ตลาดรถอีวี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 13 Aug 2024 08:28:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ยอดขาย ‘รถอีวี’ ทั่วโลกเดือนก.ค.โต 21% หลังได้แรงหนุนจากตลาด ‘จีน’ ที่ทำสถิติเติบโตสูงสุด https://positioningmag.com/1486005 Tue, 13 Aug 2024 08:02:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486005 ดูเหมือนยอดขายทั่วโลกของรถยนต์ไฮบริดไฟฟ้าและปลั๊กอินยังไปต่อได้ โดยในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 21% โดยปัจจัยหลักมาจากยอดขายของ จีน ที่ถือว่าเติบโตสูงสุดในปี 2024 แม้ว่าการเติบโตจากฝั่งยุโรปจะลดลงก็ตาม  

ตามรายงานโดย Rho Motion เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเดือนกรกฎาคม โดยรวมทั้ง รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) มียอดรวมทั่วโลกอยู่ที่ 1.35 ล้านคัน โดยเฉพาะประเทศจีนมียอดขายที่ 8.8 แสนคัน เพิ่มขึ้น +31% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ขณะที่ตลาด ยุโรป มียอดขาย ลดลง -7.8% ในเดือนกรกฎาคม โดยตลาด เยอรมนี ที่ถือเป็นตลาดใหญ่สุดของยุโรป ลดลง -12% ส่วนในตลาด สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ยอดขาย เพิ่มขึ้น +7.1% 

ที่น่าสนใจคือ รถปลั๊กอินไฮบริด กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดจีน ยอดขายของรถปลั๊กอินไฮบริดช่วง 7 เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึง +70% จากปีที่แล้ว สอดคล้องกับยอดขายของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่สุดในจีนและใหญ่สุดในโลกอย่าง BYD ที่ยอดขายรถ PHEV เติบโตถึง +44% ขณะที่รถ BEV เติบโต +13%

ทั้งนี้ สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (China Passenger Car Association) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม หดตัว -5% แต่ภาค การส่งออกเพิ่มขึ้น +20% โดยยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคัน โดยขายภายในประเทศประมาณ 1.6 ล้านคัน ลดลง 10% จากปีก่อน ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เป็น 399,000 คัน รถยนต์ที่ขายไป มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่

Source

]]>
1486005
ประเมิน ‘BYD’ จะแซง ‘Tesla’ ขึ้นเบอร์ 1 ตลาดรถอีวีได้อีกครั้งในปีนี้ https://positioningmag.com/1481087 Wed, 03 Jul 2024 09:33:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481087 กำลังเป็นประเด็นร้อนในไทยเลยสำหรับแบรนด์ บีวายดี (BYD) จากจีน ที่ประกาศลดรถราคากว่า 340,000 บาท เพื่อฉลองเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ BYD ครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับตลาดโลกเอง บีวายดีก็เดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการประเมินว่าปีนี้ BYD จะแซง Tesla เป็นเบอร์ 1 ได้อีกรอบ

ตามรายงานของ Counterpoint Research คาดว่า BYD จะแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถอีวี (BEV) หลังจากที่ยอดขายในไตรมาส 2/2024 พุ่งขึ้นเกือบ +21% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีจำนวนอยู่ที่ 426,039 คัน ส่วนยอดขายของ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ลดลง -4.8% เหลือ 443,956 คัน

โดยปัจจุบัน BYD ถือเป็นผู้นำในตลาด จีน โดยเฉพาะในกลุ่มรถ BEV หรือ รถไฟฟ้าล้วน โดย Counterpoint Research คาดว่า ยอดขายรถ BEV ของจีนจะสูงกว่ายอดขายในอเมริกาเหนือถึง 4 เท่า ในปี 2024 โดยคาดว่า จีนจะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ของยอดขาย BEV ทั่วโลก จนถึงปี 2027 และยอดขาย BEV ในจีนคาดว่าจะแซงหน้ายอดขายรวมของอเมริกาเหนือและยุโรปในปี 2030

