ไมโล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 11 Mar 2024 08:08:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ไมโล” เปิดตัว “ชาอึนอู” แบรนด์แอมฯ คนแรกในรอบ 70 ปี ปรับภาพแบรนด์ให้ทันสมัย-ดื่มได้ทุกวัย https://positioningmag.com/1465847 Mon, 11 Mar 2024 07:05:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465847 “ไมโล” เปิดตัวแบรนด์ แอมบาสเดอร์คนแรกในรอบ 70 ปีที่เริ่มจำหน่ายในไทย เลือกไอดอลเกาหลี “ชาอึนอู” พลิกโฉมแบรนด์ให้ทันสมัยมากขึ้น เข้าถึงทั้งกลุ่ม “วัยรุ่น Gen Z และ “กลุ่มคุณแม่” ทุ่มงบการตลาด 200 ล้านบาทตลอดปีหวังดันยอดขายโตดับเบิลดิจิต

“ไชยงค์ สกุลบริรักษ์” ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ประกาศแคมเปญใหญ่ของเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ “ไมโล” (Milo) ในปี 2567 เปิดตัว “ชาอึนอู” เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์คนแรกนับตั้งแต่ที่ไมโลเข้ามาจำหน่ายในไทยเมื่อ 70 ปีก่อน

โดยเนสท์เล่ทุมงบแคมเปญนี้กว่า 200 ล้านบาท จัดอีเวนต์เปิดตัวแบรนด์ แอมบาสเดอร์ “ชาอึนอู” ณ ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ความมุ่งมั่นสร้างคุณ” (Determination Makes You) ที่จะลงสื่อสารถึงผู้บริโภคทุกช่องทางในปีนี้

เล่นใหญ่ดึง “ชาอึนอู” ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย

ทางเนสท์เล่ระบุว่าโจทย์ของแบรนด์ไมโลคือ ต้องการจะปรับภาพแบรนด์ให้ทันสมัย แต่ยังต้องชูวัตถุประสงค์ของแบรนด์ (Brand Purpose) เดิมที่เน้นย้ำมาตลอด คือการเป็นเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ที่มีสารอาหารสูง และเป็นแบรนด์ที่สนับสนุนด้าน “กีฬา” การมุ่งมั่นต่อสู้ในชีวิต

ภาพลักษณ์เหล่านี้ต้องสื่อสารถึงผู้บริโภคทั้ง “กลุ่มคุณแม่” ที่มีลูกวัยประถมอายุ 6-12 ปี ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของไมโล และ “กลุ่ม Gen Z” วัยรุ่นจนถึงวัยทำงานตอนต้นที่แบรนด์ต้องการจะเจาะตลาดให้มากขึ้น ทำให้แบรนด์ไม่ใช่เครื่องดื่มของเด็กเท่านั้น แต่เป็นเครื่องดื่มของคนทุกวัย

ไมโล
อีเวนต์ MILO Thailand x CHA EUN-WOO Presents Determination Makes You

เมื่อจับทุกโจทย์มารวมกันทำให้ “ชาอึนอู” ไอดอลชื่อดังจากเกาหลีใต้ได้รับเลือกเพราะมีชื่อเสียงในระดับสากล และเข้าถึงคนทุกกลุ่มตั้งแต่วัยรุ่น Gen Z จากบทบาทการเป็นศิลปิน จนถึงกลุ่มคุณแม่ที่ติดตามชาอึนอูในฐานะนักแสดงซีรีส์

ชาอึนอูยังเป็นไอดอลที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นกีฬา และมีประวัติชีวิตที่ต้องมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อขึ้นมาเป็นไอดอลเบอร์ต้นของเกาหลีใต้สำเร็จ บุคลิกของชาอึนอูจึงตรงกับภาพลักษณ์แบรนด์ที่ไมโลต้องการสื่อสารทุกข้อ

ปัจจุบันชาอึนอูมีผู้ติดตามในอินสตาแกรมรวม 45 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มแฟนคลับชาวไทยราว 3 ล้านคน จึงเชื่อว่าจะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมาก

 

“ไมโล” ขอโต “ดับเบิลดิจิต” แซงตลาด

ข้อมูลจากนีลเส็นระบุว่า มูลค่าตลาดเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ในไทยมีมูลค่าประมาณ 8,400 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อปี 2566

ไมโล
การสื่อสารของ “ไมโล” แนะนำชงดื่มคู่กับอาหารเช้า

ไชยงค์กล่าวว่า แบรนด์ไมโลปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ยอดขายของไมโลส่วนใหญ่ 65% มาจากประเภทกล่อง UHT ซึ่งสะดวกและหาซื้อดื่มง่ายนอกบ้าน อีก 35% มาจากประเภทผงชงดื่มซึ่งลูกค้าเน้นดื่มยามเช้าที่บ้าน นอกจากนี้ไมโลยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ซีเรียล, ช็อกโกแลตแท่ง, ไอศกรีม

ทั้งนี้ Positioning สำรวจตลาดพบว่า เครื่องดื่มมอลต์ในไทยเป็นตลาดที่ขับเคี่ยวกันระหว่าง 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่คือ “โอวัลติน” กับ “ไมโล” และมีแบรนด์อื่นๆ ที่เข้ามาพยายามชิงส่วนแบ่งตลาดบ้าง เช่น “ดีมอลต์” ของดัชมิลล์

ไชยงค์กล่าวปิดท้ายว่า จากแคมเปญการตลาดที่ทุ่มทุนปีนี้ คาดหวังให้ “ไมโล” โตแซงตลาด วางเป้าโตแบบ “ดับเบิลดิจิต” โดยจะมีกิจกรรมอีเวนต์ตลอดปี และจะมีสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ออกมากระตุ้นตลาด

