คนจีน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 31 Dec 2021 13:17:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “สิงคโปร์” ขึ้นแท่นประเทศยอดนิยม และเป้าหมายการเดินทางสุดฮิตของชาวจีนมากที่สุด https://positioningmag.com/1369242 Thu, 30 Dec 2021 14:39:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369242 กลุ่มสื่อจีนรายงานว่า ศูนย์วิจัยโกลบอลไทมส์ ร่วมกับบริษัทสำรวจตลาด DATA100 ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,148 คน ใน 16 เมืองทั่วประเทศจีนระหว่างวันที่ 10 – 15 ธ.ค. 64 พบว่า “สิงคโปร์” กลายเป็นประเทศยอดนิยมและเป้าหมายที่อยากเดินทางมากที่สุดของชาวจีน

รายงานระบุว่า เยอรมนี ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา รัสเซีย มัลดีฟส์ ได้รับคะแนนรองลงมาตามลำดับ ในขณะที่แคนาดาซึ่งเคยเป็นจุดหมายการเดินทางยอดนิยมของคนจีนได้รับคะแนนต่ำสุด

เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ไม่อยู่ใน 6 อันดับแรกของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีนตั้งแต่ปี 2561 โดยเพิ่งกระโดดขึ้นมาอยู่ในลำดับสูงในปีนี้ ในขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งรั้งอันดับ 1 เป็นเวลา 2 ปีซ้อนในปี 2562 และ 2563 ตกลงมาอยู่อันดับที่ 6 ในปีนี้

ศาสตราจารย์โจว ฟังอิ่น จากสถาบันวิจัยยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศประจำมณฑลกวางตุ้ง (Guangdong Research Institute for International Strategies) ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่คนจีนชื่นชอบและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม โดยอาจเป็นผลจากความตึงเครียดระหว่างจีนกับประเทศตะวันตก

ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ของสิงคโปร์เน้นย้ำหลายครั้งว่า สิงคโปร์ไม่เข้าข้างจีน หรือสหรัฐฯ และเขามีทัศนคติที่เป็นกลางและเป็นกลางต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ

“นอกจากนี้ยังมีความคล้ายคลึงกันหลายประการระหว่างสิงคโปร์และจีนในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้เพิ่มความนิยมของชาวจีนที่มีต่อสิงคโปร์” ศาสตราจารย์โจวฯ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 64 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้หารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงว่า จีนและสิงคโปร์ควรทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ โดยความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสิงคโปร์กำลังยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นใหม่ในประวัติศาสตร์

Source

]]>
1369242
เปิดอินไซต์! ชาวจีนรุ่นใหม่นิยม “อาหารใกล้หมดอายุ” ส่งเสริมการบริโภคยั่งยืน https://positioningmag.com/1341627 Fri, 09 Jul 2021 15:12:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1341627 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คนจีนรุ่นใหม่ เริ่มมีความนิยมในอาหารใกล้หมดอายุมากขึ้น โดยที่มีความคิดที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน มองว่าเป็นการส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืน

อู่หลิน นักศึกษาวัย 19 ปี มักจะต่อแถวที่ร้านขายอาหารใกล้หมดอายุโดยเฉพาะ และจะเดินทางกลับหอพักพร้อมกับขนมขบเคี้ยวลดราคาเต็มถุงเป็นประจำทุกสัปดาห์ “สินค้าใกล้หมดอายุเหล่านี้มักขายต่ำกว่าราคาตลาด 30-50% ส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์ดังที่น่าสนใจมาก”

อู่เป็นหนึ่งในคนหนุ่มสาวชาวจีนจำนวนไม่น้อยที่ซื้ออาหารใกล้หมดอายุในราคาที่ถูกลง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ได้รับแรงกระตุ้นจากแนวคิดการบริโภคอย่างมีเหตุผลมากขึ้น และการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านอาหารเหลือทิ้งเมื่อเดือนเมษายน

อ้ายเหม่ยจือสวิน (iiMedia Research) บริษัทที่ปรึกษาสัญชาติจีน ระบุว่าตลาดอาหารใกล้หมดอายุของจีนมีมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านหยวน (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ในปี 2020 และ 47.8% ของผู้บริโภคในกลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 26-35 ปี