ย้อนไปในปีที่ผ่านมา ยอดการผลิตทั้งหมดของ BYD ที่มีทั้งรถอีวี และรถไฮบริด รวมแล้วมีจำนวนมากกว่า 3 ล้านคัน และแซงหน้ายอดการผลิตของ Tesla ซึ่งอยู่ที่ 1.84 ล้านคัน เป็นปีที่สองติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะรถอีวี (BEV) อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน ส่วนรถยนต์ไฮบริด 1.4 ล้านคัน ส่งผลให้ Tesla ยังคงครองเบอร์ 1 ในตลาด BEV

แม้ภาพรวมทั้งปีของ BYD จะยังสู้ Tesla ไม่ได้ แต่ก็เคยแซงหน้าเป็นครั้งแรกในช่วงไตรมาส 4/2023 แต่ก็ถูก Tesla กลับมายึดตำแหน่งคืนในช่วงไตรมาส 1/2024

อย่างไรก็ตาม อาจต้องจับตาประเด็นที่ สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อค่ายรถอีวีจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหภาพยุโรปได้อย่างชัดเจนและคาดการณ์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้ BYD จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติม 17.4% ส่วน Geely จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ส่วน SAIC จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 38.1% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในสามอัตรานี้ นอกเหนือจากภาษีมาตรฐาน 10% ที่เรียกเก็บกับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าแล้ว และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม หากการหารือกับทางการจีนไม่สามารถหาข้อยุติได้

“อัตราภาษีใหม่ของสหภาพยุโรปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ซึ่งกำลังดิ้นรนเพื่อแข่งขันกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่มีราคาต่ำกว่า ภาษีเหล่านี้อาจผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์จีนหันไปขยายตลาดเกิดใหม่ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ลิซ ลี รองผู้อำนวยการของ Counterpoint Research กล่าว

ทั้งนี้ รายงานประเมินว่าปีนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะสูงถึง 10 ล้านคัน ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงอย่างต่อเนื่องของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน การเติบโตนี้จะได้รับการสนับสนุนจากความพยายามที่มุ่งเน้นในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านต้นทุนและความคุ้มราคาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

Source

]]>
1481087
‘Tesla’ กลับมายึดแชมป์เบอร์ 1 รถอีวีอีกครั้ง หลังถูก ‘BYD’ แซงช่วง Q4/2023 https://positioningmag.com/1468778 Wed, 03 Apr 2024 02:06:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468778 หลังจากที่ เทสล่า (Tesla) ยึดตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาด รถอีวี มายาวนานติดต่อกันถึง 9 ปี แต่ในช่วง Q4/2023 ที่ผ่านมาก็ถูกแย่งตำแหน่งโดย บีวายดี (BYD) อย่างไรก็ตาม Tesla ไม่ยอมเป็นเบอร์ 2 นาน โดย Q1/2024 นี้ก็สามารถกลับมาเป็นเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง 

BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีน รายงานยอดขายในไตรมาสแรกปี 2024 อยู่ที่ 300,114 คัน ลดลง 43% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2023 ที่มียอดขายสูงถึง 526,409 คัน ส่งผลให้ BYD ต้องส่งคืนตำแหน่ง เบอร์ 1 ในตลาดรถอีวีให้กับ Tesla แชมป์เก่า หลังจากที่เคยแย่งตำแหน่งมาได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2023

อย่างไรก็ตาม แม้ Tesla จะกลับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอีกครั้งด้วยยอดขาย 386,810 คัน แต่ถือว่ายอดขายลดลง 20.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2023 และลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2023 นอกจากนี้ อัตราการผลิตยังลดลงประมาณ 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลง -29% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2022 และลดลงเป็นรายไตรมาสสูงสุดเป็นอันดับสามนับตั้งแต่การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทในปี 2010 หุ้นเทสลาปิดลดลงประมาณ 5% ในวันอังคารที่ 166.63 ดอลลาร์ต่อหุ้น