]]>
1465847
ทำไม “เนสท์เล่” ต้องลงทุนใหญ่ 4,500 ล้าน ขยาย 3 โรงงานในไทย เร่งเสริมพอร์ต “อาหารสัตว์เลี้ยง” https://positioningmag.com/1307826 Thu, 26 Nov 2020 17:18:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307826 เเม้วิกฤต COVID-19 จะทำให้ผู้คนซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคมากขึ้น เเต่ภาพรวมของธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย

วันนี้เนสท์เล่” (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ฉายภาพธุรกิจในไทย เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยังเติบโต กลยุทธ์รุกตลาดอีคอมเมิร์ซ พร้อมประกาศเเผนลงทุนปีนี้และปีหน้า ด้วยการขยาย 3 โรงงานในไทย เป็นเม็ดเงินถึง 4,500 ล้านบาท เสริมพอร์ตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อะไรเป็นเหตุผลที่เนสท์เล่ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีกับสินค้าเหล่านี้เราจะมาหาคำตอบกัน

เนสท์เล่เข้ามาทำตลาดไทยได้ 126 ปีเเล้ว ปัจจุบันมีโรงงานในไทยทั้งสิ้น 7 เเห่ง มีพนักงานราว 3,300 คน (จากทั่วโลก 3 เเสนคน) โดยเเผนขยายโรงงาน 3 เเห่งดังกล่าวจะเป็นการสร้างใหม่ 2 เเห่ง เเละขยายจากโรงงานเดิม 1 เเห่ง

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า เนสท์เล่ ก็เป็นเหมือนหลายบริษัททั่วโลกที่ต้องปรับตัวเพราะสถานการณ์ COVID-19 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ สินค้ากลุ่มบริโภคนอกบ้าน อย่างเช่น น้ำดื่ม ไอศกรีมเเละขนม

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี เเละช่วยพยุงรายได้ของบริษัทไว้ได้ คือกลุ่มสินค้าในครัวเรือน เช่น กาแฟ นม ซอสปรุงรส เพราะผู้คนต้องใช้เวลาอยู่บ้านเเละทำอาหารกินเองมากขึ้นนั่นเอง

ผลประกอบการยังเป็นไปตามเป้า ภาพรวมยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะเหมือนเป็นการปรับพอร์ตสินค้าในการเติบโต โดยคาดว่ารายได้ของเนสท์เล่ในไทยปีนี้ จะเติบโตราว 1 digit”

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

แม้ว่าการทำธุรกิจในช่วงนี้ จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน แต่ผู้บริหารเนสท์เล่บอกว่ายังเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย เเละมองว่างบลงทุนกว่า 4.5 พันล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นการสร้างการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีไปยังธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย

ประกอบกับเนสท์เล่มีการทำสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงใน 5 ด้าน ได้แก่

  • เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน
  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เเน่นอน
  • ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรีไซเคิลได้ มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นพิษต่อโลก
  • นิยมใช้บริการอีคอมเมิร์ซ สั่งอาหารเเละซื้อสินค้าเเบบเดลิเวอรี่ เพิ่มขึ้นมากหลังวิกฤต COVID-19

อินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้บริษัทต้องออกสินค้าใหม่ เเละขยายกำลังผลิตในสินค้าที่จะเติบโตได้ดี โดยเนสท์เล่เลือกที่จะขยายการลงทุนใน 3 โรงงาน กับ 3 กลุ่มสินค้าด้วยกันคือ อาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อาหารสัตว์เลี้ยงคนซื้อราคาพรีเมียม เเม้ต้องประหยัด

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากหันมาดูเเลสัตว์เลี้ยงเพื่อคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา

“เเม้ในช่วง COVID-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เเต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่มีตก” 

สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเเบบ “พรีเมียม” ขยายตัวสูงเช่นกัน เเละมีประชากรสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเเมวเเละสุนัข โดยคนไทยนิยมดูเเลสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่เเต่งงานช้า มีลูกน้อยลงเเละใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้เติบโต

“ผู้คนยอมตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เเต่ไม่ยอมตัดค่าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง เเถมยังยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่ออาหารพรีเมียมให้สัตว์เลี้ยง

จากเเนวโน้มการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง เนสท์เล่ จึงตัดสินใจทุ่มลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท “สร้างโรงงานแห่งใหม่” ในนิคมอมตะนคร มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ ซึ่งมีเเบรนด์ที่ติดตลาดอยู่ในมือเเล้ว อย่างเพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป เเละซุปเปอร์โค้ท เป็นต้น

ภาพจำลองโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเเห่งใหม่ของเนสท์เล่ จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021

ปั้นรสชาติใหม่ๆ ตีตลาดไอศกรีมไทย 

ไอศกรีมยังเป็นสินค้าที่ขายดี “เมื่อคนเครียด” อยากหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น

เเม้ไอศกรีมของเนสท์เล่จะโดนผลกระทบจาก COVID-19 แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาปกติ ยอดขายก็จะกลับมาเหมือนเดิม การทุ่มลงทุน 440 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังผลิตไอศกรีม ณ โรงงานบางชันครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อตลาดระยะยาว เพื่อออกไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด

ปัจจุบันสินค้าประเภทไอศกรีมคิดเป็นส่วนแบ่งราว 10% ของเนสท์เล่ มียอดขายเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีการเจาะตลาดคนไทยด้วยการนำ “ไอศกรีมโมจิ” ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทย รวมถึง “ไอศกรีมคิทแคทและโอริโอ” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังไม่ได้มองหาเเค่ไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ แต่ยังมองหาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้เนสท์เล่ต้องขยับมาทำบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมที่ทำจากกระดาษ ไม่มีส่วนผสมของพลาสติก และสามารถรีไซเคิลได้ 100%

ยูเอชที : ต้องดีต่อสุขภาพ พกพาสะดวก

จากผลวิจัยของ Nielson พบว่า เครื่องดื่มยูเอชทีประเภทนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอสที จะมีการเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ชี้ให้เห็นว่าคนไทยกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพเเละพกพาสะดวก

