ไวรัล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 23 Mar 2022 12:13:23 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่องจุดเริ่มต้นกระแส ‘จุดแข็ง-จุดอ่อน’ ไวรัลสุดฮิตที่มีเอ็นเกจเมนต์เกือบ 6 ล้าน https://positioningmag.com/1377707 Wed, 16 Mar 2022 04:04:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377707 ณ เวลานี้ หน้าฟีดบน Facebook และ Twitter ของใครหลายคนคงได้เห็นมุก จุดแข็ง-จุดอ่อน กันอย่างหลากหลาย ชนิดที่ว่าถ้าไม่กระโดดมาตามเทรนด์นี้คงจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้เก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE เพื่อหาที่มาของมุกสุดฮานี้ พร้อมส่องโพสต์จากแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ที่มียอดเอ็นเกจเมนต์สูงที่สุด

โดยที่มาของไวรัลนี้เริ่มต้นจากแอคเคาท์ @k_chunh ทาง Twitter ได้โพสต์มุกจุดแข็ง-จุดอ่อนในวันที่ 9 มีนาคม เนื้อหาเกี่ยวข้องกับคำถามในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งหลายคนที่เคยเจอคำถามเช่นนี้น่าจะรู้สึกมีส่วนร่วมด้วยได้ไม่ยาก

หลังจากนั้นแอคเคาท์ Salmon House @onsalmonlab ได้หยิบยกมุกเดียวกันไปเล่นทาง Twitter ในวันที่ 11 มีนาคม จนกลายเป็นกระแสไปทั่วทั้งโซเชียลมีเดีย

นับตั้งแต่วันที่เริ่มมีไวรัลจนถึงปัจจุบัน (9-14 มีนาคม 2565) กระแสนี้มียอดเอ็นเกจเมนต์รวมอยู่ที่ 5,790,601 เอ็นเกจเมนต์ จากผู้ใช้งานทั้งหมด 8,474 แอคเคาท์ โดย 2 ช่องทางหลักที่มีการเล่นมุกดังกล่าว คือ Twitter 57.48% และ Facebook 40.43%

ส่วนช่องทางอื่นๆ อาทิ Instagram, YouTube มีสัดส่วนคิดเป็น 2.09% เมื่อลองส่องโพสต์ที่ได้รับเอ็นเกจเมนต์สูงสุด พบว่า ทั้งแบรนด์ อินฟลูเอนเซอร์ และบุคคลทั่วไปต่างนำมุกนี้มาเล่นอย่างแพร่หลาย คิดเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคนทั่วไป 78.9% และ แบรนด์ 21.1%

โดย 3 อันดับโพสต์จากอินฟลูเอนเซอร์ที่มียอดเอ็นเกจเมนต์สูงสุด ได้แก่

เพจเท่ง เถิดเทิง แฟนคลับ (224,046 เอ็นเกจเมนต์)

แอคเคาท์ @kyokazuu ทาง Twitter  (136,201 เอ็นเกจเมนต์)

แอคเคาท์ @tattoocolourth ทาง Twitter (121,553 เอ็นเกจเมนต์)

3 อันดับโพสต์จากแบรนด์ที่มียอดเอ็นเกจเมนต์สูงสุด ได้แก่

เพจ 7-Eleven Thailand (18,790 เอ็นเกจเมนต์)

เพจ LEO Thailand (16,239 เอ็นเกจเมนต์)

เพจ Lazada (11,470 เอ็นเกจเมนต์)

]]>
1377707
“เบนซ์ ธนชาติ” ผู้กำกับนิสัยไม่ดีแห่ง Salmon House วิถีทำคอนเทนต์แบบไม่มีสูตรสำเร็จ https://positioningmag.com/1374752 Mon, 21 Feb 2022 15:12:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374752 พูดคุยกับ เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย เจ้าของผลงานคลิปไวรัล “คุณแวน” ผู้กำกับ (นิสัยไม่ดี) มือทองจาก Salmon House กับวิถีชีวิตการทำคอนเทนต์ ไม่มีสูตรสำเร็จในการทำไวรัล แค่ทำตามเซนส์ และตรงจริตคนไทย

เริ่มจากเขียนหนังสือ สู่ไวรัล “ลุงเนลสัน”

ถ้ายุคหนึ่งมี “ต่อ ฟีโนมีน่า” หรือต่อ ธนญชัย ผู้สร้างสรรค์ผลงานโฆษณาไวรัลมากมายบนจอทีวี ยุคนี้คงเป็นยุคของโฆษณาออนไลน์ โดยที่ผลงานที่หลายคนคุ้นเคยส่วนใหญ่เป็นผลผลิตของ Salmon House โปรดักชั่นเฮาส์ในเครือบันลือกรุ๊ป

เบนซ์-ธนชาติ ศิริภัทราชัย ผู้กำกับเลือดใหม่ที่ฝากผลงานบนหน้าจอออนไลน์ไว้มากมาย ส่วนใหญ่แล้วเป็นคลิปไวรัลที่มีการพูดถึงเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นวันรวมญาติ จนมาถึงผลงานล่าสุดที่เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวอย่าง “คุณแวน” ที่โกยยอดวิวได้ถึง 1.4 ล้านครั้ง และยอดเอ็นเกจเมนต์อีกนับแสน

ถ้าใครยังจำกันได้ หลายปีก่อนหน้านี้มีคลิปไวรัล “ลุงเนลสัน” ฝรั่งพูดคำหยาบภาษาไทย เป็นคลิปแรกที่แจ้งเกิด เบนซ์ ธนชาติ ในความตั้งใจตอนนั้นต้องการเป็นคลิปโปรโมตหนังสือ “NEW YORK 1st TIME นิวยอร์กตอนแรกๆ…” เป็นงานเขียนจากประสบการณ์ตอนไปอยู่นิวยอร์ก แต่ปรากฏว่าคลิปนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงทำให้เบนซ์กลับมาร่วมก่อตั้ง Salmon House

“Salmon House ก่อตั้งเมื่อปี 2016 เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกับพี่วิชัย และบันลือสาสน์ เจ้าของขายหัวเราะ ตอนแรกไม่ได้กะทำโฆษณา อยากทำช่องยูทิวบ์ พอดีตอนนั้นได้ทำคลิปลุงเนลสันส่งมาจากนิวยอร์ก ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไวรัลคืออะไร พอคนดูเยอะมากๆ พี่จากบันลือสาส์นก็ชวนกลับมาทำบริษัทด้วยกัน สักพักก็มีลูกค้าเข้า ก็เลยคิดว่าน่าจะทำโฆษณาได้”

เบนซ์จบปริญญาตรีจากคณะวารสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ จบด้านภาพยนตร์ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ได้ไปทำหนังกับ เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับลุงบุญมีระลึกชาติ จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก เรียนด้านถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ เบนซ์บอกว่าตอนแรกกะอยู่ที่นิวยอร์กระยะยาว ปรากฏว่าพอมีไวรัลลุงเนลสัน เลยทำให้ต้องตัดสินใจที่จะกลับไทย เพื่อมาทำ Salmon House

“ตอนนั้นออกหนังสือ NEW YORK 1st TIME นิวยอร์กตอนแรกๆ เราเป็นนักเขียนหน้าใหม่โนเนม ไปวางในร้านหนังสือใครจะหยิบ อยากให้คนรู้จักมากขึ้น เลยทำวิดีโอโปรโมต สรุปว่าไปไกลกว่าหนังสืออีก จุดเริ่มต้นของคลิปนี้มาจากตอนที่วิ่งอยู่ที่เซ็นทรัลพาร์ค ก็คิดขึ้นมาได้ว่าคำด่านี้ตลกจัง ทำไมคำด่าภาษาไทยมันตลก เริ่มจากอย่างนั้นเลย… แต่มันได้เชื่อมต่อกับคน สิ่งที่เราขำ คนอื่นก็ขำด้วย เลยเริ่มรู้ว่าเราอาจจะมีเซนส์ในการทำวิดีโอให้คนสนุก อาจจะไม่ใช่วิดีโอที่ฉลาด หรือดีมาก แต่เป็นวิดีโอที่ถูกจริตคน ทุกคนจะคิดว่าเออ… ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พูดในสิ่งที่คนก็คิดเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยมีคนดึงออกมาพูดแบบนี้”

