จากการสำรวจพนักงาน 128,278 คนในกว่า 140 ประเทศ เมื่อปีที่ผ่านมา โดย Gallup ได้เปิดเผยรายงานที่ประมาณการว่า การมีส่วนร่วมของพนักงานที่ต่ำ ทำให้เกิด ความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก 8.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 9% ของ GDP โลก
โดยแบบสำรวจดังกล่าวพบว่า พนักงานประมาณ 20% ทั่วโลกรายงานว่ารู้สึกเหงา โกรธ หรือเศร้าในแต่ละวัน และโดยเฉลี่ย 41% บอกว่าพวกเขารู้สึกเครียด และผู้ที่มีแนวโน้มจะรู้สึกเหงามากที่สุดคือ
โดยงานสามารถช่วยให้ความเป็นอยู่ของพนักงานแย่ลงหรือดีขึ้นได้ โดยรายงานของ Gallup ระบุว่า เมื่อพนักงานพบว่างานและความสัมพันธ์ในการทำงานของตนมีความหมาย งานจะสัมพันธ์กับความเพลิดเพลินในแต่ละวัน ในทางกลับกัน พนักงานที่ไม่ชอบงานของตน มักจะมีความเครียดและความกังวลในแต่ละวันในระดับสูง รวมถึงอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ ในระดับสูงด้วย
อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผลสำรวจพบว่า มีพนักงานเพียง 23% เท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการทำงาน ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า โดยพนักงานที่มีส่วนร่วมเหล่านี้ เขามองว่าตนเองเป็น เจ้าของกิจการ ในเชิงจิตวิทยา ทำให้คนกลุ่มนี้จะมีส่วนร่วมอย่างมากและกระตือรือร้นเกี่ยวกับงานและสถานที่ทำงานของตน ถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพและนวัตกรรม และองค์กรไปข้างหน้า
แต่ก็มีพนักงานมากถึง 62% ที่ไม่ยึดติดกับงานและบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% เนื่องจากความต้องการด้านการมีส่วนร่วมของพวกเขาไม่ได้รับการสนองตอบอย่างเต็มที่ พวกเขาจึง ทุ่มเทเวลาแต่ไม่ได้ใช้พลังงานหรือความหลงใหลในการทำงาน
ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดขององค์กร คือ การเน้นย้ำความเป็นอยู่ที่ดีทั้งในที่ทำงานและในชีวิต และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการพัฒนาผู้จัดการเป็นอันดับแรก เพราะ เมื่อผู้จัดการมีส่วนร่วม พนักงานมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมมากขึ้น
“หน่วยธุรกิจที่พนักงานมีส่วนร่วมสูง มีแนวโน้มที่จะเห็นความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับประสิทธิภาพการทำงาน ความสามารถในการทำกำไร และการขายที่สูงกว่าทีมที่มีส่วนร่วมต่ำ”
]]>จากการสำรวจของ Decoding Global Talent Report ประจำปี 2024 โดย Boston Consulting Group (BCG) ร่วมกับ The Network และ The Stepstone Group ที่สุ่มสำรวจมากกว่า 150,000 รายใน 188 ประเทศ พบว่า 3 เหตุผลที่คนอยากย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศ คือ
และแม้จะมีข้อกังวลด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของหลาย ๆ ประเทศ แต่คนก็ยัง มองหางานในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยคนที่โยกย้ายไปทำงานต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น +23% ในปี 2566 จากเดิมเพียง 21% ในปี 2563 และ แรงงานทักษะสูงมากถึง 800 ล้านคน สามารถหางานในต่างประเทศได้
โดย ลอนดอน ครองแชมป์ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2014 ยังคงรักษาตำแหน่งสูงสุดมาตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจัยสำคัญมาจากที่ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก, มีโอกาสทางการเงินมากมาย, แบรนด์ที่เปิดกว้างและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการเข้าถึงทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ในส่วนของ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีทั้งหมด 9 เมือง ที่ติดใน 30 อันดับแรก ได้แก่
