ไอดอล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 28 Sep 2022 13:44:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘iAM’ แตกค่ายเพลง ‘Independent Records’ ดันไอดอลสู่ ‘ตลาดแมส’ เพิ่มโอกาสทำเงิน https://positioningmag.com/1402169 Wed, 28 Sep 2022 09:32:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1402169 หากพูดถึงตลาด ไอดอล บ้านเรา แน่นอนว่าชื่อของ BNK48 ยังคงเป็นชื่อแรก ๆ ที่ใครหลายคนนึกถึง แต่แน่นอนว่าปัจจุบันกระแสอาจจะไม่อยู่ในจุดพีคเหมือนช่วง ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ ฟีเวอร์ อีกทั้งยังเจอกับช่วง COVID-19 มาเบรกไป 2 ปี ทำให้ บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ iAM ต้นสังกัดศิลปินวง BNK48 และ CGM48 ต้องหาทาง เปิดตลาดใหม่ โดยการคลอด ค่ายเพลง เพื่อต่อยอดศักยภาพน้อง ๆ ไอดอล เพื่อหาโอกาสสร้างรายได้และเพิ่มฐานแฟนคลับกลุ่มใหม่ ๆ

เจ็บหนักจากโควิด

ย้อนไปช่วง 5-6 ปีก่อนที่เป็นช่วงพีคของ BNK48 สามารถทำรายได้สูงสุดถึงปีละ 600-700 ล้านบาท เลยทีเดียว แต่หลังจากที่เจอกับการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้งานอีเวนต์ต่าง ๆ ไม่สามารถจัดได้ ทำให้รายได้ในปีที่ผ่านมาของบริษัทลดเหลือแค่ 190 ล้านบาท เท่านั้น

แน่นอนว่าบริษัทก็มีการปรับตัว ทั้งการเน้น ออนไลน์ มากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ การจัดกิจกรรม Virtual greeting แทนที่การจับมือ รวมถึงการทำเหรียญโทเคน, NFT เพื่อสร้าง BNKVerse โดยตั้งเป้าที่จะดันให้รายได้ 50% มาเป็น ออนไลน์ จากเดิมที่มีสัดส่วนราว 30% และลดสัดส่วนรายได้จากเมอร์ชันไดซ์ และ อีเวนต์ จาก 35% ให้เหลือ 25%

เปิดค่ายเพลงหวังให้แมสขึ้น

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าวงไอดอลนั้นเป็นตลาดที่นีช ซึ่งจุดแข็งก็คือความเหนียวแน่นของ Core Fanclub หรือเหล่า โอตะ แต่การจะทำให้ BNK48 แมสมากขึ้น จ๊อบซัง ณัฐพล บวรวัฒนะ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด จึงได้ฉีกไปทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ อย่างภาพยนตร์ ผ้าผีบอก ที่เพิ่งฉายไป และ ซีรีส์ ที่จะได้เห็นในปลายปีนี้

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาค่ายก็ได้ชิมลางลองทำเพลงจับฐานแฟนคลับต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่อย่างเพลง โดดดิด่ง ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ไทบ้านxBNK48 จากใจผู้สาวคนนี้ ซึ่งมียอดวิวใน YouTube กว่า 189,218,183 views หรือเพลง หมกกบ ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ผ้าผีบอก

ล่าสุด บริษัทจึงได้แตกค่ายเพลงภายใต้สังกัด iAM เป็นการขยายธุรกิจกลุ่มมิวสิกในชื่อ Independent Records (อินดิเพนเด้นท์ เรคคอร์ด) โดยจะดึงศิลปินจาก BNK48 +CGM48 ทั้ง 77 คน เพื่อทำเพลงให้สามารถเข้าถึงทุกเพศทุกวัยได้มากขึ้น เบื้องต้น ได้มีศิลปินเดี่ยวและเกิร์ลกรุ๊ปภายใต้ค่ายเพลงใหม่ ได้แก่

  • แก้ว-ณัฐรุจา ชุติวรรณโสภณ กับเพลง “อาการชัด”
  • เพลงประกอบภาพยนตร์ The Cheese Sisters Namneung x Noey โดยตาหวาน-อิสราภา ธวัชภักดี
  • eRa (อีล่า) เพลงอิสาน เน้นความสนุก
  • QRRA (คาร่า) สไตล์เพลงทีป็อป
  • INDY CAMP ซีซั่น 2 ต่อยอดจากความสำเร็จในซีซั่นที่ 1
  • Queenie (ควินนี่) ซึ่งแตกไลน์มาจากโปรเจกต์ชราไลน์

“จากนี้อะไรที่เป็นออริจินอลของเราเอง ที่ไม่ใช่ไอดอลสไตล์จะอยู่ภายใต้ค่ายเพลงนี้ เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราทำเพลงเองอย่าง โด่ดิด่ง เรายังโปรโมตผ่าน BNK48 พอมันเป็นภาพของ BNK48 คนภายนอกที่ไม่ใช่ Fanclub ก็อาจจะมี BIAS คิดว่าเป็นเพลง BNK48 ทำให้ไม่สามารถเสพต่อ แต่พอเราแยกค่ายออกมาการสื่อสารก็จะชัดเจนขึ้น”

ศิลปินเปิดกว้าง = โอกาสทำเงิน

ณัฐพล ย้ำว่า ธุรกิจไอดอลก็ไม่ต่างจากดนตรี แค่เปลี่ยนจากแนวเพลง ไอดอลสไตล์ มาเปิดกว้างมากกว่าขึ้น สามารถทำเพลงได้หลากหลายสไตล์ อาทิ เพลงป็อป, เพลงอีสาน ทำให้เปิดกว้างในการรับรู้ของแบรนด์ดิ้งและตัวน้อง ๆ สมาชิกมากขึ้น แต่สุดท้ายทั้ง 2 ส่วนก็จะมาสนับสนุนกันเองไม่ว่าจะทางไอดอลออกไปสู่ตลาดแมส หรือจากตลาดแมสมาสู่ไอดอล นอกจากจะเปิดกว้างด้านการแสดงศักยภาพแล้ว ในแง่การสร้างรายได้ก็ต้องยอมรับว่ามีมากขึ้น เพราะสามารถหา สปอนเซอร์ ได้หลากหลายสไตล์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ค่าย Independent Records พื้นที่ให้น้อง ๆ ทั้ง 77 คนได้แสดงศักยภาพในสายงานอื่นนอกจากการเป็นไอดอล แต่จะเป็นในลักษณะ ออดิชั่น ซึ่งเบื้องต้น ค่ายจะเน้นให้โอกาสน้อง ๆ ก่อน ยังไม่มีแผนปั้นศิลปินภายนอกอื่น ๆ แต่เป็นไปได้ที่จะมีการฟีดเจอร์ริ่งกับศิลปินต่างค่าย เพราะต้องยอมรับว่าการเป็น BNK48 มันมีข้อจำกัดอยู่

“ตอนนี้เราให้ความสำคัญกับการเปิดพื้นที่ให้น้อง ๆ แสดงศักยภาพมากกว่าที่จะไปดึงคนนั้นคนนี้มาเป็นศิลปิน แต่ถ้าจะมีฟีจเจอรริ่งกันอันนี้ไม่ติดเลยมีโอกาสแน่เลย”

ตั้งเป้าโกย 100 ล้าน ใน 3 ปี

สำหรับงบการตลาดของเครือวางไว้ที่ 100 ล้านบาท สำหรับใช้ตั้งแต่ปลายปี 2565 จนถึงปี 2567 โดยจะเน้นสร้างการรับรู้ผ่านสังคมออนไลน์ครบทุกแพลตฟอร์มชั้นนำ และออนกราวด์ เช่น กิจกรรมโรดโชว์ หรือคอนเสิร์ต รวมถึงใช้พันธมิตรสื่ออย่าง แพลนบีมีเดีย เพื่อกระจายการรับรู้ โดยภายในปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 440 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนรายได้จากฝั่งของ Independent Records คาดว่าภายใน 3 ปี จะมีรายได้ 100 ล้านบาท

“ต้องยอมรับว่าการแข่งขันในธุรกิจไอดอลและธุรกิจเพลงสูงอยู่แล้ว และยิ่งครึ่งปีหลังจากนี้การแข่งขันยิ่งสูงเพราะทุกอย่างมันอั้นมาจาก 2 ปีที่แล้ว แต่เราเชื่อว่าเราได้เปรียบตรงฐานแฟนคลับที่แข็งแรง ส่วนน้อง ๆ ก็ต้องแสดงความสามารถให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เพราะตลาดมันกว้างกว่าแค่ไอดอลแล้ว”

ณัฐพลย้ำว่า แม้ว่าตลาดไอดอลจะไม่ฟีเวอร์เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ แต่พลังของ โอตะ ยังพร้อมให้การสนับสนุน แม้ว่าเศรษฐกิจจะทำให้กำลังซื้อลดลงก็ตาม ขณะที่งานอีเวนต์ต่าง ๆ ก็ยังไม่กลับมา 100% เหมือนก่อน ยังฟื้นเพียงแค่ 60-70% เท่านั้น แต่เชื่อว่าปีหน้าจะยิ่งแข่งขันสูงแน่นอน เพราะตลาดต้องการสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะตลาดไอดอลหรือตลาดเพลง