Photo : Shutterstock

บรรดาคนหนุ่มสาวกว่า 70,000 คน ร่วมกันแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการซื้ออาหารใกล้หมดอายุทุกวันในชุมชนออนไลน์ชื่อ “ฉันชอบอาหารใกล้หมดอายุ” (I love near-expired food) โดยคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้มองว่าเป็นการบริโภคแบบยั่งยืนที่ช่วยควบคุมขยะอาหารได้ ต่างจากแนวคิดแบบดั้งเดิมที่มองว่าการซื้อสินค้าประเภทนี้เป็นการประหยัดเงินหรือเรื่องน่าอาย

แม็กซิโม โทเรโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Food and Agriculture Organization) กล่าวว่าขยะอาหารเป็นประเด็นระดับโลก และทวีปัญหาความหิวโหยทั่วโลกให้รุนแรงขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าของการสูญเสียอาหารและขยะอาหารทั่วโลกต่อปีอยู่ที่ 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12.9 ล้านล้านบาท) ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญปัญหาขยะอาหารเช่นกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมจัดเลี้ยงในเขตเมือง

หลี่อวิ้นจิ้ง พนักงานขายที่ร้านจำหน่ายอาหารใกล้หมดอายุโดยเฉพาะในนครเหอเฝย เมืองเอกของมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน เคยทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ตและมักรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องพบเห็นสินค้าถูกทิ้งหรือทำลาย บอกว่า “สินค้าหมดอายุ หรือใกล้หมดอายุจะถูกทิ้งหรือถูกทำลายโดยตรง ซึ่งเป็นการสูญเสียปริมาณมาก” หลี่กล่าว พร้อมเสริมว่าบรรดาร้านขายสินค้าใกล้หมดอายุสามารถบรรเทาปัญหาขยะอาหารได้ในระดับหนึ่ง

Photo : Shutterstock

ร้านขายอาหารใกล้หมดอายุแบบมีหน้าร้านผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดทั่วจีน หนึ่งในนั้นคือ ฮอตแม็กซ์ (HotMaxx) ร้านค้าหลายสาขาที่เปิดตัวเมื่อปีก่อนในหลายเมืองใหญ่ และขยายสาขามากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ

โจว พนักงานการตลาดของฮอตแม็กซ์ สาขาเหอเฝย กล่าวว่าร้านค้าที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดย่านใจกลางเหอเฝยรองรับลูกค้าช่วงหยุดยาวมากกว่า 1,000 คนต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำ และเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า ทางร้านให้ความสำคัญกับต้นทางของสินค้าใกล้หมดอายุ โดยปกติร้านของโจวจะทำธุรกิจกับซูเปอร์มาร์เก็ต และแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพอยู่เสมอ

Photo : Shutterstock

ขณะเดียวกันร้านขายอาหารใกล้หมดอายุบนโลกออนไลน์เติบโตรวดเร็ว โดยสถิติจากเถาเป่า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน ชี้ว่ามีผู้คนซื้ออาหารประเภทนี้บนแพลตฟอร์มราว 2.1 ล้านคนในทุกปี นอกจากร้านขายอาหารใกล้หมดอายุบนโลกออนไลน์ทั่วไปแล้ว ยังมีร้านขายกล่องสุ่มที่เต็มไปด้วยอาหารใกล้หมดอายุทางออนไลน์ด้วย ซึ่งขายหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

หากมองในแง่มุมความปลอดภัยอันเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสำคัญ บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสินค้าประเภทนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยโจวอวี๋ ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการและความปลอดภัยทางอาหารจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อันฮุย กล่าวว่าอาหารใกล้หมดอายุมีความปลอดภัย โดยการซื้อสินค้าประเภทนี้เป็นเรื่องดีในการช่วยป้องกันขยะอาหาร ซึ่งควรค่าแก่การส่งเสริมต่อไป

]]>
1341627
“สี จิ้นผิง” ประกาศชัยชนะคนจีน “เลิกจน” 100 ล้านคน แต่ยอมรับยังต้องแก้ไขความเหลื่อมล้ำ https://positioningmag.com/1309264 Fri, 04 Dec 2020 15:19:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309264 สี จิ้นผิง ประกาศชัยชนะต่อความยากจน คนจีนพ้นขีดความยากจน 100 ล้านคน นับตั้งแต่เริ่มวางนโยบายลดความยากจนในปี 2013 อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำในจีนยังสูงมากระหว่างมณฑลแถบตะวันออกติดทะเลกับมณฑลตะวันตกลึกไปในแผ่นดิน