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เนสท์เล่หันมาจับเทรนด์รักสุขภาพและต้องพกพาสะดวก โดยการออกผลิตใหม่อย่าง นมตราหมีในรูปแบบกล่อง (จากเดิมเป็นกระป๋อง) เเละออกไมโลรสชาติใหม่ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ตามเเนวโน้มผู้บริโภคคนไทยที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์น้ำตาล 0% มากขึ้นในอนาคต

โดยโรงงานแห่งสุดท้ายจะใช้งบลงทุนราว 1,530 ล้านบาท ซึ่งจะตั้งอยู่ที่นวนคร 7 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี

“การลงทุนในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และจะช่วยสร้างการเติบโตในประเทศไทย”

ภาพโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีของเนสท์เล่ ที่นวนคร 7

ด้านการพัฒนา “อีคอมเมิร์ซ” ของเนสท์เล่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิด COVID-19 ไทยมีอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ตอนนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า นำมาสู่การทุ่มงบอีก 50 ล้านบาทในปีนี้

“เราเริ่มตั้งทีมอีบิสซิเนส มาตั้งเเต่ปี 2018 ตอนนี้มีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า มีการลงทุนด้านระบบเเละบุคลากรต่อเนื่อง สร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า”

กำลังศึกษา “น้ำผสมวิตามิน” 

อีกหนึ่งเทรนด์เครื่องดื่มที่กำลังมาเเรงในเมืองไทย ตอนนี้บริษัทใหญ่-เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาด “น้ำผสมวิตามิน” กันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียว มาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก 7-8 เจ้า ปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ทำให้เกิดคำถามว่า ยักษ์ใหญ่ FMCG อย่าง เนสท์เล่ จะลงมาเล่นสนามนี้หรือไม่ 

วิคเตอร์ เซียห์ ตอบว่า เนสท์เล่ยังอยู่ “ระหว่างการศึกษา” ตลาดของน้ำวิตามิน เพราะตลาดนี้ยังมีขนาดเล็กอยู่ไม่ถึง 5% ของตลาดเครื่องดื่ม “ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกระแสที่คงอยู่ในระยะยาว หรือจะอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วหายไป” เเต่มีเเผนจะเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพเเนวๆ นี้ อยู่ในช่วงปีหน้า เเต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่เเน่ชัดได้

ต้องจับตาดูว่า หลังทุ่มงบสร้างโรงงานในไทยเเล้ว “เนสท์เล่” จะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ อะไรออกมาเขย่าตลาดอีก 

 

 

]]>
1307826
“ไมโล UHT” เปิดตัวใช้ “หลอดกระดาษ” เขย่าวงการนมกล่องครั้งแรกในไทย ในราคาเท่าเดิม! https://positioningmag.com/1286814 Tue, 07 Jul 2020 15:49:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286814 หลอดกระดาษได้มาถึงวงการนมกล่องแล้วเรียบร้อย “ไมโล ยูเอชที” ถือว่าเป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำหลอดกระดาษมาใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูเอชที นำร่องใน 2 สูตร ได้แก่ ไมโล ยูเอชที สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% และ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย

หลอดกระดาษงอได้ ไม่มีกลิ่น

ไมโลได้นำร่องเปิดตัวนวัตกรรมหลอดกระดาษครั้งแรกในตลาด UHT ชูจุดเด่น โค้งงอได้ ไม่มีกลิ่นกระดาษ ดื่มแล้วรสชาติอร่อยไม่เปลี่ยน ตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลก เพราะผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ 100% ที่ได้รับการรับรองจาก FSC ตั้งเป้าลดการใช้หลอดพลาสติกได้มากกว่า 100 ล้านหลอด ภายในปี 2564

เริ่มใช้กับไมโล ยูเอชที 2 รสชาติ ได้แก่ สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% และ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า

“การนำนวัตกรรมหลอดกระดาษโค้งงอได้มาใช้กับไมโล ยูเอชที ครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของเนสท์เล่ในการลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ปลอดขยะ ตอกย้ำพันธกิจระดับโลกของเนสท์เล่ที่มุ่งมั่นเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ภายในปี 2568 พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่มองหาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผมหวังว่าไมโลหลอดกระดาษจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี”

ด้าน ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า

“การเปิดตัวไมโลหลอดกระดาษครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับแผนการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 ของภาครัฐ โดยนำร่องในผลิตภัณฑ์ไมโล ยูเอชที สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% และ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย และวางแผนขยายการผลิตให้ครอบคลุมครบทุกรสชาติและทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของไมโล ยูเอชที ภายในต้นปี 2564 ตั้งเป้าการเปลี่ยนมาใช้หลอดกระดาษจะช่วยลดการใช้หลอดพลาสติกได้มากกว่า 100 ล้านหลอด ภายในปี 2564 หรือหากนำปริมาณหลอดพลาสติกที่ถูกทดแทนมาเรียงต่อกันจะคิดเป็นระยะทาง 15,000 กิโลเมตร หรือ ระยะทางจากแม่สายถึงเบตง 8 รอบ”

แม้หลอดกระดาษไมโลจะสามารถย่อยสลายเองได้ แต่เนสท์เล่รณรงค์ให้ดันหลอดกระดาษกลับเข้าไปในกล่องหลังจากดื่มหมด โดยไม่ต้องแยกทิ้ง เพราะจะทำให้หลอดกระดาษสามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้พร้อมกล่องไมโล ลดปริมาณขยะชิ้นเล็กที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

]]>
1286814
เลิกหวาน! “ไมโล” ส่งสูตรไม่มีน้ำตาลทำตลาดครั้งแรกของโลก อัดงบ 200 ล้าน ปั้นพอร์ตรายได้ใหม่ https://positioningmag.com/1218244 Wed, 06 Mar 2019 13:38:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1218244 ด้วยเทรนด์เครื่องดื่ม “ทางเลือกสุขภาพ” น้ำตาลต่ำ ถูกขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านสาธารณสุขตามนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น รวมทั้งการบังคับใช้ภาษีน้ำตาล นับเป็นแรงผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนตาม 

หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับตัวตอบรับเทรนด์ทางเลือกสุขภาพ คือ เครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทพร้อมดื่ม 6,000 ล้านบาท และชนิดผง 4,000 ล้านบาท โดยรวมเติบโต 4-5% แต่พบว่าผลิตภัณฑ์น้ำตาลต่ำ สามารถขยายตัวได้สูงกว่าภาพรวม

เปิดตัวสูตรไม่มีน้ำตาลครั้งแรกในโลก-ไทย

ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “เนสท์เล่” ได้รับเครื่องหมายสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” 48 ผลิตภัณฑ์ โดยให้ความสำคัญการลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เข้าสู่ตลาดตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ในปี 2560 ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “ไมโล” สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% เพื่อเป็นตัวเลือกผู้บริโภค พบว่าได้รับการตอบรับดี ปัจจุบันมีสัดส่วน 10% ของพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ไมไล และยังมีแนวโน้มเติบโต จากเทรนด์ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมองหาสินค้าที่ไม่มีน้ำตาลทรายมากขึ้น

หลังการเปิดตัวไมโลสูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% เนสท์เล่ได้ทำงานเชิงรุก โดยมองหานวัตกรรมที่จะมาตอบโจทย์ผู้บริโภคต่อเนื่อง จึงได้ร่วมมือของ 3 ทีมนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ในระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระดับภูมิภาคจากประเทศสิงคโปร์ และระดับท้องถิ่นจากประเทศไทย

โดยใช้เวลา 2 ปี คิดค้นนวัตกรรม ไมโล ยูเอชที สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ที่ถือเป็น “บิ๊กสเตป” ของแบรนด์ “ไมโล” ครั้งแรกในโลกและครั้งแรกในรอบกว่า 6 ทศวรรษ ในประเทศไทยกับการผลิตภัณฑ์สูตร “ไม่เติมน้ำตาลทราย” โดยเครื่องดื่มจะได้ความหวานธรรมชาติจากส่วนผสมนมและมอลต์ ซึ่งได้รับสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ และขานรับนโยบายสุขภาพของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ผู้บริโภครับประทานน้ำตาลอย่างเหมาะสม

“การคิดค้นสูตรไม่เติมน้ำตาล ถือเป็นโจทย์หินของเครื่องดื่มในตลาดที่ผู้บริโภคคุ้นชินกับรสหวาน แต่จากการวิจัยกับกลุ่มผู้บริโภค ที่ได้ชิมรสชาติไมโลใหม่ ปรากฏว่า 9 ใน 10 ของผู้บริโภคชอบรสชาติและสนใจจะซื้อผลิตภัณฑ์ไมโล ยูเอชที สูตรไม่มีน้ำตาลทราย”

ทุ่ม 200 ล้าน ปั้นพอร์ต 10%

การเปิดตัว “ไมโล ยูเอชที สูตรไม่มีน้ำตาลทราย” ถือเป็นการทำตลาดรายแรกของกลุ่มเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ ที่ไม่เติมน้ำตาลทราย จึงเตรียมใช้งบประมาณสื่อสารและการตลาด 200 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้กับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายหลักคือคุณแม่ยุคใหม่ที่มีลูกอายุ 7-12 ปี ผ่านแคมเปญสื่อดิจิทัลหลากหลายเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้จะมีกิจกรรมการแจกผลิตภัณฑ์ไมโล ยูเอชที สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ในโมเดิร์นเทรดหลักแสนกล่อง และโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าและร้านสะดวกซื้อที่ร่วมรายการทั่วประเทศ

สำหรับการทำตลาดช่วงเริ่มต้นจะจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-11 เพื่อกระจายสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคเป้าหมายอย่างรวดเร็วจำนวนกว่า 12,000 ร้านค้า ภายใน 7 วัน และตั้งแต่มิถุนายน 2562 จะวางจำหน่ายที่ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ โดยวางจำหน่ายขนาด 180 กรัม ราคา 13 บาท ซึ่งเป็นขนาดและราคาเดียวกับไมโล สูตรปกติ และสูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% เพื่อให้เป็นทางเลือกเครื่องดื่มสุขภาพ

ปัจจุบัน “ไมโล” มีส่วนแบ่งการตลาด 30% เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ สัดส่วนมาจากกลุ่มพร้อมดื่ม 60% และชนิดผง 40% หลังเปิดตัวสูตรไม่มีน้ำตาลทราย คาดว่าสินค้ากลุ่มนี้จะมีสัดส่วน 10% ของพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ไมโล และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลักดันการเติบโต พร้อมส่งเสริมให้ผู้บริโภคและเด็กไทย “อ่อนหวาน”

]]>
1218244
10 ปรากฏการณ์ สะเทือนตลาดปี 2560 https://positioningmag.com/1152106 Sat, 30 Dec 2017 00:07:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152106 ในทุกปีมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจการตลาด ที่มีทั้งเรื่องราวของแบรนด์ สินค้า ที่สร้างปรากฏการณ์ตลาดจนผู้ต้องร้องว้าว! คู่แข่งต้องหันมามอง นักการตลาดต้องหยิบมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อที่จะรียนรู้ ปรับใช้ และปรับตัวในปีต่อ ๆ ไป หากจะมองว่า กระแส หรือกิจกรรมตลาดไหนบ้างที่ “ร้อนแรง” ในปี 2560

