“จิม ทอมป์สัน ไม่ใช่แบรนด์ขายของนักท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่แบรนด์แฟชั่น แต่เราเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์” แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ผู้บริหารแบรนด์จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) กล่าวถึงการปรับจุดยืนทางการตลาดให้ชัดเจนของจิม ทอมป์สัน หลังจากเขาเข้ามารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนมีนาคม 2564
แฟรงก์มองภาพตลาดโลกว่าแบรนด์ที่มีลักษณะเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ระดับไอคอนิก คือมีผลิตภัณฑ์หลากหลายครบทั้งแฟชั่น ของแต่งบ้าน และร้านอาหาร และมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มองว่ามีเพียง 2 แบรนด์เท่านั้น คือ Ralph Lauren จากสหรัฐฯ และ Giorgio Armani จากยุโรป
ขณะที่เอเชียยังไม่มีแบรนด์ลักษณะนี้ที่ก้าวขึ้นสู่ระดับโลกได้ แฟรงก์จึงวางเป้าว่า “จิม ทอมป์สัน” จะก้าวขึ้นเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ระดับโลกแบรนด์แรกจากเอเชีย
ด้วยไลน์ธุรกิจของจิม ทอมป์สันที่พร้อมเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ มีทั้งธุรกิจ “แฟชั่น” ด้วยหน้าสาขา 25 สาขาในไทย ธุรกิจ “ตกแต่งบ้าน” ขายผ้าหุ้มเฟอร์นิเจอร์และวอลเปเปอร์ มีตัวแทนจำหน่าย 60 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่มีการใช้งานในโรงแรมหรูต่างๆ รวมถึงมีธุรกิจ “ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม” ณ บ้านจิม ทอมป์สัน ริมคลองแสนแสบ
นอกจากนี้ จิม ทอมป์สันยังมีประวัติศาสตร์จากชีวิตที่น่าสนใจของผู้ก่อตั้งแบรนด์ อดีตสถาปนิกและทหารชาวอเมริกันที่เข้ามาปักหลักในไทย ผลักดันผ้าไหมไทยให้มีชื่อเสียง และเป็นนักสะสมงานศิลปะตัวยง ก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับที่มาเลเซีย
“แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถเป็น Ralph Lauren หรือ Giorgio Armani ได้ใน 2-3 ปี แต่ในระยะยาวเราเชื่อว่าทำได้” แฟรงก์กล่าว
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จิม ทอมป์สันเริ่มลงทุน ‘หลายล้าน’ เหรียญสหรัฐในการปรับฟื้นสีสันให้แบรนด์ไปหลายส่วน เพื่อให้แบรนด์ดูทันสมัยและเชื่อมโยงกับผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น ได้แก่
บางส่วนนอกจาก ‘ปรับ’ แล้วยังมีการ ‘ปิด’ ไปก่อนเพื่อรอการปรับให้เรียบร้อย เช่น หน้าสาขาแฟชั่นที่เคยมี 45 สาขาในช่วงก่อนโควิด-19 ลดลงมาเหลือ 25 สาขา หรือ ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน ที่เคยมี 3 สาขาต่างประเทศที่สิงคโปร์และญี่ปุ่นก็ต้องปิดไปก่อน เพราะแฟรงก์ต้องการจัดคอนเซ็ปต์ร้านให้ดีขึ้น
หลังปรับฐานภายในเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี 2567 จะได้เห็น “จิม ทอมป์สัน” บุกตลาดอย่างชัดเจนขึ้น โดยมี 4 แผนงานที่จะทำ ได้แก่
แผนปี 2567 คือจุดเริ่มต้นของการสยายปีกครั้งใหม่ ตามด้วยแผนระยะ 3-5 ปีที่จะมาช่วยดันให้จิม ทอมป์สันเป็น “ไลฟ์สไตล์แบรนด์” ระดับโลก คือ
ธุรกิจนี้จะถือเป็นไลน์ธุรกิจใหม่ ไม่ใช่แค่ตกแต่งบ้าน แต่แตกไลน์เป็นของใช้ในบ้านต่างๆ ที่สินค้าจิม ทอมป์สันจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้ง่ายขึ้น เช่น ชุดคลุมนอน, สลิปเปอร์, ผ้าปูเตียง, ผ้าปูโต๊ะ ขณะนี้อยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาสินค้า คาดว่าจะเริ่มเปิดไลน์สินค้าได้ในปี 2569
แฟรงก์กล่าวว่า ปัจจุบันรายได้ 2 ใน 3 ของจิม ทอมป์สันมาจากธุรกิจแฟชั่น และ 1 ใน 3 มาจากธุรกิจตกแต่งบ้าน แต่เชื่อว่าอนาคตเมื่อเปิด ‘Maison’ แล้ว นี่จะเป็นหัวหอกใหม่ในการทำตลาด เพราะจับต้องได้ง่าย ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากกว่า
ตึกจิม ทอมป์สันที่ ถ.สุรวงศ์ เป็นสาขาแรกที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2510 จะมีการเนรมิตสาขานี้ใหม่ให้เป็นคอนเซ็ปต์สโตร์ เน้นการโชว์เคสสินค้า ศิลปะ คาเฟ่ ทุกอย่างที่เป็นตัวตนของจิม ทอมป์สัน รวมถึงเปิดพื้นที่ให้ดีไซเนอร์ที่น่าสนใจมาแสดงผลงานร่วมกัน หวังปั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ คาดจะเริ่มปรับปรุงปลายปี 2567 และเปิดบริการปี 2568
กลยุทธ์เปิดโรงแรมบูทีคเพื่อเป็นโชว์เคสด้านงานผ้าและร้านอาหาร-คาเฟ่ คาดจะสรุปโครงการได้ใน 3-5 ปีโดยต้องหาผู้ลงทุนร่วม
เผยแพร่ประวัติผู้ก่อตั้งแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านมินิซีรีส์ ปัจจุบันร่างสตอรีบอร์ดเพื่อเป็นมินิซีรีส์ 10 ตอน ตอนละ 50 นาที อยู่ระหว่างนำเสนอสตูดิโอสตรีมมิ่ง เช่น Netflix, HBO, Prime Video เพื่อหาผู้ลงทุน คาดได้ฉายในปี 2568
ทั้งนี้ ในส่วนที่บริษัทจะลงทุนเองคือธุรกิจใหม่ ‘Maison’ และคอนเซ็ปต์สโตร์ที่ ถ.สุรวงศ์ คาดใช้งบ 100-150 ล้านบาท
สำหรับรายได้ของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมไหมไทย แฟรงก์ขอสงวนไม่เปิดเผย แต่ยอมรับว่าในช่วงโควิด-19 ถือเป็นช่วงที่สาหัสของบริษัท มีผลขาดทุนต่อเนื่องจนมีการลดสาขาและลดพนักงาน อย่างไรก็ตาม ปี 2566 นี้บริษัทคาดจะกลับมาทำกำไรได้ในที่สุด เพราะการปรับตัว ปรับแบรนด์ ปรับสาขาดังที่กล่าวข้างต้น ทำให้กำไรปรับดีขึ้นตาม
อ่านเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
]]>