กทม. – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 10 Mar 2025 03:52:16 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ต่างชาติซื้อบ้าน Leasehold ทะลัก กทม.-ภูเก็ต เศรษฐีพม่าซื้อแพง 100 ล้านบาท/หลัง https://positioningmag.com/1513967 Sat, 08 Mar 2025 02:06:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1513967 ไม่ใช่แค่คอนโดเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ชาวต่างชาติได้ซื้อบ้านในประเทศไทยในรูปแบบเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว (Leasehold) ขยายตัวต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการซื้อวิลล่าเมืองท่องเที่ยว

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ นักวิชาการอิสระด้านการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัย ให้ความเห็นกับ “Positioning” ว่า นับตั้งแต่มีการเปิดประเทศหลังโควิด-19 ประมาณปี 2564 ต่างชาติเริ่มถือซื้อบ้านรูปแบบ Leasehold โดยเฉพาะวิลล่าติดทะเล ในพื้นที่ภูเก็ต รองลงมาคือ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี

ดังที่เราจะเห็นได้ว่า ในภูเก็ตช่วงปี 2565 – 2566 สัดส่วนของสัญญาเช่าระยะยาวของคนต่างชาติที่เป็นบ้านแนวราบมีสัดส่วนสูงถึงประมาณกว่า 90% ของจำนวนสัญญาเช่าระยะยาวทั้งหมด

ดร.วิชัย
“ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์”

และยังพบว่าในปี 2565 มีอัตราการขยายตัวของจำนวนสัญญาเช่าระยะยาวจากปี 2564 อย่างมาก โดยมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัว และมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัว โดยคาดว่าในปี 2567 จะมีการขยายตัวของสัญญาเช่าระยะยาวที่ต่อเนื่องเช่นกัน

หากดูยอดขายประเภทวิลล่าในภูเก็ตก็มีการขยายตัวสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของจำนวนสัญญาเช่าเช่นกัน โดยพบว่า ยอดขายในช่วงครึ่งปีของวิลล่าในภูเก็ต ก็มีการขยายตัว (YoY) อย่างมาก

  • ครึ่งแรกของปี 2566 ขยายตัวประมาณ 1,000%
  • ครึ่งหลังของปี 2566 ขยายตัวประมาณ 200%
  • ครึ่งแรกของปี 2567 ขยายตัวประมาณ 200%

ตลาดวิลล่ายังเป็นที่ต้องการของคนต่างชาติอย่างมาก เนื่องจาก วิลล่าในประเทศไทยยังมีราคาไม่แพง และมีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนที่คุ้มค่า

อย่างไรก็ดี ยังคงมีอุปสรรคในเรื่องความมั่นใจและความรู้สึกมั่นคงในเรื่องระยะเวลาในสัญญาเช่าระยะยาวที่ปัจจุบันค่อนข้างสั้น และกฎระเบียบที่ยังไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่ทางด้านวีซ่าในระยะเวลาการอยู่อาศัยดังเช่น ในบางประเทศอื่นที่ให้ Long-Term Visa แก่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศนั้น ๆ

รวมถึง ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้เกิดปัญหาการโอนเงินระหว่างประเทศในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และภาวะเศรษฐกิจในประเทศของกลุ่มสัญชาติที่สนใจเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์หลักในประเทศไทย ทั้ง ชาวจีน ชาวรัสเซีย และชาวยุโรปหลายประเทศ

ธีรากรณ์ ศรีเจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI กล่าวว่า เทรนด์การเช่าระยะยาว Leasehold ของต่างชาติขยายตัว โดยเฉพาะในกลุ่มคนจีน พม่า

“ที่ผ่านมามีลูกค้าต่างชาติสอบถามรายละเอียด Leasehold มาเหมือนกัน โดยคนจีนสนใจพระรามเก้า-บางนา ส่วนคนพม่าสนใจพื้นที่พระรามเก้าเป็นบ้านราคาสูงถึง 100 ล้านบาท เราจึงเตรียมขยายการขายสู่กลุ่ม Leasehold”

ธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตส จำกัด กล่าวว่า เมื่อปี 2567 บริษัทฯ เริ่มทำสินค้าแนวราบ (บ้าน) เจาะลูกค้าต่างชาติ ในรูปแบบ Leasehold เช่าระยะยาว 30 ปี นำร่องโครงการ The Palm และ Patio และทำรายได้ส่วนนี้ไปราว ๆ 500 ล้านบาท