]]>
1402169
ห้างที่เปิดใจให้ “กิจกรรมวัยรุ่น” MBK จับความนิยม “ไอดอล” มัดใจนักศึกษา https://positioningmag.com/1264379 Fri, 14 Feb 2020 04:05:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1264379 ถ้าเอ่ยถึงศูนย์การค้า MBK หัวมุมแยกปทุมวัน ภาพจำของแต่ละคนอาจต่างกันเพราะห้าง MBK มีแม่เหล็กหลายอย่าง ตั้งแต่ศูนย์รวมมือถือบนชั้น 4 บรรดาของฝากนักท่องเที่ยว หรือกระทั่งฟู้ดคอร์ตขนาดใหญ่บนชั้น 6 ในอีกมุมหนึ่ง MBK เป็นห้างขวัญใจนักเรียนนักศึกษาในละแวกปทุมวัน ไม่เพียงแต่ทำเลที่อยู่กลางดงสถานศึกษา แต่เพราะมีร้านค้าและการเปิดพื้นที่ทำกิจกรรมให้วัยรุ่น ซึ่ง MBK กำลังชูสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นจุดขายมากกว่าเดิมผ่านกลยุทธ์ “ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง”

ภาพจำของนักเรียนนักศึกษาต่อห้าง MBK คือพื้นที่บนชั้น 7 สถานที่ตั้งของโรงภาพยนตร์-โบว์ลิ่ง-คาราโอเกะจาก SF Cinema City พ่วงด้วยพื้นที่ Game Arcade ขนาดใหญ่ ร้านหนังสือการ์ตูน ไปจนถึงเมดคาเฟ่ บางมุมว่างๆ ของห้างยังมีกลุ่มวัยรุ่นจับกลุ่มกันซ้อมเต้น โดยไม่ถูกห้ามปราม รวมถึงกิจกรรมอีเวนต์คอสเพลย์ การ์ตูนและเกมตามแบบฉบับญี่ปุ่นยังจัดขึ้นที่นี่อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่ารอบทศวรรษ

สิ่งเหล่านี้ทำให้ MBK เป็นเหมือนสวรรค์วัยรุ่นที่ไม่ได้ต้องการเพียงช้อปปิ้งเสื้อผ้า แต่ต้องการพื้นที่ทำกิจกรรมในแบบของตัวเอง

บรรยากาศงาน J-Trends in Town ที่ MBK Center งานรวมตัวคอสเพลเยอร์จำนวนมาก (Facebook @mbkcenterth)

ปัจจุบันหลังทยอยปรับปรุงภายนอกและภายในห้างอย่างต่อเนื่องด้วยงบลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท พื้นที่ชั้น 7 ของ MBK มีการปรับเปลี่ยนผู้เช่าใหม่ๆ เข้ามาเพื่อเป็นแม่เหล็กดึงลูกค้าวัยรุ่นกลุ่มนี้ให้อยู่ด้วยกันแบบเหนียวแน่นขึ้น ตั้งแต่ร้าน Animate Bangkok ศูนย์รวมหนังสือการ์ตูน ดีวีดี ของเล่น ของสะสม ฯลฯ ที่เกี่ยวกับการ์ตูนญี่ปุ่น ที่มาตั้งสาขาตั้งแต่ปี 2559 ตามด้วยการประกาศเปิด “ตู้ปลา” หรือ Digital Live Studio ของวงไอดอลชื่อดัง BNK48 ในเดือนธันวาคม 2562 (ย้ายมาจากเอ็มควอเทียร์)

ดูเหมือนว่า MBK จะจับทางได้ว่ากำลังซื้อของ “โอตะ” นั้นประมาทไม่ได้ โดย “สมพล ตรีภพนารถ” กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในทราฟฟิกเข้าห้างทั้งหมดของ MBK แบ่งสัดส่วนเป็นต่างชาติ 60% และคนไทย 40% ใน 40% ที่ว่านั้น ลูกค้ากลุ่มหนึ่งคือวัยนักเรียนนักศึกษาอายุ 18-24 ปีนี่เอง

ด้วยทุนเดิมของ MBK ที่ให้การสนับสนุนเชิงกิจกรรมกับวัยรุ่นมาตลอด ทำให้ไม่ยากที่จะต่อยอดไปอีกขั้น สมพลกล่าวว่าปี 2563 นี้ MBK จะใช้กลยุทธ์ “ไอดอล มาร์เกตติ้ง” เป็นตัวนำในการทำตลาดวัยรุ่น

ไม่ใช่แค่เพียง BNK48 แต่จะดึงวงไอดอลอื่นๆ อีกมากมาจัดกิจกรรมกันทุกเดือน ยกตัวอย่างวันที่ 14-16 กุมภาพันธ์ 2563 ห้างจะมีกิจกรรม “IDOL LOVE FORWARD ไอดอลบอกรัก” รวมไอดอลไม่ต่ำกว่า 15 กลุ่มมาพบปะแฟนๆ โดยการจัดกิจกรรมอีเวนต์แบบนี้ สมพลมองว่าจะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ใช้บริการอยู่ภายในห้างได้นานขึ้นกว่าเดิม

กิจกรรมพบปะไอดอล ดึงดูดวัยรุ่นเดินห้าง

การขยายฐานไปในกลุ่มแฟนๆ วงไอดอลยังเป็นการจับตลาดที่น่าสนใจเพราะถ้าทำได้จะทำให้เกิดชุมชน ซื้อขายแลกเปลี่ยนและพบปะที่ห้างอื่นลอกเลียนแบบได้ยาก เหมือนกับที่ MBK เคยทำได้มาแล้วในกลุ่มตลาดมือถือ (ก่อนที่จะถูกอีคอมเมิร์ซเข้ามาตีชิงลูกค้าไปพอสมควร)

พลังโอตะมีมูลค่ามากแค่ไหน อ้างอิงจาก “จิรัฐ บวรวัฒนะ” ประธานเจ้าหน้าหน้าที่บริหาร i AM ผู้บริหารกลุ่มไอดอล BNK48 เปิดเผยในช่วงกลางปี 2562 ว่า BNK48 มีมูลค่าแบรนด์มากกว่า 2,000 ล้านบาท และมีฐานแฟนคลับมากกว่า 10 ล้านคนแล้ว

ด้วยกลยุทธ์การตลาดของ BNK48 ที่ปั้นให้ไอดอลเป็นคนดังที่เข้าถึงได้ ทำให้มีการเปิด Digital Live Studio ดังกล่าวเพื่อให้แฟนๆ ได้มาเห็นหน้าค่าตาไอดอลที่ตัวเองชอบได้ง่ายๆ ทุกสัปดาห์ ดังนั้นเหล่าแฟนคลับที่จะติดตามมาชมกันทุกอาทิตย์จึงเป็นลูกค้าเข้าห้างที่แน่นอนสำหรับศูนย์การค้าทันที และถ้าเข้ามาทั้งที การจับจ่ายกินใช้ในห้างจึงน่าจะเกิดขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย เหมือนอย่าง เดอะมอลล์ บางกะปิ ที่เป็นที่ตั้งโรงละครของ BNK48 ชี้ว่า กลุ่มโอตะทำให้มีทราฟฟิกเข้าห้างมากกว่าเดิม

ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง จะได้ผลในแง่กำลังซื้อแค่ไหน คงต้องรอชมตอนต่อไป แต่ที่เกิดไปแล้วแน่ๆ คือการ “ได้ใจ” วัยรุ่นของ MBK!

Source

]]>
1264379
กฎเหล็ก BNK48 เป็นไอดอลต้องเป๊ะ  เพราะชีวิตจริงไม่มีคุกกี้เสี่ยงทาย https://positioningmag.com/1169260 Wed, 09 May 2018 07:47:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1169260 BNK48 (บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต) วงน้องสาวอันดับที่ 5 ของ AKB48 เป็นกลุ่มไอดอลหญิงของประเทศไทย ที่มาภายใต้แนวคิดที่ว่า “ไอดอลที่คุณสามารถไปพบได้” ตั้งแต่เดบิวต์เมื่อปี 2017 ก็ปัง ดังเป็นพลุแตก ขึ้นท็อปเพลงทุกชาร์ตและเป็นที่พูดถึงแพร่หลายด้วยพลังโอตะ (แฟนคลับ) ของพวกเธอ จนทำให้บรรดาผลิตภัณฑ์สินค้าและสารพัดแบรนด์ต้องยืมพลังพวกเธอมาใช้ในการตลาดกันอย่างพึ่บพั่บ 

แต่สิ่งที่เป็นที่พูดถึงไม่น้อยกว่าความน่ารักของไอดอลแต่ละคนก็คือ กฎระเบียบต่างๆ ที่ทางต้นสังกัดบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ซึ่งมีเพียง 5 ข้อ แต่ทุกข้อต้องเป๊ะ ไม่มีการยกเว้น ดังต่อไปนี้

1. สมาชิกทุกคนต้องย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯ ระบุไว้ชัดเจนตั้งแต่ตอนสมัคร โดยทีมงานจะเป็นคนช่วยหาที่พักให้ เพื่อความสะดวกในการทำงาน

2. ห้ามถูกเนื้อต้องตัว และห้ามเซลฟี่กับแฟนคลับ โดยเฉพาะ “การจับมือ” เพราะจะมีการขายบัตรในอีเวนต์การจับมืออย่างเป็นทางการ และขายรูปถ่าย ถ้าจับมือถ่ายรูปได้ทั่วไป ย่อมีผลต่อมูลค่าของบัตรและรูปถ่ายของพวกเธอเองที่ดูเป็นของหายากเสียจริง

3. เคร่งครัดการใช้สื่อโซเชียลทุกช่องทาง พอเริ่มเป็นสมาชิก BNK48 ทุกคนต้อง Set Zero สื่อโซเชียลทุกช่องทางเดิมของตน และต้องตั้งใหม่พร้อมกัน เพื่อให้ทุกคนเริ่มพร้อมกันภายใต้การใช้ชื่อ BNK48 อย่างเป็นทางการ

