เวียดนาม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 17 Apr 2024 04:10:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ทิม คุก’ ซีอีโอ Apple ประกาศเดินหน้าลงทุนใน ‘เวียดนาม’ เพื่อเดินหน้ากระจายซัพพลายเชนของบริษัทออกจากจีน https://positioningmag.com/1470181 Wed, 17 Apr 2024 03:57:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470181 นอกจากประเทศอินเดียแล้ว เวียดนาม ก็เป็นอีกประเทศที่มีความสำคัญต่อ Apple มากขึ้น เนื่องจากบริษัทพยายามที่จะกระจายซัพพลายเชนออกจากจีน โดยล่าสุด ทิม คุก (Tim Cook) ซีอีโอของ Apple ก็ได้ไปเยือนเวียดนาม พร้อมประกาศว่าต้องการเพิ่มบทบาทของซัพพลายเชนเวียดนาม

เนื่องจากการหยุดชะงักของซัพพลายเชนในจีนช่วงที่ COVID-19 ระบาด รวมถึงความขัดแย้งกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ Apple เริ่มมองหาการย้ายการผลิตไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย และ เวียดนาม โดย Apple ได้เพิ่มการลงทุนในเวียดนามเป็น 2 เท่า นับตั้งแต่ปี 2019 คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์ ช่วยสร้างงานกว่า 2 แสนตำแหน่ง

นับตั้งแต่ปี 2022 Apple มีซัพพลายเออร์ 26 รายและมีโรงงาน 28 แห่งในเวียดนาม โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับซัพพลายเชนที่มีอยู่ในจีนตอนใต้ได้อย่างง่ายดาย ปัจจุบัน เวียดนามตอนเหนือยังเป็นศูนย์กลางในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้ไปเยือนเวียดนามเป็นเวลา 2 วัน โดย ตามรายงานของสื่อทางการ Voice of Vietnam ระบุว่า เขาได้หารือกับ ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และได้เปิดเผยว่า Apple ต้องการ เพิ่มบทบาทของซับพลายเชนในเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยถึงรายระเอียดแผนการลงทุนว่าจะใช้เงินจำนวนเท่าไหร่และจะใช้หรือจะเน้นไปที่ส่วนใด

ทั้งนี้ การเดินทางเยือนเวียดนามของทิม คุก เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามสนับสนุนการดำเนินบทบาทเป็นซัพพลายเชนระดับโลกของเวียดนาม เพื่อพยายามลดการพึ่งพาจากจีน

AP / VOV

]]>
1470181
15 บริษัทสหรัฐฯ สนใจเข้าลงทุนในเวียดนาม ทั้งผลิตชิป พลังงานสะอาด ฯลฯ มูลค่ารวมกัน 285,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1460519 Sun, 28 Jan 2024 08:25:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460519 15 บริษัทสหรัฐฯ สนใจเข้าลงทุนในเวียดนาม ทั้งผลิตชิป พลังงานสะอาด ฯลฯ มูลค่ารวมกัน 285,000 ล้านบาท ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามมาจากการเข้าพบปะพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีเวียดนามกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า 15 บริษัทในสหรัฐฯ ได้สนใจเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิตชิป พลังงานสะอาด โดยมูลค่ารวมกันมากถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 285,000 ล้านบาท

Jose Fernandez เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า 15 บริษัทเหล่านี้ได้ประกาศลงทุนรวมกันมากถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตจากอุตสาหกรรมการผลิตชิป หรือแม้แต่การรักษาสิ่งแวดล้อมจากพลังงานสะอาด

อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายดังกล่าวไม่ได้กล่าวว่า 15 บริษัทที่จะมาลงทุนในเวียดนามนั้นมีบริษัทอะไรบ้าง แต่ได้กล่าวถึงการให้คำมั่นสัญญาของบริษัทหลายแห่งที่จะลงทุนในเวียดนาม

สหรัฐฯ ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นในการลงทุนจากบริษัทต่างๆ ที่ต้องการกระจายการลงทุนออกจากประเทศจีน เพื่อความยืดหยุ่นด้าน Supply Chain ขณะเดียวกันเวียดนามเองก็เพิ่มความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในเชิงความมั่งคงเพื่อจะคานอำนาจกับจีนในทะเลจีนใต้

ในส่วนของภาคเอกชนนั้น บริษัทใหญ่ๆ ที่สำคัญเช่น Apple ได้ตัดสินใจย้ายกำลังการผลิตออกจากประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น หรีอแม้แต่บริษัทอื่นๆ เช่น Dell Google และ Microsoft ก็มีการลงทุนในเวียดนามแล้วเช่นกัน ล่าสุดบริษัทอย่าง Nvidia ก็ประกาศที่จะลงทุนในเวียดนามด้วย 

เศรษฐกิจเวียดนามที่กำลังเติบโต และสัดส่วนประชากรวัยทำงานที่สูง กำลังซื้อของประชากรรวมถึงการเพิ่มจำนวนของชนชั้นกลางที่เพิ่มมากขึ้น ยังทำให้ส่งผลดีต่อภาคเอกชนจากหลายประเทศที่เข้าไปลงทุนสามารถขายสินค้าของตัวเองในเวียดนามได้เพิ่มขึ้นอีกทาง

ในส่วนของเวียดนามได้มีการแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อเอื้อแก่การลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานสะอาดที่กำหนดพื้นที่สำหรับทำฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมสามารถต่อรองการซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าได้ เพื่อจะเอื้อให้เอกชนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน

]]>
1460519
Reuters รายงาน KBank กำลังพูดคุยเพื่อซื้อกิจการ Home Credit ในประเทศเวียดนาม สูงถึง 35,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ https://positioningmag.com/1441957 Tue, 22 Aug 2023 10:44:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441957 Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ธนาคารกสิกรไทยกำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อเข้าซื้อกิจการของ Home Credit สถาบันการเงินในประเทศเวียดนาม ด้วยมูลค่าสูงถึง 35,000 ล้านบาท เพื่อที่จะขยายธุรกิจไปในเวียดนามได้รวดเร็วขึ้น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ได้กำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อซื้อกิจการของ Home Credit Vietnam เป็นมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 35,000 ล้านบาท

สถานการณ์ล่าสุดในตอนนี้ทาง KBank ได้พูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อที่จะเข้าซื้อกิจการ และข่าวดังกล่าวมาในช่วงที่เศรษฐกิจเวียดนามกำลังประสบสภาวะชะลอตัว รวมถึงปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้กระทบต่อสถาบันการเงินในประเทศเวียดนามด้วย