การที่ยอดขายของ BYD และ Tesla ที่ลดลงเป็นผลมาจากความต้องการโดยรวมที่ลดลงและการชะลอตัวของตลาดจีน อย่างไรก็ตาม การที่ Tesla กลับมาครองตำแหน่งเบอร์ 1 ได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของแบรนด์ระดับโลกของบริษัทจะไม่ถูกล้มได้ง่าย ๆ โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองบริษัทคาดว่าการเติบโตของยอดขายรถอีวีในจีนในปีนี้จะชะลอตัวลง

สำหรับยอดขายรวมรถยนต์ทุกประเภทของ BYD ในช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ 626,263 คัน เติบโต 13.4% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 แต่ถือว่า ลดลง 33.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2024 ที่ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 944,779 คัน 

แม้ว่ายอดขายจะลดลงเมื่อเทียบกับระดับสูงสุด แต่ BYD ได้ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีที่ 3.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 20% จากยอดขายปีที่แล้ว

Source

]]>
1468778
หมดยุคตื่นทอง! คาดอีก 3 ปี ค่าย ‘รถอีวี’ ราว 15% จะ ‘ล้มละลาย’ หรือ ‘โดนซื้อกิจการ’ https://positioningmag.com/1467292 Fri, 22 Mar 2024 08:54:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467292 หากนับเฉพาะตลาดประเทศไทย จะเห็นว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี นั้นเติบโตอย่างมาก โดยมียอดจดทะเบียนรถใหม่ทั้งหมดกว่า 7 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 695.9% มากเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน แต่ในภาพของตลาดโลก การเติบโตเริ่มชะลอตัวลง โดยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 31% ลดลงจากปี 2565 ที่เติบโต 60%

อีก 3 ปี ต้นทุนผลิตรถอีวีถูกกว่ารถสันดาป

ล่าสุด เปโดร ปาเชโก รองประธานฝ่ายวิจัยของ การ์ทเนอร์ ได้ออกมาคาดการณ์ว่า ภายในปี 2570 ต้นทุนการผลิตของ รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEVs) จะถูกลงเมื่อเทียบกับ รถยนต์เครื่องสันดาป (ICE) ในเซกเมนต์เดียวกัน ในขณะที่ผู้ผลิต OEM เดินหน้าพลิกโฉมงานด้านการผลิตควบคู่ไปกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ในปีถัด ๆ ไปนี้ จะเห็นต้นทุนการผลิตรถ BEV ลดลงเร็วกว่าต้นทุนแบตเตอรี่อย่างมาก

“นั่นหมายความว่า BEV จะมาถึงจุดที่มีต้นทุนการผลิตเท่ากับ ICE ได้รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการซ่อมแซม BEV บางส่วนมีราคาสูง” ปาเชโก กล่าว

ต้นทุนรถถูกลง แต่ต้นทุนการซ่อมสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนเฉลี่ยของการซ่อมแซมตัวถังรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่จากอุบัติเหตุรุนแรงจะเพิ่มขึ้น 30% ส่งผลให้ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุและเสียหายนั้นมีแนวโน้มที่จะ Write-Off มากกว่าซ่อมแซม เนื่องจากค่าซ่อมแซมอาจมีราคาสูงกว่ามูลค่าคงเหลือของรถ ในทำนองเดียวกัน การซ่อมแซมการชนที่มีราคาสูงกว่าอาจทำให้ค่าเบี้ยประกันแพงขึ้น และบริษัทประกันอาจปฏิเสธที่จะให้ความคุ้มครองรถยนต์บางรุ่น

“การลดต้นทุนการผลิต BEV อย่างรวดเร็วนั้นไม่ควรเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับค่าซ่อมที่สูงขึ้น เนื่องจากอาจส่งผลย้อนกลับมายังผู้บริโภคได้ในระยะยาว ดังนั้น ผู้ผลิตรถยนต์ BEV ต้องหากระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าต้นทุนการซ่อมแซมต่ำลงด้วย”