4. ไม่ทำงานเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง หรือสื่อลามกอนาจารใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทางต้นสังกัดต้องการสื่อให้เห็นว่า วงมีภาพลักษณ์ของการเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ สดใส จึงกันเรื่องพวกนี้ออกไปให้ไกลที่สุด อย่างกรณีของ ปัณณ์ ที่เคยถูกผับชื่อดังแห่งหนึ่งเอารูปน้องไปขึ้นเพื่อเป็นการโฆษณาผับ ก็เคยเกิดเป็นดราม่าใหญ่โตมาแล้ว

5. งานของวงถือว่าสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะตารางซ้อม ตารางงานของวงค่อนข้างแน่นมาก ทำให้ส่วนใหญ่เลือกการศึกษานอกระบบ หรือปรับตารางเรียนของตนเองเพื่อไม่ให้ตรงกับตารางซ้อม แต่ก็มีเมมเบอร์บางคนที่บริหารเวลาของตนเองได้ดีทั้งการเรียนและการงานของวง

นอกบัญญัติ 5 ประการที่กำหนดไว้ชัดเจนในสัญญาและทุกคนต้องปฏิบัติตาม ดูเหมือนว่าจะบางกฎที่หลายคนคงเคยได้ยินๆ กันมาบ้าง และดูโหดไม่แพ้กัน ที่แม้ทางตัวเมมเบอร์และต้นสังกัดต่างพร่ำบอกว่า ไม่บังคับใช้บทลงโทษอะไรที่เป็นทางการ หรือเรียกง่ายๆ ว่ากฎดังต่อไปนี้ เป็นแค่สัญญาใจเท่านั้น นั่นก็คือ

1. ห้ามศัลยกรรม ด้วยความที่ภาพลักษณ์ของวงต้องการเน้นความเป็นเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ตอบโจทย์ความชอบของโอตะหลายๆ กลุ่ม จึงไม่นิยมให้หน้าตาเป็นไปตามสมัยนิยมเหมือนๆ กัน อย่าง ปูเป้ ที่มีปัญหาเรื่องของฟัน ก็มีหลายคนเชียร์ให้น้องไปจัดฟัน แต่น้องก็ได้โพสต์หน้าสื่อโซเชียลของตนเป็นนัยๆ ว่า ถ้าจัดฟันก็คงเหมือนคนอื่นๆ จึงอยากเก็บไว้เป็นเอกลักษณ์ของตนเองมากกว่า

2. การห้ามรับของขวัญจากแฟนคลับที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 บาท ซึ่งการรับของที่บรรดาโอตะพร้อมเปย์ให้เมมเบอร์ในราคาที่สูงมากเกินไปอาจทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ดี เพราะคนเราคิดกันไปได้ต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะการนำเรื่องเงินมาผูกกับความชื่นชอบ แต่สำหรับโอตะที่อยากจะเปย์โอชิตัวเองมากๆ ทางบริษัทก็จัดไว้ให้เปย์หลากหลายช่องทางให้อยู่แล้ว อาทิ ของที่ระลึกต่างๆ บัตรจับมือ อัลบั้ม รูปถ่าย หรือแม้กระทั่งการไลฟ์ Voov ที่สามารถส่งของขวัญให้โอชิของตนได้โดยตรง ฯลฯ

3. ห้ามมีแฟน เป็นกฎที่ดูจะไม่เข้าใจวัยรุ่นที่สุดแล้ว เลยถือเป็นกฎเหล็กแสนโหดแสนหิน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเล็กๆ แต่ว่าทุกคนก็รับทราบโดยพร้อมเพรียงกันตั้งแต่ก่อนเซ็นสัญญาเข้าวง แม้ว่าจะไม่ได้ห้ามอย่างเด็ดขาด หรือมีบทลงโทษที่ชัดเจน

สมาชิกทุกรายไม่ว่าที่ไหน ถ้าฝ่าฝืนกฎห้ามมีแฟน มักจะโดนลงโทษกันไปตามระเบียบ เช่นเดียวกับกรณีของ แคน นายิกา ศรีเนียน สมาชิก BNK48 ที่กลายเป็นละครบทใหม่ในโซเชียลตอนนี้ เพราะแม้จะออกมายอมรับผิดแต่โดยดีกรณีที่มีคนโชว์หลักฐานรูปถ่ายว่าไปทานข้าวกับแฟน โดยเธอพูดตบท้ายชัดเจนว่า “จะไม่นิ่งเฉยกับบุคคลที่มีเจตนาไม่ดีกับแคน”

ในแฟนเพจอย่างเป็นทางการของ BNK48 ก็ได้มีการโพสต์บทลงโทษในการทำผิดกฎของสาวแคนเกี่ยวกับการห้ามมีแฟนจากต้นสังกัดออกมาแล้ว โดยระบุว่า จะทำการพักงานนักร้องหญิงเป็นเวลา 1 เดือนต่อการทำผิดกฎดังกล่าว ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันนี้ (8 พฤษภาคม 2561) เป็นต้นไป

นอกจากกรณีของแคนลองมาดูว่า ที่ผ่านมีสมาชิกคนใด กลายเป็นประเด็นร้อนในการละเมิดกฎข้อนี้กันบ้าง

มินามิ มิเนกิชิ รายนี้สมาชิกวง AKB48 วงรุ่นพี่ที่เป็นข่าวช็อกวงการมาครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีสื่อถ่ายภาพเธอตอนขึ้นไปคอนโดพร้อมกันกับผู้ชาย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ทางต้นสังกัดและชาวโอตะรับไม่ได้ ถึงกับประณามและต่อว่าอย่างรุนแรง เธอจึงออกมาอัดคลิปขอโทษในขณะที่ผมบนศีรษะของเธอถูกโกนเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการสำนึกผิดและขอให้ทุกคนอภัยให้กับเธอเพราะเธอก็ยังอยากอยู่ในวงต่อไป

เมษา จีนะวิจารณะ สมาชิก BNK48 เริ่มจากที่เธอโดนชายคนหนึ่งที่อ้างตัวว่า เป็นโอตะ กล่าวหาว่าเธอมีแฟนพร้อมงัดหลักฐานมาโชว์มากมายตอนต้นกุมภาพันธ์ 2560 แต่เรื่องก็เงียบไป

จนกระทั่งเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ก็มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งออกมาเปิดเผยทำนองเดียวกันอีก พร้อมให้เมษาออกมาตอบให้ชัดเจนว่ามีแฟนจริงหรือไม่ จนถึงขั้นที่ จ๊อบ ชิไฮนิน หรือ จ๊อบซัง ผู้จัดการวง BNK48 ต้องออกมาขอให้เหล่าโอตะใจเย็นๆ เพราะกำลังปรึกษาทนายอยู่

จนถึงเดือนมกราคมปีนี้ที่ผ่านมา ในไอจีสตอรี่ (IG Story) ของเมษา ได้โพสต์ภาพชายคนหนึ่งที่นอนบนเตียงคล้ายๆ ร้านนวด แล้วลบคลิปออกทีหลัง แต่แต่ช้ากว่าชาวเน็ตที่มือไวกดโหลดไว้อย่างรวดเร็ว งานนี้คาดว่าน่าจะเกิดจากการผิดพลาดลงผิดแอคเคานต์ ท้ายที่สุดต้นสังกัดจึงลงโทษประกาศพักงานเมษาไปเป็นระยะเวลา 1 เดือน

ส่วนกรณีล่าสุดของ แคน BNK48 หลังจากที่จบข่าวของเมษาไป เหล่าโอตะก็โล่งใจเพราะถือว่ามีการลงโทษที่ชัดเจน แต่ก็ไม่วาย ที่แคนก็ก่อเหตุซ้ำในกรณีเดิม “แคน” ซึ่งมีภาพลักษณ์ของนักกิจกรรม จิตอาสา แม้ว่าจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ในช่วงแรก แต่ก็เคยติดเซ็มบัตสึ (ตัวจริง) และมีฐานแฟนคลับไม่น้อยที่ชื่นชมในเสียงร้องของเธอ จนมีคะแนนให้เธอได้เป็นตัวจริงในทีม BIII (บีทรี) ที่จะแสดงในเธียร์เตอร์อีกด้วย

แต่พอล่าสุด เมื่อมีภาพแคนไปกินข้าวกับผู้ชายสองต่อสองในไอจี นอกจากต้นสังกัดก็ออกมาพักงาน 1 เดือนตามระเบียบ พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวให้ เปี่ยมรินรดา อินทร์ไธสง เป็นตัวจริงในทีมบีทรีแทนแคนอีกด้วย

เรียกได้ว่า งานนี้เป็นโชว์เคสที่ทำให้เสียศูนย์ไปตามๆ กัน เพียงเพราะละเมิดกฎเหล็ก เอ้ย… สัญญาทางใจกับทางต้นสังกัดที่ยกแพลตฟอร์มแทบจะ 100% มาใช้ ซึ่งทางญี่ปุ่นก็เคร่งครัดเรื่องพวกนี้เอามากๆ เพราะสมาชิกของวงเยอะมาก และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นในกลุ่มสมาชิกรุ่นต่อๆ ไป การปกครองคนหมู่มากก็เลยต้องมีกฎเหล็กที่เข้มข้นประมาณนี้

ทั้งนี้ เพราะสำหรับไอดอล ภาพลักษณ์ของเมมเบอร์ในวงทุกคนสำคัญมากๆ ต่อการทำการตลาดของต้นสังกัด ซึ่งข้อนี้โอตะเข้าใจและยอมรับดี เพราะในเรื่องของเพลงเอยที่ยกมาจากทางญี่ปุ่นและเปลี่ยนเนื้อให้เป็นไทยชนิดที่ว่าถ้าไม่ใช่ BNK48 ร้องก็คงไม่รอดแน่ๆ

หรือจะเป็นการเต้นที่เป็นประเด็นดราม่าตลอดเวลาว่าไม่พร้อมสักที โดยให้เหตุผลว่า เพราะทุกคนจะได้เห็นความพยายามและพัฒนาการของเมมเบอร์อย่างต่อเนื่อง หรือเพราะที่จริงแล้วเพลงกับการเต้นไม่ใช่จุดขายหลักของ BNK48 เหมือนนักร้องวงอื่นทั่วๆ ไป แต่เน้นขายภาพลักษณ์เด็กสาวสดใสบริสุทธิ์ที่พยายามตามฝัน โดยมีเหล่าโอตะเป็นผู้ช่วยทั้งการสนับสนุนในทุกช่องทางของเมมเบอร์ และทางต้นสังกัดคอยตามเชียร์และทุ่มเทเพื่อไอดอลที่พวกเขาชื่นชอบ

ดังนั้น ถ้ามองดีๆ กฎแต่ละข้อก็ดูเหมือนจะออกมาอำนวยให้กับกลุ่มโอตะเหมือนกัน เพราะถ้าหากความนิยมลดลง หรือโอตะเฮน (เลิกชอบ) ออกจากวงไป แล้วต้นสังกัดจะขายใคร จริงมั้ย?