ถ้าหากดีลดังกล่าวกลายเป็นความจริงแล้วนั้น จะทำให้ดีลนี้กลายเป็นการซื้อกิจการสถาบันการเงินใหญ่อันดับ 2 ของประเทศเวียดนามในปีนี้ รองจากดีลที่ Sumitomo Mitsui ซื้อกิจการของ VPBank ด้วยมูลค่ามากถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 52,500 ล้านบาท

แหล่งข่าวของ Reuters ได้ชี้ว่าการพูดคุยเพื่อซื้อกิจการดังกล่าวเนื่องจาก KBank ต้องการที่จะเป็นผู้เล่น 1 ใน 20 ของธนาคารรายใหญ่ในเวียดนามในแง่ทรัพย์สินภายในปี 2027

ก่อนหน้านี้ Home Credit Group ซึ่งเป็นผู้เล่นในตลาดสินเชื่อรายย่อยในหลายประเทศ และมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทลงทุนจากสาธารณรัฐเช็ก ได้ขายกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ว่าจะเป็นในอินโดนีเซีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ให้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยามาแล้ว เนื่องจากผลขาดทุนจากการที่ต้องถอนตัวจากรัสเซีย

Home Credit Vietnam ปัจจุบันได้ให้บริการลูกค้าในเวียดนามมากถึง 12 ล้านราย และมีพนักงานมากถึง 6,000 ราย ทำให้การซื้อกิจการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อ KBank ในการขยายธุรกิจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ล่าสุด KBank ได้ชี้แจงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในประเด็นข่าวดังกล่าวว่า ธนาคารแสวงหาโอกาสทางธุรกิจต่างๆ ในสาธารณัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลหรืออาจจะไม่ได้ส่งผลให้มีธุรกรรมเกิดขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากมีธุรกรรมเกิดขึ้น ธนาคารจะเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลาที่เหมาะสม

Note: อัพเดต 23 สิงหาคม หลัง KBank ชี้แจงข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

]]>
1441957
มูลค่า ‘Vinfast’ แบรนด์รถอีวีสัญชาติเวียดนามแตะ 3 ล้านล้าน แซง Volkswagen และ Ford หลังเข้าตลาดหุ้น Nasdaq วันแรก https://positioningmag.com/1441267 Wed, 16 Aug 2023 09:57:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441267 ถือว่าเปิดตัวได้สวยสำหรับ วินฟาสต์ (Vinfast) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นแนสแด็ก (Nasdaq) ในสหรัฐฯ โดยราคาหุ้นพุ่งเกือบ 68% ทำให้มูลค่าบริษัทแซงหน้าทั้ง Volkswagen และ Ford ไปแล้ว

หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) อนุญาตให้ Vinfast ควบรวมกิจการกับบริษัท แบล็ค สเปด (Black Spade) ซึ่งการควบรวมดังกล่าวก็ช่วยให้ Vinfast ไม่ต้องผ่านกระบวนการ IPO ทำให้สามารถเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดได้อย่างรวดเร็วจากเดิมซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี 

โดยในวันแรกที่บริษัทได้เข้าสู่ตลาดหุ้น Nasdaq หุ้นของบริษัทเปิดตัวที่ราคา 22 ดอลลาร์ต่อหุ้น (ราว 770 บาท) และปิดตลาดที่ 37.06 ดอลลาร์ (ราว 1,300 บาท) หรือเติบโต 68% ทำให้มูลค่าตลาดของ VinFast สูงกว่า 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่า Volkswagen และ Ford ที่มีมูลค่า 6.97 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ตามลําดับ นอกจากนี้ Vinfast ยังขึ้นแท่นเป็น บริษัทเวียดนามที่ใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ 

สำหรับแบรนด์ VinFast ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยเป็นบริษัทในเครือของ Vingroup ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยมี Pham Nhat Vuong ชายที่รวยที่สุดของเวียดนามเป็นเจ้าของ

ปัจจุบัน Vinfast นำเข้ารถยนต์อีวีจากเวียดนามเข้าสู่สหรัฐฯ ราว 2,100 คัน และนำเข้าสู่แคนาดาราว 800 คัน นอกจากนี้ Vinfast ยังมีแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา คาดว่ามีกำลังการผลิตรถยนต์ 150,000 คันต่อปี ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2024 โดยใช้งบลงทุนประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแบรนด์ Vinfast จะยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าไหร่จากลูกค้าชาวอเมริกัน เพราะจากข้อมูลของ S&P Global Mobility ระบุว่า จนถึงเดือนมิถุนายนผ่านมา รถอีวีของ VinFast มีการจดทะเบียนเพียงแค่ 137 คันเท่านั้น

Source

]]>
1441267
‘Agoda’ เผย “ท่องเที่ยวไทย’ โตแซง 2019 แต่ ‘เวียดนาม’ กำลังเป็นคู่แข่งสำคัญ “แย่งนักท่องเที่ยว” https://positioningmag.com/1434288 Thu, 15 Jun 2023 09:53:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434288 อย่างที่หลายคนรู้ว่าเศรษฐกิจประเทศไทยนั้น การท่องเที่ยว ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สร้างการเติบโต โดย อโกด้า (Agoda) แพลตฟอร์มผู้ให้บริการจองห้องพักทางออนไลน์ ได้เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวไทยถือว่า ฟื้นตัวกว่าปี 2019 ไปแล้ว แต่ก็มี เวียดนาม ที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์

ออมรี มอร์เกนสเติร์น (Omri Morgenshtern) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า เปิดเผยว่า จากข้อมูลของแพลตฟอร์มพบว่า การท่องเที่ยวของไทย ในช่วง 5 เดือนแรกในปี 2023 นั้น ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยไทยถือเป็นปลายทาง อันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานคร ยังคงเป็นเมืองปลายทางที่มีการเดินทางมามากที่สุด

โดยประเทศที่มาท่องเที่ยวไทยมากที่สุด คือ เกาหลีใต้ และ อินเดีย ส่วนการมาของนักท่องเที่ยว จีน คิดเป็นประมาณ 50% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา 100% ภายในสิ้นปีนี้ 

“ไทยถือว่าฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศ เพราะไม่มีข้อจำกัดในการเดินทาง รวมถึงจำนวนไฟลท์บินที่มีจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าไทยเปิดกว้างในด้านการท่องเที่ยวมาก”

ยังเทียบญี่ปุ่นยาก

ญี่ปุ่นยังถือเป็นหมุดหมายอันดับ 1 ของนานาประเทศทั่วโลกแบบ ทิ้งห่าง โดย ออมรี อธิบายว่า เนื่องจากญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์และความแตกต่าง ที่สำคัญ ญี่ปุ่นมี เหตุผลให้ไปท่องเที่ยวมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ, สวนสนุก, แหล่งช้อปปิ้ง สามารถเที่ยวได้ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง รวมถึงสามารถเดินทางไปในเชิงธุรกิจ ดังนั้น การที่ไทยจะแซงขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในระยะเวลาอันสั้นได้ยาก

