จากผลสำเร็จของโครงการ “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” ที่นำ “สะพานด้วน” ซึ่งถูกทิ้งร้างมา 30 ปีกลับมาใช้ประโยชน์ได้สำเร็จ ทำให้ UddC ถอดบทเรียนสำคัญออกมาได้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อฝ่าฟันระบบราชการให้โครงการเป็นไปได้จริง แย้มโครงการปี 2564 จะได้เห็นการพลิกโฉม “สะพานเขียว” เชื่อมสวนลุมพินี-สวนเบญจกิตติ และการเนรมิต “ใต้ทางด่วน” ให้เป็นพื้นที่สีเขียว
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 ในที่สุดโครงการ “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” ก็สำเร็จพร้อมเปิดใช้บริการ โดยใช้เวลาถึง 5 ปีนับตั้งแต่เริ่มไอเดียกว่าที่จะเสร็จสิ้นและได้ใช้จริง โดยไม่ได้เกิดจากความยากเชิงวิศวกรรม แต่มาจากระบบราชการที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยแรงส่งจากภาคประชาชนจึงจะทำให้ทุกอย่างขับเคลื่อน!
เท้าความที่มาที่ไปก่อนว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้มาจาก กทม. ร่วมกับ ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UddC) สร้างยุทธศาสตร์ “กรุงเทพฯ 250” ขึ้น เป็นการจัดทำผังแม่บทฟื้นฟูเมืองให้สำเร็จภายในปี 2575 ซึ่งจะเป็นวาระครบรอบ 250 ปี กรุงเทพมหานคร จุดประสงค์การฟื้นฟูคือทำให้เมืองเป็นเมืองที่ “สัญจรสะดวก” + “เพิ่มพื้นที่สีเขียว” ในเมือง
เริ่มพื้นที่แรกระยะที่ 1 คือ ย่านกะดีจีน-คลองสาน ฝั่งธนบุรี และจะศึกษาย่านอื่นๆ ต่อ ได้แก่ ย่านท่าพระจันทร์-ท่าช้าง-ท่าเตียน ย่านโยธี-ราชวิถี และย่านทองหล่อ-เอกมัย
ในที่สุด การฟื้นฟูย่านกะดีจีน-คลองสานก็เสร็จสิ้น โดยมีแลนด์มาร์กสำคัญที่เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงคือสวนลอยฟ้าเจ้าพระยาที่กล่าวข้างต้น เพราะเป็นสะพานคนเดิน/จักรยานที่เชื่อมฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนคร และเป็นสวนสีเขียวไปในตัว ตอบทั้งสองจุดประสงค์โครงการ
ต้องอาศัยสาธารณะสร้างความตื่นตัวให้รัฐ
ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการ UddC กล่าวถึงเบื้องหลังโครงการสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา บนเวที ACT Forum’20 Design+Built ว่า ทั้งที่เป็นสะพานที่มีความยาวเพียง 280 เมตร กว้าง 8 เมตร และถือเป็นโมเดลแบบ ‘Quick Win’ แล้ว เพราะไม่ต้องมีการเวนคืนที่ดินหรือรื้อชุมชนใดๆ เลย แต่ก็ยังต้องใช้เวลานานในการเจรจา เพราะมีทั้งหน่วยงานราชการและชุมชนที่เกี่ยวข้องรวม 12 กลุ่ม เฉพาะราชการนั้นมีผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง กทม. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กพท.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) รวมถึงกรมเจ้าท่าด้วย
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นรูปแบบเฉพาะของ กทม. และประเทศไทยว่า การพัฒนาเมืองจะทำได้ยากกว่าสิงคโปร์หรือโตเกียว เพราะการทำงานของภาครัฐมีความซับซ้อน และต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกหน่วยงานจึงจะสำเร็จ
ผศ.ดร.นิรมลเปิดเผยว่า จากโครงการแรกที่ได้ร่วมกับ กทม. ทำให้ได้รับบทเรียนสำคัญคือ โครงการจะได้รับความร่วมมือเมื่อสาธารณชนให้ความสนใจ แสดงความคิดเห็น ซึ่งจะทำให้ทุกหน่วยงานต้องการเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการ
“เราพบว่าหากโครงการออกสู่สาธารณะและได้รับการสนับสนุน จะทำให้ทุกหน่วยงานอยากเข้าร่วม ยกตัวอย่าง โครงการกรุงเทพฯ 250 เพจของโครงการมีคนกดไลก์เกือบ 4 หมื่นคน ในวันที่มีงานนำเสนอสาธารณะที่โรงละครสยามพิฆเนศ ก็มีคนเข้ามาชมมากกว่าที่คาด” ผศ.ดร.นิรมลกล่าวถึงความสำคัญของการสื่อสารโครงการเพื่อให้หน่วยงานรัฐ ‘ตื่นตัว’
