เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเริ่มฟื้นตัว โดยอัตราการจ้างงานในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ถึง 4.8 ล้านคน ถือเป็นการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งเเต่กระทรวงเเรงงานเริ่มทำการเก็บสถิติมาในปี 1939
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในสหรัฐฯ เริ่มปรับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ที่มีการว่าจ้างงานใหม่ 2.5 ล้านคน สอดคล้องกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าในเดือนมิ.ย. จะมีการจ้างงาน 3 ล้านตำแหน่ง เเต่ยอดจริงกลับสูงถึง 4.8 ล้านคน โดยเฉพาะในภาค “ธุรกิจร้านอาหารและโรงงาน” ที่กลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง
บริษัทต่างๆ ในรัฐที่มีประชากรหนาเเน่น อย่างแคลิฟอร์เนีย ฟลอริดาและเท็กซัส กำลังจะกลับมาเปิดทำการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม บางเเห่งยังต้องระงับการจ้างงานใหม่ไปก่อน
ข้อมูลของกรมแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า อัตราการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ 21-27 มิ.ย. อยู่ที่ 1.43 ล้านราย ลดลงเพียงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน
เเม้จะมีสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจจากการจ้างงาน เเต่ยอดผู้ป่วย COVID-19 ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เกิดความกังวลในการลงทุน
Mike Bell นักยุทธศาสตร์การตลาดจาก JP Morgan Asset Management กล่าวว่า “เร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าการฟื้นตัวของอัตราการจ้างงานนี้ ชัดเจนเพียงพอสำหรับนักลงทุนหรือไม่”
ด้าน Jerome Powell ประธานธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) มองว่า ขณะนี้เศรษฐกิจกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงที่มีความสำคัญ แต่การฟื้นตัวจะต่อเนื่องหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการป้องกันไวรัส
เมื่อปลายเดือน มิ.ย. “โดนัลด์ ทรัมป์” ดำเนินโยบายให้คนอเมริกันได้งานก่อน โดยออกประกาศประธานาธิบดี (Presidential Proclamation) ขยายเวลาระงับการออกกรีนการ์ด หรือเอกสารอนุมัติการอยู่อาศัยและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่นอกสหรัฐฯ ไปจนถึงสิ้นปีนี้
รวมทั้งระงับสั่งการออกวีซ่าทำงาน “หลายประเภท” สำหรับชาวต่างชาติชั่วคราว ทั้งประเภท H-1B, H-4, H-2B, J-1 , J-2 เเละ L-1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.ไปจนถึง 31 ธ.ค. 2020 ซึ่งได้รับการคัดค้านจากบริษัทไอทีต่างๆ เพราะต้องพึ่งพาแรงงานจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติ “ทักษะสูง”
แม้อัตราการจ้างงานจะเพิ่มสูงขึ้นติดเนื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่อัตราผู้มีงานทำโดยรวม ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดถึง 15 ล้านคน ทำให้อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ สูงกว่า 11%