“คุณแวน” ไวรัลกัดเจ็บแบบแสบๆ คันๆ

ที่ผ่านมาผลงานของเบนซ์ได้ถูกถ่ายทอดผ่านในนามของ Salmon House และโปรเจกต์ส่วนตัว โฆษณาไวรัลหลายตัวนั้นเป็นงานลูกค้าด้วยซ้ำ แต่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดเห็นจะเป็น “วันรวมญาติ” สนับสนุนโดยโก๋แก่

คลิปไวรัลล่าสุด “คุณแวน ธิติพงศ์ นักธุรกิจพันล้าน” อยู่ในโปรเจกต์ The Good Human เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวของเบนซ์ เรียกว่าทำขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆ เนื้อหาภายในวิดีโอนี้เหมือนเป็นการเสียดสีบทความ หรือคอนเทนต์แนวๆ ถอดรหัส ถอดบทเรียนความสำเร็จของนักธุรกิจทั้งหลาย บางคนมีต้นทุนที่ดีเลยประสบความสำเร็จได้มากกว่า แต่สร้างสตอรี่ให้ตัวเองมีคาแร็กเตอร์ ตรงกันข้ามกับคนธรรมดาทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ ที่ต้นทุนชีวิตต่ำกว่า โอกาสที่จะประสบความสำเร็จเลยน้อยกว่า

เบนซ์บอกว่าโปรเจกต์นี้ใช้เวลาคิดไม่นาน คิดคอนเซ็ปต์ไว้นานแล้ว โดยที่รู้จักกับณัฏฐ์ กิจจริต คนที่แสดงเป็นคุณแวนมานาน มีคาแร็กเตอร์เป็นคนกวนตีน ตลกหน้าตายเหมือนกัน อยากทำโปรเจกต์อะไรร่วมกัน พอคิดบทนี้ได้ ใช้เวลาเขียนบทแค่ครึ่งชั่วโมงเอง ถ่ายกันกองเล็กๆ 4 คน ไม่ได้วางแผนมากมาย ตอนนั้นอยากเขียนบทตลกร้าย หลายอย่างถูกพูดในนั้นหมดแล้ว เราเห็นว่าตอนนี้มีวิดีโอถอดเคล็ดลับความสำเร็จเยอะ แค่รู้สึกว่ามันดี ก็ยินดีด้วย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาปรับใช้ได้นะ ฟังแล้วมันจะเอ๊ะนิดนึง เรามองรอบตัวหลายคนที่พยายามไม่ท้อถอย เรียนรู้ตลอดเวลา แต่ก็มีเยอะมากที่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำงานหนักมาก มันมีปัจจัยเยอะมาก

“เราไม่ได้เกลียดคนรวยนะ คำถามที่ว่าทำไมถึงประสบความสำเร็จ… ก็บอกว่าบ้านผมรวย มันก็แฟร์ๆ ตรงๆ ก็ยินดีด้วยที่ประสบความสำเร็จ”

“อย่างชาวนา หรือเกษตรกรเขาขี้เกียจหรอ มีนิสัยจนเครียดกินเหล้าหรอ แต่มันมีหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เจอโรงสี เจอพ่อค้าคนกลาง หลายคนชอบบอกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะขี้เกียจ มันไม่ใช่เสมอไปไง…”

ไวรัลตลกร้าย ถูกจริตคนไทย

เมื่อดูผลงานของเบนซ์จากทั้งในนามของ Salmon House และโปรเจกต์ส่วนตัว ต้องบอกว่าแต่ละคลิปจะมีลายเซ็นของเบนซ์ไว้ชัดเจนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นแนว “ตลกร้าย” นำอินไซต์บางอย่างมาขยี้ได้อย่างถูกจริตคนไทย เบนซ์นิยามให้ผลงานตัวเองว่าแนว “ตลกหน้าตาย” ถ้าย้อนกลับไปทั้งคุณแวน หรือลุงเนลสัน ยังไม่มีใครทำแนวนี้เท่าไหร่

“เราไม่ใช่คนฉลาด แต่ชอบทำให้สนุก ใช้เซนส์นำ มันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่สุดนะ แต่ไม่ได้คิดคำนวณอะไรจริงๆ ไม่ได้วางแผนอะไรเยอะขนาดนั้น อย่างแรกต้องทำให้ตัวเองชอบก่อน อยากทำโฆษณาที่ได้เชื่อมต่อกับคน หลายคนชอบบอกว่า Salmon House ชอบทำโฆษณากวนตีน เสียดสีสังคม แต่จริงๆ แล้ว Positioning ของเราจริงๆ คือ Humanize หรือทำให้เป็นมนุษย์ ทำให้คนรู้สึกได้ ไม่ใช่มาขายของแบบแห้งๆ”

การทำคอนเทนต์ หรือโฆษณาของเบนซ์ในแต่ละครั้งจะมีหลักอยู่ 3 อย่าง อินไซต์จากผู้บริโภค, ใส่ความเป็นมนุษย์ และเชื่อมโยงกับคนได้ ถ้าปล่อยอะไรออกไปแล้วต้องมีคนที่คิดว่า “เออว่ะ กูก็คิดอย่างนี้”

วิดีโอที่ไวรัล และมีการพูดถึงมากๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นการดึงเอาเหตุการณ์ที่เห็นในชีวิตประจำวัน เช่น วันรวมญาติที่เด็กๆ ต่างต้องเจอกับคำถามของญาติผู้ใหญ่มากมาย ไม่ว่าเป็น ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง บางคำถามก็ไม่ได้สะดวกตอบเท่าไหร่

เป็นการดึงอินไซต์ หรือจุดร่วมของคนไทยออกมา แล้วนำมาเล่าในมุมของเบนซ์ ที่มีความตลกหน้าตาย ใส่คำหยาบนิดๆ แต่ไม่ได้ทำให้คอนเทนต์ดูหยาบโลนจนเกินไป

ไม่มีสูตรตายตัว แค่สนุกกับมัน

แน่นอนว่าทุกครั้งที่มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ก็จะมีคนมาถอดรหัสความสำเร็จนั้น กับคลิปวิดีโอไวรัลก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคลิปไหน ก็ล้วนมีคนมาถอดรหัสความสำเร็จอยู่เสมอ เบนซ์ก็บอกว่ามีแต่คนถามตลอดว่าอะไร มีวิธีคิดอย่างไร ทำอย่างไรให้ดัง ซึ่งเบนซ์จะตอบทุกครั้งว่า “ไม่รู้”

“เคยมีคนถามเหมือนกันตั้งแต่งานลุงเนลสัน มีวิธีคิดอย่างไรให้ดัง ผมตอบว่าไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะดังด้วยซ้ำ แค่ทำให้ตัวเองสนุกก่อน ใช้เซนส์เอา แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าสิ่งที่ตัวเองทำแล้วสนุกแล้วมันจะประสบความสำเร็จ แต่มันต้องเริ่มอย่างนั้น ถ้าโชคดีสิ่งที่เราสนุกมันตรงกับสิ่งที่คนอื่นสนุก ก็เลยถูกแชร์ไป มันไม่มีสูตรสำเร็จจริงๆ เพราะไวรัลมันคือ ไวรัล ไม่ใช่เซ็กเมนต์ของวิดีโอ มันคือผลหลังจากที่วิดีโอปล่อยไปแล้ว การที่จะบอกว่าเราจะเริ่มทำงานวิดีโอไวรัล เหมือนกับเดินไปแผงลอตเตอรี่แล้วบอกว่าเราจะซื้อหวยที่ถูกรางวัลกันเถอะ วิดีโอคุณแวนมันคือ วิดีโอสั้น เราก็โชคดีที่มันไวรัล รู้สึกดีที่สิ่งที่เราชอบมันตรงกับที่คนอื่นชอบด้วย”   

