ทรัมป์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 07 Jun 2021 08:19:40 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Facebook’ ประกาศแบน ‘บัญชีทรัมป์’ ยาวถึงมกราคม 2023 https://positioningmag.com/1335644 Mon, 07 Jun 2021 07:19:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335644 Facebook ประกาศว่าจะแบนบัญชีของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยาวจนถึง 7 มกราคม 2023 เป็นอย่างน้อย หรือเป็นเวลาถึง 2 ปีนับจากที่บัญชีได้ถูกระงับในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งเพื่อดูว่าควรได้รับอนุญาตให้กลับมาหรือไม่

ย้อนไปเมื่อเดือนวันที่ 7 มกราคมได้เกิดเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ Facebook ต้องออกมาระงับการใช้งานบัญชีของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 10 ล้านคนเป็นการชั่วคราว เนื่องจากทรัมป์ได้ส่งข้อความให้ผู้ประท้วงออกมาต่อต้านการลงมติรับรองชัยชนะของ ‘โจ ไบเดน’ ในสภาคองเกรส

‘Facebook’ ประกาศ ‘แบน’ บัญชีทรัมป์ จนกว่าไบเดนจะรับตำแหน่ง ป้องกันการปลุกปั่น

แต่ดูเหมือนคำว่าชั่วคราวจะนานกว่าที่คิด เพราะเพื่อป้องกันช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 โดยจะแบนบัญชีของทรัมป์ยาว ๆ จนถึงมกราคมปี 2023 อย่างไรก็ตาม จากระยะเวลาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่การแบนอาจถูกยกเลิกก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024

Nick Clegg รองประธานฝ่ายกิจการระดับโลกของบริษัท กล่าวว่า เมื่อครบสองปี Facebook จะมองหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินว่าความเสี่ยงต่อความปลอดภัยสาธารณะของทรัมป์ว่าลดลงหรือไม่ เราจะประเมินปัจจัยภายนอกรวมถึงกรณีต่าง ๆ ทั้งความรุนแรง ข้อจำกัดในการชุมนุมโดยสงบ และสัญญาณบ่งชี้ความไม่สงบอื่น ๆ หากเราพิจารณาว่ายังคงมีความเสี่ยงร้ายแรงต่อความปลอดภัยสาธารณะ เราจะขยายข้อจำกัดดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่งและประเมินใหม่ต่อไปจนกว่าความเสี่ยงนั้นจะลดลง

Computer screen showing the website for social networking site, Facebook (Photo by In Pictures Ltd./Corbis via Getty Images)

Clegg ยังประกาศกฎใหม่สำหรับ “โปรโตคอลการบังคับใช้ที่จะใช้ในกรณีพิเศษเช่นนี้” เนื่องจากที่ผ่านมา นักการเมืองมักได้รับการผ่อนปรนจาก Facebook เนื่องจากบริษัทดำเนินการบนสมมติฐานว่าโพสต์ของพวกเขามีคุณค่าในการบอกใบ้เรื่องข่าวและเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์ปกติในการขัดกรองโพสต์ แต่ตอนนี้ Facebook จะไม่ถือว่าข่าวสำหรับโพสต์ของผู้นำโลกอีกต่อไป

“เมื่อเราประเมินเนื้อหาสำหรับความเหมาะสมในการเป็นข่าว เราจะไม่ปฏิบัติต่อเนื้อหาที่โพสต์โดยนักการเมืองต่างไปจากเนื้อหาที่โพสต์โดยบุคคลอื่น และจากนี้นักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะที่ละเมิดกฎด้วยการปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบหรือความรุนแรงนั้นจะถูกระงับการใช้งานบัญชีเป็นเวลา 1 เดือน หรือมากกว่านั้นในกรณีร้ายแรง สูงสุดถึง 2 ปี” Clegg เขียนไว้ในโพสต์

บริษัทยังกล่าวอีกว่ามีแผนจะพัฒนาคู่มือสำหรับวิกฤตการณ์พิเศษที่จะเปิดใช้งานในยามฉุกเฉินหรือในสถานการณ์ใหม่ๆ ซึ่งนโยบายที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น หรือที่เรียกว่า Crisis Policy Protocol จะช่วยให้บริษัทตัดสินใจได้ว่าเมื่อใดควรใช้นโยบายเฉพาะบริบทที่มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น

Source

]]>
1335644
เอาจริง! “ทรัมป์” สั่งห้ามดาวน์โหลด TikTok – WeChat ตั้งแต่วันอาทิตย์นี้ อ้างภัยความมั่นคง https://positioningmag.com/1297915 Sat, 19 Sep 2020 07:11:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297915 รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน WeChat และ TikTok โดยจะมีผลตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. ด้วยข้ออ้างที่ว่าแอปฯ สัญชาติจีนดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

คำสั่งที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ก.ย. ยังไม่ได้เป็นการแบนอย่างครอบคลุมเสียทีเดียว โดยเฉพาะกับ TikTok เนื่องจากจะทำให้ไม่สามารถดาวน์โหลดแอปฯ ใหม่ หรือทำการอัปเดตได้เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการผ่อนผันให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทแม่สัญชาติจีนของ TikTok ได้มีเวลาหายใจหายคอเพื่อดันข้อตกลงสานต่อธุรกิจในอเมริกาต่อไป