สิงคโปร์ จุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของเอเชีย และอันดับที่ 7 ของโลกมีความน่าสนใจที่ สามารถดึงทาเลนต์จากประเทศรอบข้าง เช่น มาเลเซีย (30%) ไทย (22%) อินโดนีเซีย (19%) ฟิลิปปินส์ (14%) และฮ่องกง (13%) โดย 74% ของทาเลนต์ที่ย้ายไปสิงคโปร์มองว่าเป็นเพราะ คุณภาพของโอกาสในการทำงาน อีก 57% ชอบคุณภาพชีวิตในสิงคโปร์ และ 55% ชอบความปลอดภัย
“การจ้างแรงงานต่างชาติไม่เพียงแต่เติมเต็มช่องว่างด้านกำลังการผลิตเท่านั้น แต่บริษัทที่มีความหลากหลายระดับโลกมากขึ้นยังมีนวัตกรรมและความสำเร็จมากกว่าอีกด้วย พวกเขาสร้างผลกำไรที่สูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเป็นนักสร้างสรรค์ระดับโลกมากกว่า 75%”
]]>รายได้เฉลี่ย: 44,474 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 1,556,000 ล้านบาท)
คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 8.6 เต็ม 10
คะแนนความสุข: 7.6 เต็ม 10
รายได้เฉลี่ย: 44,367 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 1,552,000 บาท)
คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 8.3 เต็ม 10
คะแนนความสุข: 7.4 เต็ม 10
รายได้เฉลี่ย: 71,401 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 2,499,035 บาท)
คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 5.2 เต็ม 10
คะแนนความสุข: 7 เต็ม 10
รายได้เฉลี่ย: 46,196 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 1,161,000 บาท)
คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 8.5 เต็ม 10
คะแนนความสุข: 7.4 เต็ม 10
รายได้เฉลี่ย: 82,191 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 2,876,000 บาท)
คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 7.7 เต็ม 10
คะแนนความสุข: 7.5 เต็ม 10
โคเปนเฮเกนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองอันดับ 1 ของโลกที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตที่ดีและให้เงินเดือนที่แข่งขันได้ โดยเมืองหลวงของเดนมาร์กมีเงินเดือนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 44,474 ดอลลาร์/ปี แม้ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยเงินเดือนที่สูงที่สุด แต่คะแนนความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานสูงถึง 8.6 เต็ม 10 คะแนน เนื่องจากโคเปนเฮเกนได้รับการยกย่องว่า เป็นเมืองที่ปลอดภัย สินค้าอุปโภคบริโภคราคาย่อมเยา มีสวัสดิการที่น่าสนใจแก่คนงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Remote Working และนโยบายการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร
ที่น่าสนใจคือการติดอันดับของ นิวยอร์ก เพราะเป็นหนึ่งในเมืองที่มี ค่าครองชีพแพงสูงสุดของโลก และถือเป็นเมืองที่ต้อง เร่งรีบ แต่กลายเป็นว่านิวยอร์กกลับมีคะแนนความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก เช่น ฮ่องกงและดูไบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าชาวนิวยอร์กมีรายได้มากกว่า
ในขณะเดียวกัน ปักกิ่ง ลิสบอน และ บูดาเปสต์ ถือเป็นเมืองที่เลวร้ายที่สุดสำหรับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน จากข้อมูลของ เนื่องจากทั้ง เมืองนี้มี เงินเดือนเฉลี่ยต่อปีต่ำกว่าที่อื่น เมืองเหล่านี้มีเงินเดือนเฉลี่ยต่อปีต่ำตั้งแต่ 12,664-18,366 ดอลลาร์ (ราว 443,000-642,000 บาท) นอกจากนี้ยัง มีตำแหน่งงานที่ว่างน้อย ทำให้การหางานมีการแข่งขันที่สูง
ส่วนอันดับ 4 และ 5 ของเมืองยอดแย่ ได้แก่ ดูไบ และ ฮ่องกง ตามลำดับ แม้ว่าช่วงเงินเดือนเฉลี่ยจะดีขึ้นเป็น 34,271-50,853 ดอลลาร์ (1,199,000-1,779,000 บาท) แต่เมืองเหล่านี้ก็ยังขาดคะแนนความสุข (6.6 และ 5.4 ตามลำดับ) และคะแนนค่าครองชีพเทียบกับเงินเดือนเฉลี่ยของเมือง (ตั้งแต่ 57.2 ถึง 70.6)