คอนเทนต์ของเบนซ์ที่ดูตลกร้าย มีการจิกกัดแบบแสบๆ ถ้าถามว่าตัวเบนซ์เองเป็นคนอย่างไร เบนซ์บอกว่า “ตัวเองเป็นคนนิสัยไม่ดี เป็นคนหมั่นเขี้ยว นึกอยากจะกวนตีน ขวางทางก็ขวาง”

ไฟท์กับลูกค้า Creativity VS Big Data

ตำแหน่งของเบนซ์คือ Director หน้าที่หลักก็กำกับวิดีโอ ช่วยงานครีเอทีฟ ช่วยขายงานลูกค้า ว่างๆ ก็มาทำโปรเจกต์ส่วนตัวเพื่อชุบชูใจตนเอง ทุกครั้งหลังจากที่มีวิดีโอไวรัลออกไป ก็จะมีลูกค้าติดต่อมาอย่างล้นหลามเช่นกัน ซึ่งงานโฆษณาเป็นของธรรมดาที่ต้องคู่กับลูกค้า แต่จะมีวิธีอย่างไรที่จะบาลานซ์การทำงานให้เข้ากันได้

“สิ่งที่ต้องต่อสู้กับลูกค้า เป็นสิ่งที่ต้องไฟท์จริงๆ ระหว่าง Creativity กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ จริงๆ มันก็ไม่ผิด บางทีเราทำคลิปอะไรไป เขาสนุกในการเป็นคนดู แต่ถ้าให้เอาเงินมาทำคลิปแบบนี้ แล้วมีสินค้า ชื่อแบรนด์อยู่ในคลิปแบบนี้ ยิ่งมีคำหยาบด้วยเขาก็ยิ่งคิดเยอะ จะห่วงเยอะ”

“ไม่ได้นะจากบิ๊กดาต้าเปิดมา 5 วิแรกต้องปัง ต้องมีสีของแบรนด์ เราพยายามต่อสู้กับวิดีโอไลฟ์โค้ชต่างๆ เวิร์กช็อปทำวิดีโอให้ปัง จริงๆ มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก ไม่งั้นทุกงานก็ดังแล้ว”

มีพี่ต่อเป็นไอดอล

กว่าจะมาเป็นคนโฆษณาในทุกวันนี้ ตอนเด็กๆ เบนซ์ ธนชาติเคยมีความฝันอยากเป็น “ตำรวจ” ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะตำรวจมีหมาตัวใหญ่ๆ ตอนเด็กๆ อยากเลี้ยงหมา จนตอนม.ปลายได้อ่านนิตยสาร a day เล่มพี่ต่อ ธนญชัย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เห็นว่ามันมีสายงานนี้ด้วย เลยเริ่มสนใจงานโฆษณา

“เราชอบงานพี่ต่อ ธนญชัยเป็นไอดอลในแง่การงานโฆษณา ภาพยนตร์ เป็นคนเล่าเรื่องด้วยภาพได้ดี แล้วเขาก็สอนเวลาทำโฆษณาให้ใส่อะไรบางอย่างที่ให้กับสังคมภายในคลิป แน่นอนว่า “บางอย่างที่อยากให้สังคม” สำหรับเรากับพี่ต่อ อาจจะแตกต่างกันบ้างบางประเด็น แต่ก็เป็นความพยายามของเราที่จะทำสิ่งนี้

โตมาหน่อยก็จะชอบแนว Comedy แบบดาร์กๆ แนวฝรั่ง จะชอบแนว Louis C.K. เป็น Stand-up Comedian ชาวอเมริกัน เขามีทำคลิปสัมภาษณ์หน้าตายๆ”

อยากให้ผลงานเป็น Soft power ในสังคม

ในชีวิตประจำวันของไดเร็คเตอร์วัย 34 ปีคนนี้ ตรงกันข้ามกับคุณแวนอย่างสิ้นเชิง ในแต่ละวันเข้างานประมาณเที่ยง นั่งคิดโปรเจกต์ คิดงานกับน้องๆ ออกไปถ่ายหนัง เข้าออฟฟิศสลับออกกองถ่าย แต่ก็พยายามใช้ชีวิตให้เวลากับตัวเอง มีช่วงที่ตื่นเช้า อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย จัดสรรเวลาให้ดีบ้าง

สำหรับเป้าหมายชีวิตและการทำงานนั้น ในตอนนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดปีต่อปี เบนซ์บอกว่าไม่กล้าวางเป้าหมายอะไรมาก วางได้แค่ระยะสั้นว่าอยากทำงานที่ส่งผลกระทบต่อคน ทำให้เด็กรุ่นใหม่กล้าตั้งคำถาม ไม่กล้าคาดหวังว่าจะอิมแพ็คขนาดนั้น แต่อยากให้มันเป็น Soft power ส่งผลในระยะยาว จะช่วยในมุมบางอย่าง งานคุณแวนก็ส่งผลกระทบต่อคนได้เหมือนกัน

สุดท้ายแล้วเบนซ์ยังได้คิดพาดหัวสำหรับบทสัมภาษณ์ของตัวเองในเวอร์ชั่นคุณแวน

“เบนซ์ ธนชาติ” ผู้กำกับนิสัยดี มี growth mindset และ resilience แห่ง Salmon House วิถีทำคอนเทนต์แบบไม่มีสูตรสำเร็จ
]]>
1374752
กรณีศึกษา “ไดโนเศร้า” แบรนด์-คนดังแห่ร่วมวง ขอมีแอร์ไทม์ไวรัลบนออนไลน์ https://positioningmag.com/1309272 Sat, 05 Dec 2020 06:40:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309272 จับปรากฏการณ์เพจ “ไดโนเศร้า” เกิดเป็นไวรัลชั่วข้ามคืน คนดัง แบรนด์ร่วมคอมเมนต์ หวังมีซีน Real Time Marketing แต่ต้องจับตาดูกระแส เพราะมีขึ้น ก็มีซาลงไป

คนดัง-แบรนด์ดัง แห่คอมเมนต์

เชื่อว่าในช่วง 2-3 วันนี้ หลายคนต้องได้เห็นคอนเทนต์ของเพจ “ไดโนเศร้า” ขึ้นบนหน้า New Feed เนื่องจากมีการแชร์ต่อๆ กัน ทำให้เพจนี้เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์แห่งยุค ทำให้เพจนี้เป็นไวรัลชั่วข้ามคืน

ไดโนเศร้าได้สร้างเพจเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา เนื้อหาของคอนเทนต์เป็นแบบง่ายๆ เป็นการตั้งสเตตัสธรรมดา ไม่มีรูปภาพ แต่พูดถึงเรื่องความรัก ในเชิงแอบรัก ตัดพ้อว่าเขาไม่สนใจ แต่ก็ยังใจสู้ หลายคนเรียกอาการแบบนี้ว่าคน “คลั่งรัก” มีการเปรียบเทียบสถานการณ์ได้อย่างตลกขบขัน พร้อมกับมีชื่อเรียกหญิงสาวที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้ง ได้แก่ ต้าวหมูอ้วน เจ้าเม่นแคระ เจ้ากวางมูส เป็นต้น

จุดเปลี่ยนที่ทำให้เพจเริ่มเป็นไวรัลขึ้นมา เมื่อวันที่ 2-3 ธันวาคมที่ผ่านมา ชาวเน็ตเริ่มแชร์คอนเทนต์มากขึ้น ทำให้คนรู้จักมากขึ้น ทางเพจเองก็มีการอัพสเตตัสถี่ขึ้น ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้หลายคนสนใจ เพราะมีการอัพถี่มากจริงๆ แรกๆ จะอัพทุกๆ 30 นาที เริ่มขยับเป็น 15 นาที บางช่วงมีระยะห่างแค่ 2-3 นาทีเลยก็มี

ทำให้หลายคนสงสัยว่าแอดมินมีเวลานอนตอนไหน!