WeChat ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการทั้งการส่งข้อความ, เครือข่ายสังคมออนไลน์ และการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะเผชิญข้อจำกัดที่รุนแรงกว่าตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. ในขณะที่ผู้ใช้ TikTok ในอเมริกาจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักจนกว่าจะถึงวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งคำสั่งแบนธุรกรรมทางเทคนิคบางอย่างจะเริ่มมีผลบังคับอย่างจริงจัง

“เราไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และรู้สึกผิดหวังที่สหรัฐฯ จะห้ามการดาวน์โหลดแอปฯ ตั้งแต่วันอาทิตย์ และแบนการใช้ TikTok ในสหรัฐฯ หลังวันที่ 12 พ.ย. เราจะยังคงเดินหน้าคัดค้านคำสั่งบริหารที่ไม่เป็นธรรมนี้ต่อไป” ไบต์แดนซ์ ระบุในถ้อยแถลง

Photo : Shutterstock

ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาประกาศ “คัดค้านอย่างแน่วแน่” และเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดพฤติกรรมข่มขู่และการกระทำที่ไม่ถูกต้องเสีย

“ถ้าฝ่ายสหรัฐฯ ยังดึงดันที่จะใช้วิธีนี้ จีนก็จะใช้มาตรการตอบโตที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของบริษัทจีน” กระทรวงพาณิชย์จีนระบุ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้เอ่ยชัดเจนว่าเขาสนับสนุนดีล TikTok หรือไม่ แต่บอกว่าเรื่องนี้อาจจะดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ “อย่างรวดเร็ว”

“เรามีทางเลือกที่ยอดเยี่ยมอยู่บ้าง และบางทีเราอาจจะทำให้คนจำนวนมากแฮปปี้ได้ เราจำเป็นต้องปกป้องอเมริกาให้ปลอดภัยจากจีน” ทรัมป์ บอกกับสื่อมวลชน

วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยืนยันกับฟ็อกซ์บิสสิเนสว่า “แอปฯ TikTok แบบเบสิกจะยังคงใช้งานได้ไปจนถึงวันที่ 12 พ.ย.”

Photo : Shutterstock

ทั้งนี้ คำสั่งห้ามดาวน์โหลดอาจถูก ทรัมป์ สั่งยกเลิกก่อนจะมีผลบังคับใช้ก็ได้ ถ้าระหว่างนี้ไบต์แดนซ์ และออราเคิล (Oracle) สามารถบรรลุข้อตกลงที่ตอบสนองข้อกังวลต่างๆ ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้

รัฐบาล ทรัมป์ พยายามกำจัดสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น “แอปฯ จีนที่ไม่น่าไว้วางใจ” ให้หมดไปจากเครือข่ายดิจิทัลในสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดกับปักกิ่งทั้งในเรื่องสงครามการค้า, ปัญหาสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในด้านเทคโนโลยีระหว่าง 2 มหาอำนาจ

สำหรับคำสั่งแบน WeChat นั้นจะทำให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากระบบการโอนเงิน จ่ายเงิน ที่อาจล่าช้าหรือติดขัดตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. เป็นต้นไป

เทนเซ็นต์ โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปฯ WeChat วิจารณ์คำสั่งของสหรัฐฯ ว่าเป็นเรื่อง “น่าเสียดาย” แต่ก็ยืนยันว่าพร้อมจะเจรจากับวอชิงตันและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสหรัฐฯ เพื่อแสวงหาทางออกในระยะยาว

Source

]]>
1297915
ทรัมป์ ระงับออก “วีซ่าแรงงานต่างชาติ-กรีนการ์ด” ยาวถึงสิ้นปี ให้คนอเมริกันได้งานก่อน https://positioningmag.com/1284776 Tue, 23 Jun 2020 11:46:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284776 โดนัลด์ ทรัมป์” ออกประกาศประธานาธิบดี (Presidential Proclamation) ขยายเวลาระงับการ
ออกกรีนการ์ด หรือ เอกสารอนุมัติการอยู่อาศัยและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่นอกสหรัฐฯ ไปจนถึงสิ้นปีนี้ รวมทั้งระงับสั่งการออกวีซ่าทำงานหลายประเภทสำหรับชาวต่างชาติชั่วคราว

โดยประกาศประธานาธิบดีดังกล่าว ได้สั่งระงับการออกวีซ่าประเภท H-1B, H-4, H-2B, J-1 , J-2 เเละ L-1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มิ..ไปจนถึง 31 .. 2020 

สำหรับวีซ่า H-1B เป็นประเภทที่ออกให้กับลูกจ้างชาวต่างชาติของบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ส่วนวีซ่า H-2B ออกให้กับคนทำงานตามฤดูกาลที่ไม่ใช่ในภาคการเกษตร วีซ่า J-1 สำหรับลูกจ้างชั่วคราว และวีซ่าชั่วคราวประเภทอื่นสำหรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และวัฒนธรรม รวมทั้ง วีซ่า L-1 สำหรับผู้บริหารของบริษัทระหว่างประเทศ