สิ่งที่ไทยมี ทะเลสวย อากาศอบอุ่น และ เหมาะกับการมาปาร์ตี้สังสรรค์ แต่ไทยยังจำเป็นต้อง ลงทุนเพิ่ม เพื่อให้นักท่องเท่ียวมีเหตุผลที่จะเดินทางมา ไม่ใช่แค่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น การมีสวนสนุกใหญ่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

ในส่วนของ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือเชิงวัฒนธรรมนั้นต้องยอมรับว่า ม่ได้มีดีมานด์มากเท่าการท่องเที่ยวในสวนสนุก ที่ไม่เยอะเท่ากับสถานที่ท่องเที่ยวในสวนสนุก นอกจากนี้ คู่แข่งในภูมิภาคก็มีจำนวนมากที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขณะที่ภาพลักษณ์ของไทยเองก็มีความทันสมัย ดังนั้น อาจไม่ได้น่าดึงดูดเท่ากับประเทศที่กำลังพัฒนา อาทิ เมียนมา อย่างไรก็ตาม ไทยเองก็ต้องทำการตลาดเพื่อดันเมืองรองนั้น ๆ ว่ามีอะไรดี ไม่ใช่แค่ว่าราคาถูก

ภาพจาก Shutterstock

เวียดนามมาแรงจ่อแซงไทย

เวียดนาม ถือเป็นประเทศที่ในภาคการท่องเที่ยวมีความคล้ายคลึงกับไทย แต่เมื่อเทียบกันแล้วยังถือว่าห่างกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวเวียดนามเติบโตก้าวกระโดด โดยในปัจจุบัน เวียดนามเป็นหมุดหมายอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวเกาหลี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ใกล้ และไฟลท์บินก็เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15 ไฟลท์

นอกจากนี้ เกาหลีก็เข้าไปลงทุนในเวียดนามมานาน ทำให้มีความคุ้นเคยมากกว่าไทย ดังนั้น ไทยเองก็ต้องลงทุนเพิ่มเติม เช่น เรื่องวีซ่าที่ทำให้ง่ายสะดวก และสายการบินก็ต้องเปิดเส้นทางการบินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ออมรี มองว่า ไทยมีศักยภาพที่จะเป็น ฮับด้านเทคโนโลยี จึงอยากให้ไทยพัฒนาในส่วนนี้ เพื่อดึงดูดให้นักลงทุน นักธุรกิจทั่วโลกเดินทางมาพบปะ แชร์ไอเดีย และเจรจาด้านธุรกิจ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะยิ่งดึงดูดการเดินทาง

“ความเห็นส่วนตัว ผมมอยากให้ไทยเป็นฮับของเทคโนโลยี ตอนนี้สิงคโปร์มีภาพด้านนี้มากกว่า เเต่ผมเชื่อว่าเรามีประสิทธิภาพที่จะเป็นฮับด้านเทคโนโลยีของภูมิภาคได้ เพราะปัจจุบันไทยถือเป็นศูนย์กลางของอโกด้า พนักงานส่วนใหญ่ก็อยู่ไทย ศูนย์กลางเทคโนโลยีก็อยู่ไทย และพนักงานเกือบครึ่งของเราที่เป็นชาวต่างชาติก็ชอบไทยมาก”

Photo : Shutterstock

อโกด้าฟื้นเกิน 100%

สำหรับยอดการใช้งานของอโกด้าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาเติบโตกว่าปี 2019 แล้ว โดยยอดค้นหาเพิ่มขึ้น 60% ยอดค้นหาท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น 49% อย่างไรก็ตาม ยอดการค้นหาข้อมูลการเที่ยวต่างประเทศของคนไทยยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะต้องยอมรับว่ามีเรื่องของ ราคา เข้ามาเป็นปัจจัย อย่างค่าตั๋วเครื่องบินก็ถือว่าสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนไฟลท์ไม่เพียงพอ

ดังนั้น เรื่องของ ราคา จะเป็น 1 ใน 3 ด้านที่อโกด้าเน้นมากในปัจจุบันและอนาคต โดยพยายามจะทำราคาให้ดีที่สุด มีฟีเจอร์อย่าง Price Freeze ช่วยให้ผู้จองสามารถล็อกราคาที่พักที่กำลังดู อีก 2 ด้านจะเป็นการพัฒนา เทคโนโลยี โดยล่าสุดเริ่มนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้ และสุดท้ายคือ Localization

“เรามองว่าการท่องเที่ยวตอนนี้มันไม่ได้เติบโตเพราะอั้นแล้วจะลดลง เราเชื่อว่าจะคงที่ไปเรื่อย ๆ เช่น ฝั่งยุโรปและอเมริกาที่เปิดการท่องเที่ยวก่อนหลาย ๆ ประเทศ แต่ก็ยังไม่ตกลงเท่าไหร่ในปัจจุบัน โดยเราอยากให้คนเข้าถึงการท่องเที่ยวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราเลยพยายามทำราคาให้ดีที่สุดเปลี่ยนแท็กไลน์เป็น ให้เห็นโลกในราคาที่ต่ำลง เพราะถ้ามาจองกับเราแล้วถูกลงอีก 1-2% แล้วทำให้คนเที่ยวได้ก็โอเคเเล้ว”

]]>
1434288
“เวียดนาม” กำลังลุยพัฒนาไร่กาแฟ “ออร์แกนิกส์” เพื่อตีตลาดโลก https://positioningmag.com/1430241 Thu, 11 May 2023 13:41:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430241 “เวียดนาม” ผู้ผลิต “เมล็ดกาแฟ” มากเป็นอันดับ 2 ของโลก กำลังลุยพัฒนาไร่กาแฟ “ออร์แกนิกส์” เพื่อตีตลาดโลกที่ต้องการกาแฟพรีเมียมสูงขึ้น

บทความจาก Debbie Wei Mullin ผู้ก่อตั้ง Copper Cow Coffee บริษัทกาแฟระดับพรีเมียมในเวียดนาม ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Fast Company เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในตลาดผู้ผลิตกาแฟเวียดนามที่จะไปสู่เส้นทาง “ออร์แกนิกส์” มากขึ้น

โดยเวียดนามได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลให้เกษตรกรเพาะปลูกกาแฟมาตลอด 3 ทศวรรษ จนทำให้เมื่อปี 2020 เวียดนามเป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 2 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดกาแฟโลกถึง 18%