]]>ในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 มีทั้งบริษัทที่ได้ผลกระทบในเชิงบวก และก็มีหลายบริษัทที่ได้ผลกระทบในเชิงลบ ทำให้พนักงานประจำหลายคนเลือกที่จะกอดงานที่รักไว้ให้แน่น ๆ เพราะไม่อยากตกงาน แต่หลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายลง แม้เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เห็นการเลย์ออฟพนักงานโดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยี แต่พนักงานในปัจจุบันกลับพร้อม หางานใหม่ และคนที่กำลัง มองหางาน เขามีความมั่นใจว่า ยังไงก็หางานได้
โดยจากผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามยังคงรู้สึกมั่นใจที่จะมองหาโอกาสใหม่ ๆ แม้จะกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่บ้าง แต่มีสัดส่วนถึง 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มองว่า อำนาจในการเจรจาต่อรองในตำแหน่งงานต่าง ๆ ยังคงเป็นของพวกเขา โดยมีจำนวนผู้สมัครงานทั่วภูมิภาคถึง 74% ที่ได้รับ การติดต่อเรื่องตำแหน่งงานใหม่ ๆ ปีละหลายครั้ง และ 36% ได้รับการติดต่อทุกเดือน ส่วนใน ประเทศไทย ตัวเลขเหล่านี้ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 68% และ 34% ตามลำดับ
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือ 59% ของผู้สมัครงาน พร้อมจะทำงานกับบริษัทที่มีกระบวนการสรรหาที่ดี และ 39% เลือกจะปฏิเสธข้อเสนอ หากเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีในตอนสัมภาษณ์หรือสรรหาคน ซึ่งสิ่งที่ผู้สมัครอยากมีคือ สามารถเจรจาต่อรอง เปิดใจ มีพื้นที่ให้เขาแสดงความเป็นตัวตน ไม่ได้มองเขาเป็นหุ่นยนต์หรือกระดาษ ความมีการสนทนาเหมือนการทำความรู้จักตั้งแต่เริ่มเลย
ผู้ตอบแบบสอบถาม 71% มองว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือ งานที่มั่นคงและความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามในไทยมีสัดส่วนมากถึง 77% ที่มีความเห็นในทิศทางเดียวกัน โดยผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าปัจจัยอันดับ 1 ในการพิจารณาเมื่อตัดสินใจหางานใหม่ก็คือ เงิน (22%) ตามด้วย ความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน (17%) นอกจากนี้จำนวนวันลาหยุดและความมั่นคงของงานเป็นปัจจัยอันดับ 3 ที่ผู้สมัครงานให้ความสำคัญ
ทั้งนี้ 3 เหตุผลแรกที่ทำให้ผู้สมัครงานเริ่มมองหางานใหม่คือ
“ความคาดหวังของผู้คนที่มีต่องานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้สมัครงานส่วนใหญ่ไม่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อทำงานอีกต่อไปแต่พวกเขาต้องการทำงานเพื่อใช้ชีวิต” ซาการ์ โกเอล พาร์ตเนอร์และผู้ช่วยผู้อำนวยการ BCG กล่าว
ปัจจุบัน ความมั่นคง ขององค์ไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะยื้อให้พนักงานอยู่กับองค์กร แต่เป็น การเรียนรู้ ในที่ทำงานนั้น ๆ เพราะเขามองว่าการเปลี่ยนแปลงมันเร็วมาก ดังนั้น การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เขามองหา องค์กรที่ทำให้เขามีความสามารถมากขึ้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอยู่กับองค์กรต่อไป ซึ่งผู้ประกอบการต้องเข้าใจว่าอัตราเงินเดือนที่สูงอาจเป็นหนทางหนึ่งในการดึงดูดคนมีความสามารถ อย่างไรก็ตาม เงินเดือนดังกล่าวไม่อาจรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้ในระยะยาว
“ปัจจุบันพนักงานจะอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานเฉลี่ย 2 ปีครึ่ง คนที่ทำงานนาน 30-40 ปีในที่เดียวปัจจุบันเป็นอะไรที่ว้าวมาก และในอนาคตคงไม่ได้เห็นอีกแล้ว เพราะตอนนี้คนมั่นใจว่าเขาจะสามารถหางานใหม่ได้ สิ่งที่เขาต้องการคือ Work Life Balance และองค์กรที่เพิ่มสามารถเพิ่มความสามารถให้เขา”
Work Life Balance เปลี่ยนไปตามตลาดแรงงาน ปัจจุบันก็คือ Hybrid Work โดย 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า พวกเขาต้องการทำงานแบบไฮบริด เขาไม่ต้องทำงานในออฟฟิศ 5 วัน/สัปดาห์ มีเพียง 22% ที่ ต้องการเข้าออฟฟิศ 100%