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า มาตรการนี้จะช่วยให้มีตำแหน่งงานว่างสำหรับคนอเมริกันราว 525,000 ตำแหน่ง เเละป้องกันไม่ให้แรงงานจากต่างชาติมาเเย่งตำเเหน่งงานในช่วงฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังการระบาดของ COVID-19 ที่ยังคงมีผู้คนว่างงานจำนวนมาก โดยเดือนพ..ที่ผ่านมา ยอดว่างงานในสหรัฐฯ เคยพุ่งสูงถึง 36.5 ล้านราย เเละแรงงานอเมริกัน 1 ใน 4 ไม่มีงานทำ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาคบริการในสหรัฐฯ ได้กลับมาจ้างงานเพิ่มขึ้นเเล้วราว 2 ล้านตำเเหน่ง ส่วนภาคการผลิตมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นราว 2 เเสนตำเเหน่ง

การสั่งระงับการออกวีซ่าชั่วคราวให้กับชาวต่างชาติครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจร้านอาหาร และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาแรงงานจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติทักษะสูงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley กำลังจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ด้วยข้อจำกัดวีซ่าจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี 

Sundar Pichai  ซีอีโอของ Google บอกว่า แรงงานต่างชาติมีความสำคัญอย่างมากในความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่ทำให้อเมริกาได้เป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี บริษัทรู้สึกผิดหวังกับคำสั่งนี้ โดยจะยังคงยืนหยัดเพื่อผู้อพยพเเละเปิดโอกาสการทำงานให้ทุกคนต่อไป

ด้าน Global Public Policy ของทวิตเตอร์ ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า คำสั่งนี้จะทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจอเมริกา รวมถึงความหลากหลายของผู้คนในประเทศนี้ เพราะพวกเขาต่างเดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อมาทำงาน จ่ายภาษี และมีส่วนร่วมในการแข่งขันในเวทีโลก

 

 

ที่มา : Reuters , CNN

 

]]>
1284776
จลาจลลามทั่วสหรัฐฯ 40 เมืองประกาศใช้เคอร์ฟิว “ทรัมป์” ลั่นพร้อมส่งทหารจัดการม็อบ https://positioningmag.com/1281819 Tue, 02 Jun 2020 16:15:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281819 “ทรัมป์” ส่งทหารปราบผู้ก่อความวุ่นวายในวอชิงตัน ดี.ซี. ขู่พร้อมระดมกำลังเข้าจัดการในรัฐที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ขณะการประท้วงต้านการเหยียดผิว และความโหดเหี้ยมของตำรวจ ซึ่งลุกลามเป็นความรุนแรงทั่วสหรัฐฯ มาหลายวันแล้ว ยังคงทำให้กว่า 40 เมือง ต้องประกาศเคอร์ฟิว ส่วนผลชันสูตรจากผู้เชี่ยวชาญอิสระยืนยัน “จอร์จ ฟลอยด์” เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ

ในคืนวันที่ 1 มิ.ย. ซึ่งนับเป็นคืนที่ 7 ติดต่อกันแล้วที่ทั่วสหรัฐฯ เกิดเหตุจลาจลรุนแรง รายงานระบุว่า พวกผู้ประท้วงจุดไฟเผาศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส และห้างร้านหลายแห่งในนิวยอร์กซิตี้ ถูกฝูงชนบุกเข้าไปฉกชิงขโมยข้าวของ

การประท้วงที่ลุกลามกลายเป็นการจลาจลในหลายพื้นที่คราวนี้ เกิดขึ้นหลังการตายของ ฟลอยด์ ชายผิวดำ ไม่มีอาวุธที่ถูกตำรวจจับ และใช้เข่าทับคอจนขาดอากาศหายใจในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา เมื่อวันที่ 25 พ.ค. กำลังนำไปสู่เหตุการณ์ไม่สงบครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ทั้งในนครนิวยอร์ก แอลเอ และอีกนับสิบเมืองทั่วอเมริกา

หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ได้แสดงความป็นผู้นำของประเทศกับวิกฤตอันเลวร้ายครั้งนี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวปราศรัยด้วยน้ำเสียงดุดันจากสวนกุหลาบของทำเนียบขาว เวลาเดียวกับที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วง ซึ่งชุมนุมอย่างสันติที่ด้านนอกของรั้วทำเนียบ

ทรัมป์ประกาศว่า กำลังส่งทหารติดอาวุธหนัก เจ้าหน้าที่ทางทหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายรวมหลายพันคนออกไปหยุดยั้งการจลาจล การปล้นชิง การทำลายทรัพย์สินและสถานที่ต่างๆ และประณามสิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงวอชิงตันเมื่อคืนวันอาทิตย์ (31 พ.ค.) ว่า “น่าอัปยศ”

ประมุขทำเนียบขาวสำทับว่า หากเมืองหรือรัฐที่ไม่ยอมดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตนจะส่งทหารเข้าไปจัดการปัญหาอย่างรวดเร็ว และประณามว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการก่อการร้ายภายในประเทศ

แต่หลังการปราศรัยของทรัมป์ ฝูงชนยังออกไปประท้วง ซึ่งส่วนมากเป็นไปอย่างสันติในเมืองใหญ่หลายแห่ง แม้มีรายงานการปล้นห้างร้านในนิวยอร์กและแอลเอก็ตาม

(Photo by Stephen Maturen/Getty Images)