โดยส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นนักลงทุนจีนที่ทำงานในไทย สนใจบ้านหรูราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป ในทำเลพัฒนาการ ที่เชื่อมต่อไปยังสนามบิน หรือกระทั่งโซนโรงงานได้ง่าย

“ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ส่วน Leasehold จำนวน 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตราว ๆ 100% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)”

]]>
1513967
คำถามเพียบ! ผอ. UddC กังขาโครงการ “คลองช่องนนทรี” ลงทุนเกือบพันล้าน ตอบโจทย์อย่างไร? https://positioningmag.com/1359042 Thu, 28 Oct 2021 10:40:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1359042
“อาจารย์แดง-นิรมล” ผอ. UddC เจ้าของผลงานออกแบบสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา ตั้งคำถามยาวเหยียดถึงโครงการ “คลองช่องนนทรี” ของ กทม. ที่ต้องการจะเป็นคลองชองเกชอนแห่งกรุงเทพฯ ลงทุน 980 ล้านแต่การออกแบบตอบโจทย์การพัฒนาเมืองจริงหรือ? โดยพบว่าไม่มีกระบวนการรับฟังความเห็นประชาชนในพื้นที่ ไม่เปิดเผยข้อมูลระบบจัดการน้ำในคลอง และไม่ทราบว่าจะข้ามถนนไปใช้ได้อย่างไร

“ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล” ผู้อำนวยการ ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ UddC โพสต์บทความวิพากษ์โครงการ “คลองช่องนนทรี” ของกทม. มูลค่าโครงการ 980 ล้านบาท ใน Facebook ส่วนตัว “Daeng Niramon” แบบยาวเหยียดจัดเต็ม โดย Positioning ขอย่อความมาไว้ที่นี้ (สำหรับบทความเต็มสามารถอ่านได้ในโพสต์นี้)

สำหรับโครงการคลองช่องนนทรีของ กทม. ข้อมูลเบื้องต้นคือต้องการจะปรับคลองช่องนนทรีให้เป็น “สวนสาธารณะริมคลองแห่งแรกของประเทศไทย” มีทั้งการปรับภูมิทัศน์คลองและปรับปรุงระบบระบายน้ำ โดยเปรียบเทียบกับการปรับปรุง คลองชองเกชอน กรุงโซล เกาหลีใต้ ซึ่งทำหน้าที่ได้ทั้งการระบายน้ำ รับมือน้ำท่วม และกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเมือง

ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการ UddC

บริเวณการดำเนินโครงการ ตลอดแนวคลองช่องนนทรี นับตั้งแต่แยกถนนนราธิวาสฯ ตัดถนนสุรวงศ์ จนถึงแยกถนนนราธิวาสฯ ตัดถนนพระราม 3 ความยาว 4.5 กิโลเมตร โครงการเริ่มเปิดตัวเดือนพฤศจิกายนปี 2563 และขณะนี้เริ่มงานก่อสร้างแล้ว โดยเริ่มจากช่วงแยกตัดถนนสุรวงศ์จนถึงแยกตัดถนนสาทรระยะทาง 800 เมตรก่อน คาดว่าแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการ 25 ธันวาคมนี้

ข้อกังขาของ ผศ.ดร.นิรมล มีหลายประเด็น เช่น

“โครงการไม่มีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนโดยรอบ”

จากการสำรวจพื้นที่ 2 กิโลเมตรรอบโครงการ มีร้านค้า 214 ร้าน อาคารสำนักงาน 457 แห่ง มียานพาหนะผ่าน 293,000 คันต่อวัน ซึ่งคิดเป็นจำนวนคนสัญจรกว่า 350,000 คน แต่ผศ.ดร.นิรมลลงพื้นที่สอบถามร้านค้าและคนทำงานในย่าน (เนื่องจากบ้านของอาจารย์แดงอยู่ในย่านนี้เช่นกัน) ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าจะมีโครงการ และท่านที่ทราบก็ทราบจากโซเชียลมีเดีย

“ข้อมูลรายละเอียดน้อย”

ข้อมูลที่สื่อสารกับประชาชนมีเพียงงานแถลงข่าววันที่ 11 พ.ย. 2563 การอัปเดตผ่าน Facebook Page และการแถลงเปิดตัวโครงการวันที่ 16 ต.ค. 64 โดยไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการที่ประชาชนเข้าถึงได้ รวมถึงภาพที่ใช้ประชาสัมพันธ์โครงการยังคงเป็นภาพที่ระบุว่า “เป็นภาพจำลองเพื่อใช้ในนิทรรศการเท่านั้น ยังไม่ได้ออกแบบจริง”