อย่างไรก็ตาม เมล็ดกาแฟส่วนใหญ่ที่เวียดนามเพาะปลูกเป็นพันธุ์ “โรบัสต้า” ซึ่งในตลาดกาแฟถือว่าคุณภาพเป็นรองกาแฟพันธุ์อราบิก้า และมักจะใช้เมล็ดกาแฟโรบัสต้าเป็นส่วนผสมเพื่อลดต้นทุนมากกว่าเป็นเมล็ดหลัก นั่นทำให้หลายตลาดในโลกนี้ไม่ทราบว่ากาแฟที่ตนดื่มนั้นมีส่วนผสมกาแฟจากเวียดนาม

นอกจากนี้ วิธีการเพาะปลูกกาแฟเวียดนามยังเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมสูง เพราะมีการใช้ยาฆ่าแมลงอย่างหนัก ซึ่งประเด็นนี้เองก็จะเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากนี้

เนื่องจากในตลาดโลกมีความต้องการกาแฟสเปเชียลตี้และกาแฟออร์แกนิกส์สูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหลักที่บริโภคกาแฟออร์แกนิกส์สูงที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา รวมถึงตลาดภายในประเทศเอง จากชนชั้นกลางในเวียดนามที่เพิ่มจำนวนขึ้นก็ทำให้ความต้องการกาแฟออร์แกนิกส์ที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

ความต้องการเหล่านี้บวกกับนโยบายผลักดันของรัฐบาลเวียดนามเอง และราคาที่ดีกว่าของกาแฟออร์แกนิกส์ ทำให้เกษตรกรสนใจเพาะปลูกกาแฟออร์แกนิกส์เพิ่มขึ้นในเวียดนาม

ในช่วงปี 2016 ถึง 2020 การปลูกกาแฟออร์แกนิกส์เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าในเวียดนาม และคาดว่าจะโตต่อเนื่องเพราะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงเกษตรกรเริ่มเข้าใจว่าการปลูกกาแฟออร์แกนิกส์ทำให้ควบคุมราคาเมล็ดกาแฟได้ดีกว่า และกระบวนการปลูกดีกับสุขภาพตนเองมากกว่า เพราะไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี

สำหรับมูลค่าตลาดกาแฟออร์แกนิกส์ทั่วโลกเมื่อปี 2022 มีมูลค่า 8,900 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการคาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้นไปแตะ 28,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 โดยมีตลาดหลักคือสหรัฐฯ และมีการวิจัยพบว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้พร้อมจะจ่ายเพิ่ม 47% เพื่อซื้อสินค้าออร์แกนิกส์

ด้านเมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่ตลาดมองว่าเป็นรองพันธุ์อราบิก้า เนื่องจากกาแฟพันธุ์อราบิก้ามีการพัฒนาไปก่อนแล้ว เช่น เทคนิคการวัดความสุกของเมล็ดที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว แต่พันธุ์โรบัสต้าก็เริ่มมีการพัฒนาแล้วในระยะหลัง โชว์จุดเด่นของสายพันธุ์คือกลิ่นมอคค่าและกลิ่นถั่วที่เหมาะกับการคั่วเข้ม และมีขนาดเมล็ดใหญ่กว่าซึ่งทำให้เมื่อเก็บเกี่ยวจะทำให้ต้นทุนต่อไร่ต่ำกว่า ดังนั้น เมื่อปรับมาปลูกแบบออร์แกนิกส์ ก็จะได้กาแฟพรีเมียมที่ราคาถูกกว่าในท้องตลาดด้วย

Mullin มองว่า อีกไม่นานทั่วโลกจะรู้จักต้นกำเนิดกาแฟอย่างเวียดนามมากขึ้น โดยไม่ใช่แค่กาแฟที่นำมาผสม แต่เป็นกาแฟพรีเมียมในประเภทออร์แกนิกส์

Source

]]>
1430241
‘Foxconn’ ซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ ‘Apple’ กำลังซื้อที่ดินใน ‘อินเดีย-เวียดนาม’ เพื่อตั้งโรงงาน https://positioningmag.com/1429965 Wed, 10 May 2023 03:38:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429965 ดูเหมือนแผนการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนของ ‘Apple’ กำลังเดินหน้าเต็มที่ เพราะบริษัทซัพพลายเออร์รายสำคัญของบริษัทอย่าง Foxconn กำลังเร่งหาที่ดินในการก่อสร้างโรงงานทั้งในอินเดียและเวียดนาม

Foxconn บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของไต้หวัน ได้ซื้อที่ดินผืนใหญ่ขนาด 1.2 ล้านตารางเมตร บริเวณชานเมืองเบงกาลูรู ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของอินเดีย เนื่องจากทั้ง Apple และ Foxconn กำลังหาทางย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เนื่องจากเจอปัญหาความไม่แน่นอน และความตึงเครียดทางการทูตกับสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการผลิต

สำหรับมูลค่าของที่ดินดังกล่าวอยู่ที่ 3 พันล้านรูปี (1,200 ล้านบาท) โดย Bloomberg ได้รายงานว่า Foxconn วางแผนที่จะลงทุน 700 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานแห่งใหม่นี้ ซึ่งโรงงานใหม่นี้คาดว่าจะเริ่มสร้างในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะช่วยสร้างงานประมาณ 1 แสนตำแหน่ง นอกจากนี้ Foxconn ยังกำลังซื้อสิทธิ์การใช้ที่ดินในพื้นที่ 480,000 ตารางเมตร ในจังหวัดเหงะอานของ เวียดนาม อีกด้วย

ทั้งนี้ Foxconn ได้เริ่มผลิต iPhone ในอินเดียตั้งแต่ปี 2019 โดยมีโรงงานในรัฐทมิฬนาฑูทางตอนใต้ของประเทศ นอกจากนี้ ในยังมีซัพพลายเออร์ของไต้หวันอีกสองราย ได้แก่ Wistron และ Pegatron ที่ผลิตและประกอบอุปกรณ์ Apple ในอินเดียเช่นกัน

ปัจจุบัน Apple กำลังพยายามที่จะเจาะตลาดอินเดียอย่างจริงจัง โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา Tim Cook ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ก็ได้ไปเปิด Apple Store 2 แห่งแรกไปหมาด ๆ ขณะที่ตลาดสมาร์ทโฟนอินเดียถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน เนื่องจากมีประชากรมากถึง 1.4 พันล้านคน ขณะที่ยอดขายของ iPhone มีเพียง 6.7 ล้านเครื่อง ซึ่งแปลว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

แม้ว่า Apple จะใช้อินเดียเป็นฐานการผลิต iPhone มานานแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเครื่องรุ่นเก่ามากกว่า แต่หลังจากที่ Apple มีแผนจะลดการพึ่งพาการผลิตจากจีน ทำให้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Apple ได้ผลิต iPhone 14 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดในอินเดียทันที ปัจจุบันกำลังผลิตของอินเดียคิดเป็น 7% ของสินค้าทั้งหมดทั่วโลก