นอกจากนั้น ระหว่างการปราศรัยของผู้นำสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่รวมถึงสารวัตรทหาร ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมหน้าทำเนียบขาวเพื่อเคลียร์ทางให้ทรัมป์ข้ามถนนไปยังโบสถ์เซนต์จอห์น ที่ถูกพ่นสีและถูกไฟเผาได้รับความเสียหายบางส่วนระหว่างการจลาจลเมื่อวันอาทิตย์

กระแสการประท้วงคราวนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางที่สุดในอเมริกานับจากปี 1968 เมื่อเมืองต่างๆ ลุกเป็นไฟจากการลอบสังหาร มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำชาวผิวดำที่ต่อสู้เรียกร้องสิทธิพลเมือง

หลายๆ พื้นที่ การประท้วงเป็นไปอย่างสงบ บางแห่งมีภาพตำรวจสวมกอดหรือคุกเข่าอยู่ข้างๆ ผู้ประท้วงที่กำลังร้องไห้ แต่อีกหลายแห่งมีการปะทะรุนแรง ระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจ นอกจากนั้น ยังมีการทำลายอาคารสถานที่หลายแห่ง รวมถึงบุกเข้าฉกชิงสินค้าในห้างร้าน เช่น บนถนนฟิฟธ์อะเวนิวในเขตแมนฮัตตันของนิวยอร์กซิตี้ และมีคนถูกยิงตายหนึ่งรายในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี

กว่า 40 เมืองต้องประกาศเคอร์ฟิว เฉพาะคืนวันจันทร์ บิลล์ เดอ บลาสิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ประกาศห้ามประชาชนออกจากบ้านระหว่างเวลา 20.00 น. จนถึงเช้าวันที่ 2 มิ.ย. หรือเริ่มใช้เร็วขึ้นจากคำสั่งเดิม 3 ชั่วโมง

Source

]]>
1281819
นิวยอร์ก วางเเผนเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง เตรียมให้ตรวจเชื้อ COVID-19 ได้ตามร้านขายยา https://positioningmag.com/1275616 Mon, 27 Apr 2020 11:51:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1275616 มหานครนิวยอร์ก เมืองที่มียอดผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 มากที่สุดในสหรัฐฯ วางเเผน “เปิดเศรษฐกิจ” อีกครั้ง หลังพ้นเขตล็อกดาวน์ในวันที่ 15 พ.ค. ที่จะถึงนี้ พร้อมจะเริ่มให้ตรวจเชื้อได้ตามร้านขายยา

Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เปิดเผยว่า กลยุทธ์เปิดเศรษฐกิจของนิวยอร์กจะเป็นเเบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฟสเเรกจะเริ่มเปิดภาคการก่อสร้างและการผลิตก่อน จากนั้นเฟสสองจะประเมินธุรกิจตามสถานการณ์เเละความสำคัญ แต่ละเฟสจะห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อวัดผลกระทบของการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งต้องดูอัตราผู้ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้ติดเชื้อว่าจำนวนไม่เพิ่มขึ้นด้วย

โดยพื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเปิดเศรษฐกิจในเร็ว ๆ นี้อาจจะเป็นตอนเหนือของนิวยอร์ก เพราะมียอดผู้ติดเชื้อน้อยกว่าพื้นที่อื่นๆ ส่วนทางตอนล่างของรัฐ รวมถึงนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งมียอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดนั้นจะต้องมีการประสานงานระดับภูมิภาค

Cuomo กล่าวอีกว่า อีกไม่นานชาวนิวยอร์กจะสามารถตรวจหา COVID-19 ได้ตามร้านขายยาต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบเมืองราว 5,000 แห่ง โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถแจกชุดตรวจ วันละ 40,000 ชุดให้กับร้านขายยา คลินิก และโรงพยาบาลทั่วรัฐนิวยอร์ก

ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในรัฐนิวยอร์กลดลงมาอยู่ที่ระดับ 367 คนในวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา นับถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 332 คน โดยยอดสะสมของผู้ติดเชื้อรัฐนิวยอร์กมีมากกว่า 280,000 คน เสียชีวิตแล้วราว 22,000 คน ขณะที่สหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อรวมกว่า 960,000 คน เสียชีวิตแล้วกว่า 54,000 คน

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเเนวทาง 3 ขั้นเพื่อได้ประกาศแผนผ่อนปรน 3 ระยะในภารกิจ “Opening up America Again” เพื่อกลับมาเปิดระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยให้อำนาจเเก่ผู้ว่าการรัฐกำหนดมาตรการของตนเองท่ามกลางยอดผู้ว่างงานในประเทศที่พุ่งสูงกว่า 26 ล้านคน หรือราว 1 ใน 6 ของชาวอเมริกัน

ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามในมาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดย่อมมูลค่า 484 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ มูลค่ารวม 3 ล้านล้านเหรียญ เพื่อฟื้นฟูประเทศจากการระบาดของ COVID-19

 

ที่มา : france24 , nbcnewyork

 