“สี จิ้นผิง” ผู้นำสูงสุดแห่งแดนมังกร ประกาศชัยชนะต่อความยากจน หลังจากคนจีน 100 ล้านคนพ้นขีดความยากจนขั้นร้ายแรงในช่วง 7 ปีที่มีการวางนโยบายเพื่อต่อสู้กับความยากจน

“เราได้ทำหน้าที่บรรเทาความยากจนในโลกยุคใหม่ได้เสร็จสมบูรณ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้” ประธานาธิบดีแห่งเมืองจีนกล่าวปราศรัยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2020 “ตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ในปัจจุบัน คนยากจนทั้งหมดในชนบทได้พ้นขีดความยากจนแล้ว และมณฑลยากจนทั้งหลายได้หมดสิ้นไป ความยากจนถึงขีดสุดและความยากจนทั้งภูมิภาคที่เคยมีได้ถูกกำจัดแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสีกล่าวต่อว่า ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ โดยชี้ให้เห็นถึงอันตรายของความไม่เท่าเทียมกันในประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก

“ปัญหาของความไม่เท่าเทียมและการพัฒนาที่ไม่มีประสิทธิภาพของประเทศนั้นยังเห็นได้เด่นชัด และการกระจายความเจริญ รวมถึงขยายผลการบรรเทาความยากจนให้กว้างขวางนั้นยังเป็นงานที่ยากลำบาก” สี จิ้นผิงกล่าว

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า แนวทางหลักที่จีนจะปฏิบัติเพื่อกระจายความเจริญ คือการสร้างเสถียรภาพในตลาดแรงงาน ส่งเสริมการฝึกทักษะอาชีพและสร้างความเป็นปึกแผ่นและร่วมมือกันในตลาดงาน ระหว่างมณฑลทางตะวันออกอันเกรียงไกรกับมณฑลตะวันตกซึ่งไม่ติดทะเล สิ่งเหล่านี้จำเป็นเพื่อดูแลไม่ให้คนจีนกลับไปสู่ความยากจนอีกครั้ง

สี จิ้นผิง อ่านคำอำนวยพรปีใหม่ 2020 และยังคงย้ำเรื่องการกำจัดความยากจน

นโยบายกำจัดความยากจนนั้นเป็นสิ่งที่จีนตั้งเป้าหมายไว้เมื่อปี 2013 โดยต้องการกำจัดความยากจนถึงขีดสุดในเขตชนบทให้หมดไปภายในสิ้นปี 2020 เป็นเป้าหมายของประธานาธิบดีสีที่จะสร้าง “สังคมที่คนมีความมั่งคั่งอย่างทั่วถึง” ก่อนจะถึงกำหนดครบรอบ 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2021

เฉพาะปี 2016-2019 ประเทศจีนใช้เงินไปกว่า 3.84 แสนล้านหยวนเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และเพิ่มอีก 1.46 แสนล้านหยวนภายในปี 2020 ปีเดียว เนื่องจากชุมชนที่ยากจนนั้นได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาด COVID-19

สำหรับเส้นความยากจนที่จีนกำหนดนั้น กำหนดให้บุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 4,000 หยวนต่อปีคือคนยากจนถึงขีดสุดเทียบแล้วเท่ากับเป็นคนที่มีรายได้ไม่เกิน 2.2 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ประมาณ 66 บาทต่อวัน) ซึ่งสูงกว่าเส้นความยากจนที่ธนาคารโลกกำหนดเล็กน้อย โดยปกติธนาคารโลกกำหนดให้คนยากจนอย่างรุนแรงคือคนที่มีรายได้น้อยกว่า 1.9 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ประมาณ 57 บาทต่อวัน)

แม้ว่าจะมีคนจนน้อยลง แต่ผู้สังเกตการณ์ต่างตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโครงการกำจัดความจนของประเทศจีนเพราะโครงการนั้นขึ้นอยู่กับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลส่วนกลาง ทำให้คนเคยจนเหล่านี้เสี่ยงที่จะกลับไปจนอีกถ้าหากรัฐบาลหมดแรงอุดหนุน