เครื่องชาร์จอีวี

อีก 3 ปี ค่ายรถ 15% อาจล้มละลาย

อุตสาหกรรมนี้กำลังพัฒนาจาก ยุคตื่นทอง ไปสู่ ยุคผู้เหมาะสมที่สุดเท่านั้นจึงอยู่รอด ซึ่งหมายความว่าความสำเร็จของบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ ณ ปัจจุบัน ถูกจำกัดความสามารถอย่างหนักในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้รถอีวีในยุคแรก ๆ ขณะที่มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศต่าง ๆ ที่กำลังทยอยสิ้นสุดลง ทำให้ผู้นำในตลาดขณะนี้เจอกับความท้าทายมากขึ้นตามไปด้วย

ส่งผลให้ในปี 2570 จำนวนค่ายรถอีวีประมาณ 15% ที่ก่อตั้งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอาจ ถูกซื้อกิจการหรือล้มละลาย อย่างเช่นเหล่าสตาร์ทอัพที่ยังต้องพึ่งเงินลงทุนของนักลงทุน 

“นั่นไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรมอีวี กำลังล่มสลาย แต่เป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ที่บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะในตลาดที่เหลือ” 

ทั้งนี้ ในปี 2567 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมียอดจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกสูงถึง 18.4 ล้านคัน และเพิ่มเป็น 20.6 ล้านคันในปี 2568

]]>
1467292
เปิดปีไม่สวย! มูลค่า ‘เทสล่า’ หายเกือบ 1 แสนล้านเหรียญ หลังบริษัทปรับ ‘ลดราคารถ’ ลงอีกรอบ https://positioningmag.com/1458774 Mon, 15 Jan 2024 04:10:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458774 แม้ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา มูลค่าของ เทสล่า (Tesla) จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แต่เปิดปี 2024 เทสล่าก็ต้องเผชิญกับการเริ่มต้นปีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะบริษัทสูญเสียการประเมินมูลค่าตลาดมากกว่า 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสองสัปดาห์แรกของปีนี้ 

จริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่หากมูลค่าบริษัท เทสล่า จะลดลง เพราะเปิดปีมาบริษัทก็เจอข่าวเชิงลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การลดราคารถยนต์ที่ผลิตในจีนอีกครั้ง สัญญาณของต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัวของตลาดรถอีวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา

“ความกังวลหลักของนักลงทุนเกี่ยวกับเทสล่าคือ การเติบโตที่ซบเซา การลดราคาในประเทศจีนทําให้เกิดความกังวล เพราะมันเริ่มดูเหมือนว่าการแข่งขันสู่จุดต่ำสุดสําหรับอุตสาหกรรมอีวี เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง” เจฟฟรีย์ ออส บอร์น นักวิเคราะห์ของโคเวน กล่าว

เทสล่าได้ลดราคารถยนต์อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นปี 2023 เพื่อพยายามเพิ่มความต้องการ แต่ผลลัพธ์คือ การลดลงอย่างต่อเนื่องของ อัตรากําไร ในขณะที่ต้นทุนของบริษัทกำลังเพิ่มขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นของ ค่าแรง ของพนักงานฝ่ายผลิตที่โรงงานในสหรัฐฯ นอกจากนี้ เทสล่าต้องเปลี่ยนเส้นทางการจัดส่งชิ้นส่วนไปยังโรงงานในเบอร์ลินเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในทะเลแดง โดยเทสล่ากำลังจะระงับการผลิตส่วนใหญ่ที่โรงงานในเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมถึง 11 กุมภาพันธ์

นอกจากนี้ แม้ว่ายอดขายของเทสล่าในช่วงไตรมาส 4/2023 จะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก็ตาม แต่ก็ถูก BYD แซงหน้าด้วยยอดขายกว่า 5.2 แสนคัน แม้ว่าในด้านรายได้และผลกําไรของ BYD จะยังแพ้เทสล่าก็ตาม แต่การพ่ายแพ้ดังกล่าวก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้กับเทสล่า เพราะ BYD ไม่ได้ขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเทสล่ายังคงเป็นผู้นําตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม คุณค่าที่แท้จริงของเทาล่าอาจเป็นการพึ่งพาอนาคตของเทคโนโลยี การขับขี่อัตโนมัติ ปัญหาเดียวคือ เทสล่าพัฒนาเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า เทคโนโลยีนี้ยังห่างไกลที่จะนำมาใช้ได้จริง และอาจต้องใช้เวลาอีก หลายสิบปี