Prachir Singh นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Counterpoint Technology Market Research มองว่า การที่ Apple มีแผนสำรองหรือการกระจายความเสี่ยง จะช่วยให้บริษัทไม่ต้องพึ่งพาภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งมากเกินไป แต่คงไม่ได้ลดการผลิตของจีนจนเหลือศูนย์

 

]]>
1429965
สรุป 10 ปี “เซ็นทรัล รีเทล” ในตลาด “เวียดนาม” ปฏิบัติการส่งแบรนด์ค้าปลีกยึดทุกมุมเมือง https://positioningmag.com/1420626 Thu, 23 Feb 2023 12:57:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420626 “เซ็นทรัล รีเทล” เข้าตลาด “เวียดนาม” ครบ 10 ปี จนปัจจุบันเป็น “ไฮเปอร์มาร์เก็ต” รายใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งเป้าขยายจำนวนสาขาอีกเท่าตัวภายในปี 2570 ปักหมุดเป็นผู้นำในตลาดหัวเมืองเทียร์ 3-4 เติบโตไปพร้อมกับความเจริญของเวียดนามที่คาดว่าประชากร ‘ครึ่งหนึ่ง’ จะเข้ามาอาศัยในเขตเมืองภายในอีก 6 ปีข้างหน้า

หนึ่งในพอร์ตสำคัญที่กำลังโตวันโตคืนของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC คือตลาด “เวียดนาม” หลังเข้าตลาดครบ 10 ปี ปัจจุบันเซ็นทรัล รีเทลกลายเป็นผู้นำตลาดในหลายแง่มุม โดยเป็นอันดับ 1 “ไฮเปอร์มาร์เก็ต” รายใหญ่ที่สุด มีส่วนแบ่งตลาดถึง 62% พ่วงตำแหน่งบริษัทรีเทลต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม

“ญนน์ โภคทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC เล่าย้อนถึงก้าวแรกของเซ็นทรัล รีเทลเมื่อปี 2555 เริ่มทดลองตลาดนี้ด้วยการดันสินค้าแฟชันเข้าไปจำหน่ายก่อน ซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักด้วยกำลังซื้อของคนเวียดนามสมัยนั้น แต่ก็ทำให้เซ็นทรัล รีเทลได้เรียนรู้ตลาดและเห็นช่องทาง

(ซ้าย) “โอลิวิเยร์ แลงเล็ต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม และ (ขวา) “ญนน์ โภคทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น

กระทั่งปี 2558 เซ็นทรัล รีเทลใช้วิธีเข้าซื้อหุ้นส่วนกิจการท้องถิ่น คือ “เหงียนคิม” (NK: Nguyen Kim) ซึ่งเป็นเชนร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า (ต่อมาจะเทกโอเวอร์ทั้งหมดในปี 2562) กับ “ลานชี มาร์ท” (Lanchi Mart) เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขยายตัวในเขตเวียดนามเหนือ

จุดเปลี่ยนสำคัญต่อเนื่องคือปี 2559 บริษัทเข้าเทกโอเวอร์ “บิ๊กซี เวียดนาม” (Big C) ซึ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต อย่างไรก็ตาม ชื่อห้างฯ “บิ๊กซี” นั้นลิขสิทธิ์ยังอยู่กับกลุ่มบีเจซี เซ็นทรัล รีเทลจึงต้อง ‘รีแบรนด์’ ใหม่ทั้งหมดโดยใช้ชื่อ “GO!” (โก!) ซึ่งปีนี้คาดว่าจะรีแบรนด์บิ๊กซีเปลี่ยนเป็น GO! ได้ครบทุกสาขา

ลำดับการพัฒนาของ CRC ในเวียดนาม

 

แตกกิ่งก้านสู่โมเดลค้าปลีกหลายรูปแบบ

หลังเซ็นทรัล รีเทลลงรากฐานในเวียดนามได้แล้ว สิ่งที่บริษัทพัฒนาต่อคือการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ให้เหมาะกับตลาด

ในปี 2561 บริษัทเริ่มเปิดโมเดลค้าปลีก “GO! Mall” ลักษณะเป็นศูนย์การค้า 2 ชั้น พื้นที่ประมาณ 4,500 ตร.ม. แบ่งพื้นที่ชั้นล่างเป็นพื้นที่เช่าร้านค้า-ร้านอาหาร ตอบสนองด้านไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง ทานข้าวนอกบ้าน ส่วนชั้นบนเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! โมเดลนี้จะมาตอบโจทย์พื้นที่ชุมชนเมืองที่มีกำลังซื้อสูง

เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม
บรรยากาศด้านใน GO! Mall สาขา Di An ชั้นล่างเป็นพื้นที่ไลฟ์สไตล์ขายสินค้าแฟชั่น และร้านอาหาร

ตามด้วยปี 2563-64 นำโมเดลประเภทซูเปอร์มาร์เก็ต เข้ามาเสริมทัพ โดยแบ่งเป็น “Mini go!” ที่ใช้บุกตลาดหัวเมืองเทียร์ 3-4 วางตนเองเป็นผู้นำโมเดิร์นเทรดของเมืองนั้นๆ และนำแบรนด์ “Tops Market” จากไทยเข้ามาลงทำเลหัวเมืองเทียร์ 1-2 ในจุดที่ลูกค้ามีกำลังซื้อสูง

เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม
Mini go! ซูเปอร์มาร์เก็ตสาขา Tan Uyen

ณ สิ้นปี 2564 เซ็นทรัล รีเทลมีค้าปลีกสะสมกว่า 300 ร้านค้า คิดเป็นพื้นที่ขายรวม 1.2 ล้านตร.ม. ครอบคลุม 40 จังหวัด ทำยอดขายไปมากกว่า 38,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 มีตัวเลขฐานลูกค้าสะสม 66 ล้านคน

สรุปแบรนด์ค้าปลีกหลักๆ ของเซ็นทรัล รีเทลที่เปิดตัวแล้วในเวียดนาม

  • GO! Mall จำนวน 39 สาขา
  • GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 38 สาขา
  • Tops Market ซูเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 10 สาขา
  • Mini go! ซูเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 3 สาขา
  • Lanchi Mart ซูเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 24 สาขา
  • Nguyen Kim ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า จำนวน 59 สาขา

(*สำหรับ Mini go! จะเน้นตลาดเวียดนามกลางและเวียดนามใต้ ส่วน Lanchi Mart จะเน้นตลาดเวียดนามเหนือที่แบรนด์มีชื่อเสียงอยู่แล้ว)

พอร์ตโฟลิโอแบรนด์ค้าปลีกของ CRC เวียดนาม

 