เมื่อคอนเทนต์เป็นที่ไวรัลมากขึ้น เป็นธรรมดาที่คนดังเริ่มให้ความสนใจ เริ่มมีเข้ามาร่วมวงคอมเมนต์ ทั้งเน็ตไอดอล นักร้องต่างๆ ซึ่งทางเพจได้มีพูดถึงเพลงของศิลปินดังด้วย ทำให้ศิลปินก็เข้ามาคอมเมนต์ด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นเริ่มมีกระแสของแบรนด์ดังเข้ามาคอมเมนต์มากขึ้น เหมือนเป็นการอาศัยการทำ Real Time Marketing เพราะเห็นว่าภายในคอนเทนต์ต่างๆ ย่อมมีเอ็นเกจเมนต์มากมายมหาศาลอยู่แล้ว การที่แบรนด์เข้าไปร่วม ทำให้ผู้บริโภคเห็นแบรนด์มากขึ้นนั่นเอง

จะเห็นว่ามีทั้ง KFC, Major Group เป็นแบรนด์ที่เล่นกับกระแสบ่อยๆ หรือแม้แต่ข้าวหอมมะลิตราไดโนเสาร์ก็มาร่วมแจมด้วย

ผุดเพจชื่อใกล้เคียงอีกเป็นตับ

นอกจากแบรนด์ดัง หรือคนดังร่วมสนุกในการแชร์ การคอมเมนต์แล้ว อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดคือ มีเพจใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับชื่อที่ใกล้เคียงกับไดโนเศร้าอีกนับหลาย 10 เพจ

มีชื่อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไดโนสู้, ไดโนสุข, ไดโนเศร้า V2, ไดโนเสียว, ไดโนดอล, ไดโนเสือก, ไดโนแซ่บ, ไดโนเศร้ากว่า, สอน, ไดโนสลิ่ม และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมกับมีการใช้รูปโปรไฟล์ที่ใกล้เคียงกัน

เพจเหล่านี้จะตามคอมเมนต์ในคอนเทนต์ของเพจไดโนเศร้า เพื่ออาศัยเอ็นเกจเมนต์ และอาศัยคนมาติดตามเพิ่ม เหมือนเป็นการคอมเมนต์ล้อไปกับคอนเทนต์ต่างๆ อาศัยกระแสเพื่อแจ้งเกิดเพจตัวเองนั่นเอง

กระแสมา แล้วก็ซาไป?

จากเพจที่สร้างมาไม่ถึง 1 เดือน ตอนนี้มียอดคนติดตามมากถึง 356,xxx ราย (อัปเดตวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เวลา 13.00 น.) เรียกว่ามีการเติบโตอย่างรวดเร็วพอสมควร และแต่ละโพสต์มียอดเอ็นเกจเมนต์ที่สูงมาก

บางโพสต์มียอดกดไลค์ถึงหลัก 10,000-20,000 ไลค์ ยอดแชร์อีกนับพัน ส่วนโพสต์อื่นๆ ก็มียอดเฉลี่ยที่หลักพันขึ้นไปทั้งสิ้น

ในช่วงสัปดาห์นี้เราอาจจะได้เห็นคอนเทนต์แบบ “ออร์แกนิก” ของเพจ เป็นคอนเทนต์สนุกสนาน จากธรรมชาติของคนทำเพจที่คิดแบบสนุกๆ

แต่เชื่อว่าเมื่อเพจมีการไวรัล เป็นที่รู้จัก และยอดเอ็นเกจสูงขนาดนี้ ย่อมมีแบรนด์ หรือเอเจนซี่ที่ต่อคิวเพื่อลงโฆษณาแฝง หวังไทอินเนียนๆ อย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทำเพจ ทำคอนเทนต์ที่ต้องการหารายได้จากโฆษณา

สุดท้ายแล้วต้องมาลุ้นกันว่า จากเพจที่คนแชร์ที่ความสนุก ความธรรมชาติ จะกลายเป็นเครื่องมือการตลาดหรือไม่ในอนาคต และกระแสจะมาแค่ชั่วคราว แล้วหายไปหรือไม่…

]]>
1309272
กองทัพสหรัฐฯ สั่งเเบนเเอปฯ TikTok ห้ามทหารใช้ในราชการ ชี้เป็นภัยความมั่นคงของชาติ https://positioningmag.com/1259181 Thu, 02 Jan 2020 07:46:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259181 ด้วยกระเเสไวรัลวิดีโอที่กำลังฮอตฮิตอย่างมาก ส่งผลให้เเอปพลิเคชั่น TikTok สตาร์ทอัพยูนิคอร์นสัญชาติจีน ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายตลอดช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา เเต่ดูเหมือนว่ายังต้องฝ่าอุปสรรคเข้าเจาะตลาดอเมริกาอยู่มาก เพราะล่าสุดกองทัพสหรัฐฯ ประกาศสั่งห้ามไม่ให้ทหารใช้เเอปฯ นี้ ด้วยเห็นว่าเป็น “ภัยต่อความมั่นคง”

พันโท โรบิน โอชัว (Lt. Col. Robin Ochoa) โฆษกประจำกองทัพบกสหรัฐเปิดเผยกับ Military.com ว่า TikTok ถูกจัดให้เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ จึงไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ในกองทัพติดตั้งไว้บนโทรศัพท์ที่ใช้ในงานราชการ

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า กองทัพเรือของสหรัฐฯ ก็มีคำสั่งห้ามทหารเรือทุกนายติดตั้งเเอปฯ TikTok ลงบนโทรศัพท์ที่ใช้งานราชการเช่นกัน ขณะที่กองทัพอากาศยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลต่อกรณีนี้

ในช่วงปีที่ผ่านมา TikTok ถูกสอบสวนจากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะมีความสงสัยว่าข้อมูลผู้ใช้งานเเละคอนเทนต์ทั้งหลายที่ถูกเเชร์ในเเอปฯ นั้นจะถูกรัฐบาลจีนจัดเก็บและควบคุมหรือไม่ นอกจากนี้ TikTok ยังถูกมองว่าอาจเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเลือกตั้ง รวมถึงการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงที่ต่อต้านรัฐบาลจีนด้วย

ด้าน TikTok ภายใต้การบริหารของบริษัท ByteDance ออกแถลงการณ์ตอบโต้ต่อกรณีนี้ โดยยืนยันว่าข้อมูลของผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ทั้งหมดถูกจัดเก็บในสหรัฐฯ และสำรองข้อมูลไว้ที่ศูนย์ข้อมูลใหญ่ที่สิงคโปร์ ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายและการควบคุมของรัฐบาลจีน เเละเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจีนจะเข้ามาเเทรกเเซงตามที่โดนกล่าวหา รวมถึงไม่มีการจัดการคอนเทนต์หรือลบข้อมูลใดๆ ตามคำสั่งของรัฐบาลจีน เเละพร้อมเดินหน้าให้ความสำคัญกับประเด็นความปลอดภัยทางไซเบอร์ต่อไป

 

ที่มา : military.com , the verge , tiktok 

]]>
1259181
ไวรัลร้อนคนแห่ดู “โป๊ปฟรานซิสชักหัตถ์หนีจูบ” ไม่ถึง 24 ชั่วโมงยอดชมทะลุเกิน 9 ล้านครั้ง https://positioningmag.com/1221952 Thu, 28 Mar 2019 05:57:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1221952 กลายเป็นไวรัลที่โลกจับตาบน Twitter สำหรับคลิปที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงสะบัดพระหัตถ์ (มือ) เพื่อไม่ให้ศาสนิกชนเข้ามาถวายความเคารพด้วยการจูบที่พระธำมรงค์ประจำตำแหน่ง (แหวน) คลิปนี้ถูกสื่อพาดหัวว่าเป็นคลิปที่หยุดดูไม่ได้ล่าสุดยอดชมบน Twitter ทะลุ 9 ล้านครั้ง ถูก Retweets ไม่ต่ำกว่า 17,000 ครั้งในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง

คลิปวิดีโอนี้ถูกโพสต์จนแพร่หลายครั้งแรกโดยผู้ใช้ Twitter นามว่า Catholic Sat (@CatholicSat) ซึ่งเป็นช่องสถานีสำหรับชาวคาทอลิกผ่านดาวเทียมและระบบสตรีมมิ่งบนอินเทอร์เน็ต คำบรรยายของคลิประบุว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสไม่โปรดให้ใครมาจุมพิตพระธำมรงค์ พร้อมกับโพสต์คลิปที่สามารถยืนยันความจริงนี้ได้ชัดเจน

ในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง คลิปนี้มียอด Like เกิน 51,286 ครั้ง ท่ามกลางผู้แสดงความคิดเห็นเกิน 5 พันครั้ง ส่วนใหญ่วิจารณ์โป๊ปในแง่ลบ โดยบางเสียงบอกว่าปวดใจหากเปรียบเทียบกับสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ทรงยิ้มให้ศาสนิกชนจนทุกคนประทับใจ

ไม่นาน วิดีโอนี้ถูกนำมาเผยแพร่บน YouTube จนมียอดชมเกิน 229,000 ครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โดยวิดีโอถูกโพสต์แบบปิดความเห็น 

ปรากฏการณ์นี้ทำให้วงการคาทอลิกโลกเกิดกระแสหลากหลาย เพราะการจุมพิตที่พระธำมรงค์เป็นสิ่งที่ชาวคาทอลิกปฏิบัติมานานนับร้อยปี เนื่องจากเป็นการสื่อถึงความศรัทธาและภักดีต่อศาสนจักร แต่บางสื่อวิเคราะห์ไปว่าโป๊ปฟรานซิสโปรดการแสดงความภักดีเป็นการส่วนตัว มากกว่าการแสดงความภักดีต่อศาสนจักร จุดนี้ผู้สนับสนุนโป๊ปฟรานซิสบางรายเห็นด้วยกับการยกเลิกการจุมพิต โดยมองว่าเป็นธรรมเนียมของการแสดงความภักดีต่อกษัตริย์ ซึ่งไม่จำเป็นในทางศาสนา ขณะที่บางรายมองว่าการยกเลิกธรรมเนียมนี้จะลดความรู้สึกว่าพระองค์คือตัวแทนของพระเยซู ซึ่งจะดีกว่าการที่โป๊ปถูกมองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าถึงยาก

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในขณะนี้คือ กระแสดังกล่าวนำไปสู่การหยิบข่าวคราวที่เกี่ยวกับโลกคาทอลิกขึ้นมารายงานอีกครั้ง ทั้งกรณีที่ส่วนรักษาความปลอดภัยพระสันตปาปากำลังจะใช้เทคโนโลยี 3D printing ในการพิมพ์หมวกอัศวินพลาสติกที่จะมองดูเหมือนโลหะเก่าแก่ ทั้งหมดนี้สะท้อนความเปลื่ยนแปลงในโลกคาทอลิก ซึ่งอาจจะส่งผลถึงธรรมเนียมและแนวคิดของชาวคาทอลิกในอนาคต

ที่ผ่านมา สำนักวาติกันพยายามปรับตัวให้เข้ากับยุตดิจิทัลเพื่อไม่ให้ถูกดิสรัปจนกู่ไม่กลับ โลกเริ่มเห็นวาติกันเปิดตัวช่องของตัวเองบน YouTube เมื่อปี 2009 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก่อนจะขยายมาเปิดเว็บไซต์ข่าว News.va เพื่อต่อยอดการสื่อสารทั้งบน YouTube, Twitter และ Instagram ด้านสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสนั้นทรงมีบัญชี Instagram ของพระองค์เองในปี 2016 ในชื่อ Franciscus

สำหรับปีที่แล้ว วาติกันสร้างมิติใหม่ด้วยการจับมือกับภาคเอกชน เช่น Google, Microsoft, SalesForce รวมนักศึกษา 120 ชีวิตเข้าร่วมประกาศเฟ้นหาสุดยอดนักแฮกมือทองในงาน Hackathon งานนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า VHacks ซึ่งวาติกันวางเป้าหมายให้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และ การช่วยเหลือผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย ซึ่งมีอยู่ในตัวนักศึกษาเหล่านี้ นอกจากนี้ วาติกันยังมีการสร้างเกมชื่อ JC Go เพื่อให้ผู้เล่นสะสมสัญลักษณ์ในไบเบิลตามสไตล์ “Pogemon Go” โดย JC ย่อมาจาก Jesus Christ ซึ่งวาติกันหวังว่าจะสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยเกม โดยศาสนิกชนสามารถบริจาคเงินผ่านเกมได้ด้วย.

ที่มา :

]]>
1221952
#ทีมไม่ลวกหมี่หยก หรือ #ทีมลวกหมี่หยก ไวรัล Hot ที่ “MK” ไม่ได้จุด แต่คือผู้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ https://positioningmag.com/1206738 Sun, 06 Jan 2019 08:24:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1206738 ไวรัล มาร์เก็ตติ้ง คือกลยุทธ์การตลาดแบบไวรัล โดยการจุดกระแสอะไรสักอย่างที่แบรนด์ต้องการโปรโมตขึ้นมา แล้วปล่อยให้ผู้บริโภคบอกต่อกันเอง ส่งต่อให้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วง 2 ปีมานี้มักเห็นหลากหลายแบรนด์ที่ใช้ไวรัล มาร์เก็ตติ้ง” เป็นเครื่องมือหลัก โดยเฉพาะการทำการตลาดในโลกของโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook Twitter หรือ Youtube

แต่สำหรับไวรัลที่เพิ่งเกิดขึ้นใน 2 วันนี้ ต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นไม่ได้มาจากแบรนด์แต่เกิดจากการที่เพื่อน 2 คน ถกเถียงเรื่องราวของการกินเมนูหมี่หยกในร้านของเอ็มเค สุกี้ที่มีกว่า 427 สาขาทั่วประเทศ ว่า ถ้ากินหมี่หยกจะลวก หรือไม่ลวก ก่อนที่ Account @fyckxx ใน Twitter จะแคปรูปมาแล้วเขียนว่าเลิกเป็นเพื่อนกันเพราะอะไร

ใครจะคิดว่า แคปชั่นฮาๆ กับการถกเถียงของเพื่อน 2 คนจะกลายเป็นที่ถูกอกถูกใจของชนชาวทวิภพ ที่ช่วยกันรีทวิตจนไปถึง 20,000 ครั้ง และก่อให้เกิดแฮชแท็กที่ชื่อว่า #ทีมไม่ลวกหมี่หยก หรือ #ทีมลวกหมี่หยก

ภาพจาก : @fyckxx

กระแสที่เกิดขึ้นไม่ได้หยุดอยู่ที่การถกเถียงของเพื่อน 2 คนอีกต่อไป เพราะในเวลาต่อมาชาวทวิภพต่างออกมาแสดงความเห็นของตัวเองกันยกใหญ่ ว่าตัวเองจะอยู่ทีมไหน ขึ้นขนาดที่ทำให้แฮชแท็ก #ทีมไม่ลวกหมี่หยก กลายเป็นอันดับ 1 ของเทรนด์ในเมืองไทย ด้วยจำนวนข้อความถึง 127,000 ครั้ง

ภาพจาก : @Sakiya_fa

ยังไม่หยุดแค่นั้น ความแรงของ #ทีมไม่ลวกหมี่หยก ทำให้เทรนด์ติดท็อป 5 ของโลก ด้วยจำนวนข้อความถึง 55,000 ครั้งเลยทีเดียว จนถึงกับมีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า

สำหรับคนไทยเรื่องกินเรื่องใหญ่ แค่เริ่มต้นปีมาไม่ทันไร ก็ติดเทรนด์ด้วยเรื่องของกินซะแล้ว