“เทสล่ายังไม่สามารถส่งมอบการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่มันกลับอยู่ในการประเมินมูลค่าบริษัทแล้ว”

Source

]]>
1458774
‘อียู’ เตรียมสอบมาตรการเงินสนับสนุน ‘ผู้ผลิตอีวีจีน’ จนราคา “ต่ำเกินจริง” หวั่นไม่เป็นธรรมกับค่ายรถในยุโรป https://positioningmag.com/1444277 Thu, 14 Sep 2023 08:44:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444277 ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน ค่ายรถไฟฟ้าจีน กำลังรุกหนักตลาดรถยนต์ทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเติบโตของตลาดจีนเองก็เริ่มชะลอตัวลง ขณะที่การแข่งขันกลับดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรป หรือ อียู ไม่ได้นิ่งนอนใจที่ค่ายจีนจะเริ่มเข้ามาทำตลาด เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าค่ายรถในยุโรป ทำให้อียูเตรียมสอบสวนมาตรการเงินอุดหนุนอีวีจากรัฐบาลจีน

สหภาพยุโรป กำลังดำเนินการสอบสวนกรณี ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ได้รับ เงินสนับสนุนจากรัฐบาล ส่งผลให้ราคารถอีวีจีนนั้น ถูกเกินจริง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ ไม่เป็นธรรม กับผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป นอกจากนี้ ทางสหภาพยุโรปได้พิจารณาการ ขึ้นภาษีนำเข้ารถอีวีจีน จาก 10% เป็น 27.5% เท่ากันที่ สหรัฐฯ เรียกเก็บ

“ขณะนี้ตลาดทั่วโลกเต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกของจีน และราคาของรถยนต์เหล่านี้ก็ถูกทำให้ต่ำเกินจริงด้วยเงินอุดหนุนจำนวนมากจากรัฐ นี่เป็นการบิดเบือนตลาดของเรา โดยยุโรปเปิดกว้างสำหรับการแข่งขัน แต่ไม่ใช่สำหรับการแข่งกันไปสู่จุดต่ำสุด” เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลย์เยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว

ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกจากยุโรปกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในบ้านเกิดของตนจากแบรนด์จีนที่กำลังแย่งส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ รถอีวีจากยุโรปที่ส่งออกไปขายในตลาดจีนมีราคาสูงกว่าค่ายจีนถึง 2 เท่า 

อย่างไรก็ตาม ฉุย ตงซู เลขาธิการสมาคมรถยนต์แห่งประเทศจีน ได้ออกมาแย้งว่า รถอีวีจีนที่ส่งออกไปยังยุโรป มีราคาขายสูงกว่าที่ขายในตลาดจีนเกือบสองเท่า ดังนั้น สหภาพยุโรปควรมองการพัฒนาอุตสาหกรรมอีวีจีนอย่าง เป็นกลาง แทนที่จะใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการค้าเพื่อจำกัดการพัฒนาหรือเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าของจีนในยุโรป

“การส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนมีปริมาณที่แข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่เนื่องจากการอุดหนุนจากรัฐ แต่เป็นเพราะซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมของจีนที่มีการแข่งขันสูงในประเทศ” ฉุย ตงซู ย้ำ

ทั้งนี้ จากการประเมินโดย อลิอันซ์เทรด บริษัทประกันภัยสัญชาติเยอรมัน ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตรถอีวีของยุโรปอาจต้องสูญเสียกำไรปีละ 7,000 ล้านยูโร หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดีสำหรับการนำเข้ารถอีวีจากจีน

Source

]]>
1444277
‘โฟล์คสวาเกน’ ยอมหั่นราคาชน ‘เทสลา’ สัญญาณแรก ‘สงครามราคา’ ตลาดอีวี https://positioningmag.com/1422908 Mon, 13 Mar 2023 04:55:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422908 ดูเหมือนสงครามรถอีวีในตลาดโลกจะยิ่งดุเดือด เพราะล่าสุด โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) แบรนด์รถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมันก็หั่นราคา เพื่อสู้กับ เทสลา (Tesla) ที่ได้ลดราคารถอีวีลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

