ทองคำ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 06 Dec 2023 09:09:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 วัยรุ่นจีนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น มองเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง เงินมีน้อยก็ซื้อเก็บได้ https://positioningmag.com/1454514 Wed, 06 Dec 2023 05:51:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454514 สภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนที่แม้ว่า GDP จะเติบโต แต่อัตราการว่างงานที่ยังเพิ่มสูงขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังกลายเป็นขาลง รวมถึงควาไม่แน่นอนในด้านต่างๆ ส่งผลทำให้วัยรุ่นในประเทศจีนเริ่มหันมาลงทุนในทองคำมากยิ่งขึ้น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า วัยรุ่นในประเทศจีนเองเริ่มหันมาสนใจลงทุนในทองคำมากขึ้น หลังจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ นอกจากนี้แหล่งการลงทุนสำคัญของชาวจีนอย่างอสังหาริมทรัพย์ที่เคยสร้างรายได้อย่างงดงามกำลังอยู่ในสภาวะขาลงอย่างเต็มตัว

สาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นจีนหันมาซื้อทองคำเก็บอีกครั้ง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนไม่เป็นใจ แม้ว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนยังไปต่อได้ อย่างไรก็ดีตัวเลขอัตรการว่างงานของวัยรุ่นจีนในเดือนมิถุนายนนั้นสูงถึง 21.3% ทำให้ท้ายที่สุดทางการจีนต้องยกเลิกการประกาศตัวเลขดังกล่าว

ปัจจัยความไม่แน่นอนดังกล่าว รวมถึงสภาวะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศจีนก็ยังมีระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินเมื่อเทียบกับในหลายประเทศ ยิ่งส่งผลทำให้วัยรุ่นจีนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น

Chow Tai Fook บริษัทผู้ค้าเครื่องประดับและอัญมณี ได้ออกรายงานสำรวจชาวจีนในการซื้อสินค้าประเภทดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 70% ของผู้ที่มีอายุ 18-40 ปี นั้นพบว่ามีความต้องการซื้อเครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ซึ่งปกติแล้วผู้ที่มักจะซื้อทองคำส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย

Kent Wong กรรมการผู้จัดการของ Chow Tai Fook กล่าวว่า บริษัทพบว่าวัยรุ่นอายุ 18-24 ปีเริ่มมีการซื้อทองคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับบริษัท

Linda Liu อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทผลิตยาในกรุงปักกิ่ง ได้กล่าวว่า การซื้อทองทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น และสำหรับในงานแต่งงานของเธอเอง เธอต้องการเครื่องประดับที่ทำจากทองคำมากกว่าเพชรด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันเธอเองยังกังวลถึงสภาวะตลาดแรงงานในประเทศจีนที่มีความไม่แน่นอนด้วย

นอกจากนี้ตามแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมในประเทศจีน วัยรุ่นเริ่มมีการพูดคุยถึงการลงทุนในทองคำ เนื่องจากแม้จะมีรายได้น้อยก็ยังสามารถซื้อทองคำเพียงไม่กี่กรัมได้

ประเทศจีนถือเป็นตลาดสำคัญในการซื้อขายทองคำ ซึ่งราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้น และล่าสุดได้ทำราคาสูงสุดใหม่เมื่อวันจันทร์ (4 ธันวาคม) ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ความคึกคักในการลงทุนทองคำเพิ่มสูงขึ้น

]]>
1454514
คุยกับ 2 ผู้บริหาร GCAP Gold กับมุมมองราคาทองคำ ทำไมถึงยังเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนระยะยาวได้ https://positioningmag.com/1452197 Sun, 19 Nov 2023 07:52:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452197 Positioning พาไปคุยกับ 2 ผู้บริหารของบริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP Gold ที่จะมาเปิดเผยถึงพฤติกรรมการลงทุนทองคำของคนไทย ปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาทองคำขึ้น-ลง การปรับตัวของบริษัทจากที่เป็นผู้ทองคำรายใหญ่ของไทยได้หันมาเปิดบริการออมทองคำด้วย

วลีที่เราอาจเคยได้ยินบ่อยอย่างมีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่ จะเห็นได้ว่าคนไทยกับทองคำมีความสัมพันธ์มาเป็นระยะเวลานานแล้ว แม้ว่าเวลาผ่านไปทองคำถือเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่คนไทยให้ความนิยมในการลงทุน ต่อจากการเก็บออมเงินในธนาคาร