เธอถึงกับกล่าวว่าโครงการนี้เป็น “ปาฏิหาริย์” ที่สามารถทำได้สำเร็จ หลังจากโครงสร้างสะพานด้วนถูกทิ้งร้างมานาน 30 ปีเต็ม
ปี 2564 ลุยต่อที่ “สะพานเขียว”
มีโครงการแรกแล้วย่อมต้องมีโครงการต่อไป โดยโครงการที่เริ่มต้นออกแบบแล้วและมีการอนุมัติงบประมาณแล้วคือการฟื้นฟู “สะพานเขียว” ซึ่งเป็นทางเดิน/จักรยานลอยฟ้า ความยาว 1.3 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างสวนลุมพินี (บริเวณหัวมุมแยกวิทยุ-สารสิน) กับสวนเบญจกิตติ (บริเวณหัวมุมติดกับซอยสุขุมวิท 10) เป็นทางเดินลอยฟ้าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2543 แต่มีคนรู้จักหรือใช้งานน้อยกว่าที่ควร
“โครงการนี้เรียกได้ว่าเป็นสกายวอล์กแรกของกรุงเทพฯ แต่ไม่ค่อยมีคนใช้งานจนเรียกได้ว่าเกือบจะถูกทิ้งร้าง เพราะปัญหา 3 อย่างคือ หนึ่ง ความยาว 1.3 กิโลเมตรแต่มีทางขึ้นลงเพียง 3 จุด สอง กลางวันร้อนมากเพราะไม่ค่อยมีต้นไม้ สาม กลางคืนเปลี่ยวมากเพราะไฟส่องสว่างไม่เพียงพอและไม่ค่อยมีคนใช้งาน” ผศ.ดร.นิรมลกล่าว
เมื่อปีนี้เอง สำนักการโยธา กทม. ได้รับอนุมัติจัดสรรงบปี 2562 เป็นเงิน 39 ล้านบาทเพื่อมาปรับปรุงสะพานเขียวให้ร่มรื่น น่าเดิน สวยงาม และสะดวกขึ้น คาดว่าจะเร่งให้เสร็จสิ้นภายในกลางปี 2564
ขณะนี้ Uddc มีการหารือกับชุมชนโปโล ชุมชนร่วมฤดี และศาสนสถานที่สะพานนี้ตัดผ่านเรียบร้อยแล้ว เพื่อหาความต้องการใช้งานของชุมชน จากนั้นออกแบบร่วมกับ บริษัท ใต้หล้าสตูดิโอ จำกัด กับ บริษัท สุขตา จำกัด เพื่อจะปรับดีไซน์ให้เป็นสกายวอล์กที่ร่มรื่น กลางคืนมีไฟสว่างเพียงพอและมี CCTV ติดตั้งสร้างความปลอดภัย นอกจากนี้จะเพิ่มบางจุดของสะพานให้มี Lighting Art เป็นแลนด์มาร์กที่มองเห็นได้จากถนนเบื้องล่าง สร้างความงามให้เมือง
เพราะแทนที่จะเป็นสกายวอล์กร้าง พื้นที่นี้ควรกลับมามีชีวิต ได้ใช้งานจริง สร้างคุณภาพการอยู่อาศัยให้คนในชุมชน
เปลี่ยน “ใต้ทางด่วน” เป็นพื้นที่สีเขียว
โครงการถัดไปที่ UddC กำลังจะเริ่มผลักดันควบคู่กันคือการพลิกฟื้นพื้นที่ร้าง “ใต้ทางด่วน” UddC ศึกษาดาต้าพบว่า พื้นที่ใต้ทางด่วนของกรุงเทพฯ มีทั้งหมด 1,577 ไร่ ในจำนวนนี้มีพื้นที่ที่ยังไม่พัฒนา 666 ไร่ หรือคิดเป็น 42.26%
พื้นที่เหล่านี้สามารถนำมาทำประโยชน์อื่นให้เมืองได้ โดยเฉพาะถ้าปรับเป็นพื้นที่สีเขียวได้ทั้งหมด จะทำให้กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นจากขณะนี้ 6.8 ตร.ม.ต่อคน เป็น 9.01 ตร.ม.ต่อคน เท่ากับอัตราส่วนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดว่าเหมาะสม
ผศ.ดร.นิรมลกล่าวว่า เร็วๆ นี้ UddC จะจัดงาน Hackathon สำหรับตีโจทย์การชุบชีวิตใต้ทางด่วน โดยคอนเซ็ปต์คือ ต้องการให้มีการรวมทีมออกแบบ ไม่เฉพาะสถาปนิก แต่ควรเป็นทีมที่มีบุคคลหลากหลายอาชีพ เพื่อนำเสนอโครงการที่ยั่งยืนในตัวเองและทำได้จริง เช่น มีนักรัฐกิจสัมพันธ์เพื่อแจกแจงว่าต้องติดต่อกับหน่วยงานรัฐใดบ้าง นักเศรษฐศาสตร์เพื่อออกแบบการหารายได้ใต้ทางด่วนสำหรับบำรุงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
UddC คัดเลือกพื้นที่นำร่องแห่งแรกที่ใต้ทางด่วนศรีรัชช่วงถนนเพชรบุรี-ถนนสาทร แต่วิธีคิดจาก Hackathon ครั้งนี้ต้องการให้มองแบบรอบด้าน เป็นยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เห็นภาพใหญ่ว่าใต้ทางด่วนควรจะปรับอย่างไร เพื่อให้ไม่เป็นพื้นที่เปลี่ยวร้าง แหล่งอาชญากรรม เสื่อมโทรม และชุมชนได้ใช้ประโยชน์ทุกตารางนิ้ว