กฎเหล็กสำหรับสมาชิก จึงเป็นเหมือนตัวช่วยที่จะรักษาความชอบของโอตะไว้ให้นานที่สุด ขณะเดียวกันก็ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษามาตรฐานของวงหรือแบรนด์ไว้ให้ได้นานที่สุดไปพร้อมกัน.

]]>
1169260
คอนเฟิร์ม ค่ายมือถือทรูมูฟ เอช คว้า BNK48 พรีเซ็นเตอร์ เจาะตลาดวัยทีน https://positioningmag.com/1156376 Fri, 09 Feb 2018 09:01:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1156376 ค่ายมือถือทรูมูฟ เอช แบรนด์แรก คว้า BNK48 ไอดอลกรุ๊ป มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นเจนรุ่นใหม่ 

ประกอบไปด้วยสาว BNK48 มิวสิคแพรวา สุธรรมพงษ์เฌอปราง อารีย์กุลปัญปัญสิกรณ์ ติยะกร และ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสิรฐ

นอกจากความน่ารักแล้ว ความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของเหล่าเกิร์ลกรุ๊ปนี้ จนก้าวสู่ความสำเร็จ ภาพลักษณ์เหล่านี้ ตรงกับทรูมูฟ เอช ที่ต้องการเป็นผู้นำ 4G” ดร.กิตติณัฐ ทีคะวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) ด้านการพาณิชย์ บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น

ส่วน ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ ผู้ช่วยบริหารงานประธานคณะผู้บริหาร และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และการสื่อสาร บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่นกล่าวว่า เจนเนอเรชั่นรุ่นใหม่ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในอนาคต

จากผลสำรวจพบว่า ไอดอลเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และมีผลต่อความนิยมในแบรนด์ การได้ BNK48 ซึ่งเป็นเกิร์ลกรุ๊ปยอดนิยมอันดับ 1 ในเวลานี้ มาเป็นตัวแทนผู้ใช้ทรูมูฟ เอช นอกจากจะสื่อถึงภาพลักษณ์ของเครือข่าย ยังรองรับไลฟ์สไตล์ของนักร้องกลุ่มดังกล่าวได้เป็นอย่างดี.

]]>
1156376
แบรนด์ร่วมจอยปรากฏการณ์ #EXO EℓyXiOn in BKK คัมภีร์การตลาดผ่านไอดอล https://positioningmag.com/1155913 Tue, 06 Feb 2018 23:15:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1155913 นักการตลาดมองเห็นอะไร จากปรากฏการณ์ความคลั่งไคล้ของกลุ่มแฟนคลับ หลุดพ้นจากกระแส BNK48 มาไม่ทันไร งานนี้ต้องมาจับตาดู Case ของ EXO กับขายบัตรคอนเสิร์ตล่าสุดที่กำลังจะถึงคิวจัดขึ้นในเมืองไทยกลางเดือนมีนาคมนี้ ยังสร้างปรากฏการณ์ขายบัตรหมดในพริบตาได้เหมือนเดิม แต่เรื่องสำคัญกว่าที่นักการตลาดต้องรู้คือ บรรดาแบรนด์สินค้าทั้งหลาย มีกลยุทธ์สร้างการเชื่อมโยงสู่ลูกค้าผ่านช่องทางนี้อย่างไร

EXO (เอ็กโซ) วงบอยแบนด์สัญชาติเกาหลีและจีน มีสมาชิก 12 คน เยอะกว่าจำนวนผู้เล่นตัวจริงในทีมฟุตบอล แต่ทุก ๆ คนก็สามารถมีแฟนคลับและเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างทั่วถึงกัน เป็นวงภายใต้สังกัด เอสเอ็มเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ปัจจุบันสมาชิกในวงล่าสุดเหลือเพียง 9 คน

เอ็กโซไม่ได้เป็นที่นิยมแค่ในเกาหลี แต่เป็นวงบอยแบนด์ที่ถูกปั้นมาเพื่อเป็นไอดอลของเอเชีย เห็นได้จากจำนวนสมาชิกที่เน้นความเป็นนานาชาติตั้งแต่เริ่ม และเน้นความสามารถของสมาชิกของวงที่ต้องผ่านการคัดเลือก และฝึกฝนจนเป๊ะปัง บวกกับสกิลด้านต่าง ๆ ของแต่ละคน ทำให้ความสามารถเรื่องร้อง เต้น แสดงออก พวกเขายังจัดเป็นไอดอลรุ่นใหม่ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีแนวคิดที่แฟน ๆ ที่คอยติดตามปลื้มและชื่นชอบแบบไม่ใช่หลงแค่หน้าตารูปลักษณ์ภายนอกหรือเสียงร้องเท่านั้น

ดังนั้น เมื่อมีตารางการปรากฏตัวของหนุ่ม ๆ ในวง ไม่ว่าจะถ่ายโฆษณา แฟนมีทติ้ง งานโชว์ตัว และที่สำคัญคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในที่ต่าง  ๆ ไม่ว่าจะที่เกาหลี จีน ญี่ปุ่น ไทย หรือที่ไหน ๆ ในเอเชีย พวกเขาก็สร้างปรากฏการณ์ของการเป็นแม่เหล็กตามโจทย์ของงานได้เสมอ

แน่นอนว่าเหตุการณ์แบบนี้คือสิ่งที่แบรนด์สินค้าและบริการทั้งหลาย ใฝ่ฝันและอยากมีส่วนร่วมด้วยอย่างที่สุด

วงไอดอลชั้นนำ จึงกลายเป็นเป้าหมายที่นักการตลาดต้องหาวิธีเชื่อมโยงกับแบรนด์ให้ได้

ยิ่งในยุคดิจิทัลที่มีโซเชียลมีเดียเป็นตัวเชื่อมโยงที่ดีด้วยแล้ว การเกาะติดไปกับไอดอลเหล่านี้ คือช่องทางลัดหนึ่งที่ให้ผลดีอย่างมาก ในการที่แบรนด์เลือกใช้เป็นทางผ่านเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมหาศาลที่มีจุดโฟกัสแบบรวมศูนย์ที่ชัดเจน

รวมทั้งเป็นช่องทางให้แบรนด์ทำตลาดเพิ่มการรับรู้ไปจนถึงเพิ่มยอดขายได้อย่างสนุกสนาน หากสามารถเชื่อมต่อแบรนด์เข้ากับกลุ่มผู้บริโภคผ่านไอดอลเหล่านั้นได้อย่างสมูท

เหมือนดังที่บัตรคอนเสิร์ต EXO EXO EyXiOn in BKK ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16-18 มีนาคม 2561 ที่จะถึงนี้ รวม 3 รอบที่ถูกขายหมดอย่างรวดเร็วในเวลารวดเร็ว บัตรส่วนหนึ่งจึงถูกกั้นไว้โดยบรรดาสปอนเซอร์ เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้กับกลุ่มแฟนคลับที่จองซื้อไม่ทัน ได้ตามลุ้นบัตรเข้าชมผ่านแบรนด์ต่าง ๆ

มีคนจดสถิติไว้ว่า บัตรคอนเสิร์ต EXO ที่จะจัดในไทยครั้งนี้ 3 รอบ บัตรจำนวน 31,000 ใบ ขายหมดภายในเวลา 5 นาที เร็วกว่าคอนเสิร์ตรอบแรกและรอบสองในต่างประเทศที่ใช้เวลา 20 และ 15 นาทีตามลำดับ ซึ่งมีจำนวนบัตรน้อยกว่าเพียงแค่ 22,000 ใบเท่านั้น

จะบอกว่า นี่คือโอกาสสุดท้ายของแฟนคลับที่หาซื้อบัตรไม่ได้ หลายคนเต็มใจที่จะลองเสี่ยง ผลดีก็คือ ยอดขายดี ๆ จึงตกไปอยู่กับแบรนด์สปอนเซอร์ทั้งหลาย

คอนเสิร์ต EXO รอบนี้ มีแบรนด์ที่เข้ามาร่วมแจกบัตรมากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังแบรนด์ แต่ทุกแบรนด์อยากมีส่วนร่วม เพราะวงไอดอลดังวงนี้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เชื่อมโยงกับสินค้าที่มีได้โดยตรง แต่กลุ่มแฟนคลับของพวกเขา คือกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ทุกแบรนด์อยากได้มาเป็นลูกค้าเหมือน ๆ กัน