นอกจากนี้ การกำจัดความยากจนของภาครัฐยังไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ได้ และคนที่เสี่ยงจะกลับไปสู่ความยากจนที่สุดคือกลุ่มคนชราในชนบท ซึ่งมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะประเทศจีนเริ่มไปสู่การเป็นสังคมสูงวัย และกลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มที่ประเทศจีนควรมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือด้วยรัฐสวัสดิการที่ดูแลทั้งการเงิน สุขภาพกาย สุขภายพใจ และคุณภาพชีวิตโดยรวมมากที่สุด

Source

]]>
1309264
Apple เสียววาบ! ชาวจีน 95% เตรียมทิ้ง iPhone แน่ หากทรัมป์สั่งแบน WeChat https://positioningmag.com/1292753 Sun, 16 Aug 2020 17:41:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292753 กลุ่มสื่อต่างประเทศรายงานผลการสำรวจชาวจีน 1.2 ล้านคนพบว่า 95% พร้อมเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือจาก iPhone ไปใช้ยี่ห้ออื่นหากไม่สามารถใช้ Wechat ได้

ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มีคำสั่งคว่ำบาตรแอปพลิเคชันของจีน ได้แก่ TikTok และ WeChat โดยคำสั่งดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 63 เป็นต้นไป ส่งผลให้ผู้ใช้งาน iPhone ไม่สามารถใช้งานแอปฯ ดังกล่าวได้อีก

ปัจจุบัน มีผู้ใช้งานแอปฯ Wechat กว่าพันล้านคน และเป็นแอปฯ ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในจีน

“iPhone ที่ไม่มี Wechat ก็ไม่ต่างกับขยะราคาแพงชิ้นหนึ่งเท่านั้น” ชาวจีนรายหนึ่งให้ความเห็น

คำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์ยังไม่ชัดเจนว่า ขอบเขตครอบคลุมเฉพาะธุรกิจภายในสหรัฐฯ หรือบังคับใช้กับธุรกิจทั่วโลก

มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายออกมาตรการโต้ตอบกันไปมาอย่างต่อเนื่อง

Source

]]>
1292753
“ลูกค้าจีน” พร้อมซื้อคอนโดฯ ออนไลน์! “โนเบิล” เปิดดิจิทัล แพลตฟอร์มโกยยอดขายข้ามประเทศ https://positioningmag.com/1292573 Fri, 14 Aug 2020 08:45:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292573 แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะทำให้ความต้องการซื้อของ “ลูกค้าจีน” ต่ออสังหาฯ ไทยสะดุดไปบ้าง แต่ความต้องการนั้นกลับมาแล้ว เพียงแต่ประเทศไทยยังไม่เปิดพรมแดนให้ชาวต่างชาติเข้ามา จึงเป็นโจทย์สำคัญให้ต้องแก้สำหรับบริษัทที่มุ่งเป้าลูกค้าชาวต่างชาติ โดย “โนเบิล” เลือกเปิดช่องทางขายแบบ “ดิจิทัล แพลตฟอร์ม” ตอบรับพฤติกรรมลูกค้าจีนที่เคยชินกับการซื้อบ้านออนไลน์ ทำยอดขาย 900 ล้านบาทช่วงครึ่งปีแรก 2563

“แฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง” รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพสถานการณ์การซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวจีนในช่วงครึ่งปีแรก 2563 ว่า หลังจากเกิดสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ในประเทศจีนเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2563 ยอดขายอสังหาฯ ร่วงลงสู่จุดต่ำสุดทันที

แต่หลังจากนั้นเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคม และปัจจุบันการขายอสังหาฯ ในตลาดจีนฟื้นตัวสู่จุดเดียวกับปี 2561 แม้ว่าจะยังไม่เท่ากับปี 2562 แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี

ยอดขายตลาดอสังหาฯ ประเทศจีน โดยเส้นสีดำคือปี 2563 เส้นสีแดงคือปี 2562 และเส้นสีฟ้าคือปี 2561

สำหรับโนเบิลที่มุ่งเป้าตลาดต่างประเทศ โดยยอดขายจากต่างชาติคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายรวมบริษัท และราว 70% ของลูกค้าต่างชาติคือลูกค้าจีนแผ่นดินใหญ่ บริษัทเล็งเห็นว่าดีมานด์ลูกค้าจีนต่ออสังหาฯ ไทยยังมีอยู่และฟื้นตัวตามตลาดรวม เพียงแต่ปัญหาสำคัญคือ “ลูกค้าบินเข้ามาเยี่ยมชมเซลส์แกลลอรี่ไม่ได้” เพราะประเทศไทยยังคงปิดพรมแดนไม่รับนักท่องเที่ยว