แต่หลายคนสงสัยไม่น้อยว่าปัจจัยทำให้ราคาทองคำขึ้นลงในปัจจุบันมีอะไรบ้าง นอกจากนี้ถ้าอยากจะเริ่มออมทองคำนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง

Positioning พูดคุยกับ ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold รวมถึง ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD ซึ่งเป็น 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของบริษัท ในหลากหลายมุมมองเกี่ยวกับทองคำรวมถึงธุรกิจของบริษัท

ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD (ภาพจากบริษัท)

วิวัฒนาการของการลงทุนทองคำ และปัจจัยขึ้นลงของราคาทองคำ

ธนพิศาล และ ชัยวัฒน์ กล่าวว่าปัจจุบันการลงทุนในทองคำปัจจุบันมีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นเยอะมาก มีหลายผลิตภัณฑ์หลายๆ นักลงทุนสามารถลงทุนในหลายช่องทางได้ และมองว่าตอบโจทย์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ การซื้อทองคำแทง ตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองคำ หรือแม้แต่การลงทุนซื้อทองคำแบบซื้อราคาเฉลี่ย (DCA) ที่สามารถออมทองคำได้ตั้งแต่ไม่กี่กรัม จนถึงมูลค่าหลายบาท

2 ผู้บริหารของ GCAP Gold ยังมองว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนลงทุนในทองคำคือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญในโลก คนจะมองว่าอะไรที่เซฟสุด ซึ่งทองคำเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่เป็นคำตอบดังกล่าว

ธนพิศาล ยังกล่าวว่า เวลาโลกเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ราคาทองคำกลายเป็นกระชากขึ้นและไม่เคยกลับมาที่เดิมเลย และเขายังให้มุมมองว่าหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐอเมริกามุมมองของนักลงทุนกับทองคำเปลี่ยนไปอย่างมาก เขายังให้ความเห็นว่าตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา และมองว่าค่าเงินบาทจะอยู่ระดับนี้ 

ขณะเดียวกับ 2 ผู้บริหารมองว่าช่วงเศรษฐกิจถดถอย คนจะสนใจทองคำมากขึ้น ยิ่งมีข่าวสารน่ากังวล ราคาทองคำมักจะมีราคาขึ้น

ขณะที่ชัยวัฒน์ ได้กล่าวถึงปัจจัยราคาทองคำว่า ตอนนี้ตลาดทองคำเดายากมาก แต่เขาเชื่อว่าระยะยาวราคาทองคำน่าจะขึ้นแน่ๆ ขณะเดียวกันทิศทางราคาทองคำมีช่วงที่ราคาซึมๆ ก็มี ไม่ได้มองว่าจะขึ้นตลอด มันมีช่วงเวลาของมัน

ชัยวัฒน์ยังกล่าวเสริมว่า ตอนนี้ตลาดถือว่าเงียบมาก ตอนนี้นักลงทุนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ขึ้น ตลาดหุ้นก็ขึ้น เขายังมองว่าปีหน้าตลาดสหรัฐฯ จะซบเซาหรือไม่ ต้องดูสภาวะดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ถ้าหากดัชนีอ่อนค่าลงอาจไปราคาทองคำอาจกลับมาได้

ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ – ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold (ภาพจากบริษัท)

คนไทยกับการออมทอง

ชัยวัฒน์มองว่าคนไทยชินกับการออมทองมานานแล้ว ตั้งแต่ทองคำในอดีตมีราคาที่ถูกมากสามารถซื้อทองคำสลึงนึงได้ง่ายๆ แต่ปัจจุบันทองคำสลึงนึงถือว่าแพงมาก คนเริ่มศึกษาว่าทำไมทองคำถึงราคาขึ้น คนไทยมีวินัยออมทองคำ โดยลงทุนทีละเล็กละน้อย โดยเขาสังเกตว่าในช่วงของโควิดคนไทยเอาทองคำที่เก็บออมไว้มาขายเยอะมาก

เขายังชี้ว่าคนไทยมีพฤติกรรมออมมานานแล้ว ปัจจุบันวัยรุ่นก็ออมทองคำมากขึ้น นอกจากนี้คนไทยเองยังซื้อ Gift Card ทองคำให้มอบให้คนที่รัก หรือแม้แต่พ่อแม่ด้วย

เขายังชี้ว่าทองคำในฐานะสินทรัพย์อาจไม่หวือหวาเหมือนหุ้น แต่ทองมีความเสี่ยงแต่ไม่มากเท่า มองว่าในกรณีที่แย่สุดราคาของทองคำจะไม่ลดลงมาเหลือ 0 บาทเหมือนหุ้นรวมถึงตราสารหนี้ที่หลายคนมองว่ามีความปลอดภัยก็ยังมีโอกาสไม่ได้รับเงินต้นคืน