]]>
1275616
“ทรัมป์” สั่งระงับออก “กรีนการ์ด” ให้ชาวต่างชาติ 60 วัน เเก้ปัญหาเเย่งงานคนอเมริกัน https://positioningmag.com/1274868 Wed, 22 Apr 2020 11:23:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1274868 ทำเนียบขาว เตรียมระงับการออก “กรีนการ์ด” (green card) หรือบัตรที่อนุญาตให้ผู้ย้ายถิ่นฐานพำนักถาวรในสหรัฐฯ ชั่วคราวเป็นเวลา 60 วัน ในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 โดยจะยังอนุญาตให้แรงงานที่ถือวีซ่าที่ไม่ใช่ประเภทผู้ย้ายถิ่นฐานเดินทางเข้าสู่อเมริกาได้

การระงับออก “กรีนการ์ด” ชั่วคราวครั้งนี้ เป็นคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับโรค COVID-19 ที่ส่งผลกระทบให้ชาวอเมริกันว่างงานกว่า 22 ล้านคนเเล้ว

“เราหวังว่าจะช่วยให้ชาวอเมริกันที่ว่างงานยังคงเป็นตัวเลือกอันดับ 1 ในสายงาน เมื่อสหรัฐฯ กลับมาเปิดเศรษฐกิจได้อีกครั้ง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่ยุติธรรมสำหรับชาวอเมริกันที่ถูกไล่ออกเนื่องจากสถานการณ์ไวรัส และถูกแทนที่ด้วยชาวต่างชาติที่อพยพเข้ามาจากภายนอก เราต้องดูแลแรงงานชาวอเมริกันเป็นอันดับแรก” ทรัมป์ระบุ

อย่างไรก็ตาม คำสั่งพิเศษนี้มีผลต่อผู้ถือบัตรกรีนการ์ดเท่านั้น โดยชาวต่างชาติที่ถือวีซ่าทำงานชั่วคราวจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะตอนนี้มีแรงงานที่ถือวีซ่าทำงานชั่วคราวในสหรัฐฯ จำนวนมากกำลังอยู่ในอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศ ตั้งเเต่โรงงานแปรรูปอาหารเเละเเรงงานในภาคสาธารณสุข

 

ที่มา : CNN

]]>
1274868
เปิดเเผน 3 ระยะ คลายล็อกดาวน์ของ “ทรัมป์” ฟื้นเศรษฐกิจ “Opening Up America Again” https://positioningmag.com/1274036 Fri, 17 Apr 2020 10:58:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1274036 ไวรัส COVID-19 ทำเศรษฐกิจอเมริกาทรุดหนัก คนตกงานพุ่งสูง 22 ล้านคน เเละเป็นประเทศที่มียอดผู้เสียชีวิตเเละผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกตอนนี้

ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศแผนผ่อนปรน 3 ระยะในภารกิจ “Opening up America Again” เพื่อกลับมา “เปิดระบบเศรษฐกิจ” ของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ โดยเเนวทางในการทำธุรกิจต่างๆ ในสหรัฐฯ ให้สามารถเปิดกิจการเเละเปิดให้บริการได้อีกครั้ง เพื่อลดผลกระทบเศรษฐกิจ โดยให้อำนาจเเก่ผู้ว่าการรัฐกำหนดมาตรการของตนเอง

โดยขั้นตอนการผ่อนปรนเเบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะแรก : ยังคงความเข้มงวดของมาตรการ ห้ามประชาชนรวมตัวเกิน 10 คน นอกเคหะสถาน ร้านอาหาร ศาสนสถาน สนามกีฬา เปิดได้ตามปกติแต่ต้องอยู่ภายใต้การเว้นระยะห่างทางกายภาพเเละห้ามเกิน 10 คน โดยขอความร่วมมือประชาชนงดออกนอกเคหสถานหากไม่จำเป็น ส่วนโรงเรียนเเละสถานศึกษาควรปิดสถานที่ต่อไปก่อน

ระยะที่สอง : หลังจากนั้นอีก 14 วันเข้าสู่ระยะที่ 2 จะผ่อนผันคำสั่งห้ามรวมกลุ่มในสถานที่สาธารณะให้เป็นไม่เกิน 50 คน และการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะเปิดกว้างมากขึ้น ผู้คนเดินทางที่ไม่จำเป็นได้ โรงเรียนเปิดเรียนตามปกติ บาร์ต่างๆ เปิดกิจการได้ แต่ต้องลดจำนวนคน ไม่เกิน 50 คน

ระยะที่สาม : อีก 14 วันต่อมา การดำเนินชีวิตของประชาชนเริ่มเป็นปกติ มีปฏิสัมพันธ์สาธารณะได้ แต่ยังต้องมีระยะห่างทางกายภาพ พนักงานทำงานในออฟฟิศได้ บุคคลกลุ่มเสี่ยงอย่าง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์เเละเด็ก ควรหลีกเลี่ยงอยู่ในพื้นที่ที่มีคนจำนวนมาก ขณะที่มาตรการด้านสาธารณสุขยังคงเข้มงวดในระดับสูงสุด ทั้งการตรวจคัดกรอง คัดกรองแยกกักตัวผู้ป่วย เเละการรักษาโรค

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins รายงานยอดผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในสหรัฐฯ สะสมเป็นอย่างน้อย 28,998 คน จากจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอย่างน้อย 662,045 คน และรักษาหายแล้ว 54,703 คน