ภาพจาก : @cgeesesoldout

แน่นอนกระแสของ #ทีมไม่ลวกหมี่หยก คนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็ต้องเป็นเอ็มเคอยู่แล้ว เพราะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคจำนวนมาก และการที่คนไทยชื่นชอบกระแส ไม่ต้องเป็นหมอดูก็ทำนายได้เลย วันต่อไปผู้บริโภคต้องไปทดลองเมนูที่ว่า แล้วเลือกทีมกันอย่างคึกคักแน่นอน

เพียงแต่สิ่งที่ต้องกลายเป็นการบ้านข้อใหญ่ให้ เอ็มเค คือการต้องกลับไปวางแผนการตลาดออนไลน์เสียใหม่ เพราะถึงเอ็มเคจะออกมาโพสต์ข้อความถึงกระแสของ #ทีมไม่ลวกหมี่หยก ทั้งใน Facebook และ Twitter จนมีคนตอบรับจำนวนมาก

หากเป็นการขยับตัวที่ค่อนข้างช้าเกินไปหลังจากเกิดกระแสเป็น 10 กว่าชั่วโมง จนปล่อยให้แบรนด์อื่นๆ เข้ามาเกาะกระแส และชิงความสนใจจากคนอื่นไปในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเมเจอร์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเร็วในการจับกระแส หรือจะเป็นท็อปส์ที่ไม่พลาดที่จะเข้ามาแจม

และการที่ตัวแบรนด์เองออกมาพูดช้าไปนิด ก็ทำให้เกิดคอมเมนต์ในลักษณะที่อยากให้ไปศึกษาแบรนด์ที่เก่งในการจับกระแสเลยทีเดียว

ขณะเดียวกันยังได้มีการสอดแทรกเรื่องความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ จากคุณหมอผิงพญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท อีกด้วย

โชคดีว่าไวรัลในครั้งนี้เกิดขึ้นในแดนบวก แบรนด์จึงได้รับผลประโยชน์ แต่ลองคิดดูว่าหากเป็นกระแสลบ การที่แบรนด์ออกมาขยับตัวได้ช้า อาจเกิดความเสียหายที่ไม่คาดคิดกับแบรนด์ไปแล้วก็เป็นไปได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นแง่ดีหรือแง่ลบ การที่แบรนด์สามารถขยับตัวได้เร็ว ก็จะทำให้แบรนด์สามารถควบคุมกระแส และทำให้ตัวเองเด่น ที่สุด เพราะโลกของออนไลน์ใครเร็วกว่าคนนั้นคือผู้ได้เปรียบมากที่สุด.

]]>
1206738
คุ้มมั้ย! ดราม่าอีฟแอนด์บอยตัดต่อโฆษณาหน้าเทา กลายเป็นไวรัล แต่สุดท้ายต้องขอโทษ https://positioningmag.com/1189502 Tue, 25 Sep 2018 05:41:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1189502 เป็นอีกหนึ่งในเคสของการใช้เรียลไทม์มาร์เก็ตติ้ง เพื่อให้เกิดกระแสการบอกต่อหรือไว้รัล โดยแบรนด์ร้านความงาม อีฟแอนด์บอย EVEANDBOY อาศัยจังหวะละครเลือดข้นคนจางกำลังดังตัดต่อภาพประเสิรฐที่รับบทโดย กบ ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี” ให้เป็นภาพหน้าเทา พร้อมกับใส่ข้อความว่า #ใครฆ่าประเสริฐ 1.รองพื้น 2.ช่างแต่งหน้า

ปรากฏว่าภาพดังกล่าวถูกแชร์ออกไปบนออนไลน์จำนวนมากจนเกิดเป็นกระแส แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีคนท้วงติงว่าแต่งภาพเกินจริง

ล่าสุด เพจอีฟแอนด์บอยได้ส่งข้อความขออภัย บนเพจ จากการที่ได้ดัดแปลงภาพคุณกบทรงสิทธิ์จนทำให้เกิดความเสียหาย ผู้ดูแลเพจอีฟแอนด์บอยขอแสดงความเสียใจ

ทางด้านกบ ทรงสิทธิ์ก็บอกว่า เพจอีฟแอนด์บอยได้ออกมาขอโทษและลบรูปออกไปแล้วหลังจากที่ถูกแชร์กระจายออกไป เชื่อว่าการที่ลบเพราะได้รับคอมเมนต์ส่งผลเชิงลบกับธุรกิจของอีฟแอนด์บอยเอง

ถามว่าซีเรียสมั้ย ก็ปนๆ กันไป ถ้ามองโลกในแง่ดีก็ไม่เป็นไร มันก็แป๊บเดียว ฝากบอกเขาด้วยว่าคราวหลังคิดดีๆ หน่อย เพราะตาม พ.ร.บ.เป็นเรื่องผิดกฎหมาย

ต้องนับเป็นอีกหนึ่งในกรณีศึกษาของแบรนด์ที่ใช้กระแสที่กำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เพื่อสร้างการจดจำให้กับแบรนด์ ได้ถูกพูดถึง แต่ก็ต้องระวังในเรื่องความเหมาะสม ไม่เช่นนั้นกระแสอาจตีกลับเหมือนในกรณีนี้.

]]>
1189502
2 ล้านข้อความ-Engagements 100 ล้านครั้ง กระแสความปัง พี่ตูน-โครงการ ‘ก้าวคนละก้าว’ https://positioningmag.com/1151293 Fri, 22 Dec 2017 02:43:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151293 ต้องย้อนกลับมาดูกลยุทธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ ว่าเดินมาถูกทางหรือไม่ การจะเกิด “ไวรัล” แคมเปญได้นั้นจะอาศัยเพียงแค่ ‘ปัง’ ในวันที่ปล่อยแคมเปญไม่ได้ ต้องคำนึงถึง Sentiment ของกระแสที่จะเกิดขึ้นด้วย หากเป็นเรื่องดี ๆ ก็จะได้แรงชาวโซเชียลช่วยกระพือให้กับแบรนด์ได้มากขึ้น และการใช้ Influencer ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แคมเปญนั้น ๆ ประสบความสำเร็จได้

ในวันที่บทความนี้ออกไปคาดว่า “พี่ตูน” คงวิ่งจนใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเต็มทีแล้ว (ในขณะที่ยอดเงินบริจาคนั้นได้ทะลุเป้าหมายไปเรียบร้อยแล้ว) ก่อนที่พี่ตูนจะวิ่งจนถึงแม่สาย เรามาลองมาดูกันก่อนหน่อยดีกว่า ว่าที่ผ่านมาชาวโซเชียลมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแคมเปญนี้กันบ้าง

บริษัท THOTH ZOCIAL ได้ทำการเก็บข้อมูลการพูดถึงโครงการ ก้าวคนละก้าว ในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน จนถึง วันที่ 10 ธันวาคม 2560 (ซึ่งยอดบริจาคนั้นทะลุ 700 ล้านบาทตั้งแต่ช่วงวันที่ 9 ธันวาคม) โดยชาวโซเชียลได้มีการพูดถึงโครงการนี้ทั้งหมด “มากกว่า 2 ล้านข้อความ” และได้รับค่า “Engagements มากกว่า 100 ล้านครั้ง”

Top Engagement Content

Facebook

  • Reaction : > 224K
  • Comment : > 10K
  • Share : > 86K

Twitter

  • Like : > 11K
  • Retweets : > 96K

Instagram

  • Like : > 480K
  • Comments : > 500

Word Clouds

มีคนดูพี่ตูนวิ่งผ่าน Live มากแค่ไหน?