ID.3 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเรือธงของ โฟล์คสวาเกน จะวางจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมในราคาต่ำกว่า 40,000 ยูโร (ราว 1.5 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าราคาลดลง 3,000 ยูโร (1.1 แสนบาท) เทียบเท่ากับ Model Y รุ่นยอดนิยมของ เทสลา โดยคนในวงการมองว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการลดราคาหลายครั้งของเทสลา ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงส่วนลดสูงสุดถึง 20% อ้างอิงจากตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา

Ferdinand Dudenhoeffer นักวิเคราะห์ กล่าวว่า แม้ว่ายอดรายรถอีวีของกลุ่มโฟล์คสวาเกนทั้ง 10 แบรนด์จะมียอดขายรวมกว่า 352,000 คันในตลาดยุโรป แต่ในเยอรมนีประเทศบ้านเกิดของโฟล์คสวาเกนกลับถูกเทสลาแซงขึ้นเป็นแบรนด์รถอีวีที่มียอดขายมากที่สุดในเดือนมกราคม โดยมีการเติบโตถึง 900% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ส่วนตลาดจีนที่ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของรถอีวี โฟล์คสวาเกนมีส่วนแบ่งในตลาดรถอีวีเพียง 2.4% โดยปีที่ผ่านมามียอดขายเพียง 155,700 คัน จากตลาดรวม 5 ล้านคัน ขณะที่เทสลามีส่วนแบ่งในตลาดจีนถึง 7.8% ส่วน BYD ของจีนมี 16% ขณะที่แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์อีวีสัญชาติจีนรายอื่น เช่น Wuling, GAC และ Chery ก็มีส่วนแบ่งตลาดที่มากกว่าโฟล์คสวาเกน ส่วน เมอร์เซเดส-เบนซ์และบีเอ็มดับเบิลยู ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมนีก็ยังไปได้ไม่ค่อยดีนักในตลาดจีน โดยมีส่วนแบ่งตลาด น้อยกว่า 1%

“โฟล์คสวาเกนกำลังเห็นว่าภัยคุกคามจากเทสลานั้นใหญ่หลวงเพียงใด และในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ผลิตในเยอรมันยังคงตามหลังแบรนด์ท้องถิ่นอยู่มาก” Ferdinand Dudenhoeffer กล่าว

โดย Gregor Sebastian นักวิเคราะห์จาก Mercator Institute for China Studies มองว่า เวลาที่แบรนด์รถยนต์สัญชาติเยอรมันจะชิงส่วนแบ่งการตลาดในจีนนั้นได้หมดไปแล้ว เพราะว่ารถยนต์ของเยอรมันจะเน้นที่สมรรถนะการขับขี่แต่ในประเทศจีนที่มีการจราจรติดขัด ทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนสำคัญกว่า

อย่างไรก็ตาม Gregor Sebastian มองว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในอุตสาหกรรม แต่ชื่อเสียงของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันยังคงเป็นไพ่ตายในจีน

“การแข่งขันนั้นยาก แต่โฟล์คสวาเกนมีประสบการณ์กว่า 80 ปีในการสร้างรถยนต์สำหรับตลาดและลูกค้าที่แตกต่างกัน นั่นจะทำให้พวกเขาได้เปรียบ”

ปัจจุบัน การต่อสู้เพื่อครองโลกในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้ายิ่งทวีความรุนแรงขึ้นและผู้ท้าชิงใหม่ ๆ เกิดขึ้นโดยเฉพาะผู้เล่นจากจีนที่เริ่มออกมาทำตลาดโลก ส่งผลให้โฟล์คสวาเกน ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเข้าสู่ สงครามราคา เพื่อปกป้องตำแหน่งของแบรนด์ในตลาดรถอีวี แม้ว่านั่นจะหมายถึงกำไรที่จะลดลงก็ตาม