 

คนจีน “เคยชิน” กับการซื้ออสังหาฯ ออนไลน์

เพื่อแก้โจทย์นี้ แฟรงค์กล่าวว่าบริษัทมีการศึกษาตลาดจีน พบว่าบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในจีนเริ่มเปิดช่องทางขายแบบ “ดิจิทัล แพลตฟอร์ม” ขึ้น เป็นช่องทางขายแบบออนไลน์ 100% ลูกค้าที่สนใจสามารถวิดีโอคอลล์กับพนักงานขายเพื่อให้พาชมโครงการ และปรากฏว่าปิดการขายได้จริง ปัจจุบันยอดขายอสังหาฯ ในประเทศจีน 15-30% มาจากยอดขายออนไลน์ในลักษณะนี้ และเติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 1,000%

ทีมผู้บริหารโนเบิล : (ซ้าย) “อรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (กลาง่) “แฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง” รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และ (ขวา) “ธงชัย บุศราพันธ์” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

“ธงชัย บุศราพันธ์” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า จากพฤติกรรมลูกค้าจีนดังกล่าวทำให้โนเบิลพัฒนาดิจิทัล แพลตฟอร์มของบริษัทเองเพื่อขายออนไลน์ข้ามประเทศ สอดคล้องกับพฤติกรรมของชาวจีน โดยเริ่มเปิดตั้งแต่เดือนเมษายน 2563

“ประเทศจีนเขาล็อกดาวน์ทีเขาล็อกทั้งประเทศ แม้แต่คนที่จะซื้ออสังหาฯ ในจีนแต่อยู่คนละเมืองก็เดินทางไปดูโครงการไม่ได้เหมือนกัน ทำให้ดีเวลลอปเปอร์จีนก็ต้องใช้วิธีขายออนไลน์ ก็เป็นจังหวะที่ดีที่ลูกค้าเขาเคยชินกับวิธีการนี้แล้ว ทำให้เราสามารถทำได้” ธงชัยกล่าว

โนเบิลมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดลูกค้าอสังหาฯ ต่างประเทศเพิ่มเป็น 34% ในช่วงครึ่งปีแรก 2563

แฟรงค์ระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรก เฉพาะบริษัทโนเบิลมียอดขายต่างประเทศแตะ 900 ล้านบาท และทั้งหมดมาจากการขายออนไลน์ มูลค่าดังกล่าวคิดเป็น 34% ของยอดขายอสังหาฯ ไทยให้กับลูกค้าต่างชาติทั้งตลาดในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา และเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปกติโนเบิลจะมีมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ 18-20%

นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โนเบิลมียอดขายต่างชาติลดลงไม่มาก เฉพาะไตรมาส 2/63 มูลค่ายอดขายต่างชาติของโนเบิลลดลง -14% และจำนวนยูนิตขายลดลง -11% เท่านั้น เนื่องจากมีการเปิดขายออนไลน์ดังกล่าว

 

ขายอสังหาฯ “ราคาเดียว”

ธงชัยกล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแต่มีช่องทางขายและสินค้าหลายระดับราคาให้เลือก แต่ยังต้องสร้าง “ความไว้วางใจ” กับลูกค้าต่างชาติด้วย โดยบริษัทมีนโยบาย Single Price Point คือเปิดขายอสังหาฯ ราคาเดียวกันทุกประเทศ

“เมื่อก่อนการขายอสังหาฯ ต่างประเทศผ่านเอเย่นต์ท้องถิ่น บริษัทต่างๆ จะขายให้เอเย่นต์ในราคาเท่ากับที่ขายในไทย แล้วเอเย่นต์จะนำไปบวกกำไรเพิ่ม แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว ลูกค้าเขาเช็กในเว็บไซต์นิดเดียวก็รู้แล้วว่าที่ไทยขายเท่าไหร่ ถ้าเขาเห็นว่าเขาถูกโขกราคาขึ้นไปสูงก็จะเกิดความไม่ไว้วางใจเราขึ้น” ธงชัยกล่าว

