะทางอากาศที่เต็มไปด้วยคาร์บอนส่วนเกิน หรือขยะที่จะถูกทิ้งลงมหาสมุทร

ขั้นต่อไปที่ Adidas ทำคือการหยุดสร้างขยะ’ โดยสิ้นเชิง ความฝันของเราคือคุณสามารถใส่รองเท้าคู่เดิม ซ้ำใหม่ได้ไม่รู้จบ

Adidas ย้ำว่ารองเท้าตระกูล FutureCraft.Loop จะประกอบขึ้นจากวัสดุ TPU ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% แทนที่จะโยนรองเท้าทิ้งไป ลูกค้าสามารถส่งกลับไปที่ Adidas เพื่อนำไปรีไซเคิลสำหรับการสร้างรองเท้าซ้ำใหม่ในครั้งต่อไปโดยไม่มีขยะเหลือทิ้ง

ความสุดยอดของ FutureCraft.Loop ทำให้โลกมองว่า Adidas สามารถปฏิวัติวงการรองเท้ากีฬารักษ์โลกได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคในการซื้อรองเท้าผ้าใบสักคู่ในอนาคต

ปัจจุบันใช้โพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 40%

สถิติล่าสุดที่ Adidas เปิดเผย คือขณะนี้สินค้าแบรนด์ Adidas มากกว่า 40% ผลิตจากโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล คาดว่า Adidas จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ช่วยลดขยะ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าใน 30 ปี โลกจะมีพลาสติกในมหาสมุทรมากกว่าปลา 

สำหรับเป้าหมายการผลิตรองเท้า 11 ล้านคู่ด้วยพลาสติกรีไซเคิลจากขยะทะเลนั้นถือว่ามากกว่าเป้าหมายปี 2018 เกิน 2 เท่าตัว ซึ่งในปี 2018 แบรนด์ใหญ่อย่าง Adidas ประเมินว่าการเป็นพันธมิตรกับ Parley for the Oceans ทำให้บริษัทสามารถป้องกันขยะพลาสติกมากกว่า 2,810 ตันไม่ให้หลุดรอดสู่มหาสมุทร ทั้งหมดเป็นขยะจากชายหาดและชายฝั่ง เช่น มัลดีฟส์ ซึ่งขยะจะถูกจัดเก็บและคัดเลือกพลาสติกเพื่อส่งไปยังโรงงานแปรรูปของ Adidas โดยชิ้นส่วนที่เหลือซึ่งไม่สามารถใช้งานได้ จะถูกส่งไปยังโรงงานรีไซเคิลปกติ

โรงงานรีไซเคิลจะบด ล้าง และกำจัดความชื้นจนเหลือเป็นเกล็ดเรซินพลาสติกขนาดเล็ก สำหรับโพลีเอสเตอร์นั้นทำมาจากปิโตรเลียมสกัดซึ่งจะถูกนำไปสร้างเป็นเส้นใยเพื่อทอกลับเข้าไปในวัสดุสำหรับสร้างผ้าใบของรองเท้า รวมถึงเสื้อผ้าซึ่งสินค้าในโครงการระหว่าง Adidas และ Parley จะมีส่วนผสมจากเส้นใยรีไซเคิลจากขยะในทะเลอย่างน้อย 75%

ทั้งหมดทั้งปวง Adidas ไม่ลืมยืนยันว่าทุกผลิตภัณฑ์รักษ์โลกจะยังคงใช้มาตรฐานสากลของ Adidas ทำให้รองเท้าทุกคู่และเสื้อทุกตัวสวมใส่สบายไม่ต่างจากสินค้าปกติของ Adidas จนบางครั้งผู้บริโภคอาจไม่ทราบว่านี่คือสินค้าที่ใช้โพลีเอสเตอร์รีไซเคิล ซึ่งใช้น้ำและสารเคมีน้อยลง แถมยังช่วยป้องกันมลพิษพลาสติกได้ด้วย

สำหรับรองเท้า Futurecraft Loop คาดว่า Adidas จะวางตลาดได้ในปี 2021.

]]>
1246667
รักษ์โลกขั้นใหม่! Pepsi เดินตาม Coca-Cola ลาออกจากกลุ่ม lobbying ต้านแบนพลาสติก https://positioningmag.com/1241524 Wed, 07 Aug 2019 00:55:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1241524 2 บริษัทเครื่องดื่มน้ำดำรายใหญ่ที่สุดในตลาดกำลังก้าวหน้าไปอีกขั้นเพื่อเป้าหมายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยทั้ง Coca-Cola และ PepsiCo ประกาศชัดเจนว่าจะลาออกจากกลุ่ม Plastic Industry Association ซึ่งเป็นกลุ่มยักษ์ใหญ่ lobbying group ที่เน้นวิ่งเต้นเพื่อต่อต้านการแบนพลาสติกให้กับสมาคมและกลุ่มธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลาสติก ยืนยันการลาออกครั้งนี้เป็นเพราะความแตกต่างทางความคิดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ทั้ง Coca-Cola และ PepsiCo ต้องการจะเดินไปในอนาคต ท่ามกลางรูปการณ์ที่ชี้ว่าทั้งคู่ลาออกช้าเกินไป?