ในช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม

มีคนดู Live พี่ตูนวิ่งจากเพจก้าวคนละก้าว (นับยอดคนดูเฉพาะตอนที่ LIVE โดยไม่รวมคนดูย้อนหลัง) ทั้งหมด 3,256,643 Views เฉลี่ยประมาณ 24,000 Views ต่อ Live และได้รับ Engagement บน Live ทั้งหมด 8,132,227 ครั้ง

โดยยอด View สูงสุดคือจำนวน 74,400 Views โดยเกิดขึ้นบน Live ในวันที่ 3 ธันวาคม ช่วงสามทุ่มครึ่งที่พี่ตูนวิ่งในโซนกรุงเทพฯ นั่นเอง

โดยช่วงเวลาที่คนนิยมเข้าไปดู Live ก็จะเป็นคลิปที่ถูก Live ในช่วงเย็น ๆ ของทุกวัน หรือสาย ๆ ของวันจันทร์และอังคาร

หากดู ‘โพสต์ทั้งหมด’ บนเพจ “ก้าว” พบว่าอัตราการ Engagement ในรูปแบบต่าง ๆ มีแนวโน้มแตกต่างกันเล็กน้อย โดยที่ค่า Reactions และ Comment นั้นมีค่าเฉลี่ยค่อนข้างคงที่ ในขณะที่ Share มีแนวโน้มที่ค่อย ๆ ลดลง ซึ่งอาจหมายถึงคนยังคงให้ความสนใจและติดตามเหมือนเดิม แต่ด้วยแคมเปญดำเนินมาระยะเวลาหนึ่งการแชร์เพื่อประกาศตัวตนหรือช่วยกระจายจึงค่อย ๆ ลดลง

สำนักข่าวที่โพสต์ข่าวนี้มากที่สุด

โครงการก้าวคนละก้าวของพี่ตูนมีสำนักข่าวพูดถึงบนออนไลน์ทั้งหมด 3,722 ข่าว โดยสำนักข่าวที่พูดถึงโครงการมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ

  1. Bangkokbiznews.com 480 ข่าว
  2. Thairath.co.th 353 ข่าว
  3. Today.line.me 349 ข่าว
  4. Khaosod.co.th 250 ข่าว
  5. News.kapook.com 237 ข่าว

ดูเหมือนพี่ตูนและโครงการก้าวคนละก้าว ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดบนโลกโซเชียลมีเดีย ด้วยจำนวนการพูดถึงและ Engagement ที่ท่วมท้น เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นได้อย่างจริงจังว่าคนหนึ่งคนทำอะไรได้บ้าง และโซเชียลมีเดียนั้นมอบพลังให้คนธรรมดาได้มากมายแค่ไหนหากใช้มันอย่างถูกวิธี ทำให้นักการตลาดต้องย้อนกลับมาดูกลยุทธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ ว่าเดินมาถูกทางหรือไม่ การจะเกิด “ไวรัล” แคมเปญได้นั้นจะอาศัยเพียงแค่ ‘ปัง’ ในวันที่ปล่อยแคมเปญไม่ได้ ต้องคำนึงถึง Sentiment ของกระแสที่จะเกิดขึ้นด้วย หากเป็นเรื่องดี ๆ ก็จะได้แรงชาวโซเชียลช่วยกระพือให้กับแบรนด์ได้มากขึ้น และการใช้ Influencer ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แคมเปญนั้น ๆ ประสบความสำเร็จได้

ที่มา : บริษัท THOTH ZOCIAL

]]>
1151293
เท็กซัส ชิคเก้น เปิดศึก เคเอฟซี ใช้ “ไวรัล” เกาะกระแสโซเชียล ชิงแชร์ไก่ทอด https://positioningmag.com/1151190 Thu, 21 Dec 2017 04:00:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151190 บันเทิงกันใหญ่ สำหรับตลาด “ไก่ทอด” มูลค่า 14,000 ล้านบาท เมื่อเบอร์ อย่าง KFC และผู้ท้าชิงอย่าง “Texas Chicken” ต่างงัดไวรัล มาร์เก็ตติ้งมาสู้กันอย่างสนุกสนานรับ “เทศกาลปีใหม่” เพื่อเอาใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย “ครอบครัว” รวมไปถึงคนรุ่นใหม่เต็มขั้น

วิดีโอที่ปล่อยออกมา ต่างฝ่ายต่าง “เล่นคำ” ชิค ๆ เก๋ ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย เคเอฟซี บอกว่าเก่าไปไก่มา! เลยส่งไก่กรี๊ด..ติ้ง (Chicken’s Greetings) หวังให้เป็นของขวัญ สำหรับผู้บริโภคที่เบื่อ “กระเช้าปีใหม่” แล้ว

ฝั่ง เท็กซัส ชิคเก้น ปล่อยแคมเปญ “สวัสดีปีใหญ่” กับไก่ใหญ่เวร่อร์ และไก่ใหญ่มว๊าก มาจัดลง “กระเช้าปีใหม่” ซึ่งเจตนาของแบรนด์นำการกิจกรรมมอบกระเช้าของสินค้าแบรนด์ดังมาล้อเลียนในฉากต่าง ๆ แต่กลับกลายเป็นความบังเอิญทางการแข่งขันที่ “เหน็บกันเบา ๆ” ระหว่าง แบรนด์

จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ต้องถือว่าเท็กซัสใช้กลยุทธ์ me too ท้าชนคู่แข่งเบอร์ 1 ในตลาด อย่างเคเอฟซีซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการตลาดออนไลน์ ใช้แอดมินเพจสร้างสีสันและความฮาจนรับรู้กันไปทั่ว งานนี้เมื่อเจอคู่แข่งหน้าใหม่ใช้อาวุธเดียวกันมีหรือที่เคเอฟซีจะยอม

เคเอฟซี เป็นแบรนด์ระดับโลกที่เพิ่งปิดดีลการให้สิทธิ์ขยายสาขาแก่แฟรนไชซี ราย ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัล ไทยเบฟ และเรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเมนท์ ส่วนยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จะทำหน้าที่ดูแลและบริหารแบรนด์ต่อไป เท่ากับว่า มีคู่ค้า 3 ราย ระดับบิ๊ก มาช่วยลงทุนขยายสาขา ส่วนเคเอฟซีก็ทำหน้าที่ควบคุมแบรนด์ ทำตลาดและออกเมนูใหม่ ๆ  ซึ่งจากนี้ไปยังต้องจับตาดูว่าจะเห็นอะไรใหม่ ๆ จากไก่ทอดเบอร์ แบรนด์นี้บ้าง

ขณะที่ผู้ท้าชิง “เท็กซัส ชิคเก้น” ธรรมดาซะที่ไหน เพราะตัวแทนแฟรนไชส์ (Master Franchise) คือบริษัทพลังงานแห่งชาติของไทยอย่าง “ปตท.” มีทั้งทุนหนา และเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊ม) เอื้อต่อการขยายสาขาและพร้อมซัพพอร์ตการแจ้งเกิดธุรกิจเต็มที่ และต้องการสปีดธุรกิจ “ไก่ทอด” ให้ขึ้นเบอร์ ของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร จากปัจจุบันพอร์ตโฟลิโออาหารมีโดนัท แบรนด์ “แด๊ดดี้ โด” และ “ฮั่วเซ่งฮง”

ปตท.มีธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-oil) ที่เป็นหัวหอกในการทำรายได้เบอร์ คือ คาเฟ่อเมซอน ตามด้วยร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ และเท็กซัส ชิคเก้น มีร้านให้บริการ 12 สาขาในศูนย์การค้าและปั๊มน้ำมัน จำนวนสาขายังห่างชั้นเคเอฟซีอยู่มาก เพราะมีร้านกว่า 600 สาขาทั่วประเทศ