งานนี้ก็เลยสามารถหาบัตรตามเงื่อนไขของแบรนด์เหล่านี้รวม 382 ใบ ได้แก่ แพนทีน และแบรนด์อื่น ๆ ในเครือพีแอนด์จี 222 ใบ Tofusan แบรนด์น้ำเต้าหู้ก็ของแจมด้วย 120 ใบ โรงแรมที่พักเผื่อกรณีแฟนคลับตามไปเจอไอดอลในที่ต่าง ๆ ทำให้ อโกด้า ร่วมแจกด้วย 20 ใบ Nature Republic ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แจก 20 ใบ

นอกจากนี้ยังมี สาหร่ายเถ้าแก่น้อย และรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่ก็มีบัตรแจกให้ไปลุ้นแต่ไม่รู้จำนวนแน่นอนอีกส่วนหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อบัตรเป็นของที่มีความต้องการมาก แต่บัตรมีจำนวนน้อย กติกาของแบรนด์ก็เลยไม่ง่ายเหมือนส่งรหัสใต้ฝาชิงโชค แต่ผู้ซื้อต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบายไว้ถี่ยิบ เพื่อความชัดเจนและป้องกันปัญหาไว้ก่อน แต่ดูเหมือนแฟนคลับแต่ละรายก็ไม่มีใครถอย และพร้อมจะปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัดอย่างทุ่มเท แม้ไม่รู้เป็นเพียงแค่การเสี่ยงโชคก็ตาม

พีแอนด์จี ไอดอลคือทางลัดขยายฐานลูกค้า

ตัวอย่างเช่น กรณีการแจกบัตรของพีแอนด์จี เขียนกติกาในเพจ Pantene Thailand อธิบายวิธีการโดยละเอียดไว้ยาวเป็นหน้า สำหรับลุ้นบัตรยืน โดยก่อนหน้านี้ก็ร่วมกิจกรรมแจกบัตรสำหรับงานมีทแอนด์กรี๊ดของวงมาอย่างต่อเนื่อง เช่นในปี 2559 ที่ผ่านมา

พีแอนด์จีเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่มสาว ๆ วัยรุ่น ถึงวัยทำงาน ที่เป็นฐานแฟนคลับกลุ่มใหญ่ของวง โดยให้โอกาสลุ้นบัตรจากยอดใบเสร็จการซื้อสินค้าประเภทแชมพู ครีมนวดแพนทีน รวมถึงผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โอเลย์ (Olay) ในยอดที่กำหนดเพื่อส่งลุ้นบัตร

ขณะที่ อโกด้า (Agoda) เลือกทำตลาดตามทาร์เก็ต ให้คนที่จองห้องพักในช่วง 5-28 กุมภาพันธ์ 2561 ใส่โค้ดส่วนลด 2,000 บาท เพื่อลุ้นบัตรคอนเสิร์ตราคา 5,000 บาท รางวัลละ 2 ที่นั่งรวม 25 รางวัล

คนได้รางวัลที่ไม่อยากดูคอนเสิร์ตก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะจะมีคนติดต่อขอซื้อบัตรต่อจากคนที่ได้รางวัลด้วยวิธีการสื่อสารใดวิธีหนึ่ง รับประกันว่าไม่มีบัตรใบไหนเสียเปล่า เพราะบัตรทุกใบเป็นที่ต้องการ

แน่นอนว่า บัตรเหล่านี้ รวมทั้งบัตรที่มีการจองเผื่อเพื่อนำมาทำกำไรเพิ่มแม้ระบบการจองจะมีข้อกำหนดห้ามซื้อเกินคนละ 4 ใบในทุกช่องทางการซื้อก็ตาม โดยมีระบบการขายต่อที่มีราคาจากหลักพันสูงเป็นหลักหมื่นตามปริมาณความต้องการอีกด้วย

คร่าว ๆ จากข้อมูลของกลุ่มแฟนคลับในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ตอนนี้โดยเฉลี่ยบัตรแต่ละราคาจะปรับราคาขายต่อเพิ่มขึ้นด้วยราคาบวกเพิ่มจากราคาปกติอย่างน้อย 1,000 บาท โดยราคาบัตรปกติมาหลายราคาตามนี้ 6,000 / 5,000 / 4,500 (บัตรยืน) / 3,500 / 2,500 และ 1,500 บาท

เรื่องราวทั้งหมดของการจองบัตรคอนเสิร์ตกว่า 3 หมื่นที่นั่งที่ขายได้ใน 5 นาที คือสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่เพิ่งผ่านไปนี้เอง เพราะฉะนั้นก็ทำใจได้เลยว่า ใครที่มองเห็นประกาศขายตั๋วถ้าไม่รีบตัดสินใจ ยิ่งนานวัน ราคาก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นแน่ ๆ

นี่แค่ปรากฏการณ์ในขั้นตอนขายตั๋ว หลังจากนี้โดยธรรมชาติ EXO ก็ยังจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นเป็นระยะ ๆ แม้หลังจากคอนเสิร์ตแสดงจบไป เพราะอย่างน้อย ข่าวความเคลื่อนไหวหลังคอนเสิร์ตก็ยังต้องมีต่อเนื่องตามมาอีกระยะหนึ่ง

เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่า แบรนด์ที่ร่วมเล่นกับปรากฏการณ์ของวงไอดอลที่เป็นที่นิยมระดับนานาชาติแบบนี้ ย่อมไม่หลุดไปจากสายตาผู้บริโภคง่าย ๆ และนั่นคือเหตุผลของการตัดสินใจที่บรรดาแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ยอมพลาดที่จะขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ความนิยมเหมือนเช่นที่ EXO EyXiOn in BKK ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้.

]]>
1155913
“คุกกี้เสี่ยงตาย” ยิ่งวิจารณ์ยิ่งเสี่ยง แต่เธอไม่รู้บ้างเลย… https://positioningmag.com/1155202 Thu, 01 Feb 2018 03:38:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1155202 ดรามาจนได้ นักแต่งเพลงชื่อดังสับเละ! วงดนตรีเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 ไอดอลที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ ว่าซิลิโคนทั้งนั้น บั้นปลายเล่นหนังโป๊ โอตะฉะ! ทัศนคติต่ำตม เห็นผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ ชี้ BNK48 ต้นแบบเยาวชนไทยยุคใหม่ ไม่แต่งโป๊ ไม่ศัลยกรรม ไม่ต้องสวยมากแต่ต้องพร้อมเรียนรู้ ต่อสู้ อดทน 

หยามเหยียด! ซิลิโคนทั้งนั้น สุดท้ายก็เล่นหนังโป๊ 

กลายเป็นความดรามา เมื่อนักแต่งเพลงชื่อดัง พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา หรือ ปุ้ม ตาวัน ได้แชร์เพลงของวงดนตรีเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 ที่กำลังดังพลุแตกในเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” ด้วยข้อความสุดดุเดือดปรอทแตก ประชดประชัน

“ปลื้มมาก…ให้ตายห่าสิเอ้า! ไม่พ่อก็แม่ของเด็กพวกนี้ข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ก็ทั้งสองเลย คงเป็นญี่ปุ่นหรือเกาหลี น้องก็เลยไม่อยากเป็นไทยกัน โอ..อินเตอร์ชิบหาย เป็นไทยมันเชยไง มันจริงไป มันเลยเสร่อ ไม่ปลอม ไม่พลาสติก ไม่ซิลิโคน. 

นักร้อง แห่กันมาตั้ง 28 คน ยิ่งกว่าทีมฟุตบอล หรือว่ามันเตะฟุตบอลกันด้วยควบคู่กันไป มันคงจะต้องร้องเพลงกันดีมาก ๆ แน่ เพราะเพลงหนึ่งสามสี่นาที มันคงร้องกันได้แค่คนละประโยค 

โอ้ ซ้อมกันสักหกเดือน ร้องประโยคเดียว แต่ต้องซ้อมเต้นเยอะหน่อย เพราะท่ายากฉิบหาย เกือบจะยากกว่าท่าเชียร์ลีดเดอร์เชียว แล้วต้องเต้นให้ 28 คนแม่งพร้อมกัน เป๊ะ ๆ โห.. บัลเลต์บอลชอยยังทำไม่ได้อย่างนี้ โอ..ปลื้มฉิบหาย เด็กไทย ศิลปินไทย ในเงื้อมมือพวกมึง โห..ปลื้มจริงๆ”

พร้อมตบท้ายด้วยประโยครุนแรง

“ปล.บั้นปลายเล่นหนังโป๊นะน้อง ตามสูตร”

ทว่า สาเหตุที่ทำให้นักแต่งเพลงชื่อดังคนนี้ มีทัศนคติแบบนี้อาจเป็นเพราะอดีต AKB48 เกิร์ลกรุ๊ปต้นกำเนิดแม่แบบของ BNK48 จำนวน 7 คนนั้น หลังจบการศึกษาจาก AKB48 ก็ได้เข้าสู่เส้นทางอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ หรือหนังเอวี ซึ่งก็คือหนังโป๊ในญี่ปุ่นนั่นเอง จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนก็เป็นได้ 

อย่างไรก็ดี กลุ่มแฟนคลับ หรือที่เรียกว่า โอตะ ได้ออกมาปกป้องสมาชิกวง BNK48 ว่าน้องๆ เป็นเด็กเรียนดีมีความรู้ความสามารถทั้งนั้น ซัด! เห็นผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ มีค่าเพียงแค่นักแสดง AV