“นิวยอร์ก” ไม่ฟื้น ขอล็อกดาวน์ต่อ

ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังจะผ่อนปรนเเละเริ่มเปิดเมือง เเต่นครนิวยอร์กยังต้อง “ล็อกดาวน์” ต่อไป โดย ณ วันที่ 16 เม.ย.ผ่านมาจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมในนิวยอร์กเป็นอย่างน้อย 16,606 คน ขณะที่ผู้ป่วยสะสมมีอย่างน้อย 226,198 คน

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เเถลงว่าเพื่อให้ยอดผู้เสียชีวิตเเละผู้ป่วยใหม่ลดลง จำเป็นต้องขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์นครนิวยอร์กไปอีกจนถึงวันที่ 15 พ.ค. สำหรับคำสั่งให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกเคหสถานในกรณีไม่สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้เกิน 2 เมตร จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 เม.ย.นี้

นอกจากนี้ รัฐใกล้เคียง 6 เเห่งอย่าง นิวเจอร์ซีย์ คอนเนตทิคัต เดลาแวร์ แมสซาชูเซตส์ เพนซิลเวเนีย และโรดไอแลนด์ ก็ได้ประกาศขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อไปจนถึงวันที่ 15 พ.ค.นี้เช่นกัน

 

ที่มา : Reuters , businessinsider

 

]]>
1274036
สหรัฐฯ มีแผนแจกเงินประชาชน 1,000 เหรียญ! เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจสู้วิกฤต COVID-19 https://positioningmag.com/1268745 Wed, 18 Mar 2020 04:48:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268745 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงแผนส่งเงินถึงมือพลเมืองอเมริกาในทันที เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจอันเนื่องจากวิกฤตไวรัส พร้อมย้ำเรียก “ไวรัสจีนแม้มีเสียงประท้วงดุเดือดมาจากปักกิ่ง โหมกระพือสงครามน้ำลายรอบใหม่ระหว่างสองชาติ

หลังจากปฏิเสธความรุนแรงของโรคระบาดใหญ่ COVID-19 มานานหลายสัปดาห์ ทรัมป์ร้องขอความสนับสนุนจากทั้งรีพับลิกัน และเดโมแครต สำหรับเร่งรัดแจกเงินสดถึงมือครอบครัวอเมริกันชนในทันที

เราไม่ต้องการเห็นคนตกงานและไม่มีเงินประทังชีวิตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ร่วมด้วย สตีฟ มนูชิน รัฐมนตรีคลัง พร้อมระบุว่าแพกเกจนี้เป็นตัวเลขมหาศาล เป็นแพกเกจที่ใหญ่โตมาก

ในขณะที่ ทรัมป์ ไม่ได้ระบุอย่างเจาะจงว่าแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ใช้เงินมหาศาลแค่ไหน แต่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์บอกว่ามันน่าจะเป็นจำนวนกว่า 850,000 ล้านดอลลาร์ คาดว่าจะมีการแจกเงินให้ประชาชนคนละ หรือครอบครัวละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ

มนูชิน กล่าวเสริมว่า ในขณะที่ธุรกิจกำลังถูกปิดตายทั่วประเทศสืบเนื่องจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ชาวอเมริกาต้องการเงินสดในตอนนี้เรากำลังพิจารณาส่งเช็คถึงอเมริกันชนในทันที ที่ผมหมายถึงคือในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า” 

Photo : Shutterstock

ขณะเดียวกัน มนูชินกล่าวว่า ในส่วนของภาคธุรกิจสามารถเลื่อนการชำระภาษีเป็นจำนวนเงินมากถึง 10 ล้านดอลลาร์ ส่วนบุคคลธรรมดาสามารถเลื่อนการชำระภาษีเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านดอลลาร์ โดยทรัมป์ได้อนุมัติให้มีการเลื่อนการชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรสหรัฐฯ คิดเป็นวงเงินรวม 300,000 ล้านดอลลาร์

แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ยังรวมไปถึงเงินสนับสนุนสายการบินต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดใหญ่อย่างหนัก เพราะว่าสถานการณ์ถือว่าเลวร้ายกว่าเมื่อครั้งโศกนาฏกรรม 9/11 เนื่องจากการเดินทางแทบตกอยู่ในภาวะชะงักงัน

วอชิงตันโพสต์ระบุว่าในแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม เงิน 50,000 ล้านดอลลาร์จะถูกจัดสรรสำหรับช่วยเหลือสายการบินต่างๆ ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่ทางอุตสาหกรรมการบินร้องขอ

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ มุ่งเน้นไปที่ระงับเก็บภาษีเงินเดือนพลเมืองอเมริกาทุกคนไปอย่างน้อยจนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายน แต่พวกเดโมแครตและนักเศรษฐศาสตร์บอกว่าการมุ่งเน้นเฉพาะภาษีเงินเดือน อาจทำให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง, คนว่างงาน และคนงานรายชั่วโมง ไม่ได้รับประโยชน์

ทั้งนี้ ทรัมป์ โหมกระพือความขุ่นเคืองจากจีน ด้วยการทวีตข้อความเรียกไวรัส COVID-19 ว่าไวรัสจีนกระตุ้นให้ทางการปักกิ่งออกมาตอบโต้ โดยบอกว่ามันเป็นการสร้างมลทินให้แก่ประเทศจีน และกล่าวว่ารัฐบาลจีนขอคัดค้านอย่างเต็มที่กับการที่ทรัมป์ใช้ถ้อยคำดังกล่าว

