ความไม่เท่าเทียม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 02 Apr 2021 20:03:13 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 IMF เเนะประเทศร่ำรวย ปรับ ‘ขึ้นภาษี’ เพื่อลดปัญหา ‘ความเหลื่อมล้ำ’ จากวิกฤต COVID-19 https://positioningmag.com/1326430 Fri, 02 Apr 2021 11:59:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1326430 IMF เเนะประเทศร่ำรวยขึ้นภาษี’ นำงบมาพัฒนาสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ’ ที่รุนเเรงขึ้นจากวิกฤต COVID-19

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุถึงรายงานของ Fiscal Monitor เผยเเพร่ในเดือนเมษายน 2021 ที่ชี้ให้เห็นว่า การเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ลุกลามไปทั่วโลกนั้น ทำให้ความไม่เท่าเทียมในสังคม ทวีความรุนเเรงขึ้น

โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการดูเเลสุขภาพ การศึกษา เเละโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างรายได้ ที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นรัฐบาลในประเทศต่างๆ จึงต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อนำมาพัฒนาในด้านต่างๆ เหล่านี้ หลังผ่านพ้นวิกฤตไปเเล้ว

IMF เเนะนำว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือประเทศร่ำรวย อาจจะต้องใช้มาตรการปรับเพิ่มอัตราภาษีก้าวหน้าของเงินได้เพิ่มการเก็บภาษีมรดกให้สูงขึ้นรวมถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วย

ส่วนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นั้น ควรเพิ่มงบประมาณในการพัฒนาด้านสังคม เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนมีความสามารถจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น

Photo : Getty Images

ด้านมูลนิธิ Oxfam ระบุว่า ในช่วงเดือนมี.. – .. 2020 มหาเศรษฐีทั่วโลกมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่คนจนมีรายได้ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัวขึ้น

โดยเมื่อนำสินทรัพย์ของเหล่ามหาเศรษฐีรวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มระบาดมารวมกัน จะพบว่ามีมูลค่าสูงกว่าประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะมีระบบเศรษฐกิจเอื้อให้กลุ่มคนร่ำรวย สามารถรักษาความร่ำรวยไว้ได้ ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางอันเลวร้าย

อ่านเพิ่มเติม : COVID-19 เร่ง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ให้ร้าวลึก เศรษฐีรวยเเล้วรวยอีก คนจนยิ่งจนลง

ขณะที่กลุ่มมหาเศรษฐี 1,000 อันดับเเรกของโลก กลับมามีสภาพคล่องทางการเงินเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดได้ (Pre-pandemic) เร็วภายใน 9 เดือน ส่วนคนยากจนต้องใช้เวลามากกว่านั้นถึง 14 เท่า หรือคิดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยกลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยจำนวนนี้ ที่เป็นผู้ชายผิวขาว (White Male) จะกลับมาฟื้นตัวทางการเงินได้เร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ ด้วย

Oxfam ให้ความเห็นว่า ทั้ง IMF และรัฐบาลประเทศต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงดำเนินนโยบายทางการเงินที่จะซ้ำรอยกับวิกฤตการเงินปี 2008-2009 ด้วยการผลักภาระภาษีจากคนรวยและบริษัทยักษ์ใหญ่ไปสู่ครัวเรือน

 

ที่มา : Reuters , IMF

]]>
1326430
ช่วงวิกฤตโรคระบาด บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เลือก “ผู้หญิง” เป็น CEO แค่ 3% https://positioningmag.com/1307259 Mon, 23 Nov 2020 13:09:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307259 วิกฤตโรคระบาด กระทบโครงสร้างเเรงงาน ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศมากขึ้น ในช่วง COVID-19 บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เลือกผู้ชายขึ้นดำรงตำแหน่งซีอีโอมากกว่าผู้หญิง โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า มีผู้หญิงเพียง 3% ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น CEO ในบริษัทระดับโลก