แก้ว BNK48 เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คณะศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาดุริยางคศิลป์ และ และ จ๋า BNK48 ยังรับรางวัลเกียรติบัตรเด็กและเยาวชนดีเด่น ครั้งที่ 9 ประจำปี 2560

ทว่า สมาชิกวง BNK48 แต่ละคนโปรไฟล์ดีงามเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชนอย่าง ณัฐรุจา ชุติวรรณโสภณ หรือ แก้ว BNK48 ก็เพิ่งได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คณะศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาดุริยางคศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เฌอปราง อารีย์กุล ปัจจุบันเป็นนักศึกษาวิชาเคมี ว่าที่นักวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ กัปตันทีมที่มีแฟนคลับล้นหลามอย่าง เฌอปราง อารีย์กุล ปัจจุบันเป็นนักศึกษาวิชาเคมี ว่าที่นักวิทยาศาสตร์ และได้รับรางวัลเยาวชนคนต้นแบบ เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ

สร้างสีสัน วงการเพลงครึกครื้น

ปรากฏการณ์ฟีเวอร์ของเกิร์ลกรุ๊ปวงดนตรี BNK48 นั้นเป็นความสำเร็จที่หลายคนจับตา และแฟนคลับที่เรียกว่า “โอตะ” ต่างก็เพิ่มขึ้นล้นหลาม 

BNK48 เป็นวงน้องสาวสาขาประเทศไทย ของ AKB48 วงไอดอลชื่อดังของญี่ปุ่นซึ่งเกิดจากแนวคิดที่จะสร้าง “ไอดอลที่คุณสามารถมาพบได้ตลอด” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 12 ก.พ. 2560 แฟนคลับทั้งหญิงต่างเยอะและเหนียวแน่น 

สำหรับเกิร์ลกรุ๊ปต้นกำเนิดของญี่ปุ่นอย่าง AKB48 ที่เป็นแม่แบบของ BNK48 นั้นเป็นวงที่ริเริ่มการฝึกฝนไอดอลอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การออดิชั่นสุดเข้มงวด คัดกรองผู้สมัครรุ่นแรกจากเกือบ 8,000 คน เหลือเพียง 24 คน ไปจนถึงการฝึกซ้อมอย่างหนัก จนหลายๆ คนถอดใจออกไปกลางคัน และยังมีระบบเลือกตั้ง ซึ่งให้แฟนๆ ได้ร่วมเลือกสมาชิกที่พวกเขาชื่นชอบ หรือชื่นชมในความพยายาม ให้ได้ร่วมแสดงในซิงเกิลหลักของอัลบั้ม และเพื่อให้เธอได้เป็นตำแหน่งเซ็นเตอร์ ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของแต่ละเพลง

นอกจากจะมีแฟนเพลงมากมาย มีสมาชิกถึงกว่า 300 คนใน 16 รุ่นแล้ว ความโด่งดังของ AKB48 ยังทำให้เกิดวงน้องสาวของ AKB48 ขึ้นในต่างประเทศอย่าง JKT48 (อินโดนีเซีย) และ SHN48 (จีน) ,TPE48 (ไต้หวัน), MNL48 (ฟิลิปปินส์) และ BNK48 ในประเทศไทยนี้เอง

สำหรับ BNK48 ย่อมาจาก Bangkok Forty-eight ตั้งชื่อตามตัวย่อของกรุงเทพมหานคร จำนวนสมาชิกของวงมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งเนื่องจากการเปิดรับสมาชิกรุ่นใหม่ การจบการศึกษา และการย้ายมาของสมาชิกแลกเปลี่ยนจากวงพี่น้อง ซึ่งปัจจุบันทางวงมีสมาชิกทั้งหมด 28 คน โดยแบ่งเป็นสมาชิกทีมบีทรี (BIII) 24 คน และสมาชิกเค็งคิวเซย์ 4 คน มี ปัญสิกรณ์ ติยะกร เป็นหัวหน้าทีมบีทรี และ เฌอปราง เป็นหัวหน้าวงโดยรวม 

แน่นอนหลายปีมานี้วงการดนตรีในเมืองไทยค่อนข้างเงียบเหงา แต่การมาของ BNK48 กลับทำให้วงการดนตรีบ้านเราคึกคักขึ้น เห็นได้จากยอดขายแผ่นซีดีเพลง 2 ซิงเกิลที่สูงลิบลิ่ว คิดเป็นรายรับคร่าวๆ ก็อยู่ที่ประมาณ 15,225,000 บาท (แผ่นละ 350 บาท) 

สำหรับมุมมองของผู้ที่อยู่ในวงการเพลงไทยมากว่า 20 ปีอย่าง ป๊อก-ทวิษย์ชญะ ตั้งสหะรังษี เจ้าของค่าย Classy Records ได้แสดงความคิดเห็นต่อปรากฏการณ์นี้ผ่านทีมผู้จัดการ Live ว่า เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม

“ทุกครั้งเวลามีอะไรใหม่ๆ เข้ามาแล้วทำให้วงการเพลงครึกครื้น มีความสนุก มีความเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้ ดีใจอยู่แล้ว รู้สึกเห็นดีเห็นงามด้วยที่ทำให้แฟนเพลงไม่เหงา ไม่ว่าจะรูปแบบใด แล้วยิ่งทำให้ธุรกิจเพลงคืบหน้าไปได้ มีการซื้อ การขาย มีโชว์ศิลปินที่เกิดขึ้นใหม่ๆ มีการขยับตัวของนักฟังมากขึ้น ผมชอบอยู่แล้ว

ในแง่เป็นคนทำเพลง ผมมองว่าเขาเก่ง ชื่นชม เพราะมันไม่ง่ายกว่าจะมาถึงตรงนี้ พอเขาสำเร็จเราต้องชื่นชมในแง่ของคนที่เป็นโปรโมเตอร์ เป็นเจ้าของค่าย แต่ต้องกลับมามองคนไทย ในฐานะคนฟังว่า บางทีมันยากที่เห็นคนชาติเราที่คิดแบบนี้ เพราะเวลาเราคิดอะไรใหม่ๆ ออกมา เราจะดูแคลน ถ้าคนไทยคิดเองจะถูกดูแคลน ขนาดคนฟังยังไม่ได้สนใจศิลปินไทย ศิลปินไทยก็ไม่ได้ทำตัวให้น่าเคารพ หรือคิดอะไรใหม่ๆ ออกมา 

สะท้อนให้เห็นอะไรมากกว่า แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่ไปชอบน้องๆ กลุ่มนี้ผิด ผมว่าน้องๆ กลุ่มนี้ก็น่ารักดี เพลงก็ฟังเพลินๆ โลกสดใส เนื้อหาน่ารัก น้องๆ พวกนี้เขาก็ไม่ได้ไปมั่วสุม เขาไปทำกิจกรรม และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ ใครกำลังอ่อนแอ ชีวิตที่ห่อเหี่ยว เมื่อฟังเพลงของเขาแล้วเกิดแรงบันดาลใจ มองในมุมนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี”

ไม่ต้องสวยมาก แต่พร้อมเป็น “แก้วเปล่า” 

นอกจากนี้ สมาชิกที่จะมาเป็น BNK48 ต้องไม่ธรรมดา เพราะผ่านการคัดสรร ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม เพราะมีกฎว่า ห้ามมีแฟน ห้ามถ่ายแฟชั่นเซ็กซี่ ห้ามทำศัลยกรรม เพื่อรักษาภาพลักษณ์และถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ

จิรัฐ บวรวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีเอ็นเค โฟร์ตี้เอท ออฟฟิศ จำกัด เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า ไม่ได้อยากได้คนที่สวยอย่างเดียว แต่ต้องเป็นคนที่พร้อมฝึกฝนและเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ

“เราพยายามหาคนที่มีเสน่ห์ ไม่ใช่คนที่อยากดังหรือสวยอย่างเดียว บางคนไม่ต้องร้องดีเต้นดีก็ได้ แต่ขอให้มีอะไรดีๆ ที่จะนำเสนอออกมา เราสนใจเรื่องของการนำเสนอ และคนที่พร้อมจะทำตัวเป็นแก้วเปล่าเพื่อฝึกฝนเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกัน” 

สำหรับกฎข้อความเรื่องการห้ามมีแฟนนั้น เป็นเพราะผลที่ตามมาหลังการมีแฟนจะทำให้น้องๆ ศิลปินคนนั้นไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

ส่วนเรื่องการทำศัลยกรรม เป็นผลพวงมาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นซึ่งไม่ได้กำหนดตายตัวแต่แรกว่าศิลปินจะต้องเพียบพร้อม 100% ในทุกๆ ด้านตั้งแต่ความสามารถและเรือนร่างหน้าตาภายนอก แต่จะเน้นขายเรื่องราวความพยายามและการฝึกฝนตัวเองทุกวี่วันออกมาให้แฟนๆ ได้รู้สึกซึมซับตามไปด้วยมากกว่า

กรณีการถ่ายแบบเซ็กซี่ที่ศิลปินต้นกำเนิดอย่าง AKB48 ทำได้ แต่ BNK48 ไม่สามารถทำได้นั้น เพราะอยากให้วงนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชน ไม่ต้องการให้ขายเนื้อหนังมังสาและร่องอก ที่สำคัญสังคมไทยก็ค่อนข้างอ่อนไหวกับประเด็นเหล่านี้

การห้ามศิลปินและน้องๆ ในวงถ่ายภาพเซลฟีกับแฟนคลับก็เป็นเหตุผลในเชิงการตลาดล้วนๆ เพราะการถ่ายภาพแต่ละครั้งมีคุณค่า แฟนคลับจะต้องซื้อบัตรถ่ายรูป 