ทรัมป์ยืนกรานคำพูดของดังกล่าวอีกครั้ง โดยไม่สนใจต่อเสียงประท้วงของจีนมันมาจากจีน ดังนั้นผมคิดว่ามันจึงถูกต้องที่สุด

ทรัมป์ บ่งชี้ว่า แรงจูงใจของเขาในครั้งนี้คือการตอบโต้การทำสงครามบิดเบือนข่าวสารของจีนที่กล่าวโทษกองทัพสหรัฐฯ ว่าเป็นต้นตอของไวรัสจีนกำลังแพร่กระจายข่าวสารอันเป็นเท็จ ผมไม่พอใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า จีนกล่าวหาว่าทหารของเราแพร่เชื้อให้พวกเขา ทหารของเราไม่ได้แพร่เชื้อให้ใครเลย

Source

]]>
1268745
ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง…เเละทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้าทรัมป์ ถึง 17 เท่า https://positioningmag.com/1257976 Fri, 20 Dec 2019 09:40:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257976 ในยามที่กำลังลุ้นว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 จะถูกถอดถอนออกจากตำเเหน่ง ไปไม่ถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงปลายปีหน้าหรือไม่ Positioning พามาดูขุมทรัพย์ของมหาเศรษฐี 2 ตัวเต็งชิงผู้นำอเมริการะหว่างเจ้าพ่อสื่อ ไมเคิล บลูมเบิร์ก VS โดนัลด์ ทรัมป์ เเละวิเคราะห์โอกาสในการถอดถอน “ทรัมป์” ว่ามีมากน้อยเเค่ไหน

ทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้า “ทรัมป์” ถึง 17 เท่า

ทุกคนรู้ดีว่าปัจจุบันช่องว่างของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยเเละคนจนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยเละประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันช่องว่างนี้ก็เกิดขึ้นระหว่างคนรวยกับคนรวยด้วย เมื่อมองไปถึงการชิงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะกำลังจะมีขึ้นในปี 2020

“โดนัลด์ ทรัมป์” (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน ได้รับการประเมินว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.37 หมื่นล้านบาท) ติดอันดับ 715 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ จากการจัดอันดับของ Forbes ถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลก

แต่ทรัพย์สินของทรัมป์ กลับดูน้อยมากหากเทียบกับทรัพย์สินของผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตัวเต็งจากพรรคเดโมเเครตอย่าง “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” (Michael Bloomberg) ผู้ครองความมั่งคั่งกว่า 5.3 หมื่นล้านเหรียญ (ราว 1.64 ล้านล้านบาท ) ติดอันดับ 9 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ 

บลูมเบิร์ก สามารถบริหารจัดการธุรกิจและทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม เเละเพิ่มความมั่งคั่งได้เป็นทวีคูณ โดยติดอันดับ 400 บุคคลที่รวยที่สุดในอเมริกาหรือ Forbes 400 เป็นครั้งแรกได้ในปี 1992 ซึ่งคนที่จะติดอันดับได้ต้องมีสินทรัพย์ 350 ล้านเหรียญขึ้นไปในขณะนั้น หลังจากบริษัทของเขาที่ให้บริการข้อมูลหุ้น พันธบัตร และอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมในวอลสตรีท

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฟาก “ทรัมป์” ต้องฝ่าวิกฤตเพื่อรักษาอาณาจักรของครอบครัวไว้ หลังมีหนี้สินก้อนโตจนเกือบล้มละลาย

ฟ้าหลังฝน ทรัมป์ฝ่าวิกฤตได้และกลับเข้ามาสู่ทำเนียบ Forbes 400 ได้ในปี 1996 ด้วยความมั่งคั่งราว 450 ล้านเหรียญ ขณะที่ บลูมเบิร์ก ตอนนั้นมีความมั่งคั่งอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญ เเล้ว จากมูลค่าหุ้นในธุรกิจข้อมูลทางการเงินของเขา

ตลอดช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งสุทธิของทรัมป์ เพิ่มขึ้นในอัตรา 8.8% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยผลตอบแทนของทรัมป์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปี 1996-1997 ซึ่งทำให้เขาก้าวกระโดดจาก 450 ล้านเหรียญมาเป็น 1.4 พันล้านเหรียญ

ขณะที่ความมั่งคั่งของบลูมเบิร์ก มีการเติบโตเเละมีความเสถียรมากกว่า ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 18.8% ต่อปี

ผลตอบแทนเเละการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น การขยายกิจการเเละเข้าซื้อธุรกิจสื่อ ทำให้บลูมเบิร์กรวยขึ้นมหาศาล เเซงหน้าเหล่ามหาเศรษฐีที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เก่าดั่งเช่นทรัมป์

โดยช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP เติบโตขึ้นจากการขยายการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากเดิมที่เพียงให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น

จากนั้น Bloomberg LP ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือ BusinessWeek ซึ่งกำลังประสบปัญทางการเงินอย่างหนักจาก McGraw-Hill ด้วยมูลค่า 5 ล้านเหรียญ และรับโอนหนี้สินมาอีกเกือบ 32 ล้านเหรียญในปี 2009

ปัจจุบัน ประเมินว่า Bloomberg LP มีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญและ “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” ผู้ก่อตั้งนั้นถือครองหุ้นอยู่ 88% ของบริษัท