ภาพการก่อสร้างโครงการสวนสาธารณะคลองช่องนนทรี (ภาพจาก: Facebook Page เอิร์ท พงศกร ขวัญเมือง)
“ทำอย่างไรกับหน้าที่ระบายน้ำของคลองช่องนนทรี”

ผศ.ดร.นิรมล กล่าวว่า คลองช่องนนทรีที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2542 มีหน้าที่เป็นคลองระบายน้ำของโซนกรุงเทพใต้ โดยหน้าแล้งจะพร่องน้ำออกจนแห้งเพื่อรอรับน้ำหน้าฝน แต่จากการนำเสนอแบบของโครงการเห็นว่าจะรักษาระดับน้ำให้ปริ่มตลิ่งเสมอเพื่อให้เกิดความสวยงาม รวมถึงมีการออกแบบทางเดินบางช่วงให้พาดกลางคลอง หรือยื่นไปริมคลอง ซึ่งจะต้องมีเสาเป็นตัวรับน้ำหนัก

ดังนั้น คำถามคือ ตัวคลองจะยังใช้รับน้ำและระบายน้ำได้อยู่หรือไม่ หรือจะใช้ระบบใดทดแทนเพื่อไม่ทำให้น้ำท่วม และจะจัดการขยะที่มาติดตามเสารับน้ำหนักอย่างไร

ทั้งนี้ ผศ.ดร.นิรมล ยกตัวอย่างคลองชองเกชอนที่ กทม. ยกเป็นต้นแบบว่า คลองมีการขุดลงไปให้ลึกถึง 7 เมตร (เทียบเท่าตึก 2 ชั้น) เพื่อรับมือน้ำท่วม การขุดลึกขนาดนี้คำนวณจากสถิติน้ำท่วมย้อนหลัง 200 ปี

 

“การบำบัดคุณภาพน้ำยังไม่มีวิธีที่ดีพอและไม่ระบุงบประมาณ”

จากเป้าหมายโครงการต้องการให้เป็นสวนริมคลองที่สวยงาม น้ำใส น่าสัมผัสใกล้ชิด แต่อาจารย์แดงมองว่าโครงการยังไม่มีแนวทางบำบัดน้ำที่ดีพอ ปัจจุบันน้ำในคลองช่องนนทรีเน่าเสียอย่างมาก ค่า DO (Dissolved Oxygen) อยู่ที่ 0.5 มิลลิกรัม/ลิตร เท่านั้น เพราะว่าเป็นคลองรับน้ำเสียจากย่าน CBD จึงไม่เหมาะกับการให้คนไปสัมผัสใกล้น้ำ

แนวทางที่โครงการเสนอเพื่อบำบัดน้ำจะใช้วิธี “ขังน้ำและใช้พืชบำบัด” ซึ่งมองว่าเป็นการใช้ “ยาหม่องทามะเร็ง” เพราะปกติวิธีนี้ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่ไว้ขังน้ำ และต้องเป็นน้ำที่ไม่ได้เสียอย่างรุนแรง และอีกสองวิธีบำบัดน้ำคือทำ “กำแพงน้ำตก” รวมถึงชวนประชาชน “ปั่นจักรยานบำบัดน้ำ” ขอเสนอให้เลี่ยงเพราะละอองฝอยจากการตีน้ำเสียขึ้นมานั้นอาจเป็นอันตรายกับสุขภาพ

ในแบบจะมีการติดตั้งจักรยานปั่นเพื่อบำบัดน้ำเสีย

ส่วนการเสนอดีไซน์ Aerated ใช้ท่อแทนคลองในการระบายน้ำเสีย มองว่ายังต้องการรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้นถึงระบบที่จะทำ

เมื่อเปรียบเทียบกับ คลองชองเกชอน มีระบบบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือนประชาชนก่อนจะปล่อยลงคลอง และต้องสูบน้ำจากแม่น้ำฮันเข้ามาเพิ่ม จึงทำให้น้ำใสได้ แต่ข้อเสียคือ ระบบนี้ต้องใช้งบบำรุงต่อปีสูงมาก ทั้งค่าไฟฟ้า ค่ารักษาปั๊มน้ำ ค่าเก็บเศษใบไม้สาหร่ายออก ฯลฯ ค่าใช้จ่ายตกปีละ 260 ล้านบาททำให้ถูกวิจารณ์มาตลอดว่าโครงการไม่ยั่งยืนทางการเงิน ส่วนโครงการคลองช่องนนทรียังไม่ปรากฏรายละเอียดว่าจะใช้งบบำรุงรักษาการบำบัดน้ำต่อปีเท่าใด