ข้อได้เปรียบ เท็กซัส ชิคเก้นในเรื่อง “ทำเล” โดยเฉพาะปั๊มน้ำมัน ปตท. มีสาขากว่า 1,530 แห่งทั่วประเทศ และยังขยายออกนอกปั๊มตามทำเลในเมือง แต่แต่คงต้องรอดูว่าโมเดลแฟรนไชส์ที่ ปตท.จะเคาะออกมาเป็นแบบไหน เพื่อสปีดการเปิดสาขาร้านไก่ทอดในปั๊ม เพราะปัจจุบันเคเอฟซีก็มีสาขาให้บริการในปั๊มของ ปตท.เช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดของเท็กซัส ชิคเก้น เมนูอาหารมีให้เลือกระดับหนึ่งทั้งไก่ทอดชุดต่าง ๆ เฟรนช์ฟรายส์ เบอร์เกอร์ ไอศกรีม และเมนูท้องถิ่น (Local) รสชาติไทย ๆ คล้ายกับผู้นำ แต่ความหลากหลายยังน้อยกว่ามาก  แต่ใช้เรื่อง ขนาด และความคุ้มค่า และทำ โปรโมชั่นก็มีออกมาต่อเนื่อง ทุกเทศกาลสำคัญ แต่จะพิเศษมากขึ้นหน่อยสำหรับลูกค้าของ ปตท.ที่ถือบัตร PTT Blue Card จะได้รับสิทธิ์แลกซื้อสินค้าราคาพิเศษ เป็นการ “ซีนเนอร์ยี” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

ยุคนี้พลาดไม่ได้คือการทำตลาดออนไลน์ ซึ่งรู้กันดีว่า “แอดมินเคเอฟซี” นั้นมีลีลาการสื่อสารกับผู้บริโภคบนโซเชียลชนิดหาตัวจับยาก ทำให้ เท็กซัส ชิคเก้น น้องใหม่ ที่หวังจะแจ้งเกิด โดยใช้วิธีเดียวกันปลุกแบรนด์สร้างสีสัน พาแบรนด์เข้าไปอยู่ใน “กระแส” เช่น ช้อปช่วยชาติ, หวยออก, วลีฮิตชุดใหญ่ไก่กะพริบ ปล่อยมุกมาสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคได้น่าสนใจทีเดียว

แต่ใช่ว่าการทำตลาดจะราบรื่น เพราะขึ้นชื่อว่า “ของกิน” นอกจากรสชาติต้องถูกปาก คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งสำคัญ จะเห็นได้บนแฟนเฟจของแบรนด์ มีเสียงติติง “มาตรฐาน” ของไก่ทอดอยู่ และเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องนำไปปรับปรุงเพื่อลดปัญหา (Pain point) ที่เกิดขึ้นให้ได้

ปีของเท็กซัส ชิคเก้นในไทย ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ขณะที่เคเอฟซีอยู่มา 30 ปี มีฐานผู้บริโภคแค่วัดจากแฟนเพจเฟซบุ๊กมากกว่า 48 ล้านคน การเป็นผู้ท้าชิงครั้งนี้ แบรนด์รองคงต้องใช้พละกำลังมากหน่อยเพื่อขยับเข้าใกล้ผู้นำมากยิ่งขึ้น

]]>
1151190
อูเบอร์ ปล่อยไวรัลแคมเปญ Boxes กระตุ้นคนไทยใช้ ridesharing https://positioningmag.com/1145798 Wed, 08 Nov 2017 05:39:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1145798 หลังจากเปิดบริการ Ridesharing ตั้งแต่ปี 2557 ใน 6 จังหวัด อูเบอร์ก็ผลักดันบริการนี้ให้ได้ผลยิ่งขึ้น ด้วยการนำเอาผลสำรวจปัญหาการจราจรในภูมิภาคอาเซียนมานำเสนอ พบว่า ประเทศไทยยัง “นำโด่ง” โดย “กรุงเทพฯ” เป็นมหานครที่รถติดมากสุดในภูมิภาค ตามด้วยจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ทั้งนี้ กรุงเทพฯ มีจำนวนรถยนต์มากกว่า 5,800,000 คัน หรือต้องใช้พื้นที่เท่ากับ 8 สนามบินสุวรรณภูมิในการจอดรถทั้งหมด และคนกรุงเทพฯ เฉลี่ยใช้รถ 2.1 คนต่อคัน เมื่อสะท้อนมายังผู้ขับขี่ยานยนต์บนท้องถนนกรุงเทพฯ จึงต้องเสียเวลากับการรถติดเฉลี่ย 72 นาทีต่อวัน และเสียเวลาวนหาที่จอดรถ 24 นาที ขณะที่ชั่วโมงเร่งด่วน มีรถอยู่บนท้องถนนมากถึง 160% ของปริมาณรถเทียบกับท้องถนน และรถจะติดมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าด้วย

ส่วนกรุงมะนิลา ประชาชนเสียเวลาอยู่บนท้องถนนโดยเฉลี่ย 23 วันต่อปี

นอกจากนี้ ปัญหาจราจรในประเทศอื่นๆ อย่าง จาการ์ตา และโฮจิมินห์ พบว่ามีปริมาณรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าทั้ง 2 เมืองนี้จะเกิดปัญหารถติดจนกลายเป็นอัมพาต ส่วนกัวลาลัมเปอร์ มีรถติดในชั่วโมงเร่งด่วนมากกว่าปกติ 4.5 เท่า ภายในปี 2565

จากตัวอย่างสภาพปัญหาการจราจรข้างต้น อูเบอร์มองว่า “บริการรถร่วมเดินทาง” (ridesharing) จะช่วยกระตุ้นให้คนเดินทางด้วยกัน และใช้รถยนต์น้อยลง “ศิริภา จึงสวัสดิ์” ผู้จัดการประจำประเทศไทย Uber บอกว่า ridesharing หรือ บริการรถร่วมเดินทางจะเป็นการเดินทางร่วมกับ “ระบบขนส่งสาธารณะ” และ “รถยนต์ส่วนตัว” เพื่อแก้ปัญหาความแออัดในการจราจรบนท้องถนน และปล่อยพื้นที่จอดรถให้ทำประโยชน์อย่างอื่น ที่สำคัญบริการดังกล่าวจะช่วยลดจำนวนรถยนต์ในกรุงเทพฯ ได้ถึง 60%

นอกจากนี้ ผลสำรวจของ Boston Consulting Group (BCG) ระบุว่ามาตรการที่จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรดีในเมืองต่างๆ ในอาเซียนให้ดีขึ้น จะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1.การลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐาน 2.การร่วมกันใช้บริการร่วมเดินทาง ซึ่งจะการร่วมเดินทาง

“บริการร่วมเดินทาง (ridesharing) ลดจำนวนรถบนถนนในเมืองได้ถึง 60% หรือเท่ากับ 3.5 ล้านคัน และได้พื้นที่คืนจากที่จอดรถคิดเป็นพื้นที่มากถึง 275 เท่าของสวนลุมพินี”

 เพื่อสะท้อนสภาพจราจรที่ติดขัดสาหัส อูเบอร์จึงปล่อย แคมเปญ “Boxes” โฆษณาไวรัลบนโลกออนไลน์ตัวแรก โดยเล่าเรื่องขำๆ ผ่านกล่องกระดาษสื่อแทนรถยนต์ ให้เห็นถึงความเป็นจริงของผู้คนกับการเดินทางในปัจจุบันและจบลงด้วยภาพของเมืองที่ถูกกล่องจำนวนมหาศาลบุกยึดพื้นที่ มีฉากหลังเป็นท้องถนนในกรุงเทพฯ และมีดนตรีประกอบในเพลง “Bare Necessities” จากภาพยนตร์การ์ตูน “เมาคลีลูกหมาป่า (The Jungle Book)” ของ Walt Disney

เมื่อรถยนต์หนึ่งคันสามารถรับคนมากกว่าหนึ่งคนร่วมเดินทางไปด้วยกัน จะช่วยลดจำนวนรถบนถนนให้น้อยลง สามารถปลดล็อกเมืองที่เผชิญปัญหารถติด แต่การแก้ปัญหานี้ต้องร่วมกันแก้ทุกภาคส่วนด้วยกัน

คุณศิริภา กล่าว

เพื่อให้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้น อูเบอร์ยังได้ชักชวนหน่วยงานภาครัฐ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ออกมาสำทับ ถึงปัญหารถติดในกรุงเทพฯ และการนำบริการ Ridesharing สามารถช่วยลดปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยตอบสนองความต้องการในการเดินทางของผู้โดยสารและช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการใช้เวลาเดินทางของผู้โดยสารโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่

]]>
1145798