สำหรับประเทศไทย ผู้สมัครงานมากถึง 72% ต้องการการทำงานแบบ Hybrid ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกถึง 18% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง 10%
“คนรุ่นใหม่ไม่ได้ไม่อยากเข้าออฟฟิศเลย เขายังอยากเข้าออฟฟิศบ้างไม่ใช่ทุกวัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอยากมีส่วนร่วมกับองค์กรกับเพื่อนร่วมงาน มีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน แต่เขาแค่ไม่อยากเข้าออฟฟิศ 5 วัน/สัปดาห์”
ในขณะที่ทั่วภูมิภาคต้องการแข่งงานด้านไอที แต่สำหรับประเทศไทย นางสาวดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ JobsDB Thailand (จ๊อบส์ ดีบี ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สายงานไอทีไม่ใช่อันดับ 1 ที่ตลาดแรงงานไทยต้องการ แต่เป็น สายงานผู้ใช้แรงงาน (58%) และ ภาคธุรกิจบริการ (57%) เนื่องจากการท่องเที่ยวที่กลับมาเติบโตอย่างมาก
ส่วนไอทีตลาดก็ยังมีความต้องการเป็นจำนวนมาก สะท้อนจากจำนวนการเสนองานต่อสัปดาห์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมล้วนปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในปัจจุบัน
“ภาคบริการตอนนี้ต้องไปหาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน คนที่เคยทำงานบริการตอนนี้ก็หันไปทำธุรกิจส่วนตัว หรืออยู่ตัวกับงานใหม่ทำให้เขาไม่กลับมา ซึ่งโจทย์ของผู้ประกอบการตอนนี้คือ ต้องคอยพัฒนาสกิลใหม่ ดังนั้น ธุรกิจบริการเริ่มมีแนวคิดในการจัดอบรม หรือเปิดสถาบันฝึกวิชาชีพให้กับงานภาคบริการ เพื่อให้พร้อมทำงานได้เลย”
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนเเรกของปีนี้ คนไทยว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 7.6 แสนคน คิดเป็น 1.96% เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายระลอก นับตั้งแต่เดือน ม.ค.เป็นต้นมา
โดยอัตราการว่างงานของแรงงานในระบบ พบว่า ผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานของผู้ประกันตนมาตรา 33 มีจำนวน 3.46 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 3.1% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่การระบาดยังไม่รุนแรงแต่ปรับตัวลดลงจากครึ่งปีหลัง
เเบ่งเป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ประมาณ 8 หมื่นคน ในเดือน มี.ค. ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง และลูกจ้างของสถานประกอบการที่ขอใช้มาตรา 75 ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 82,346 คน ลดลงเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน
ส่วนชั่วโมงการทำงานรวมอยู่ที่ 40.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลง 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 การทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นถึง 129.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4
“จากภาพรวมที่ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานลดลง สะท้อนการจ้างงานและการทำงานที่ไม่เต็มเวลา ทำให้แรงงานมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน”
โดยกำลังแรงงานมีจำนวนทั้งสิ้น 38.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.5% จากการเข้าสู่ตลาดแรงงานของผู้อยู่นอกกำลังแรงงานอย่างต่อเนื่อง
เเละมียอด ‘ผู้มีงานทำ’ ในไทยทั้งสิ้น 37.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.4% จากการขยายตัวของการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ดูดซับแรงงานบางส่วนที่ถูกเลิกจ้างจากภาคเศรษฐกิจอื่นมาตั้งแต่ปี 2563 ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรมีการปรับตัวสูงขึ้น รวม 11.07 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรม การจ้างงานปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 0.6% โดยสาขาการผลิตอุตสาหกรรมมีการจ้างงานลดลง 2.2%