ที่ผ่านมา Coca-Cola และ PepsiCo แสดงตัวว่ากำลังดำเนินการเพื่อลดกำลังการผลิตขวดพลาสติกอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็มีความพยายามหันไปใช้พลาสติกรีไซเคิลมากขึ้น แต่สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติก หรือ Plastic Industry Association กลับมีเป้าหมายเพื่อ lobby หรือชักชวนให้รัฐบาลล้มเลิกการสั่งแบนพลาสติก ความสวนทางนี้ทำให้ Coca-Cola ชิงลาออกจากกลุ่มตั้งแต่ต้นปี บนความรู้สึกว่าจุดยืนของสมาคมไม่สอดคล้องกับภาระผูกพันและเป้าหมายของ Coca-Cola อย่างเต็มที่” ตามข้อความในแถลงการณ์ของบริษัทเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

เช่นเดียวกับ PepsiCo ที่กำลังพิจารณาว่าจะลาออกจากสมาคม Plastic Industry Association ในไม่กี่เดือนนับจากนี้ โดยให้เหตุผลกับสำนักข่าว CNN ว่า PepsiCo ไม่ได้มีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายของสมาคมหรือบริษัทในเครือของสมาคมนี้ และจะมีการสรุปแนวทางการเป็นสมาชิกสมาคมพลาสติกในช่วงปลายปี

รักษ์โลกให้ชัดขึ้น

การประกาศลาออกจากสมาคม Plastic Industry Association ครั้งนี้ถูกมองว่าเกิดขึ้นเมื่อทั้ง 2 แบรนด์กำลังมองหาวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ท่ามกลางความกดดันของปัญหาขยะล้นโลกที่รุนแรงมากขึ้นทุกที ปัญหาคือไม่ว่าทั้ง 2 แบรนด์จะประกาศพันธกิจหรูเลิศเพียงใด ก็จะมีเสียงวิจารณ์ว่ายังทำได้ไม่ดีพอสำหรับการรับผิดชอบต่อขยะที่ทั้งคู่สร้างขึ้น

ยกตัวอย่างในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Pepsi ได้ประกาศว่าจะเริ่มขายเครื่องดื่มแบรนด์ Aquafina ในกระป๋อง ไม่ใช่ขวดพลาสติก และกำลังทดสอบระบบทำน้ำเย็นคุณภาพสูงเทคโนโลยีใหม่ที่จะลดโลกร้อนได้ชัดเจนกว่าเดิม ด้าน Coca-Cola นั้นประกาศความมุ่งมั่นที่จะผลิตสินค้าจากวัสดุรีไซเคิลอย่างน้อย 50% ภายใน 11 ปีข้างหน้า และวางเป้าหมายรีไซเคิลขวด Coca-Cola ทุกขวดที่วางจำหน่ายไปทั่วโลกให้ได้ 

ถึงกระนั้น ทั้ง 2 แบรนด์ก็ถูกวิจารณ์ว่าวางเป้าหมายเรื่องรักษ์โลกไว้ไม่เพียงพอ เพราะรายงานล่าสุดของมูลนิธิ Ellen MacArthur Foundation พบว่า Coca-Cola ผลิตขวดและฝาพลาสติกหนักกว่า 3.3 ล้านตันในปี 2017 ส่งผลให้ช่วงเดือนมิถุนายน 2019 กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่าง Greenpeace ออกมาวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนว่าความพยายามรีไซเคิลของ Coca-Cola นั้นน้อยเกินไป

ช้าเกินไปไหม?

การที่ Coca-Cola ประกาศลาออกจากกลุ่ม lobbying ครั้งนี้อาจเกิดขึ้นช้าเกินไป เพราะที่ผ่านมา Greenpeace พร้อมด้วยนักลงทุนและองค์กรอื่นได้เรียกร้องให้ทั้ง PepsiCo และ Coca-Cola ออกมายกเลิกกระบวนการ “secretive lobbying” หรือการ lobby แบบลับเพื่อยกเลิกกฏหมายสั่งแบนพลาสติกของสมาคม Plastic Industry Association ซึ่งที่ผ่านมา สมาคมต้องผนึกกลุ่มแนวร่วมมากมายเพื่อทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่และผลักดันสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐเพื่อขวางกฎหมายสั่งแบนพลาสติกทั่วสหรัฐอเมริกาอย่างถึงที่สุด โดยขณะนี้ มี 15 รัฐที่มีประชากรรวมกัน 88 ล้านคนที่ผ่านกฎหมายว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากพลาสติกแล้วเรียบร้อย

นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจำนวนมากจึงพร้อมใจออกมาประกาศว่าถึงเวลาแล้วสำหรับบริษัทที่อ้างว่าใส่ใจการลดมลพิษจากพลาสติกที่จะต้องยืนขึ้นและปฏิเสธการ lobby ของสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติก เพื่อลดจำนวนถุงพลาสติกในท้องถิ่นและจัดระเบียบกฎหมายภาชนะบรรจุต่อไปในระยะยาว

การประกาศครั้งนี้จึงไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของ Coca-Cola ดีขึ้นชัดเจน แต่กลับสะท้อนว่า Coca-Cola กำลังถูกตีแผ่แง่มุมมืดแบบลึกซึ้งกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ Coca-Cola ยังตกเป็นข่าวอื้อฉาวเพราะมีรายงานข่าวระบุว่า Coca-Cola เกี่ยวข้องกับการทารุณสัตว์ผ่าน 1 ในซัปพลายเออร์ผลิตภัณฑ์นมหลายรายที่บริษัทดีลด้วย รายงานระบุว่า Coca-Cola ออกทุนให้มีการทำวิจัยด้านสุขภาพ ที่มีข้อกำหนดว่าบริษัทสามารถกำจัดผลการวิจัยที่ไม่ต้องการได้ ซึ่งข่าวนี้ Coca-Cola ยังไม่อาจแก้ต่างได้แบบหมดจด.

Source

]]>
1241524
ค้าปลีกเกาะเทรนด์รักษ์โลก ตามดูผลงาน “ลดขยะ” https://positioningmag.com/1232359 Thu, 30 May 2019 23:05:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1232359 1232359