ปรากฏการณ์ฟีเวอร์ของ BNK48 ครั้งนี้จะเป็นเพียงกระแสชั่วคราวหรือไม่คงต้องติดตามกันต่อไป

สนับสนุนข่าวโดย : mgronline.com/livelite/detail/9610000010354

]]>
1155202
BNK48 ไพ่ใบใหม่ “โรสมีเดีย” ธุรกิจเสี่ยงที่กำลังทำเงิน https://positioningmag.com/1154450 Wed, 24 Jan 2018 23:15:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154450 แอบมองเธออยู่นะจ๊ะแต่เธอไม่รู้บ้างเลย” … ประโยคขึ้นต้นของเพลงดังคุกกี้เสี่ยงทายของวง “BNK48” ที่หลายคนคงร้องและฮัมเพลงได้เป็นอย่างดี และถ้าเวลานี้ใครไม่รู้จักวงนี้ อาจเป็นมนุษย์ FoMO (Fear of Missing Out) ตกขบวนก็เป็นได้ 

ด้วยความแรงข้ามปีของ BNK48 หลายคนรู้จักว่าเป็นไอดอลที่ขายความเป็นตัวตนความพยายามมากกว่าความเป็นศิลปินที่ทั้งร้อง เต้น เก่งเป๊ะเว่อร์ แต่ลองมาดูอีกมุมนึงในมิติด้านธุรกิจ นี่คือโมเดลการทำเงิน หารายได้ที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง

แจ้งเกิดอย่างสวยหรูสำหรับไอดอล BNK48 กลุ่มไอดอลน้องสาว (Sister group) ของ AKB48 จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจการบริหารศิลปิน (Artists management) ที่ก่อตั้งโดยอากิโมโตะ ยาสึชิในระยะเวลา 12 ปีเท่านั้น เจตนารมย์ของธุรกิจนี้ ยาสึชิ ต้องการให้เป็นไอดอลที่คุณสามารถพบปะได้ หรือ Idol You can Meet จนกลายเป็นแฟรนไชส์โด่งดัง กระจายไปยังหลายประเทศในเอเชีย

แต่ในไทย นี่คือโมเดลธุรกิจของบริษัท โรสอาร์ทิสท์ แมเนจเม้นท์ (RAM) ในเครือโรส มีเดีย ที่กำลังหาทางคืนชีพให้กับธุรกิจของครอบครัว โดยมีเขยคือจิรัฐ บวรวัฒนะเป็นผู้นำแฟรนไชส์เข้ามา 

ย้อนไปดูธุรกิจของกลุ่มโรส มีเดีย คือการทำเงินจากธุรกิจบันเทิง การถือครองลิขสิทธิ์การ์ตูน หนัง เพลง และอีกมากมายเพื่อผลิตและจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีและดีวีดีมากว่า 3 ทศวรรษ แต่ดิจิทัลที่ถาโถมเข้ามา ส่งผลกระเทือนธุรกิจหลักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นหมายถึงรายได้และกำไรอยู่ในภาวะถดถอย

ที่ผ่านมา ตระกูลมนต์พิชิตผู้ก่อตั้งโรส มีเดีย พยายามปรับตัวแตกไลน์ (Diversify) ลุยธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโต ทั้งเปิดร้านเบเกอรี “Milch Milch ชีสเค้กที่สยามพารากอน โดยมี ทายาทรุ่น 2” เป็นหุ้นส่วนกับเป้ย ปานวาดนำของดีจากญี่ปุ่นมาขายดีจนคนต่อคิวรอซื้อกันพักใหญ่ แต่คนไทยเห่อไม่นานก็เลิก ยอดขายก็ตกลงตามระเบียบ

แต่ธุรกิจไม่ถึงทางตันซะทีเดียว เพราะในฐานะที่บริษัทมีการทำธุรกิจซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูจากประเทศญี่ปุ่นมาทำตลาดในไทยอยู่แล้ว ประกอบกับเห็นความดังของ AKB48 จึงเสี่ยงนำมาบุกเบิกในประเทศไทย           

เหตุผลที่ BNK48 เสี่ยง เพราะโมเดลการบริหารศิลปินจนสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในบ้านเรายังเป็นตลาดที่เล็กและเฉพาะอยู่มากๆ (Niche Market) โอกาสรุ่งและร่วงมีพอๆ กัน แต่ถึงแม้จะมีอุปสรรค (Threat) จากการเป็นธุรกิจใหม่ถอดด้ามคนไม่ค่อยรู้จัก แต่จุดแข็ง (Strength) ก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนี้ 

  • การซื้อแฟรนไชนส์เข้ามา หมายความว่า บริษัทยกสูตรสำเร็จจากญี่ปุ่นมาปรับใช้และเดินตามได้ทันที 
  • ธุรกิจใหม่ สามารถสร้างความแตกต่างในตลาดได้ ดึงดูความสนใจและเป็นกระแสได้ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยช่างเห่อ ชอบลองของใหม่
  • ฐานแฟนคลับของ AKB48 ช่วยสร้างการรับรู้ของโมเดลธุรกิจให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้
  • ประเทศไทยมีความชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นหลายอย่าง เอื้อต่อการเปิดรับความเป็นญี่ปุ่น
  • ธุรกิจญี่ปุ่นที่อยู่ในไทยให้ความสนใจในการดึงไอดอลวงนี้ไปร่วมกิจกรรม

+++3 ช่องทางดูดเงินสายเปย์

ขณะที่จุดขายของ BNK48 ที่มีสาวๆ วัยรุ่นน่ารักคาวาอี้มาแจกความสดใส เรียกเรตติ้งให้แฟนๆ แล้ว พวกเธอเป็นโมเดลที่ทำเงินได้หลากหลายถึง 3 ช่องทางหลัก ในสัดส่วยรายได้เท่าๆ กัน ดังนี้

1. การขายสินค้า (Merchandise)

เช่น ซีดี เสื้อ รูปภาพ ของที่ระลึก ที่ผ่านมาช่วงน้ำท่วมมีการประมูลภาพของกัปตันเฌอปราง ไปในราคาสูงกว่า 7 หมื่นบาทเลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นว่าสายเปย์ยอมทุ่มเพื่อไอดอลคนโปรด

2. งานโชว์ตัว การเป็นพรีเซ็นเตอร์ ออกอีเวนต์ต่างๆ ไม่ต่างจากศิลปิน ดาราทั่วไปนั่นเอง

ไฮไลต์หนึ่งที่ต้องพูดถึงคืองานจับมือบอกเลยไม่ธรรมดา เพราะบรรดาโอตะ (แฟนคลับที่จะสัมผัสมือไอดอลได้ จะต้องซื้อสินค้าตามข้อ 1 เพื่อแลกกับ 10 วินาทีที่ได้จับมือโอชิ (สมาชิกที่ชอบ เชียร์) ซึ่งตรงนี้แฟนคลับและแฟนขับเริ่มแซวผู้จัดงานแรงๆ ผ่านการตั้งกระทู้แซว Pantip ว่า บริษัทกำลังร้อนเงิน ถึงขั้นจัดกิจกรรม (อีเวนต์) ถี่ยิบเพื่อดูดเงินจากกระเป๋าแฟนๆ    

อีกหนึ่งอย่างที่จะได้เห็นในการทำเงินเร็วๆ นี้ คือ การเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งขณะนี้โอตะกำลังเดากันว่า BNK48 จะได้นำเสนอสินค้าใด แต่ในลิสต์มีรถจักรยานยนต์ AP Honda

3. หารายได้คือการทำรายการโทรทัศน์ (คอนเทนต์) การเล่นละคร เป็นศิลปิน

ยกระดับสร้างการรับรู้ให้กับพวกเธอจาก Niche ไปสู่ตลาดที่กว้างใหญ่ (Mass) ขึ้น ซึ่งจะหมายถึงค่าตัวที่สูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ การหารายได้ยังมาจากการไลฟ์สดผ่าน Digital live studio ที่ Emquatier หรือเรียกว่าตู้ปลาด้วย ซึ่งแฟนๆสามารถส่งกำลังใจที่เป็นราคาได้ด้วย เรียกว่าทุกสเต็ปของพวกเธอทำเงินได้หมด และโมเดลการหารายได้ของ BNK48 ในไทยนั้นทำครบทุกด้าน แตกต่างจาก AKB48 ที่บริหารจัดการศิลปินอย่างเดียวเท่านั้น

+++คาวาอี้โดนใจกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย

แม้ไอดอลกลุ่มนี้จะฮิตติดลมบน หลายคนคงอยากรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของพวกเธอคือใคร จากการรวบรวมข้อมูลพบว่ามีความหลากหลายมาก ด้วยตัวตนไอดอลเป็นเด็กอายุ 14-15 ไปจนถึง 22 ปี ในวัยเด็กๆ แน่นอนผู้หญิงชื่นชอบเยอะ แต่ถ้าดูโดยรวมกลับพบว่าผู้ชายสัดส่วน 60% มาสมัครเป็นโอตะ วัยก็จะประมาณ 25-34 ปี แต่เด็ดกว่านั้นยังมีแฟนคลับอายุ 70 ปีมาติดตามด้วย

อย่างไรก็ตาม BNK48 อาจจุดระเบิดโมเดลธุรกิจใหม่ให้วงการบันเทิงและสื่อ แต่ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าความสำเร็จนี้จะยั่งยืนแค่ไหน เพราะอย่าลืมว่าพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย บ้ากระแสไม่นานนัก อีกทั้งเวลานี้ K-Pop ยังครองเมือง T-Pop (Thailand) ในคราบ J-Pop จะไต่สเต็ปไปเป็นแมสได้ไหม ยังต้องรอให้ผู้บริโภคพิสูจน์อีกพักใหญ่