ทำไม “เวียดนาม” จึงเนื้อหอมมากสำหรับค้าปลีก

นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลังจากนี้เซ็นทรัล รีเทลจะทุ่มเม็ดเงินการลงทุนอีกเพราะตลาดนี้มีแนวโน้มเป็น ‘ดาวรุ่ง’ ในการสร้างรายได้ “โอลิวิเยร์ แลงเล็ต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ชี้ให้เห็นปัจจัยหลัก 4 ข้อที่ทำให้เวียดนามน่าสนใจ ดังนี้

  1. การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามจะขยายตัวมากกว่าประเทศไทย โดยการคาดการณ์ปี 2568 จีดีพีเวียดนามจะโต 2% ขณะที่ไทยจะโตเพียง 3.5%
  2. ประชากรเวียดนามขนาด 100 ล้านคนครึ่งหนึ่งจะกลายมาเป็น “คนเมือง” โดยคาดการณ์ปี 2572 ประชาชนเวียดนาม 50% จะมาอาศัยในเขตเมือง ส่งให้มีความต้องการจับจ่ายในโมเดิร์นเทรด
  3. มีพื้นที่ให้โมเดิร์นเทรดเติบโตได้อีกมาก โดยปัจจุบันค้าปลีกประเภทโมเดิร์นเทรดมีสัดส่วนเพียง 11% ของค้าปลีกทั้งหมด คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 13% ภายในปี 2570 ซึ่งก็ยังถือเป็นสัดส่วนที่ต่ำมาก
  4. ประเทศท่องเที่ยวแห่งใหม่ จะทำให้มีกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวเข้ามาเสริมด้วย
เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม
บรรยากาศด้านใน Mini go! ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นเจาะเมืองเทียร์ 3-4 เป็นผู้นำตลาดโมเดิร์นเทรดในพื้นที่นั้นๆ

 

ไปต่อ! ปี 2570 หมุดหมายจำนวนสาขาโตเป็นเท่าตัว

ด้วยความเป็นดาวรุ่งของเวียดนาม ทำให้เซ็นทรัล รีเทลจะโหมตลาดมากยิ่งขึ้น โดยญนน์ประกาศงบการลงทุนในเวียดนามจากนี้จนถึงปี 2570 จะลงทุนเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท และวางเป้าหมายการขยายตัว ดังนี้

  • มีศูนย์การค้าและร้านค้ามากกว่า 600 สาขา
  • ครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 57 จังหวัด (จากทั้งหมด 63 จังหวัด)
  • มีพื้นที่ขายมากกว่า 2 ล้านตร.ม.
  • สร้างยอดขายขึ้นไปแตะ 150,000 ล้านบาท
  • ขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้าน Omnichannel ในกลุ่มธุรกิจฟู้ด
  • ขึ้นเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ (เช่น ศูนย์การค้า)

เห็นได้ว่าอีกเพียง 4 ปีจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล เวียดนามจะขยายสาขาเป็นเท่าตัว และต้องการทำยอดขายมากขึ้นเกือบ 4 เท่า!

ปัจจุบันเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม มีสาขาครอบคลุม 40 จังหวัด เป้าหมายปี 2570 ต้องการไปให้ถึง 57 จังหวัด

 

เริ่มปี 2566 ลุยก่อสร้าง-ซื้อที่ดินพรึบ

จากวิสัยทัศน์ภาพใหญ่ดังกล่าว ปี 2566 นี้จะได้เห็น CRC เวียดนามใช้งบลงทุน 6,000 ล้านบาท เร่งการก่อสร้าง รีโนเวตสาขาเดิม และซื้อที่ดินเตรียมพร้อมสู่อนาคต โดยมีแผนงานหลักด้านการขยายสาขา ดังนี้

  • GO! Mall
    – ก่อสร้าง 5-7 สาขา
    – จัดซื้อที่ดินเพิ่ม 5-8 แปลง
  • GO! Hypermarket
    – รีแบรนด์จากบิ๊กซีและรีโนเวตเสร็จสิ้น 10 สาขา
  • Tops Market และ Mini go!
    – ก่อสร้าง 8-10 สาขา
    – จัดซื้อที่ดินเพิ่ม 15-20 แปลง
  • Nguyen Kim (NK)
    – ก่อสร้าง 3-5 สาขา
    – รีโนเวต 10-12 สาขา

นอกจากนี้ จะมี “ธุรกิจใหม่” ที่เปิดตัวทั้งในไทยและเวียดนาม ตามที่เซ็นทรัล รีเทลมีการให้ข่าวไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โอลิวิแยร์ยังกล่าวถึงแผนการสร้าง ‘synergy’ ภายในเวียดนามเอง และระหว่าง CRC ไทย-เวียดนาม ที่จะได้เห็นมากขึ้นในปีนี้ เช่น โมเดลใหม่ของการผนวก Tops กับ NK, การสร้าง Omnichannel ผ่านช่องทางเดียวกันในกลุ่มธุรกิจฟู้ด, การส่งสินค้า private label จาก Tops ประเทศไทยไปมากกว่า 300 SKUs, สั่งซื้อนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อมาจำหน่ายทั้งไทยและเวียดนามเพื่อให้ได้ Economy of scale, ส่งออกของสดจากเวียดนามไปประเทศไทย

ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า Nguyen Kim ภายในศูนย์การค้า GO! Mall

ที่สำคัญคือ CRC เวียดนามจะเรียนรู้ระบบ ‘The 1’ จากประเทศไทย นำมาวางระบบ CRM รวมทั้งเครือในเวียดนามด้วย โดยที่ผ่านมาระบบ CRM ของฝั่งเวียดนามจะแยกกันตามแบรนด์ เช่น Big Xu ของลูกค้าบิ๊กซี, GO! App, Tops Online App ต่อไปจะได้เห็นการปรับเพื่อรวมเป็นหนึ่งในแบบเดียวกับ The 1

การแข่งขันด้านค้าปลีกในเวียดนามนั้นมีผู้เล่นหลายรายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลจากสำนักข่าวท้องถิ่น Vietnam Report JSC กล่าวถึงชื่อผู้เล่นรายใหญ่ของเวียดนามเอง เช่น Wincommerce ในเครือ Masan Group บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ และผู้เล่นจากต่างประเทศ นอกจาก CRC ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ ยังมีแบรนด์ MM Mega Market จากประเทศไทย, Aeon จากญี่ปุ่น และ Lotte จากเกาหลีใต้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความท้าทายในตลาดเวียดนาม กลับไม่ใช่เรื่องของคู่แข่ง แต่ญนน์มองว่าเป็นเรื่องของ “การหาที่ดินและขออนุญาตก่อสร้าง” มากกว่า กลายเป็นว่าอุปสรรคหลักที่เวียดนามคือความซับซ้อนในการขออนุญาตก่อสร้างที่ทำให้สปีดมากกว่านี้ได้ยาก โดยที่ไทยการสร้างแต่ละสาขาใช้เวลาเพียง 1 ปีสร้างเสร็จ แต่ในเวียดนามอาจต้องใช้เวลาถึง 2-3 ปีเลยทีเดียว