1. ตูน Phenomenon 

ถ้าหากจะพูดถึงบุคคลแห่งปีที่ผู้คนทุกวงการต้องเกาะติด ตั้งแต่การเมือง การตลาด สังคม กีฬา สารพัดฯ ต้องยกให้คนนี้ “ตูน บอดี้สแลม” ที่ลุกมาทำโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ออกมาวิ่งจากเบตง ถึงเชียงรายระยะทาง 2,000 กว่ากิโลเมตร(กม.) เพื่อระดมทุน 700 กว่าล้านบาท ไปช่วยเหลือ 11 โรงพยาบาล ผลของการทำกิจกรรมด้วยใจจริง ทำให้แบรนด์ต้องหันมาศึกษา และยกเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ควรนำไปทำตาม ทั้งความจริงใจ มีความ Real Marketing ไม่ Fake เพราะการทำอะไรปลอมๆ ที่สุดแล้ว ก็จะกลายเป็นหอกกลับมาทิ่มแทงทำลายแบรนด์ให้พังได้

นอกจากนี้ สิ่งที่ตูนทำ ยังก่อให้เกิดคนรักทั้งประเทศ ซึ่งในเชิงการตลาด เป้าหมายสูงสุดที่แบรนด์ต้องการไปให้ถึงคือ Build Brand Love เพราะหากผู้บริโภคนรักแบรนด์ได้ จะก่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อแบรนด์นั้นเป็นแบรนด์แรก อีกทั้งหากมีใครกล่าวร้ายแบรนด์ ผู้บริโภคจะออกมาปกป้องทันที

2. ครีมหน้าเด้งของก้อย รัชวิน ที่ทุกคนถามหา 

นอกจากพี่ตูน บอดี้สแลมจะเป็นที่สนใจของทุกคน แต่จะไม่พูดถึงคนนี้ไม่ได้ “ก้อย รัชวิน” แฟนสาว ที่ร่วมออกวิ่งกับตูน ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่สิ่งที่หลายคนสงสัย คือ “ใช้ผลิตภัณฑ์อะไร” ที่ยังคงสภาพผิว ใบหน้าให้สวดสดใสได้ตลอด จนมีบางแบรนด์มาเกาะกระแสขายสินค้า

ภาพจาก : facebook.com/rachwinwong

ขณะที่ก้อย บอกเพียงวิธีการดูแลผิวพรรณ ด้วยการใช้ครีมกันแดดในตอนกลางวัน หลังวิ่งเสร็จต้องลงอโลเวร่า ตบด้วยมาร์กหน้าตอนกลางคืน ส่วนก่อนเมคอัพให้สวยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่จำเป็นทั้ง อายครีม มอยเจอร์ไรเซอร์ เซรั่ม ต้องลงหมด

3. ไมโลคิวบ์ ไอเทมสุดฮิต 

ที่ทุกคนควานหา การออกสินค้าใหม่มาชิมลางในตลาด การแจ้งเกิดได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ไมโลคิวบ์ จะไม่ได้เปิดตัวโดยตรงจากเจ้าของแบรนด์อย่าง “เนสท์เล่” แต่เมื่อมี “ขาหิ้ว” นำเข้ามาขาย จนโด่งดัง ก็เป็นจังหวะดีที่แบรนด์กลับมามอง เพื่อปูพรมทำการตลาด หาโอกาสใหม่ๆเอง

ความดังของไมโลคิวบ์ อย่างแรกเกิดจากตัวผลิตภัณฑ์(Product)ที่แตกต่างจากตลาดอย่างแท้จริง เพราะเวลานั้นไม่มีคู่แข่งรายใดที่ทำช็อคโกแลตมอลต์อัดเม็ดออกมาจำหน่าย ส่วนการทำตลาดแน่นอนของดีเลยทำให้ “ผู้บริโภคบอกต่อ” เป็น Word of Mouth เป็นตัวกลางที่สื่อสารให้แบรนด์ซัคเซส โดยไม่ต้องลงทุนโฆษณาใดๆ

4. ชากุหลาบ โปรดักท์จุดพลุให้ชาตรามือ 

อีกหนึ่งสินค้าที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ สำหรับ “ชาตรามือ” ที่มีสินค้าพระเอกของปีคือ “ชากุหลาบ” กลายเป็น Buzz Marketing รัวๆ เพราะใครที่ลองสินค้านี้แล้ว มีการบอกต่อกันอย่างมากในโลกออนไลน์ ถึงคุณสมบัติบางประการ และนั่นทำให้ผู้บริโภคต่อคิวซื้อสินค้ายาวเป็นหางว่าว

ชากุหลาบ ยังช่วยปลุกชีพแบรนด์ที่ดูบ้านๆ มีสินค้าจำหน่ายเป็น Kiosk เล็กๆ ตามสถานีรถไฟฟ้า หรือจุดต่างๆ จนสลัดภาพไปทำตลาด เปิดช็อปให้บริการในศูนย์การค้าสยามพารากอนอย่างสวยหรู ในโซนที่เต็มไปด้วยแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มไฮโซ

5. Louis Vuitton X Supreme สุดยอดแบรนด์ปัง 

ปีนี้ถ้าจะพูดถึงการ Collaboration แบรนด์ทรงอิทธิพลจนผู้บริโภคต้องร้องว้าวต้องยกให้แบรนด์ไฮเอนด์จากฝรั่งเศสอย่างหลุยส์ วิตตอง ที่ลุกมาร่วมมือกับแฟชั่นสตรีทแวร์ดังจากเมืองมะกัน สุพรีม ออกคอลเล็กชั่นพิเศษทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผ้าพันคอ ฯ มาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคตลาดบน

เมื่อสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ต้องยอมรับว่าอิทธิฤทธิ์ของทั้ง แบรนด์ทำให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าไปตั้งตารอซื้อที่สยามพารากอนตั้งแต่เที่ยงคืน จนเกิดกระแสดราม่าพอสมควร เพราะสนนราคาสินค้าไม่ใช่ไก่กา แต่ราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงแสน แพงหูฉี่ยังมีสาวกไปเฝ้านั่นเอง

6. ตลาดเหล้าขาวเจ้าสัวเจริญ ถูกลูบคม โดยนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” 

วงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเมืองไทย ถูกครอบครองโดยผู้ประกอบการน้อยราย(Oligopoly) หลักๆช้าง สิงห์ ไฮเนเก้น ยิ่งไปดูเหล้าขาว มีเพียง “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ที่กินรวบส่วนแบ่งกว่า 97% และมียอดขาย 109,297 ล้านบาท กำไรสุทธิ 20,420 ล้านบาท   

 แต่ปี 2560 “คู่แข่ง” ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ เสถียร เศรษฐสิทธิ์” และผองเพื่อนแห่งคาราวบาวแดง ผ่านด่านการทำประชาพิจารณ์จนสร้างโรงงานมูลค่า 3,000 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่เหล้าขาวมีคู่แข่งรายใหญ่พอตัว

อย่างไรก็ตาม การทำตลาดเหล้าขาวไม่ง่าย เพราะขุมข่ายพลังทางการค้า เอเย่นต์ ที่ขายสินค้าของเจ้าสัวมานานมีมากมาย การจะยอมให้แบรนด์ใหม่ไปแทรกแย่งตลาดย่อมยาก ดังนั้นเกมนี้ต้องจับตาดูกันยาวๆ ว่าเสถียร์ จะฝ่าด่านอรหันต์ไปได้หรือเปล่า

7. ตู้กดเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ ไปไม่รอด 

การทำตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ดูจะกลายเป็น “ยาขม” สำหรับเจ้าของแบรนด์สินค้าไปซะแล้ว เพราะไม่ว่าจะลุกมาทำอะไร ก็ถูกสังคมจับจ้อง และค้านสายตาบรรดาผู้ที่ต่อต้าน ส่วนในมุมผู้บริโภค ย่อมมีทั้งปิดรับเปิดค้านสลับกัน

นี่ถือเป็นความพยายามของผู้ประกอบการ ค่ายใหญ่ “สิงห์-ช้าง” ที่ต้องการขยายตลาดเบียร์สดหรือ Craft beer ให้ใหญ่มากขึ้น เพื่อหาโอกาสการเติบโตใหม่ๆ เพราะหากยังวนเวียนเล่นแต่ตลาดลาเกอร์เบียร์ ซึ่งทุกปีอัตราการเติบโตต่ำมาก ย่อมไม่ดีต่อธุรกิจ ดังนั้นการหาน่านน้ำสีคราม(Blue Ocean)ใหม่ๆ จึงจำเป็น แต่การทดลองวางตลาดเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อก็เกิดขึ้นสั้นๆ เพราะแรงเสียดทานจากสังคม ทำให้อวสานเบียร์สดเร็วมาก

8. ดราม่ามาร์เก็ตติ้ง เสียงติงจากผู้บริโภค 

การทำตลาดไม่ได้มีแต่เรื่องราวดีๆ แต่ที่ “ดราม่า” ก็มีให้เห็นเยอะ โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์ออกมาทำกิจกรรมตลาดแล้วทำลายความคาดหวังของผู้บริโภคจนพังดราม่าหนักๆในปีนี้นอกจากตู้กดเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ สินค้าความงามก็โดน เมื่อสาวๆที่รอโปรโมชั่นแรง จาก EVEANDBOY ร้านมัลติแบรนด์ดังใจกลางสยาม ใช้กลยุทธ์ลดราคาแรงมาจูงใจผู้บริโภค จนความต้องการพุ่งปรี๊ด ต่อคิวกันยาวเหยียด แต่ปรากฎว่าสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ และยังมีบล็อกเกอร์ได้อภิสิทธิ์ช้อปปิ้งก่อนโดยไม่ต้องเข้าคิว ไหนจะบรรดาแม่ค้าแม่ขายที่รับหิ้ว แห่ไปกวาดสินค้าจนหมด สุดท้ายแบรนด์โดนด่าเละ!

แต่นั่นไม่ทำให้เจ้าของแบรนด์เข็ด เพราะตราบใดที่ยอดขายยังดี การทำตลาดแบบนี้ ยังคงถูกมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพราะล่าสุดการลดราคาของ EVEANDBOY กระแสก็ซาลงอย่างเห็นได้ชัด

ภาพจาก : facebook.com/eveandboy

ดราม่ามาร์เก็ตติ้ง ไม่ได้มีแค่นี้ เคสอื่นๆที่เกิดขึ้นล่าสุด คือกรณีการจัดกิจกรรมระดับโลก Harry Potter Christmas in the Wizarding World ที่สยามพารากอน เพราะพลังการตลาดโปรโมทงานอลังการ แต่จัดงานจริงเล็ก สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ จัดคิวไม่ดี งานนี้ห้างเลยโดนเต็ม แต่ผู้จัดงานรอดเสียงติซะงั้น

ยังท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่กำลังทำตลาดออนไลน์บน Twitter อยู่ดีๆ “แอดมิน” คนเคยร่วมงานออกไปเล่ากลยุทธ์การตลาดใหม่ๆให้สื่อรับรู้ กลายเป็นการคลุกวงในของคนทำงานกันเอง จนต้องเบรกทำตลาดบนทวิเตอร์สักพัก ทั้งที่กำลังแจ้งเกิด สุดท้ายพอกลับมาทำตลาดอีกครั้ง เลยจืดสนิท กำลังปังแต่พังเพราะดราม่าแท้ๆ

9. เคเอฟซี-GMM25 ดีลแห่งปีจาก “เจ้าสัวน้อย ฐาปน” 

ภาพนักเทคโอเวอร์คงติดตานักบริหาร “หนุ่ม ฐาปน สิริวัฒนภักดี” ทายาทคนที่ ของราชันย์น้ำเมา “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ไปเรียบร้อยแล้ว