ปริมาณนักท่องเที่ยวที่ลดลงเเละมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้ภาคบริการ จ้างงานลดลง 0.7% สาขาการขายส่ง/ขายปลีกลดลง 1.0% และสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า ลดลง 0.4% และสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารลดลง 0.2%
“เเต่บางอุตสาหกรรมที่ยังสามารถขยายตัวได้ เช่น ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก อุปกรณ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ และการผลิตเครื่องอุปกรณ์การขนส่งอื่น ๆ”
ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. ระบุว่า ผลกระทบของโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน ในปี 2564 ที่ต้องติดตามเเละเเก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้เเก่
1) แรงงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) อาจตกงานมากขึ้นหรือถูกลดชั่วโมงการทำงาน
โดยธุรกิจ MSMEs ได้รับผลกระทบตั้งแต่ปี 2563 ทำให้ GDP ของ MSMEs ปรับตัวลดลงสูงถึง 9.1% หากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างรวดเร็ว ธุรกิจเหล่านี้อาจไม่สามารถประคองตัวต่อไปได้ รวมถึงการเลิกจ้างแรงงาน และโอกาสการกลับมาฟื้นตัวอาจใช้เวลานานมากขึ้น
2) แรงงานในภาคท่องเที่ยวอาจถูกเลิกจ้างมากขึ้น และต้องหาอาชีพใหม่
ปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคการท่องเที่ยวที่มีอยู่กว่า 7 ล้านคน โดยหากแรงงานถูกเลิกจ้างจะไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานในสาขาเดิมได้ในระยะเวลาอันใกล้ และอาจต้องเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งรัฐบาลจะพิจารณาว่าจะสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร
3) ตำแหน่งงานอาจไม่เพียงพอจะ รองรับนักศึกษาจบใหม่
กระทบกับการหางานของ นักศึกษาจบใหม่ในปี 2564 ประมาณ 4.9 แสนคน ขณะที่โครงการจ้างงานกลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่และแรงงานคืนถิ่นภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ในปี 2563 ซึ่งมีระยะเวลาการจ้างงานประมาณ 12 เดือนกำลังจะสิ้นสุดลง อาจส่งผลกระทบต่อแรงงานภายใต้โครงการประมาณ 1.4 แสนตำแหน่ง
4) เเรงงานรายได้ลดต่อเนื่อง เสี่ยงตกงานยาว
ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของแรงงาน เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ชั่วโมงการทำงานที่ลดลง 6 ไตรมาสติดต่อกันและการว่างงานเพิ่มขึ้นสะท้อนว่าแรงงานมีรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
“ผู้ว่างงานจากผลกระทบของ COVID-19 มีแนวโน้มเป็นผู้ว่างงานระยะยาวมากขึ้น”
นอกจากนี้ยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ที่จะมีผลต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรไทยด้วย
หนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 4 ของปี 2563 มีมูลค่า 14.02 ล้านล้านบาท ขยาย 3.9% จาก 4% ในไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว
เเม้ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น แต่ยังต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน (สินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ) ยังอยู่ในระดับสูง
โดยในไตรมาส 4 ปี 2563 สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.84% ลดลงจาก 2.91% ในไตรมาสก่อน เป็นผลจากการดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ผ่านมาของสถาบันการเงิน
เเต่จากปัญหาตลาดแรงงานที่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น จะทำให้รายได้ของแรงงานลดลง และทำให้ครัวเรือนประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องมากขึ้น