]]>
1420626
‘Apple’ เร่งย้ายฐานผลิต MacBook ไป ‘เวียดนาม’ ให้ทันปีหน้า https://positioningmag.com/1413238 Tue, 20 Dec 2022 09:30:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1413238 ท่ามกลางความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และจีน บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสหรัฐฯ อย่าง Apple เลยต้องรีบเร่งย้ายฐานการผลิตสินค้าจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ โดยล่าสุด มีแหล่งข่าวได้เปิดเผยว่า Apple พยายามเร่งย้ายฐานการผลิตให้ทันปีหน้า

สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า Apple ได้เร่งให้ Foxconn ซัพพลายเออร์สัญชาติไต้หวันเริ่มผลิต MacBook ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเร็วที่สุดภายในเดือนพฤษภาคม โดย Apple กำลังดำเนินการเพื่อเพิ่มไซต์การผลิตนอกประเทศจีนสำหรับสายผลิตภัณฑ์หลักทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สำหรับ MacBook อาจต้องใช้เวลานานกว่าสินค้าอื่น ๆ เนื่องจากการผลิตคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปนั้นค่อนข้างมีความซับซ้อน

“สิ่งที่ Apple ต้องการในตอนนี้คือตัวเลือกในการออกจากประเทศจีน สำหรับการผลิตอย่างน้อยบางส่วนสำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท อาทิ iPhones ที่ในอินเดียและ MacBook, Apple Watch และ iPad ที่ผลิตในเวียดนาม”

ที่ผ่านมา Apple ผลิต MacBook ได้ระหว่าง 20-24 ล้านเครื่องต่อปี โดยมีฐานการผลิตกระจายอยู่ในเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน และเซี่ยงไฮ้ของจีน แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Apple กำลังดำเนินการที่จะย้ายฐานการผลิต MacBook บางส่วนไปยังเวียดนาม โดยล่าสุด Apple ได้เริ่มติดตั้งสายการผลิตในเวียดนามแล้ว

สำหรับการย้ายไปยังเวียดนาม ไม่ได้มาจากปัจจัยความตึงเครียดของสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการหยุดชะงักของการผลิตที่เกิดจากนโยบาย Zero Covid ของจีนและความไม่แน่นอนจากการผ่อนคลายมาตรการอย่างกะทันหันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

หนึ่งในจุดวิกฤตของปีนี้คือการที่โรงงานผลิต MacBook และ iPhone ในเซี่ยงไฮ้ต้องหยุดชะงักเนื่องจากการล็อกดาวน์ส่งผลให้การส่งมอบ iPhone 14 Pro และ 14 Pro Max ในช่วงเดือนพฤศจิกายนต้องชะงักลง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานในเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน เนื่องจากการระบาดของโควิด

การสูญเสียการไลน์การผลิต MacBook กำลังสะท้อนว่าจีนกำลังจะเสียตำแหน่ง โรงงานของโลก และไม่ใช่แค่ Apple แต่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำอื่น ๆ อาทิ HP, Dell, Google และ Meta ต่างก็มีแผนที่สุดที่จะย้ายการผลิตและจัดหาสินค้าจากจีน นับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มทำสงครามภาษีกับจีน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเซิร์ฟเวอร์ศูนย์ Data Center ของ Google, Meta, Amazon และ Microsoft ได้ย้ายไปที่ไต้หวัน เม็กซิโก หรือไทยแล้ว

“ตอนนี้ลูกค้าในสหรัฐฯ จำนวนมากต้องการทางเลือกอื่นสำหรับสถานที่ผลิตนอกประเทศจีน นี่เป็นแนวโน้มที่เร่งตัวอยู่แล้วสำหรับแบรนด์ระดับโลกเกือบทั้งหมด และไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผู้บริหารของ Inventec ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายสำคัญของ HP และ Dell กล่าว

ไม่ใช่แค่ MacBook แต่ Apple ยังได้ย้ายการผลิต iPad และ Apple Watch บางรุ่นไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ และตั้งเป้าที่จะเพิ่มผลผลิต iPhone จากอินเดียในปีนี้และปีหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนประเทศอินเดียให้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญอีกแห่งสำหรับ iPhone นอกจากนี้ยังมีแผนการผลิตหูฟัง AirPods และ Beats ไปยังอินเดียอีกด้วย

]]>
1413238
KBank ลุย “เวียดนาม” ตั้งเป้าปี’66 ดึงลูกค้า 1.2 ล้านราย ส่งบริการ “ดิจิทัล” เป็นหัวหอกบุกตลาด https://positioningmag.com/1395229 Fri, 05 Aug 2022 00:57:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395229 ธนาคารกสิกรไทย (KBank) เปิดสาขาแรกใน “เวียดนาม” วางกลยุทธ์ 3 ด้านเพื่อบุกตลาด เน้นการพัฒนาบริการ “ดิจิทัล” เช่น แอปฯ K PLUS ดึงลูกค้าคนหนุ่มสาว พร้อมลงทุนในสตาร์ทอัพเพื่อเปิดบริการทางการเงินแบบใหม่ วางเป้าหมายปี 2566 ลูกค้าบุคคลแตะ 1.2 ล้านราย และปล่อยสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท มองศักยภาพเวียดนามเป็นตลาดเติบโตเร็ว ขึ้นแท่นอันดับ 2 ในตลาดต่างประเทศของกสิกรไทยรองจากประเทศจีน

“ขัตติยา อินทรวิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงแผนของธนาคารในกลุ่มต่างประเทศ AEC+3 ในรอบ 3 ปีต่อจากนี้ ธนาคารมีการวางงบลงทุนไว้ 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี เสริมทัพทีมงาน ลงทุนในสตาร์ทอัพ และเข้าซื้อกิจการ

โดยจะใช้ยุทธศาสตร์สำคัญในการทำตลาดต่างประเทศคือ การเป็น Asset-Light Digital Banking Strategy เน้นความร่วมมือกับบริษัทเทคหรือสตาร์ทอัพในท้องถิ่นเพื่อใช้บริการ “ดิจิทัล” เป็นจุดดึงดูดผู้ใช้งาน วาง 3 กลยุทธ์ในการทำงาน ได้แก่