 

“จะข้ามไปใช้สวนที่อยู่เกาะกลางถนนอย่างไร”

สวนคลองช่องนนทรีนี้ยังไม่มีการระบุว่าประชาชนจะข้ามถนนไปใช้ได้อย่างไร เนื่องจากตั้งอยู่เกาะกลางของถนน 8 เลน (ฝั่งละ 4 เลน รวมเลน BRT) และเป็นหนึ่งในถนนที่การจราจรคับคั่งมาก

ผศ.ดร.นิรมลยกตัวอย่างทางปลายถนนนราธิวาสฯ ใกล้กับจุดตัดถนนพระราม 3 จะมีลานตรงกลางถนนเรียกว่า ลานเรือยานนาวา ซึ่งจากการสอบถามรปภ.คอนโดมิเนียมใกล้เคียง ทราบว่ามีคนข้ามไปใช้วันละ 1-2 คนเท่านั้น เพราะถนนใหญ่ รถวิ่งเร็ว ข้ามยาก

ส่วนถ้าเทียบกับ คลองชองเกชอน จะมีการ “ถักคลอง” ให้เป็นเนื้อเดียวกับการเดินของคนในเมือง เพราะเป็นการฟื้นฟูเมืองที่ไปด้วยกันทั้งระบบ ถนนข้างคลองชองเกชอนถูกลดขนาดเหลือฝั่งละ 2 เลน และมีสะพานข้ามเฉลี่ยทุกๆ 300 เมตร ส่วนรถที่เคยสัญจรผ่านทางนี้ การออกแบบเมืองได้เปลี่ยนทิศทางไปขยายถนนที่ออกรอบพื้นที่ CBD เก่าตรงนี้แทน เพื่อให้รถเข้ามาในเมืองน้อยลง และเพิ่มระบบขนส่งมวลชนให้การเดินทางเข้ามาไม่ต้องใช้รถส่วนตัว

 

“ใครมีหน้าที่รับผิดชอบ?”

จากการค้นข้อมูล ผศ.ดร.นิรมลพบว่าโครงการมีเฉพาะชื่อและโลโก้หน่วยงานที่ติดบนป้ายประกาศและเว็บประชาสัมพันธ์ แต่ไม่มีชื่อของผู้รับผิดชอบโครงการหรือคณะกรรมการโครงการอย่างเป็นทางการ มีเฉพาะชื่อภูมิสถาปนิกผู้ออกแบบที่อาจอนุมานได้ว่าเป็นหัวหน้าโครงการ ส่วนเบอร์ติดต่อมีติดไว้ที่ป้ายหน้าไซต์ก่อสร้าง แต่โทรฯ ไปแล้วมักไม่มีผู้รับสาย มีการรับสาย 1 ครั้งและปลายสายแจ้งว่าไม่สามารถให้ข้อมูลได้

(ทั้งนี้ ผู้ออกแบบโครงการนี้คือ กชกร วรอาคม ซึ่งเป็นสถาปนิกที่ออกแบบโครงการอุทยานจุฬา 100 ปี)

(ภาพจาก: Facebook Page “Daeng Niramon)

สรุปจากอาจารย์แดง ผอ. UddC มองว่าโครงการนี้มีการเร่งรัดก่อสร้างอย่างมาก และกังวลว่าโครงการนี้จะกลายเป็นโครงการฟอกเขียว เข้าทำนอง Green Disney / Green Wash ลงทุนไปมากแต่ไม่ได้ผลกลับมาตามที่คิด จึงออกมาตั้งคำถามดังๆ ถึงผู้ที่รับผิดชอบโครงการ

ความคิดเห็นทั่วไปของประชาชนที่รับทราบโครงการ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับโครงการคลองช่องนนทรี หลายคนมองด้วยความกังวลเช่นเดียวกับผศ.ดร.นิรมล คือเกรงว่าคลองจะไม่สามารถบำบัดน้ำเน่าได้ และไม่มีทางข้ามไปใช้งาน ทำให้กลายเป็นสวนร้าง ผลาญงบประมาณภาษี หลายคนเห็นว่างบ 980 ล้านบาทน่าจะนำมาใช้ปรับปรุงสิ่งที่คนย่านนี้ต้องการ เช่น ปรับปรุงทางเท้า ไฟส่องทาง นำสายไฟลงดิน จะมีประโยชน์กว่า

