“ชุติมา วิริยะมหากุล” ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เปิดเผยข้อมูลจากการสำรวจคนไทยทั้งชายและหญิง 1,200 คน อายุ 20-59 ปี โดยสำรวจผ่านทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 8-15 มกราคม 2564 ทั้งนี้ เป็นการจัดสำรวจทุกๆ 2 เดือน การสำรวจรอบนี้พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
ผู้ถูกสำรวจมีแนวโน้มความต้องการใช้จ่าย 54 คะแนนจากเต็ม 100 คะแนน โดยลดลงจากการสำรวจรอบเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่มีความต้องการใช้จ่าย 57 คะแนน เนื่องจากความกังวลด้านเศรษฐกิจที่มากขึ้น
สำหรับผู้ถูกสำรวจที่ยังต้องการใช้จ่ายมากกว่าค่าเฉลี่ย ระบุเหตุผลคือ ต้องการเลี่ยงออกไปข้างนอกทำให้ใช้จ่ายไปกับการกักตุนสินค้าและซื้อผ่านเดลิเวอรี่ หรือมีการซื้อของเพื่อให้รางวัลตัวเอง/เป็นของขวัญให้คนอื่น
ส่วนผู้ถูกสำรวจที่ต้องการใช้จ่ายน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เหตุผลคือ รายได้ลดลงหรือว่างงานจากเศรษฐกิจตกต่ำ หรือรัดเข็มขัดซื้อสินค้าเฉพาะเมื่อจะทดแทนของเก่าเท่านั้น
สินค้า 3 อันดับแรกที่คนไทยสนใจซื้อ ได้แก่ อาหาร (23%) , ของใช้ (19%) และโทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน (9%) สำหรับสมาร์ทโฟนนั้นคนไทยยังสนใจซื้อมากแม้จะรัดเข็มขัด เพราะถือเป็นของจำเป็นสำหรับการเรียนออนไลน์ของลูกๆ การทำงานประจำ และใช้หารายได้เสริม
ส่วนสินค้าในระดับรองๆ ลงมาที่คนสนใจซื้อ เช่น เสื้อผ้า (5%) , คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต (5%), สกินแคร์/เครื่องสำอาง (5%)
ขณะที่สินค้าที่คนไทยสนใจซื้อน้อยที่สุดคือ บริการความงาม (2%), รถมอเตอร์ไซค์ (2%), การทานอาหารนอกบ้าน (2%) และเฟอร์นิเจอร์/ตกแต่งบ้าน (2%)
เมื่อแบ่งตามภูมิภาค ผู้บริโภคไทยลดการใช้จ่ายทุกภูมิภาค ยกเว้น “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีคะแนนแนวโน้มต้องการใช้จ่าย 58 คะแนน เพิ่มขึ้น 4 คะแนน โดยฮาคูโฮโดคาดว่าเกิดจากประชากรเคลื่อนย้ายจากแหล่งงานกลับภูมิลำเนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้เป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายสูง
ส่วนถ้าหากแบ่งตามช่วงวัย กลุ่มที่ยังไม่ลดการใช้จ่าย ทรงตัวเท่าเดิม คือวัย 20-29 ปี ขณะที่วัยที่ลดการใช้จ่ายมากที่สุดคือวัย 50-59 ปี ลดคะแนนแนวโน้มใช้จ่ายลง 5 คะแนน
ด้านอารมณ์ความรู้สึกของคน วัดจากความสนใจประเด็นข่าว พบว่า ข่าวที่ถูกพูดถึงมากที่สุด 3 อันดับคือ COVID-19 (81%), การเมือง (3%) และพิมรี่พาย (3%) ประเด็นนี้สลับกับการสำรวจรอบก่อนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งเรื่องการเมืองมาแรงเป็นอันดับ 1 ที่ 57%
]]>
การทดสอบครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างโรงเรียนสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนของมหาวิทยาลัยลอนดอน มหาวิทยาลัยเดอรัม และมูลนิธิสุนัขตรวจสอบทางการแพทย์ (Medical Detection Dogs) ที่เคยฝึกสุนัขให้ตรวจหากลิ่นของผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคมาลาเรียเเละโรคพาร์กินสันได้เเล้ว
โดยรัฐบาลอังกฤษได้สนับสนุนเงินวิจัยอีก 5 เเสนปอนด์หรือราว 19 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเชิงรุกของรัฐบาลที่ต้องการตรวจหาผู้ติดเชื้อ COVID-19 ให้รวดเร็วที่สุด
ในการทดสอบเฟสเเรก จะใช้สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ และค็อกเกอร์ สแปเนียล 6 ตัว ที่ฝึกฝนมาเป็นพิเศษ “ดมกลิ่นตัวอย่าง” ที่หน่วยงานสาธารณสุขแห่งชาติและโรงพยาบาลลอนดอน นำตัวอย่างผู้ติดเชื้อและผู้ที่ไม่ติดเชื้อมาให้สุนัขเหล่านี้ทดลองดมกลิ่น โดยจะทำการฝึกฝนเป็นเวลา 6-8 สัปดาห์
หากการทดสอบนี้ประสบความสำเร็จ จะต่อยอดเฟสสองด้วยการการทดสอบใน “สนามจริง” เเละหากได้ผลลัพธ์ที่ดีเเละผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการ ในอนาคตสุนัขจะสามารถดมกลิ่นคัดกรองผู้ป่วย COVID-19 ได้ 250 คนต่อชั่วโมง อย่างในสนามบินหรือที่อื่นๆ หรืออาจใช้เพื่อเตือนภัยล่วงหน้าได้ด้วย
จากผลการวิจัยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาของมูลนิธิสุนัขตรวจสอบทางการแพทย์ ชี้ให้เห็นว่าสามารถฝึกสุนัขให้ดมกลิ่นโรคที่มีความเจือจางเทียบเท่ากับการละลายน้ำตาล 1 ช้อนชาในสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก 2 สระ โดยทาง ดร. Claire Guest ผู้ร่วมก่อตั้งเเละผู้บริหารมูลนิธิฯ มั่นใจว่า “สุนัขของเราจะสามารถหากลิ่นของ COVID-19 ได้”
ด้านศาสตราจารย์ James Logan เเห่งโรงเรียนสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อน ยกตัวอย่างว่า การที่สุนัขสามารถดมกลิ่นหา “เชื้อมาลาเรีย” ได้ถูกต้องก็เพราะมีกลิ่นเฉพาะตัว ดังนั้นเมื่อโรคทางเดินหายใจสามารถเปลี่ยนกลิ่นตัวคนได้ ก็มีความหวังว่าสุนัขจะตรวจหาเชื้อ COVID-19 ได้เช่นกัน
ที่มา : BBC
]]>