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นักธุรกิจผู้ท้าชืงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2020 – AFP Photo/Olivier Douliery

นอกจากนี้เจ้าพ่อสื่ออย่างบลูมเบิร์ก ยังมีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยเขาบริจาคเงิน 8 พันล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัย Johns Hopkins
และกิจกรรมที่ผลักดันการควบคุมอาวุธปืน

เเม้การเอาชนะใครบางคนได้ในสนามธุรกิจ กับการเอาชนะใครบางคนได้ในสนามเลือกตั้งนั้นต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่งในปีหน้านี้ บลูมเบิร์ก ผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กมาเเล้ว 3 สมัย จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับทรัมป์บนเวทีการเมืองได้หรือไม่เเละอย่างไร

ทุ่มเงินซื้อโฆษณาเลือกตั้ง 2020

มีรายงานจาก Advertising Analytics บริษัทด้านสำรวจโฆษณาในสหรัฐฯ เผยว่าบลูมเบิร์กได้ทุ่มเงินจำนวนอย่างน้อย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 990 ล้านบาท) ซื้อโฆษณารณรงค์ประชาสัมพันธ์การสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในหลายรัฐ

เป็นที่น่าสนใจว่า เงินดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกลงไปกับการซื้อโฆษณาหาเสียงในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคคู่เเข่งอย่างรีพับลิกัน และถือเป็น “Swing State” ที่มีจำนวน Electoral College หลายที่นั่ง เช่น รัฐฟลอริดา โอไฮโอ มิชิแกน ยูทาห์ และเท็กซัส

เเม้ข้อมูลตัวเลขของเเคมเปญดังกล่าวจะยังไม่ชัดเจน เเต่ก็นับว่าสูงกว่าสมัยที่อดีตประธานธิบดี “บารัค โอบามา” เคยใช้เงินซื้อโฆษณาที่ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ทีมหาเสียงของมหาเศรษฐี “บลูมเบิร์ก”
อาจใช้เงินในการรณรงค์แคมเปญหาเสียงสูงเลือกตั้งครั้งนี้ถึง 100 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง?

ล่าสุดกับข่าวใหญ่ของการเมืองสหรัฐและการเมืองโลกในช่วงปลายปีนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ลงมติด้วยคะแนน 230 :197 ถอดถอน (impeachment) ประธานาธิบดีทรัมป์ใน 2 ข้อกล่าวหาคือ ข้อหาการใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส โดยพรรคเดโมแครตมี ส.ส. จำนวน 232 เสียง ซึ่งโหวตเห็นชอบเกือบหมด ส่วนพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงเเละโหวตคัดค้านทุกคน

เเฟ้มภาพ – โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45

ส่งผลให้ทรัมป์กลายเป็นผู้นำคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ที่ถูกพิจารณาถอดถอนในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร ถัดจากแอนดรูว์ จอห์นสัน และ บิล คลินตัน

อย่างไรก็ตาม การถอดถอนประธานาธิบดีไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยเสียงโหวตในสภา โดยการเสนอถอดถอนต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (1/2) ของสภาล่าง (ผ่านเเล้ว) แต่การโหวตตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ต้องใช้เสียงถึง 2/3 ของสภาสูงหรือวุฒิสภา ที่มีจำนวน 100 ที่นั่ง หรือเท่ากับต้องมี 67 เสียงขึ้นไปถึงจะถอดถอนได้

เเละเมื่อมองดูจากสถานการณ์ ตอนนี้พรรครีพับลิกันนั้นครองเสียงข้างมากในสภาสูงคือ 53 เสียง พรรคเดโมแครตมี 45 เสียง และวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 เสียง ทำให้การที่พรรคเดโมเเครตจะมีคะเเนนโหวตถึง 2/3 ของสภาสูงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้การเมืองสหรัฐฯ มีการเเบ่งขั้วชัดเจน (ดูจากพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงก็โหวตคัดค้านพร้อมเพรียงกันทุกคน)

อย่างไรก็ตาม หากเกิดการ “พลิกล็อก” ขึ้นมาจริงๆ ในกรณีทรัมป์ถูกถอดถอนสำเร็จ รองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” (Mike Pence) ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลพรรครีพับลิกันก็ยังคงบริหารต่อไป โดยขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทน

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ของพรรคเดโมเเครตครั้งนี้ เป็นเทคนิคทางการเมืองที่ทำให้คู่เเข่งอย่างรีพับลิกันไขว้เขวเเละไม่โฟกัส การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีหน้า เพราะกระบวนการต่อสู้ต้องใช้ทรัพยากรมากทั้งการเตรียมข้อมูล การหักล้างฟาดฟันกัน

ในมุมกลับกันก็อาจเป็นการสร้างเเนวร่วมให้กับฐานเสียงของทรัมป์ด้วย ซึ่ง The Wall Street Journal ออกมาวิเคราะห์ว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ครั้งนี้ อาจเป็นการยืนยันว่าทรัมป์จะชนะเลือกตั้งสมัยหน้าอีกก็เป็นได้ (อ่านเพิ่มเติมใน The Democrats Could Re-Elect Trump in 2020) 

ที่มา

 

]]>
1257976