ไม่ทุกคนหรอกที่ครุ่นคิด และวางแผนหนีออกจากกรอบมนุษย์เงินเดือนตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ และไม่ทุกคนอีกเช่นกัน ที่ตัดสินใจทิ้งตำแหน่งต้นหนเรือเดินสมุทร ซึ่งเดินทางไปตามท่าเรือต่างๆ ทั่วเอเชีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน เกาหลี มาเป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้กับบริษัทต่างชาติควบคู่ไปกับการศึกษาในระดับปริญญาโทเพิ่มเติมในด้านการจัดการโดยเน้นที่ E-Commerce วันนี้เขานั่งตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท อิกไนท์ เอเชีย จำกัด (iGnite Asia) ที่เพิ่งเปิดตัว 50 สาว ที่เข้าร่วมโครงการ classmate 50 โซเชียล เน็ตเวิร์ก เกมโชว์รูปแบบเรียลิตี้รายแรกของโลกที่กำลังโด่งดัง 

หากนับจำนวนปีถึงปีนี้เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว ประธานกรรมการวัย 37 ปี “จิรัฐ บวรวัฒนะ” โลดแล่น และไล่ล่าความฝันที่เขาฝันไว้ แม้จำนวนเวลาจะมากพอทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสงานที่หลากหลาย และแตกต่าง แต่ทุกงานที่เขาสัมผัสตั้งอยู่บนพื้นฐานที่สำคัญเหมือนกัน คือการสื่อสารที่ดีกับคนทุกระดับชั้น

จากช่วงแรกของการทำงาน หลังจบการศึกษาจากสถาบันพาณิชยนาวี “จิรัฐ บวรวัฒนะ” ได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ผจญภัยอยู่ในทะเล ท่ามกลางคลื่นลมในตำแหน่งต้นหนเรือเดินสมุทร เดินทางไปตามท่าเรือต่างๆ ทั่วเอเชีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน เกาหลี และได้ซึมซับวัฒนธรรมที่หลากหลายในความเป็นเอเชีย เป็นระยะเวลา 3 ปี

แต่เมื่อรู้สึกว่าสังคมบนเรือเริ่มคับแคบ เขาก็ขึ้นฝั่งมาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้กับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการศึกษาในระดับปริญญาโทเพิ่มเติมในด้านการจัดการโดยเน้นที่ E-Commerce ซึ่งถือเป็นยุคแรกของ E-Commerce ในประเทศไทย

ด้วยความที่เป็นคนชอบด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงได้เริ่มงานใหม่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจกับบริษัท inet asia บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน E-Commerce ขนาดใหญ่จากประเทศแคนาดา ซึ่งได้สร้างผลงานมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเว็บไซต์ให้กับ Tesco Lotus ในขณะนั้น

ทันทีที่ได้รับการชักชวนจากผู้บริหาร EGV (ในขณะนั้น) ให้เข้ามาทำงานด้านการพัฒนาธุรกิจใหม่ เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนโดยไม่ลังเล ความกล้าทำให้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น Vice President New Business Development ก่อนจะลาออกมาภายหลังจากที่ EGV ได้เข้ามาเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเข้ามาช่วยงานในบริษัทของครอบครัวภรรยา ซึ่งในขณะนั้นชื่อ ROSE VDO

ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ทำงานกับ ROSE VDO ก่อเกิดงานที่ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจจากผู้ผลิต และผู้จำหน่าย VCD&DVD ไปสู่การเป็น Content Provider ดำเนินงานครอบคลุมสื่อที่หลากหลาย ทั้ง Free TV, Satellite TV, Cable TV และ Mobile อีกทั้งขยายไปสู่การเป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์การ์ตูนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ก่อนจะก้าวขึ้นไปสู่การเป็นเจ้าของช่อง Gang Cartoon ช่องที่มีผู้นิยมชมชอบมากที่สุดในเครือข่ายของเคเบิลทีวี จากการสำรวจของ AGB Nielson

ความสำเร็จอาจสะกดให้ผู้โหยหาความสำเร็จหยุดอยู่กับที่ แต่นั่นไม่ใช่ผู้ก่อตั้งบริษัท อิกไนท์ เอเชีย จำกัด (iGnite Asia) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อในทิศทางด้านวัฒนธรรม ที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมเอเชียเข้าด้วยกัน โดยการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ และ New Media สื่อที่มีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ และร่วมกันจัดตั้งบริษัทไทยแลนด์แอนนิเมชั่น ร่วมทุนกว่า 100 ล้านบาท กับต่างประเทศเพื่อผลิตการ์ตูนขายไปทั่วโลก เฉกเช่น “จิรัฐ บวรวัฒนะ” เด็ดขาด

เมื่อถามว่าความฝันของเขาต่างไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน ประธานกรรมการบริษัทฯ เผยว่า “ตอนผมเรียนมัธยมผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า อยากทำงานที่มันไม่มีกรอบเท่านั้นนะ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นอะไร เพราะความที่พ่อแม่เป็นพนักงานบริษัท เช้าตื่นไปทำงานเย็นกลับบ้าน ดูแล้วชีวิตน่าเบื่อ ผมคิดเสมอว่าอยากจะออกจากกรอบนั้นให้ได้แค่นั้นเองครับ”

พูดได้ว่า “จิรัฐ บวรวัฒนะ” มาถึงจุดนี้เพราะการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ซึ่งเขามองว่าข่าวธุรกิจเป็นนวนิยายธุรกิจ มีตัวละคร มีฉากการแสดงที่สนุกและน่าติดตาม ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด เพราะเขายอมรับว่า หนังสือธุรกิจให้ทั้งความสนุก และประสบการณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้

“ผมมองการทำธุรกิจคือความสนุก สนุกในการขยาย ในการพัฒนา และได้เห็นในมุมของการล้มเหลว ชนะบ้าง แพ้บ้าง การมีโอกาสได้อ่านนิยายชีวิตของนักธุรกิจตามหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจ ทำให้ผมมีประสบการณ์ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย”

คนบางคนอาจรู้สึกกลัวกับการเริ่มต้นใหม่ แต่สำหรับประธานกรรมการหนุ่ม บอกว่า สำหรับเขาแล้วทุกการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะดีหรือร้าย คือความท้าทายที่สนุก ที่เราจะต้องมองหามุมที่ดีให้มันเสมอๆ เพราะเชื่อว่าในสิ่งที่เลวร้ายจะมีสิ่งดีซ่อนอยู่ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสของชีวิต

ถามว่ากลัวไหม ผมไม่ค่อยกลัว เคล็ดลับก็ไม่มีอะไรแค่ดูคนให้เยอะ อ่านคนให้เห็น และมีทัศนคติต่อโลก ต่อตัวเอง ทัศนคติของผมคือจะไม่ยอมแพ้ หรือถ้าต้องแพ้วันนี้จริง ก็ต้องชนะในวันข้างหน้า ที่สำคัญอย่ากลัวการพ่ายแพ้ เพราะความแพ้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร

สิ่งที่ผมเคยทำในอดีต มันก็มีทั้งสิ่งที่ล้มเหลว และสิ่งที่ผิดพลาด ผมทำมาเยอะ 10 อย่าง อาจจะประสบความสำเร็จสัก 2 อย่างก็ได้ แต่ 8 อย่างที่ล้มเหลวต้องเอาไว้เป็นบทเรียน ต้องเก็บไว้เป็นประสบการณ์ และต้องเก็บไว้เรียนรู้จากสิ่งที่ผิด ผมจึงไม่ค่อยกลัวกับการผิดพลาด

ต่อคำถามว่า เจ้าพ่อโปรเจกต์คนนี้หาแรงบันดาลใจ ไอเดียมาจากไหนมากมาย เขาบอกง่ายๆ ว่า ทั้งหมดมาจากหนังสือที่อ่าน ทีวีที่ดู ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว การเดินทาง สังเกต และวิเคราะห์

“ผมเป็นคนบ้าวิเคราะห์ อย่างเมื่อก่อนผมไม่สนใจข่าวบันเทิงนะ ไม่ค่อยสนุกกับมันด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เมื่อต้องมาทำธุรกิจที่เป็นเวรี่บันเทิง ผมก็ต้องเปิดช่องดารา เกาะติดข่าวบันเทิง ซื้อหนังสือหัวบันเทิงมาอ่าน เพื่อเรียนรู้แล้วก็วิเคราะห์ข่าวบันเทิง”

ประธานกรรมการ บริษัท อิกไนท์ เอเชีย จำกัด (iGnite Asia) มองว่า การทำงานที่เจ้านายให้ทำทุกงานไม่ใช่เรื่องเสียเปรียบ แต่เป็นโอกาสดีที่มีคนมาจ้างให้เรามีประสบการณ์ชีวิต ให้เราได้ลองผิดลองถูก ที่สำคัญต้องกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ

คนส่วนใหญ่ไม่กล้า แม้บางคนจะกล้าแต่ก็มาไม่เต็มตัว โดยส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่าเราสามารถทำสองอย่างให้ดีได้ ถ้าจะได้ดีคุณต้องไม่มีเผื่อ ต้องไม่มีข้างหลัง เพราะถ้ายังข้างหลังมันจะไม่สุด อุปสรรคใหญ่ๆ อยู่ที่ไหน การเรียนสูง เลยวิเคราะห์เยอะ และฉลาดเกินไป…คำว่าความมั่นคง คือความยากของเจเนอเรชั่นใหม่ที่มีความรู้ เจเนอเรชั่นที่มีภาระ คือความโลภ ทำให้เราดึงอยู่ข้างหลังตลอดเวลา

สนับสนุนข่าวจาก : manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000143553

]]>
1154450