Heidrick & Struggles บริษัทจัดหางานระดับผู้บริหารที่ร่วมงานกับธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เปิดเผยผลวิเคราะห์การจ้างงานที่น่าสนใจในช่วงวิกฤต COVID-19 ตั้งเเต่เดือนมี..ที่ผ่านมา ระบุว่า มีการจ้างงานผู้หญิงเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ “CEOในบริษัทชั้นนำเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งผลการศึกษานี้ไม่ได้พิจารณาปัจจัยด้านเชื้อชาติเเละชาติพันธุ์

ผู้หญิงและกลุ่มที่ด้อยโอกาสอื่น ๆ มีความเสียเปรียบในการเเข่งขันด้านอาชีพและเสี่ยงต่อการว่างงานมากกว่าผู้ชาย ในช่วงการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้หญิงทำงานในอุตสาหกรรมหรือสายงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มากกว่า อย่างงานในภาคการท่องเที่ยวเเละบริการ

ขณะเดียวกัน ผู้หญิงจำนวนมากต้องเป็นฝ่ายที่ต้องลาออกจากงานในสัดส่วนที่มากกว่าผู้ชาย เพื่อไปทำหน้าที่ดูแลลูกที่อยู่ที่บ้าน ในช่วงล็อกดาวน์ที่ลูกยังไม่สามารถไปโรงเรียนหรือนำไปฝากเลี้ยงตามสถานดูแลเด็กได้

รายงานชิ้นนี้ ระบุถึงสาเหตุที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกผู้ชายเข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูงในช่วงวิกฤตว่า อาจเป็นเพราะสถานะของผู้ชายที่มีความพร้อมรับงานในฐานะผู้นำบริษัทมากกว่า

ข้อมูลของ Heidrick & Struggles ชี้ให้เห็นว่า ผู้หญิงยังมีสัดส่วนขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ CEO น้อยกว่าผู้ชายในอัตราค่อนข้างสูง เมื่อย้อนกลับไปดูในช่วงวิกฤตเเฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 บริษัทต่างๆ ก็เลือกผู้ชายเข้าไปทำหน้าที่ผู้บริหารระดับสูงมากกว่า เเต่หลังจากนั้นผู้หญิงก็เริ่มมีเเนวโน้มได้ขึ้นเป็นผู้บริหารมากขึ้น จนกระทั่งมาเจอวิกฤต COVID-19

ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเเรงงานเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันต้อง “ออกจากงาน” มากกว่าผู้ชายถึง 8 เท่า โดยมีผู้หญิงต้องออกจากงาน 617,000 คน ครึ่งหนึ่งอยู่ในช่วงอายุ 35-44 ปี ขณะที่มีผู้ชายออกจากงานเพียง 78,000 คน

เเม้ตอนนี้อัตราการว่างงานสหรัฐฯ จะลดลงเเล้วหลังคลายล็อกดาวน์ เเต่อัตราว่างงานของผู้หญิงทั้งประเทศอยู่ที่ 8% โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีเเละผู้หญิง Hispanic American (คนอเมริกันเชื้อสายเปอร์โตริโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ยิ่งมีอัตราว่างงานเพิ่มสูงมากขึ้นไปอีก

โดยปัญหาใหญ่ที่ตามมาในระบบโครงสร้างเเรงงาน คือ เเม้สถานการณ์โรคระบาดจะคลี่คลายมากขึ้น เเต่ผู้หญิงจำนวนมากที่ออกมาดูเเลบ้าน ไม่สามารถกลับเข้าไปสู่ “ตลาดเเรงงาน” อีกครั้งได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่น่าเป็นห่วงอย่างพ่อเเม่ “เลี้ยงเดี่ยว” ที่ต้องเเบกภาระค่าใช้จ่ายสูง เเละจะต้องดิ้นรนในภาวะเศรษฐกิจย่ำเเย่

 

ที่มา : Bloomberg

]]>
1307259