“คาดว่าแนวโน้มการก่อหนี้ของครัวเรือนในปี 2564 สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี จะยังคงอยู่ในระดับสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับไปในระดับก่อนโควิด-19”
ครัวเรือนจะระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะการชะลอการซื้อสินค้าในกลุ่มสินค้าคงทน ทำให้ความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ชะลอตัวลง
ด้านความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอาจ ‘ปรับตัวเพิ่มขึ้น’ จากปัญหาการขาดสภาพคล่องรวมทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าระวังการ ‘ก่อหนี้นอกระบบ’ โดยเฉพาะกับครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครัวเรือนมีรายได้ และสามารถรักษาระดับการบริโภคไว้ในระดับเดิม
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือ ตอนนี้ประชาชนเริ่มนำ ‘เงินออม’ ออกมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น จึงต้องมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น เวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย มาไว้รองรับในระยะถัดไป
]]>
ตั้งแต่เกิดวิกฤติไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดใช้งานของ Uber แพลตฟอร์ม Ride-Hearing ชื่อดังหดลงอย่างมหาศาล อย่างในเมืองซีแอตเทิลซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักยอดการใช้งานลดลงกว่า 60-70% รวมไปถึงเมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น ซานฟรานซิสโก, ลอสแองเจลิส และนิวยอร์ก โดยคาดว่าภาพรวมยอดใช้งานของ Uber ลงถึง 50%
ส่งผลให้ Uber ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่ในแอปของผู้ขับ (Driver) เรียกว่า Work Hub ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สร้างรายได้จากกิจการอื่น ๆ ทั้งรับการสั่งซื้อผ่าน Uber Eats รวมถึงบริการ Uber Freight บริการจับคู่ระหว่างคนขับรถบรรทุก และบริษัทที่ต้องการให้ไปส่งสินค้า (cargo) ที่กำลังมองหาคนขับที่มีใบขับขี่เชิงพาณิชย์เพื่อช่วยในการขนส่งสินค้า
“Work Hub ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ค้นหาโอกาสใหม่ ๆ อย่างการเพิ่มขึ้นของ Uber Eats โดยเฉพาะในเมืองต่าง ๆ เช่น Seattle และ San Francisco รวมถึงการส่งของต่าง ๆ ซึ่ง 2 บริการนี้จะช่วยให้ไดรฟ์เวอร์ส่งคน สามารถหารายได้เพิ่มเติมได้”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีงานมากพอที่จะครอบคลุมทุกไดรฟ์เวอร์ที่ต้องการหารายได้ ดังนั้นบริษัทจึงร่วมมือกับบริษัท ภายนอกหลายสิบแห่ง เพื่อช่วยเติมเต็มช่องว่าง ผ่านโครงการ Uber Works โดยบริษัททำงานร่วมกับบริษัทจัดหาพนักงานในชิคาโก ดัลลัสและไมอามีเพื่อเชื่อมต่อไดรเวอร์กับงานชั่วคราวในร้านขายของชำ, การผลิตอาหารและธุรกิจซัพพลายเชนที่ต้องการพนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงเป็นพาร์ตเนอร์กับชุดอาหารของ Kroger และ Home Chef บริษัทจัดส่งอาหารซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองชิคาโก
นอกจากนี้ Work Hub จะเปิดรับสมัครงาน โดยมีบริษัทเกือบ 15 แห่ง ที่กำลังสนใจจ้างงานในตอนนี้ อาทิ 7-Eleven, Albertsons, Dollar Tree, FedEx, Hertz, Land O’Lakes, McDonald’s, PepsiCo, UPS และ Walgreens และอื่น ๆ
#Uber #Ubereats #Fooddelivery #Covid19 #Positoiningmag
]]>ปัจจุบันคนที่มีฐานะร่ำรวยในอเมริกามีจำนวนเพิ่มขึ้น รายได้ที่สูงขึ้นก็มักตามมาด้วยความต้องการด้านบริการเเละสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตมากขึ้นด้วย อย่างเช่น การไปนวด เข้าร้านเสริมสวยทำเล็บทำผม หรือมีเงินจ้างคนให้พาสุนัขไปเดินเล่น
งานเหล่านี้มักถูกเรียกว่า “ลูกจ้างคนรวย” (wealth workers) ซึ่งเป็นงานภาคบริการที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับตำแหน่งงานสำหรับชาวอเมริกันที่เป็นคนชั้นกลางที่ยังคงลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง
เเม้ว่าจะตำเเหน่งงานเหล่านี้จะมีมากขึ้นเเละดึงดูดใจให้ใครหลายคนอยากทำ เเต่ก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกด้าน นั่นคือเรื่องสวัสดิการที่ไม่ครอบคลุมเเละค่าจ้างต่ำ
Mark Muro เจ้าหน้าที่อาวุโสของสถาบัน Brookings Institute กล่าวว่า คนที่มีรายได้สูงยินดีที่จ่ายเงินซื้อบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างครูสอนโยคะ จ้างคนจูงสุนัขไปเดินเล่น หรือจ้างคนดูแลตารางการทำงานให้ ขณะเดียวกันคนที่อยากจะมาทำงานบริการเเนวนี้ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
รายงานจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ ระบุว่า อาชีพด้านการให้บริการส่วนบุคคล กำลังเป็นอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดของตลาดงานสำหรับคนงานที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และคาดว่างานประเภทนี้จะเติบโตขึ้นอีกราว 17% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้มีตำแหน่งงานใหม่มากกว่า 1 ล้านตำแหน่ง
โดยงานที่ให้บริการคนรวยในอเมริกาตอนนี้ ส่วนใหญ่มีเเนวโน้มเป็น ผู้หญิงเเละเป็นชาวละติน หลายคนไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และอาจทำงานหลายอย่างพร้อมกันเพื่อให้บริการแก่ผู้ที่มีฐานะทางการเงินดีกว่าตัวเอง
ข้อมูลจากสถาบัน Brookings Institute ชี้ว่า อาชีพช่างทำเล็บมือและเล็บเท้า เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงปี 2010 – 2017 โดยอาชีพครูฝึกออกกำลังกาย ครูสอนโยคะ และคนรับจ้างเดินจูงสุนัขไปเดินเล่น เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าของอัตราการจ้างงานโดยรวม
“เราไม่ได้กังวลถึงการอยู่ของอาชีพเหล่านี้ เพราะมันเป็นไปตามโครงสร้างการทำงานในอเมริกา เเต่สิ่งที่เรากังวลคือการได้รับค่าตอบเเทนที่ไม่ค่อยดีนัก” Muro กล่าว
ทุกวันนี้มีผู้คนอย่างน้อย 3 ล้านคนในสหรัฐ ที่ต้องพึ่งพางานประเภทนี้เพื่อเลี้ยงชีพ ถึงเเม้ว่าจะ “ไม่ใช่งานที่ดีนักและค่าตอบแทนน้อย” เเละเสี่ยงที่จะถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ อีกทั้งยังไม่ค่อยได้รับสวัสดิการทั้งในเรื่องการลาป่วย วันลาพักร้อน หรือเงินบำเหน็จบำนาญ ดังนั้นคนที่ทำงานเหล่านี้จึงจัดอยู่ในกลุ่มที่ถูกใช้งานอย่างไม่ยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม งานบริการนี้ได้ให้โอกาสกับผู้อพยพ โดย 1 ใน 3 ของแรงงานในสหรัฐอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
แบบ Gig Economy (ทำงานอิสระ) เป็นสัดส่วนถึง 10% ของพนักงานเต็มเวลา ขณะที่อีกส่วนหนึ่งพยายามทำงานเสริม เช่น เป็นคนขับ Uber เพื่อเพิ่มรายได้
โดย Louis Hyman ผู้อำนวยการศูนย์ Workplace Studies ของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องดีต่อเศรษฐกิจเพราะการที่มีคนจำนวนมากต้องการให้คนทำงานเหล่านั้นก็เป็นอุปสงค์ที่มีพลัง คำถามคือไม่ใช่การจะกำจัด Gig Economy ออกไปยังไง เเต่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงอย่างไรมากกว่า เเละนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเฉพาะคนที่ทำงานประเภทนี้เท่านั้นเเต่รวมไปถึงคนที่มีค่าแรงต่ำในอเมริกาทั้งหมดด้วย
Hyman เสนอทางช่วยเหลือว่า อาจจะต้องมีการตั้งค่าระบบบัญชีส่วนตัวของพนักงานเหล่านี้ เมื่อทุกครั้งที่มีค่าจ้างจากนายจ้างเข้ามาก็จะเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพหรือบัญชีออมทรัพย์ด้วย เป็นต้น
นอกจากนี้ เขายังเป็นห่วงเรื่องสังคมของคนอเมริกัน ที่งานบริการมักแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน จึงขอเรียกร้องให้มีการเคารพในอาชีพเเละการทำงานของผู้คนในส่วนนี้ด้วย
ที่มา VOA : US Fastest Growing Jobs: Caring for the Wealthy
ภาพ : AP Photo/Julio Cortez