หากพูดถึงดีลที่น่าสนใจ จาก “ฐาปน” ปีนี้ต้องยกให้การเข้าซื้อหุ้น 50% ในบริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด ที่มีธุรกิจทีวี GMM25 เอไทม์มีเดียฯ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเกิดขึ้นในนามส่วนตัว ผ่านบริษัทลงทุนอย่าง “อเดลฟอส”  ซึ่งในอนาคตจะนำมาต่อยอดธุรกิจของเครือไทยเบฟอย่างแน่นอน ในฐานะที่บริษัทมีสินค้ามากมายทำ Music Marketing และ Sport Marketing ทั้งปีมากมาย

อีกดีลคือการซื้อกิจการสาขาร้านไก่ทอดเบอร์ ของโลกอย่าง KFC กว่า 1.13 หมื่นล้านบาท กลายเป็นสปริงบอร์ดสำคัญในการขยายเข้าสู่ธุรกิจอาหาร ให้ครบวงร จากที่มีร้านอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน อาหารอาเซียน อาหารไทย ตั้งแต่ฟู้ดคอร์ทไปถึงหรูหรา(Fin Dining) แต่สิ่งที่ไทยเบฟจะได้จากการซื้อสาขาเคเอฟซี คือโนวฮาวการบริหารจัดการธุรกิจระดับโลกนั่นแอง

10. ศึกวันคนโสด สุดยอดกลยุทธ์การตลาดบนโลกออนไลน์ 

สมรภูมิค้าปลีกออนไลน์ ต้องบอกว่าแข่งขันกันเสือดลาด เพราะผู้ประกอบการทำตลาดหนักแค่ไหน ก็ยังแบกขาดทุนกันมโหฬารนั่นเอง

การทำตลาดออนไลน์ที่เขย่าวงการช้อปปิ้งสุดๆ ในปีนี้ ต้องยกให้กลยุทธ์การเปลี่ยนโจทย์วันคนโสด วันป๊อบๆของชาวจีน ให้เป็นวันช้อปปิ้งแห่งปี เพราะทั้ง LAZADA 11street Shopee  ออกแคมเปญ โปรโมชั่นเพื่อดวลศึกกันสนั่นวงการ กระตุ้นยอดขายกันเป็นวินาที จนทุบสถิติ ในไทยอาจไม่เปิดเผยตัวเลขนัก แต่เมืองจีนช้อปกันสะพัดมาก อย่างอาลีบาบา โกยยอดขายกว่า 8.6 แสนล้านบาท กันภายใน 24 ชั่วโมงแค่นั้นเอ๊ง!.

]]>
1152106
#MILOCAN ดราม่าร้อน เมื่อกระแสแรงกว่าความคาดหวัง ถึงจะปังแต่ระวังแบรนด์พัง https://positioningmag.com/1151543 Sun, 24 Dec 2017 08:04:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151543 กลายเป็นดราม่า” กระหึ่มในโลกออนไลน์ กับแผนการโปรโมต #MILOCAN ผลิตภัณฑ์ใหม่ของไมโล (MILO) ในไทย ในรูปแบบกระป๋อง ว่าหาความเนียนไม่ได้ งานนี้จงใจโฆษณาชัวร์

ไมโลเลือกใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมตผ่านคนดังบนทวิตเตอร์ เซเลบ อินฟลูเอ็นเซอร์ สปอนเซอร์รีวิว และเซเลบจำนวนมากเพื่อหวังจะสร้างกระแสออนไลน์ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

แต่เมื่อคนไปทดลองดื่มตามกลับไม่อร่อยแบบที่คาดหวัง จากที่เห็นจากการโปรโมต จึงเกิดกระแสความไม่พอใจตีกลับมาที่การโฆษณาเกินจริง ต้องการให้ไปซื้อสินค้ามากินซะมากกว่าได้รับการบอกกล่าวความจริงอย่างจริงใจ

โดยเชื่อว่าเป็นคำพูดและแฮชแท็กที่แบรนด์กำหนดให้เหล่าคนดังทุกคนเขียนเหมือนกันหมด ส่วนของแฮชแท็กที่กำหนดไว้ 2-3 คำ ตามนี้ #MILOCAN #อะไรก็CAN #รีวิวเซเว่นกับสรรพคุณที่พูดถึงความอร่อยแบบกระป๋องกินสะดวกและคุณค่าทางโภชนาการซึ่งจับต้องไม่ได้เสียจนถูกจับได้ว่าเฟคมากกว่ารีวิวมาแล้วจริง ๆ

แม้จะไมโลแคนจะกลายเป็นกระแสที่สร้างการรับรู้อย่างได้ผล แต่ในอีกด้านหนึ่งผลเสียตกไปที่ตัวแบรนด์และโปรดักต์โดยตรง ถึงขนาดเอาไปเปรียบกับไมโลโรงเรียน หรือไมโลที่โรงเรียนมักชงแจกให้เด็กดื่มกันในงานกิจกรรมโรงเรียน และที่แจกผ่านรถไมโลที่วิ่งเข้าให้บริการถึงในโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์แห่งความทรงจำของผู้บริโภคหลายคนเกี่ยวกับไมโลที่เคยผ่านมาอย่างประทับใจ แต่การได้ลองไมโลกระป๋องกลับไม่ให้ความรู้สึกถึงประสบการณ์แห่งความประทับใจนั้นได้

อะไรทำให้ชาวเน็ตต่อมปรี๊ดแตก ไมโลแคนพลาดตรงไหน

จะว่าไปแล้ว การแอบโฆษณาหรือโฆษณาตรง ๆ ผ่านโซเชียลมีเดียทั้งสปอนเซอร์รีวิว ใช้เซเลบ อินฟลูเอ็นเซอร์ ก็เป็นสิ่งที่ชาวเน็ตรับรู้มานานและไม่ถึงกับยอมรับไม่ได้ แต่กรณีเกิดกระแสตีกลับแบบนี้มักจะมีจุดผิดพลาดที่แบรนด์อาจจะไม่ระวังและมองข้ามไป 