อ่านต่อเรื่องรายละเอียดงบประมาณโครงการคลองช่องนนทรีได้ที่โพสต์ผศ.ดร.นิรมล

]]>
1359042
พาชม “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” เปลี่ยนโครงสร้างรกร้างของรถไฟฟ้าลาวาลินเป็นพื้นที่สีเขียว https://positioningmag.com/1286117 Wed, 01 Jul 2020 13:18:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286117 “สะพานด้วน” ซึ่งเป็นโครงสร้างเก่าของโครงการรถไฟฟ้าลาวาลินถูกทิ้งร้างมานาน 30 ปีในสภาพตอม่อสร้างไม่เสร็จระหว่างเลนถนนไปและกลับของสะพานพระปกเกล้า แต่บัดนี้ UddC และ กทม. ได้ร่วมกันพลิกฟื้นต่อเติมจนสะพานแห่งนี้เป็นทางเดินคนข้ามและเป็น “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” โครงการต้นแบบของการนำพื้นที่และโครงสร้างทิ้งร้างกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่โดยไม่ต้องทุบทำลาย

โครงการ “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 หลังจากเริ่มต้นวางแผนมานาน 5 ปี ได้รับงบประมาณก่อสร้างเมื่อปี 2560 และต่อเติมโครงสร้าง ปลูกต้นไม้ตกแต่งจนเสร็จเรียบร้อยในปีนี้ ครบรอบ 30 ปีนับจากปีที่โครงการรถไฟฟ้าลาวาลินเริ่มดำเนินการก่อสร้างพอดี

สวนลอยฟ้าเจ้าพระยาเป็นการรีโนเวตโครงสร้างเก่าของรถไฟฟ้าลาวาลินที่สร้างไม่เสร็จดังกล่าว สภาพดั้งเดิมของพื้นที่มีเพียงตอม่อปักอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างเลนถนนไปและกลับของสะพานพระปกเกล้า ไม่มีทางขึ้นหรือลงสะพาน ทำให้ชาวบ้านในชุมชนย่านนั้นเรียกขานกันว่า “สะพานด้วน” และแน่นอนว่าสะพานที่ไม่มีทางขึ้นลงย่อมใช้ประโยชน์ใดไม่ได้

ภาพสะพานด้วนในอดีต (photo : UddC)

โครงการพัฒนาพื้นที่สะพานด้วนนั้นเกิดขึ้นมาในช่วงที่ กทม. และ ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UddC) นำโดย ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการ UddC เป็นหัวหน้าทีมวางผังแม่บทอนุรักษ์ฟื้นฟูย่านกะดีจีน-คลองสานเมื่อ 5 ปีก่อน ระหว่างนั้น “ประดิษฐ์ ห้วยหงษ์ทอง” ประธานชุมชนบุปผารามย่านกะดีจีน ทักขึ้นมาว่าสะพานด้วนที่ถูกทิ้งไว้เฉยๆ ควรที่จะนำมาใช้ประโยชน์บ้าง

ทาง UddC จึงปิ๊งไอเดียชวน กทม. เป็นมือประสานสิบทิศเพื่อปรับปรุงสะพานด้วนเป็นทางเดินเท้า จักรยาน และสวนสีเขียวให้สำเร็จ

ภาพจำลอง perspective โครงการสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา

สาเหตุที่ กทม. ต้องประสานงานเนื่องจากพื้นที่นี้อยู่ในความดูแลของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แต่ กทม.ต้องการจัดงบลงทุนปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.นิรมล ก็ให้ความเห็นไว้ด้วยว่า ยังถือเป็นโครงการที่ซับซ้อนน้อย เพราะการก่อสร้างไม่จำเป็นต้องเวนคืนที่ดินของใคร ทั้งยังใช้งบประมาณไม่มาก ทำให้ไม่ติดปัญหาในเชิงราชการมากเท่าโครงการอื่นๆ

หลังจากวางแผนงาน ทำประชาพิจารณ์ และ กทม.ได้รับอนุมัติงบประมาณ 129 ล้านบาท โครงการก็เริ่มก่อสร้างเพื่อต่อขาให้สะพาน

