วิกฤต COVID-19 กระทบโครงสร้างเเรงงานสหรัฐฯ ทำให้ “ผู้หญิง” ต้องออกจากงานมากกว่า “ผู้ชาย” ถึง 8 เท่า โดยเเรงงานหญิงต้องออกมา “ดูเเลลูก” ในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้ความไม่เท่าเทียมกันในเศรษฐกิจของอเมริกาทวีความรุนแรงขึ้น
จากรายงานของ CNN ระบุว่า ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเเรงงานเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันต้อง “ออกจากงาน” มากกว่าผู้ชายถึง 8 เท่า โดยมีผู้หญิงต้องออกจากงาน 617,000 คน ครึ่งหนึ่งอยู่ในช่วงอายุ 35-44 ปี ขณะที่มีผู้ชายออกจากงานเพียง 78,000 คน
เเม้ตอนนี้อัตราการว่างงานสหรัฐฯ จะลดลงเเล้ว หลังคลายล็อกดาวน์ เเต่อัตราว่างงานของผู้หญิงทั้งประเทศอยู่ที่ 8% โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีเเละผู้หญิง Hispanic American (คนอเมริกันเชื้อสายเปอร์โตริโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้) ยิ่งมีอัตราว่างงานเพิ่มสูงมากขึ้นไปอีก
สาเหตุที่ผู้หญิงตกงานมากกว่าผู้ชายในช่วง COVID-19 นั้น หลักๆ มาจากอุตสาหกรรมที่ผู้หญิงทำงานส่วนใหญ่อย่างการท่องเที่ยวเเละโรงเเรม ได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลายบริษัทต้องปิดกิจการหรือลดต้นทุนโดยการ “ปลดพนักงาน” อย่างกะทันหัน
อีกทั้งในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้แต่ละครอบครัวต้องมีคนรับผิดชอบงานบ้านและดูแลลูก ในช่วงที่โรงเรียนปิดทำการชั่วคราว ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากจำเป็นที่จะออกจากงานมาดูแลลูก และให้ผู้ชายไปทำงานนอกบ้านแทน
Russel Price ประธานบริษัทการเงิน Ameriprise ให้ความเห็นว่า อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงต้องออกจากงานในช่วงวิกฤต COVID-19 เนื่องจากมีบริการดูแลเด็กน้อยลงถึง 18% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงก่อนมีโรคระบาด ทำให้ผู้หญิงไม่มีทางเลือก ต้องเลือกที่จะมาดูแลลูกๆ ที่บ้านเอง
โดยปัญหาใหญ่ที่ตามมาตอนนี้คือ เเม้สถานการณ์คลี่คลายมากขึ้น เเต่ผู้หญิงจำนวนมากที่ออกมาดูเเลบ้าน ไม่สามารถกลับเข้าไปสู่ “ตลาดเเรงงาน” อีกครั้งได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่น่าเป็นห่วงอย่างพ่อ–เเม่ “เลี้ยงเดี่ยว” ที่ต้องเเบกภาระค่าใช้จ่ายสูง เมื่อพวกเขาไม่มีงานทำ ก็ยิ่งทำให้ทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวช้าเเละเป็นปัญหาสังคมยิ่งขึ้นไปอีก
- ภาคธุรกิจสหรัฐฯ จ้างงานเพิ่ม 4.8 ล้านตำแหน่ง เเต่ยังกังวลในการลงทุน
- จับชีพจร “ตลาดเเรงงานไทย” ตกงานมากสุดในรอบ 11 ปี ธุรกิจ “เจ๊ง” พุ่ง คนอายุน้อยไม่มีงานทำ
ที่มา : CNN