ประเด็นที่ทำให้ชาวเน็ตต่อมปรี๊ดแตกส่วนใหญ่ มักจะหนีไม่พ้นอารมณ์แบบว่า ผู้บริโภคไม่ได้โง่ อย่ามาดูถูกกัน ที่สำคัญคือ ไม่อินกับวิธีหรือคำพูดที่แบรนด์ใช้สื่อสารออกมา โดยเฉพาะการกำหนดคำพูดเน้นอวยแบบเว่อร์วังจนดูไม่เนียน ยิ่งโปรดักต์ที่สร้างกระแสแต่ให้ผลลัพธ์ต่ำกว่าที่คาดหวัง ยิ่งทำให้ผู้บริโภคที่ยอมเชื่อถูกกระตุ้นให้ไปลองซื้อลองชิมด้วยแล้ว ผลลัพธ์ก็แรงตามที่แบรนด์คาดหวังจริง ๆ นั่นแหละ แต่มันไปทางลบ ที่ผิดทิศทางที่คาดหวังไปไกล เพราะร้อยทั้งร้อยไม่มีแบรนด์ไหนอยากเอาดังอย่างเดียวในทางที่ผู้บริโภคไม่ตอบรับแน่ ๆ

มาลองดูแต่ละเมนต์แล้วจะได้รู้ว่าผู้บริโภคยุคนี้ล้ำแค่ไหน และน่าจะทำให้แบรนด์ตระหนักมากขึ้นว่า ในเมื่อแบรนด์เองคาดหวัง User Generated Content ในการสร้างแบรนด์ช่วยขายโปรดักต์ ซึ่งคอนเทนต์เหล่านั้นล้วนมาจากความคิดความรู้สึกของผู้บริโภคแต่ละคนที่คิดและพูดออกมาเอง แต่ทำไมเวลาที่แบรนด์ทำการตลาดเอง กลับลืมกฎข้อนี้ไปเสียได้ แถมยังไปตีเส้น ตีกรอบจนเป็นเรื่องอย่างกรณีของไมโลแคนที่เกิดขึ้นนี้

ไมโลแคนขยายกลุ่มเป้าหมาย 

สำหรับการออกแพ็กเกจใหม่ ในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระป๋อง เพื่อต้องการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังเด็กโต เนื่องจากไมโลแบบกล่อง ที่มีขนาดเล็กเพียง 115 มิลลิลิตร และ 180 มิลลิลิตร ซึ่งเป็นสูตรที่ใช้ส่วนผสมของน้ำนมโคเป็นหลัก มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเด็กเล็ก

ไมโลแคนเกิดขึ้นเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าเป้าหมาย ให้มีความต่อเนื่องในการดื่มไมโลในช่วงอายุที่มากกว่าเดิม รวมถึงขยายสู่เด็กวัยพรีทีนที่มีเครื่องดื่มเป็นตัวเลือกเพิ่มขึ้น โดยส่วนผสมของไมโลแคนจะไม่มีนมสด เหลือเพียงส่วนผสมที่เป็นนมผงและส่วนประกอบอื่น ๆ และมีรสชาติที่หวานน้อยกว่าสูตรนมโคเล็กน้อย และเพิ่มปริมาณบรรจุกระป๋องละ 230 มิลลิลิตร

ด้วยการดีไซน์ตัวกระป๋องก็บอกถึงคาแร็กเตอร์ของกลุ่มเป้าหมายได้ระดับหนึ่งโดยไมโลแคนกำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้เป็นกลุ่มเด็กโตอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเล่นกีฬา แอคทีฟ และรวมถึงรักสุขภาพ ซึ่งโดยมากมักเป็นกลุ่มที่รักการเรียนด้วย.

]]>
1151543
แชร์กระจาย! ไมโลก้อน สินค้ายอดฮิตที่ต้องซื้อออนไลน์เท่านั้น https://positioningmag.com/1122499 Mon, 17 Apr 2017 07:26:17 +0000 http://positioningmag.com/?p=1122499 ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีกระแสของการแชร์ภาพ “ไมโลก้อน” หรือไมโล เอนเนอร์จี้ คิวบ์ เป็นลักษณะของไมโลที่เป็นเครื่องดื่ม หรือขนมที่รู้จักกันดี แต่อยู่ในรูปแบบก้อน สามารถทานได้เป็นแบบขนม หรือเอาไปชงกับน้ำอุ่นก็ดื่มเป็นเครื่องดื่มได้

แต่ว่าในประเทศไทยยังไม่มีขายไมโลก้อน ถ้าใครอยากลองต้องสั่งซื้อทางออนไลน์ หรือจากแม่ค้าพรีออเดอร์เท่านั้น ส่วนใหญ่สินค้าจะมาจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ไนจีเรีย ทำให้ไมโลก้อนกลายเป็นอีกหนึ่งสินค้ายอดนิยมช่วงนี้และเป็นสินค้าหายากเช่นกัน

ราคาของไมโลก้อนจะขึ้นอยู่กับร้านค้า มีตั้งแต่ 250 – 800 บาท ใน 1 ถุง มี 100 ก้อน บางร้านก็มีขายแยกชิ้น ชิ้นละ 7 – 10 บาทเพื่อให้คนได้ทดลองก่อน

แต่เมื่อไมโลก้อนเป็นกระแสฮิตขึ้นมาก็แอบมีดราม่าตามมา เกิดกระแสว่าร้านที่ขายถูกเป็นของปลอมบ้าง หรือนำข่าวที่ตำรวจจับแหล่งผลิตไมโลปลอมแบบผงที่มีตั้งแต่ปี 2558 ขึ้นมาเป็นกระแสได้อีก

ตอนนี้ถ้าใครอยากลองไมโลก้อนยังคงงต้องสั่งจากพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไปก่อน แต่ต้องดูร้านค้าที่ไว้ใจได้ และราคาสมเหตุสมผล เพราะทางเนสท์เล่ประเทศไทยยังไม่มีแผนที่จะนำไมโล เอนเนอร์จี้ คิวบ์เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

]]>
1122499