ตลาดใหญ่ในต่างประเทศของโนเบิลคือ จีน (68%) ฮ่องกง (14%) และไต้หวัน (5%)

ดังนั้น โนเบิลจึงต้องการให้ขายราคาเดียวกันทั้งหมด กรณีตลาดต่างประเทศต้องทำความเข้าใจกับเอเย่นต์ และบริษัทต้องยอมลดกำไรเอง เพื่อมีกำไรแบ่งให้กับเอเย่นต์ด้วย โดยปัจจุบันโนเบิลมีเครือข่ายเซลส์ออฟฟิศและเอเย่นต์ครอบคลุมหัวเมือง 16 เมืองจาก 21 เมืองสำคัญของจีน เจาะตลาดครบทั้งเมืองหลักเมืองรอง

สำหรับพอร์ตอสังหาฯ ของโนเบิลที่อยู่ระหว่างขายปัจจุบันมีทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่ารวม 31,000 ล้านบาท เฉพาะปี 2563 เปิดตัวแล้ว 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านบาท ได้แก่ โนเบิล อเบิฟ ไวร์เลส-ร่วมฤดี, โนเบิล สเตท 39, นิว โนเบิล งามวงศ์วาน, นิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว และนิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง

โดยมีอีก 2 โครงการเตรียมเปิดตัวปลายปีนี้ ได้แก่ โครงการโนเบิลย่านทองหล่อ ซอยสุขุมวิท 55 มูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ ถนนวิทยุ มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท เตรียมเปิดขายในราคาเกือบ 3 แสนบาทต่อตร.ม. อย่างไรก็ตาม โครงการที่ถนนวิทยุเป็นโครงการใหญ่มูลค่าสูง อาจจะพิจารณาสถานการณ์ก่อนเปิดตัวอีกครั้งหนึ่งว่าจะเลื่อนออกไปเป็นปี 2564 หรือไม่

]]>
1292573
รู้จัก Magellan Project ของ “เถาเป่า” หาสินค้า SME ไทย ใช้เน็ตไอดอล ลุยขายตลาดจีน https://positioningmag.com/1259803 Wed, 08 Jan 2020 12:34:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259803 ยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต คือโอกาสทองของผู้ประกอบการรายเล็กที่จะผลักดันธุรกิจสู่ตลาดโลก เเละเเน่นนอนว่า “ตลาดจีน” คือเบอร์หนึ่งที่ใครๆ ก็อยากเจาะเข้าไปให้ได้ ด้วยกำลังซื้อมหาศาลเเละประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน 

จากข้อมูลของ eMarketer บริษัทวิจัยด้านการตลาดพบว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีการเติบโตกว่า 20.7 % ซึ่งสัดส่วนการซื้อขายของออนไลน์มีอยู่ 14.1% ของยอดการค้าปลีกทั่วโลก เเละเฟื่องฟูอย่างมากในภูมิภาคเอเชียเเปซิฟิก ลาตินอเมริกา เเละเเอฟริกา 

โดยเฉพาะ “ประเทศจีน” มีมูลค่ากว่า 1.93 ล้านเหรียญ คิดเป็นกว่า 54.7% ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั่วโลก นับเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกออนไลน์…ที่ไม่มีใครมองข้าม 

หลายคนรู้จัก “เถาเป่า” หรือ “Taobao” ในฐานะที่เป็น E- Market place หัวหอกของ “อาลีบาบา” ที่ตอนนี้ขึ้นเเท่นเป็นเเพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์บนมือถือรายใหญ่ที่สุดของจีน (วัดจากยอดขายช่วง 12 เดือนจนถึง 31 มีนาคม 2019) 

โดยมียอดซื้อขายออนไลน์ (GMV) เกิน 1 เเสนล้านหยวน มีเเบรนด์เข้าร่วมกว่า 1.2 เเสนเเบรนด์ จำนวนผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคน โดยวางเป้าเพิ่มเป็น 120 ล้านคนในประเทศจีน ภายในปีนี้ 

Photo : Taobao.com

“เถาเป่า โกลบอล” ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 เป็นเเพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ขายออนไลน์ต่างชาตินำสินค้าเข้ามาขายให้ชาวจีน เเละถือช่องทางการขายสินค้าระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นเฉพาะสินค้า C2C รายเเรกของจีนด้วย 