 

ทางเดินที่ร่มรื่น เชื่อมพระนคร-ธนบุรี

การออกแบบสวนลอยฟ้าบนสะพานแห่งนี้ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดหลายอย่าง ได้แก่ สะพานมีความยาว 280 เมตร แต่กว้างเพียง 8 เมตร, สะพานอยู่ระหว่างสะพานพระปกเกล้าที่มีรถสัญจรไปมา คนในสวนต้องปลอดภัยจากรถ และรถต้องปลอดภัยจากต้นไม้ในสวน, โครงสร้างสะพานที่อยู่มานาน 30 ปีต้องระมัดระวังการรับน้ำหนัก นอกจากนี้ สวนยังต้องมีลักษณะที่เป็น “แลนด์มาร์ก” ใหม่ ตามความตั้งใจให้เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว

ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ทีมออกแบบจาก LANDPROCESS และ N7A ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ ดีไซน์ให้สะพานมีการยกระดับบางส่วนเป็น “อัฒจรรย์” เพื่อให้เป็นจุดชมวิว เนื่องจากสะพานนี้อยู่ในจุดที่สวยงามของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกเป็นวิวสะพานพุทธ และวิวตะวันออกเป็นแลนด์สเคปเมืองตั้งแต่ช่วงสามย่านจนถึงสาทร

ทางเดินยกระดับสองชั้นบางส่วน ทำให้ชั้นบนเป็นอัฒจรรย์ชมวิว
บริเวณอัฒจรรย์จะยกสูงเหนือถนนบนสะพานพระปกเกล้า ทำให้เป็นจุดชมวิว

ลักษณะ “สวน” นี้จะไม่เหมือนสวนขนาดใหญ่ต้นไม้ครึ้มอย่างสวนลุมพินีหรือสวนรถไฟ เพราะโครงสร้างอาจรับหน้าดินหนักๆ ไม่ได้มาก และมีไม้ดอกไม่มากเนื่องจากกลางสะพานจะมีลมแรง รวมถึงไม่ต้องการให้พื้นที่มืดทึบเกินไป ป้องกันการกลายเป็นแหล่งซ่องสุมในยามกลางคืน แม้ว่าจะมีรั้วกั้นทางเข้าออกทั้งสองด้านและติดตั้งกล้องวงจรปิด อีกทั้งต้องระวังไม่เลือกต้นไม้ที่จะแผ่กิ่งก้านออกไปร่วงหล่นใส่ถนนบนสะพานพระปกเกล้า

ดังนั้น โครงการจึงเลือกปลูก ต้นมะกอกน้ำ เป็นหลัก (เพื่อให้พ้องกับคำว่า “บางกอก”) พืชพรรณที่จะได้เห็นจึงเป็น ต้นรัก ใบต่างเหรียญ หญ้าหนวดแมว ชงโค ต้อยติ่ง เป็นต้น ดังนั้น สวนลอยฟ้าแห่งแรกของกรุงเทพฯ จึงเหมือนทางเดิน-ทางจักรยานที่มีต้นไม้ดอกไม้บ้างพอให้ดูร่มรื่น

ทางเดินกว้าง 8 เมตร มีบันไดที่นั่งข้างทางเป็นระยะๆ
ส่วนหนึ่งของพืชพรรณบนสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา

บรรยากาศดี เปิดมุมมองใหม่ของกรุงเทพฯ

ขณะนี้ต้นไม้ใบหญ้าต่างๆ เพิ่งลงปลูก ทำให้บรรยากาศอาจจะดูโล่งกว่าในภาพ perspective ของโครงการ แต่ก็ถือว่าทำให้การเดินข้ามสะพานในเวลา 4 โมงเย็นของเราไม่ร้อนโหดร้ายเกินไป นับว่าเป็นความสำเร็จของผู้ออกแบบที่ทำให้พื้นที่กลายเป็นจุดที่น่าเดินออกกำลังกาย

ไฮไลต์สำคัญอย่างหนึ่งของสะพานคือการปรับบริเวณ 2 จุดของสะพานเป็น “อัฒจรรย์” ยกสูงขึ้นไปเหนือสะพานพระปกเกล้า โดยอัฒจรรย์ฝั่งหนึ่งจะเห็นวิวตะวันตกคือฝั่งสะพานพุทธ และอีกฝั่งหนึ่งเป็นวิวเมืองช่วงสามย่าน-สาทร-เจริญนคร ที่เราจะได้เห็นตึกที่เป็นไอคอนของกรุงเทพฯ อย่างไอคอนสยาม โรงแรมเลอบัว ตึกมหานคร และไอดีโอ คิว จุฬา-สามย่านที่คนเรียกกันเล่นๆ ว่า “ตึกยานแม่”