]]>
1422908
‘Volkswagen’ คาดภายในปี 2573 ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐฯ ครึ่งหนึ่งจะเป็น ‘รถอีวี’ https://positioningmag.com/1322218 Sat, 06 Mar 2021 08:03:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1322218 ‘Volkswagen’ แบรนด์รถยนต์สัญชาติเยอรมันซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์รถหรูอื่น ๆ อาทิ Audi, Lamborghini, Porsche กำลังเร่งแผนสำหรับพลักดันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดเพื่อให้กลายเป็น “แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุดในโลก” ซึ่งตอนนี้มี Tesla รั้งตำแหน่งนี้อยู่

Volkswagen คาดว่ายอดขายรถยนต์ในยุโรปกว่า 70% จะเป็น ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ หรือ ‘รถอีวี’ ภายในปี 2573 จากเดิมที่คากว่าจะมีสัดส่วนแค่ 35% และตามกรอบเวลาเดียวกันเชื่อว่ายอดขายรถอีวีใน สหรัฐอเมริกา และ จีน จะคิดเป็น 50% ของตลาดรถยนต์ ทั้งนี้ Volkswagen คาดว่าจะส่งมอบรถอีวีในยุโรปได้มากกว่า 1 ล้านต่อปี

“เรากำลังก้าวไปอีกขั้น ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราจะเปลี่ยน Volkswagen อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” Ralf Brandstaetter ผู้นำแบรนด์ Volkswagen กล่าว

ที่ผ่านมา Volkswagen มีแผนจะลงทุนประมาณ 16,000 ล้านยูโร (19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) สำหรับเทคโนโลยีด้านยานยนต์ในอนาคต อาทิ e-mobility, hybridization และ digitalization ภายในปี 2568 นอกจากนี้ มีแผนที่จะทำให้ฟังก์ชันการขับขี่อัตโนมัติพร้อมใช้งานในวงกว้างภายในปี 2573

จับตา ‘Volkswagen’ ในศึก ‘รถ EV’ เตรียมทุ่มเงิน 4.3 หมื่นล้านเหรียญงัดข้อกับ ‘Tesla’

Volkswagen เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายล่าสุดที่ประกาศว่าเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในแบบเดิมมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด ส่วน General Motors ได้มีแผนที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี 2578 ขณะที่แบรนด์รถยนต์น้องใหม่ ‘Stellantis’ ที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่างแบรนด์ ‘Fiat Chrysler’ และ ‘PSA Groupe’ มีแผนจะผลิตแต่รถอีวีหรือไฮบริดภายในปี 2568

รถยนต์ไฟฟ้า Volkswagen ID3

แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจดูห่างไกล แต่โดยปกติแล้วผู้ผลิตรถยนต์จะใช้เวลา 5-7 ปีในการพัฒนาและเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ แต่พอเป็นรถอีวีคาดว่าจะลดกรอบเวลาดังกล่าวลง เนื่องจากต้องใช้ส่วนประกอบน้อยกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป

แรงจูงใจจากรัฐบาลและมาตรการลดการปล่อย CO2 ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นกำลังผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์เดินหน้าปล่อยรถอีวีมากขึ้น โดย IHS Markit รายงานว่าในปี 2563 ปัจจุบันรถอีวีคิดเป็น 3.3% ของยอดขาย 76.5 ล้านคันทั่วโลก ขณะที่บริษัทวิจัยคาดว่ายอดขายรถอีวีจะเพิ่มขึ้นเป็น 12.2 ล้านคันในปี 2568 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการเติบโตเกือบ 52% ต่อปี

ทั้งจากการประกาศทิศทางของผู้ผลิตรถยนต์หลายราย รวมถึงการคาดการณ์ถึงปริมาณยอดขายรถอีวีในอนาคต ซึ่งทำให้นักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ และผู้ผลิตรถอีวีคงสบายใจได้มากขึ้น อย่างการเติบโตของหุ้นของ Tesla ในปีที่แล้วจนกลานเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากสุดในโลก น่าจะเป็นบทพิสูจน์ว่าเทรนด์รถอีวีกำลังมาแรงจริง

Source

]]>
1322218