ล่าสุดวันนี้เถาเป่าได้ประกาศโครงการใหม่เเห่งปี 2020 ที่มีชื่อว่า “Magellan Project” (เเมคเจลเเลน โปรเจกต์) เปิดตัวในไทยเป็นประเทศเเรก เราจะมารู้จักกันว่าเถาเป่ามีกลยุทธ์อย่างไรเเละ SME ไทยต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง 

Magellan Project คืออะไร

“เหยา เหว่ย” ผู้อำนวยการเถาเป่า โกลบอล บอกว่า โปรเจกต์นี้ตั้งชื่อตาม Ferdinand Magellan นักสำรวจชาวโปรตุเกสซึ่งเดินทางรอบโลกได้สำเร็จเป็นคนเเรกในประวัติศาสตร์ เหมือนเป้าหมายของเถาเป่าที่จะเติบโตไปทั่วโลก เพื่อเฟ้นหาเเบรนด์นอกประเทศจีนที่ “จิ๋วเเต่เเจ๋ว” เป็นผลิตภัณฑ์จากเเบรนด์เเปลกใหม่จากผู้ผลิตรายย่อยโดยตรง ช่วยให้ SME ที่มีศักยภาพได้มีโอกาสเติบโตในตลาดอีคอมเมิร์ซจีน 

“เป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง” นี่คือเป้าหมายของเถาเป่า โกลบอลในปี 2020

เหยา เหว่ย ผู้อำนวยการเถาเป่า โกลบอล

ทำไมเลือกเปิดตัวที่ไทยเป็นประเทศเเรก 

“เราตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนเเบรนด์สินค้าไทยบนเเพลตฟอร์มเถาเป่าให้ได้อย่างน้อย 25% ภายในสิ้นปีนี้ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มสินค้า SME เช่น หมอนเเละที่นอนยางพารา ผลไม้อบเเห้ง เเละเครื่องสำอาง” ผู้บริหารเถาเป่ากล่าว 

“ผู้ซื้อของเถาเป่า ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดตั้งเเต่ปี 1995 ขึ้นไป มีความเป็นตัวของตัวเองสูงเเละชื่นชอบเเบรนด์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร” 

เขากล่าวถึงเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันว่า ที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ในจีนต่างมองหาผลิตภัณฑ์ที่น่าใช้เเละมีคุณภาพเพิ่มขึ้น เเละสินค้าไทยตอบโจทย์นี้ได้ดี เเต่ยังมีเเบรนด์ไทยที่น่าสนใจเเต่กลับไม่เป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากนัก ซึ่ง Magellan Project จะเข้ามาช่วยโปรโมทในจุดนี้ โดยวางเป้าสินค้าไทยไว้ 100 เเบรนด์ในระยะเเรก

สำหรับกลุ่มสินค้าไทยที่มีวางจำหน่ายมากที่สุดบนเถาเป่า ได้เเก่ 1) เครื่องนอน 2) ความงาม เเละ 3) อาหาร จากบายเออร์กว่า 400 คนในประเทศไทย 

“ความสัมพันธ์ของไทยเเละจีนเป็นมิตรต่อกันมานาน คนทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดกันเเละสิ่งสำคัญคือการท่องเที่ยวไทยถือเป็นระดับท็อปของโลก เเละเป็นที่ชื่นชอบของชาวจีนอย่างมาก จึงเป็นโอกาสที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของไทยจะเขาถึงตลาดออนไลน์จีนมากขึ้น เเละต้องการสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศต่างๆ เพื่อเฟ้นหาผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการรายย่อยที่โดดเด่น ให้สามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างเเพร่หลาย”

ขณะที่เป้าหมายอื่นๆ ที่เถาเป่าวางเเผนจะเข้าไปทำตลาด นอกเหนือจากไทย ได้เเก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป เเละอเมริกาเหนือ

เหล่าบายเออร์ของเถาเป่าจากประเทศไทย ซึ่งเป็นเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียง

ขยายบายเออร์ บูม Live Streaming โปรโมตผ่านเน็ตไอดอลจีน 

ผู้บริหารเถาเป่า อธิบายถึง กลยุทธ์ของ Magellan Project ว่าจะช่วยสร้างธุรกิจในจีนให้กับ SME ทั่วโลกผ่านบายเออร์เเละกลุ่มผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ที่เข้าถึงผู้ติดตามชาวจีน เเละช่วยโปรโมตสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเเละ Live Streaming นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาเป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ตลาดดิจิทัลด้วย 