วิวฝั่งสะพานพุทธ
วิวฝั่งเมือง สามย่าน-สาทร-เจริญนคร

บรรยากาศช่วงหลัง 5 โมงเย็นนั้นมีประชาชนเดินทางมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันอย่างคึกคัก นั่งกันเต็มแน่นเกือบทั้งอัฒจรรย์ สะท้อนให้เห็นอีกหนึ่งความเป็น “แลนด์มาร์ก” สำหรับท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจตามที่ทีมงานตั้งใจเช่นกัน

ทางขึ้นลงมีลิฟต์บริการสำหรับวีลแชร์ คนชรา รถเข็นเด็ก และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออื่นๆ

สำหรับผู้ที่สนใจไปเยือน ทางขึ้นลง “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” ฝั่งคลองสานจะอยู่ในสวนป่า กทม. เฉลิมพระเกียรติเชิงสะพานพระปกเกล้า ส่วนฝั่งพระนครจะอยู่ในสวนพระปกเกล้าฯ เปิดปิดเวลา 05.00-20.00 น. ทุกวัน ระยะนี้ผู้ที่ต้องการเข้าชมสวนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพื่อป้องกันการระบาดของโรค COVID-19

วันหยุดนี้หากยังไม่มีจุดหมายการเดินทาง การไปนั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นและลงบนสวนลอยฟ้าเจ้าพระยาก็น่าสนใจไม่น้อย

]]>
1286117
กทม.ประกาศอาคารสำนักงานในสังกัดทั้งหมด เป็นพื้นที่ปลอดขยะพลาสติก และโฟม https://positioningmag.com/1259066 Wed, 01 Jan 2020 17:13:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259066 เริ่มแล้ว… ดีเดย์ 1 ม.ค. 63 ประกาศอาคารสำนักงานสังกัด กทม.ทั้งหมด เป็นพื้นที่ปลอดขยะพลาสติกและโฟม สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรลดการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศเจตนารมณ์ในการลดการใช้พลาสติกและโฟม โดยให้หน่วยงานกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ปลอดขยะพลาสติกและโฟม ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ทุกหน่วยงานช่วยกันลด ละ เลิกการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ได้กำหนดมาตรการสำคัญ 5 มาตรการ ดังนี้

1.ขอความร่วมมือบุคลากรกรุงเทพมหานครทุกคน ไม่นำถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟมเข้าอาคารสำนักงานของกรุงเทพมหานครทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 63 เป็นต้นไป

2.ให้หน่วยงานสังกัดกรุงเทพมหานครทุกแห่งกำหนดมาตรการสร้างจิตสำนึก และส่งเสริมการมีสวนร่วมในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์

3.ให้หน่วยงานสังกัดกรุงเทพมหานครทุกแห่ง มีการสื่อสารนโยบาย ส่งเสริม รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรปฏิบัติตามประกาศเจตนารมณ์

4.ให้หน่วยงานสังกัดกรุงเทพมหานครทุกแห่ง กำหนดให้ร้านอาหารที่นำของเข้ามาขายในหน่วยงานลด/งดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม

5.ขอความร่วมมือให้บุคลากรของกรุงเทพมหานครทุกคนให้คำแนะนำบุคคลภายนอกที่มาติดต่อราชการ ห้ามนำถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟมเข้ามาในอาคาร

กรุงเทพมหานครได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อการลดและคัดแยกมูลฝอยอย่างต่อเนื่อง ตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานครในแต่ละปี โดยในปี 2563 ได้เพิ่มมาตรการการดำเนินการให้ชัดเจน และเป็นรูปธรรมมากขึ้นด้วยการประกาศเจตนารมณ์ เพื่อให้บุคลากรของกรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมในการแสดงพลังเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการลดปริมาณขยะ และเป็นต้นแบบให้หน่วยงานราชการอื่น รวมถึงกระตุ้นให้ประชาชนพร้อมใจกันเลิกใช้ถุงพลาสติกและโฟม ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของการลดและควบคุมปริมาณมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

Source

]]>
1259066