  1. ขยายสินเชื่อให้กับลูกค้าธุรกิจ (Aggressive Play) ทั้งลูกค้าบริษัทไทย-ต่างประเทศที่เข้าไปลงทุนและบริษัทท้องถิ่น
  2. ขยายฐานลูกค้าผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรธนาคาร (Mass Acquisition Play) เน้นการให้บริการธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล โดยร่วมมือกับพันธมิตรที่มีฐานลูกค้าเพื่อเข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว อนาคตจะเข้าสู่การเป็น Regional Payment Platform
  3. พัฒนาการให้บริการทางการเงินในรูปแบบใหม่ (Disruptive Play) เน้นด้านการให้สินเชื่อดิจิทัล โดยใช้ดาต้าที่ทำให้ธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Underbanked ได้

 

บุกหนัก “เวียดนาม” เดินหมากทั้ง 3 กลยุทธ์พร้อมกัน

“พิพิธ อเนกนิธิ” กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวต่อว่า ล่าสุดธนาคารได้ขยายเข้าสู่เวียดนาม ได้รับใบอนุญาตเปิดสาขาแรกเมื่อต้นปี 2564 และก่อตั้งสาขาแรกที่โฮจิมินห์ ซิตี้สำเร็จช่วงปลายปี 2564 พร้อมกับมีการจัดตั้งทีม KBTG เวียดนาม รองรับด้านการพัฒนาดิจิทัล มีบุคลากร 70-80 คนและจะขยายขึ้นเป็น 200 คนในอนาคต

ข้อมูลจาก ธนาคารกสิกรไทย

ตลาดเวียดนามนั้นถือเป็นตลาดที่ KBank คาดหวังและตั้งเป้าสูง เนื่องจากเป็นตลาดที่มีประชากรถึง 98.5 ล้านคน และเศรษฐกิจเติบโตได้ดี แม้แต่ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้จีดีพีทั่วโลกติดลบ แต่เศรษฐกิจเวียดนามยังโตได้ 2% รวมถึงเวียดนามเป็นประเทศคนหนุ่มสาว เพราะประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในช่วงอายุต่ำกว่า 35 ปี

พิพิธกล่าวว่า ประเทศเวียดนามยังเป็นตลาดต่างประเทศแห่งแรกที่กสิกรไทยใช้กลยุทธ์ทั้ง 3 ด้านพร้อมๆ กัน จากปกติจะเดินไปทีละกลยุทธ์ เนื่องจากเห็นว่าเวียดนามเป็นตลาดที่พร้อมในทุกด้าน และธนาคารเองมีประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากตลาดต่างประเทศอื่นก่อนหน้านี้

 

ส่ง K PLUS Vietnam เขย่าตลาด

ในด้านการบริการดิจิทัล KBank มีการเปิดตัว K PLUS Vietnam เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการต่อยอดโมบายแบงกิ้งในเวอร์ชันไทยมาเป็นเวอร์ชันเวียดนาม เพื่อสร้าง Digital Lifestyle Ecosystem เน้นการเป็นโซลูชันส์ที่สามารถทำได้ทั้งผลิตภัณฑ์เงินฝาก สินเชื่อบุคคล สินเชื่อดิจิทัลสำหรับร้านค้าขนาดเล็ก ระบบรับชำระเงิน ซึ่งพิพิธมองว่าฟีเจอร์เหล่านี้ K PLUS สามารถให้บริการได้ครอบคลุมกว่าธนาคารอื่นที่มีบริการอยู่ในตลาดเวียดนาม และจะเป็นจุดแข็งให้กับกสิกรไทย

KBank เวียดนาม
“พิพิธ อเนกนิธิ” กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

ระบบชำระเงินดิจิทัลในกลุ่มลูกค้ารายย่อยในเวียดนามถือว่าอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มต้น ทำให้กสิกรไทยจะต้องบุกหนักเพื่อสร้างตลาด พร้อมๆ กับการส่งเสริม Cashless Society ของรัฐบาลเวียดนาม

 

โอกาสใหม่จากการลงทุนร่วมกับ “สตาร์ทอัพ”

ด้านกลยุทธ์ ‘Disruptive Play’ นั้นกสิกรไทยมีการลงทุนร่วมกับสตาร์ทอัพ ด้วยการลงทุนของ KASIKORN VISION ซึ่งเริ่มมีการลงทุนแล้วกับ ‘Jio Health’ (จีโอ เฮลธ์) แพลตฟอร์ม Telemedicine ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

พิพิธกล่าวว่า การลงทุนกับสตาร์ทอัพจะเป็นใบเบิกทางให้ธนาคารเข้าสู่บริการการเงินในรูปแบบใหม่ได้ โดยธนาคารจะมุ่งเน้นสตาร์ทอัพในกลุ่มอุตสาหกรรมที่สนใจ เช่น EduTech, FinTech, HealthTech, ESG-Tech เพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้คาดว่าจะเป็นดาวรุ่งในตลาด AEC+3

คลินิกออฟไลน์ของ Jio Health

การเงินรูปแบบใหม่จะเป็นอย่างไร? พิพิธยกตัวอย่างกลับมาที่ประเทศไทย KBank มีความร่วมมือกับ GDH ในการออกเหรียญ ‘Destiny Token’ เพื่อลงทุนกับภาพยนตร์เรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส 2’ เหรียญนี้ทำหน้าที่ระดมทุนจากรายย่อยโดยใช้พื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชน ถือเป็นตัวอย่างบริการแบบใหม่ที่เกิดขึ้น

 

ตั้งเป้าปีหน้า 1.2 ล้านราย

สรุปเป้าหมายในเวียดนามของกสิกรไทย ปี 2566 จะมีลูกค้าบุคคลแตะ 1.2 ล้านราย จากปัจจุบันมีมากกว่า 1 แสนราย และตั้งเป้าจะปล่อยสินเชื่อได้รวม 20,000 ล้านบาท

ปัจจุบันกสิกรไทยมีเป้าหมายทำรายได้จากตลาดต่างประเทศ AEC+3 ได้ในสัดส่วน 5% จากพอร์ตรายได้ทั้งหมด โดยมี “จีน” เป็นตลาดอันดับ 1 แต่ตลาดอันดับ 2 เชื่อว่าในปีหน้าเวียดนามจะแซงกัมพูชาขึ้นมา เพราะขนาดตลาดที่ใหญ่กว่าและเติบโตเร็วกว่า

พิพิธเชื่อว่าตลาดเวียดนามมีศักยภาพสูงมากในอนาคต เพราะประชากรมี Digital Literacy เข้าถึงสมาร์ตโฟนสูง พร้อม ‘ขี่กระแสดิจิทัล’ เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ได้ทันที สอดคล้องกับกลยุทธ์ธนาคาร รวมถึงมี ‘ทาเลนต์’ ด้านเทคโนโลยีในตลาดพร้อมรับการเติบโต

]]>
1395229