สำหรับกลุ่มบายเออร์ (ผู้นำเข้า) ของเถาเป่าที่มีอยู่กว่า 10,000 คนนั้นจะเน้นไปที่กลุ่มคนดังในโลกออนไลน์ เป็นคนชอบเที่ยวต่างประเทศเเละมีไลฟ์สไตล์ที่น่าติดตาม ซึ่งจะคอยสรรหาสินค้านอกประเทศไปขายบนเถาเป่า เเละเเนะนำสินค้าให้ผู้ติดตามในจีน 

“สมัยก่อนเรามักทุ่มงบโปรโมตไปกับโฆษณาทางทีวี เเต่ปัจจุบันคือการใช้ Live Straming โดยเหล่าคนดัง เน็ตไอดอล เเละอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) เเสดงให้เห็นอิทธิพลต่อการเลือกซื้อของจากคนดังในโลกออนไลน์” ผู้บริหารเถาเป่ากล่าว 

ยกตัวอย่าง Mr.TC ผู้เคยทำงานกับเเบรนด์ดังอย่าง Hermès เเละตัดสินใจลาออกเพื่อเดินทางท่องเที่ยว จากนั้นเริ่มเป็นเเฟชั่นบายเออร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก โดยหลายปีที่ผ่านมาเขาทุ่มเทกับการนำเเบรนด์เเฟชั่นไทยที่เเปลกใหม่เข้าไปตีตลาดจีน

ขณะที่บายเออร์ที่น่าสนใจอีกรายคือ Ali Global Buyer หลังเรียนจบเธอได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก ก่อนจะมาเป็นบายเออร์มืออาชีพ โดยเธอมีความสนใจในหมอนยางพาราในไทยอย่างมาก รวมไปถึงชุดชั้นในสตรีของไทยที่ราคาไม่สูงเเละใส่สบาย ซึ่งสินค้าทุกอย่างต้องผ่านการทดสอบจากทีมงานของเธอก่อนจึงนำเสนอขายให้ลูกค้าชาวจีนต่อไป หัวใจหลักของเธอที่จะก้าวขึ้นสู่บายเออร์ระดับท็อปของไทยคือ “สินค้าใช้ได้ดี ราคาไม่เเพง” เพื่อเป็นทางเลือกผู้บริโภค

โดยเถาเป่าได้ร่วมมือกับสมาคม Thailand Zonet Buyers Development Alliance ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกบายเออร์ในไทยมากกว่า 100 คน ซึ่งนำเสนอแบรนด์ไทยที่น่าสนใจไปยังลูกค้าของเถาเป่าในจีนให้มากขึ้น รวมทั้งช่วยผลักดันการส่งออกของไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น แคมเปญการตลาด การอบรมบายเออร์ และการจับคู่บายเออร์กับแบรนด์ เป็นต้น

ด้าน สมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการเติบโตของอีคอมเมิร์ซเเบบก้าวกระโดด จึงเป็นโอกาสดีที่ SME ไทยจะเปลี่ยนจากเเบบดั้งเดิมมาค้าขายออนไลน์เเบบไร้พรมเเดน ซึ่งรู้สึกยินดีที่อาลีบาบาซึ่งจะมาช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตในยุคดิจิทัล 

“การที่เถาเป่า โกลบอลได้เลือกไทยเป็นตลาดสำคัญในการเปิดตัวโครงการนี้จะช่วยทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีน Magellan Project จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันความนิยมของสินค้าไทยในตลาดซื้อขายออนไลน์จีนให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

สินค้าเเบบไหนที่ “เถาเป่า” อยากได้

  • ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในจีน หาซื้อยาก มีโอกาสจะประสบความสำเร็จสูง
  • หมวดหมู่สินค้าที่กำลังเติบโต เช่น เครื่องสำอาง กระเป๋า เคสมือถือเเละเครื่องประดับ
  • สินค้าที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่น 
  • เป็นที่รู้จักในสื่อ คนดังหรือสถาบันที่มีชื่อเสียง 
  • เป็นคลัสเตอร์ที่เป็นที่รู้จัก มีอัตราการซื้อสูงในจีน 
  • มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในตลาดออนไลน์ 

 

]]>
1259803