นอกจากนี้ทองคำสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ไว เขายังชี้ว่าพฤติกรรมของคนไทยชอบซื้อทองคำรูปพรรณ แต่ชัยวัฒน์ก็แนะนำว่าถ้าหากจะลงทุนแล้ว แนะนำให้เป็นทองคำแท่งเนื่องจากจะเสียค่าธุรกรรมน้อยกว่า และตลาดมีสภาพคล่องมากกว่า

ผู้บริหารของ GCAP Gold มองว่าควรจะลงทุนทองคำในรูปแบบเงินบาทจะปลอดภัยสุด – ภาพจาก Shutterstock

ชัยวัฒน์ อยากจะแนะนำเพื่อการออม มองว่าซื้อหรือลงทุนในทองคำแบบเป็นเงินบาทจะปลอดภัยสุด เขามองว่าการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเหมือนกับมีคนถือหางให้ ทำให้ราคาทองคำที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทไม่เหวี่ยงมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ชัยวัฒน์มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเองไม่แย่ แต่ในระยะยาวแล้วเขาเองให้มุมมองว่าค่าเงินบาทของไทยจะอ่อนค่าในระยะยาวจากโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเอง โอกาสค่าเงินบาทระยะยาวโอกาสแข็งค่าน้อยมาก เขาชี้ว่าราคาทองคำในรูปเงินบาทตอนนี้น่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ

ในช่วงที่ผ่านมานั้น 2 ผู้บริหารมองว่าพฤติกรรมอีกอย่างของคนไทยคือถ้าหากเศรษฐกิจดีคนก็ซื้อทองคำไว้ เศรษฐกิจที่ไม่ดีคนซื้อน้อยลง แต่ปัญหาคือจะปรับตัวได้กับราคาทองคำที่แพงได้หรือเปล่า ถ้าคนปรับตัวกับราคาทองที่ยืนราคาได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้คนชอบโทรมาถามที่บริษัทตอนที่ราคาทองคำนั้นแพงที่สุด

สำหรับเรื่องการออมทองคำนั้น ทั้ง 2 อยากให้ออมทองกับบริษัทที่มีความมั่นคง แนะนำให้ดูคู่ค้าว่าเป็นใคร ต้องดูให้ดี และต้องระวังการโดนหลอกจากมิจฉาชีพด้วย เช่น หลอกว่าลงทุนในราคาทองคำถูกกว่า 20% แต่รับเงินปีหน้า แบบนี้ถือว่าโดนหลอก เป็นต้น

ผู้บริหารของ GCAP Gold ชี้ว่าปัจจัยที่น่าติดตามมองในปี 2024 คือเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา – ภาพจาก Shutterstock

ธุรกิจของ GCAP Gold

2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของ GCAP Gold ได้กล่าวว่าบริษัทประกอบธุรกิจซื้อขายทองคำแท่ง และเป็นผู้เล่นรายใหญ่ 1 ใน 5 ของตลาดทองคำในประเทศไทย และมีโรงหล่อทองคำที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ปัจจุบันธุรกิจบริษัทมีทั้งค้าปลีกโดยส่งทองคำให้ตามร้านทอง รวมถึงดูแลรายย่อย จากปริมาณการค้าทองเพิ่มมากขึ้น ตามเทรนด์ราคา

ชัยวัฒน์ ได้กล่าวว่าปัจจุบันทองคำนั้น มีแหล่งที่มาหลักๆ คือมาจากประเทศออสเตรเลียซึ่งมีเหมืองทองคำกับโรงหล่อทองคำ รวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นแหล่งรวมโรงหล่อทองคำ ทั้ง 2 นั้นถือเป็นแหล่งสำคัญของทองคำของโลก

ทั้ง 2 ผู้บริหารยังกล่าวว่า GCAP Gold ให้ความสำคัญกับลูกค้า คำไหนคำนั้น ทำธุรกิจตรงไปตรงมาเหมือนกับสมัยรุ่นของคุณปู่ ซึ่งทำให้ธุรกิจในปัจจุบันนั้นคงอยู่ได้

สำหรับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจนั้น ชัยวัฒน์กล่าวว่า สมัยคุณพ่อ คือธุรกิจทองคำสมัยนั้นจะทำในสิ่งที่ทุกคนถนัด คือใครถนัดนำเข้าก็นำเข้า ใครถนัดส่งออกก็ส่งออก และสมัยก่อนการสั่งซื้อทองคำยังไม่มาก ก็มีคนช่วยจดคำสั่งซื้อ แต่เวลาผ่านไปก็นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น ทำให้รับคำสั่งซื้อ-ขาย ได้มาก

นอกจากนี้บริษัทขยายเข้ามาในธุรกิจออมทองคำมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว มีลูกค้าออมทองคำกับบริษัทมากถึง 4,000 กว่าราย

2 ผู้บริหารยังกล่าวว่าตอนนี้ได้ทำแอปพลิเคชันตัวใหม่ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า มองว่าคนสนใจทองคำมากกว่านี้ เพื่อเตรียมรับลูกค้า และรองรับปริมาณธุรกรรมที่มากขึ้น ภายใน 3 ปีน่าจะโตได้อีกเท่าตัว และตอนนี้ราคาทองคำขยับตลอด บริษัทต้องดูแลลูกค้า ตลาดเปลี่ยนไป ราคาผันผวนมาก มองปัจจัยดังกล่าวเป็นนทั้งโอกาสและการปรับตัว

]]>
1452197
ผลพวง “สงครามอิสราเอล” ดันราคา “น้ำมัน” พุ่ง 4% https://positioningmag.com/1447262 Mon, 09 Oct 2023 06:45:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447262 สงครามระหว่าง อิสราเอล และ ฮามาส กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ได้ยืดเยื้อมาถึงวันที่ 3 แล้ว ซึ่งจากสงครามดังกล่าวได้ส่งผลต่อ ราคาน้ำมันและทองคำ 

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า น้ำมันดิบเบรนท์ มีราคาซื้อขายสูงขึ้น 4.53% ที่ 88.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในวันนี้ (9 ต.ค.2566) ขณะที่สหรัฐฯ ฟิวเจอร์ส West Texas Intermediate เพิ่มขึ้น 4.69% เป็น 88.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าราคาน้ำมันที่พุ่งนั้นจะเกิดแค่ชั่วคราว เนื่องจากเป็นการตอบสนองของตลาดต่อภาวะสงคราม

โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า สงครามไม่ได้ทําให้แหล่งน้ํามันที่สําคัญใด ๆ ตกอยู่ในอันตรายโดยตรง เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ผู้ค้าน้ํามันรายใหญ่ โดย อิสราเอลมีโรงกลั่นน้ํามันสองแห่ง ที่มีกําลังการผลิตรวมกันเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ ดินแดนปาเลสไตน์ไม่ผลิตน้ำมัน อย่างไรก็ตาม แม้ความขัดแย้งทั้งสองจะไม่ได้ส่งผลต่อโรงกลั่นน้ำมันในประเทศสำคัญ ๆ โดยตรง แต่ก็เสมือนอยู่ หน้าประตูของภูมิภาคการผลิตและส่งออกน้ำมันที่สําคัญสําหรับผู้บริโภคทั่วโลก

“ผลกระทบที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันโดยตรงจริง ๆ คือ การลดอุปทานหรือการขนส่งน้ำมัน” Vivek Dhar ผู้อํานวยการฝ่ายวิจัยการขุดและสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงานของธนาคารเครือจักรภพ กล่าว

ไม่ใช่แค่ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น แต่ราคา ทองคำ ก็สูงขึ้น 0.99% มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนหาสินทรัพย์หลบภัย ส่วนราคาทองในไทย สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 400 บาท โดยราคารับซื้อทองคำแท่งบาทละ 32,350 บาท ขายออก 32,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 31,760.20 บาท ขายออก 32,950 บาท

ทั้งนี้ จากการโจมตีของกลุ่มฮามาส มีรายงานว่าชาวอิสราเอลอย่างน้อย 700 คนถูกสังหาร ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ได้บันทึกผู้เสียชีวิต 313 ราย จนถึงขณะนี้

Source

]]>
1447262
ธนาคารกลางจีนตุนทองคำ 9 เดือนติดต่อกันแล้ว ตั้งเป้าลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ https://positioningmag.com/1440096 Mon, 07 Aug 2023 11:30:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440096 ธนาคารกลางจีนได้ตุนทองคำเพิ่มติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 แล้ว โดยเป้าหมายคือลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยข้อมูลในปัจจุบันนั้นจีนมีทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศสัดส่วนไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าอาจมีการซื้ออย่างต่อเนื่องได้

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า ธนาคารกลางของประเทศจีน (PBoC) ได้ซื้อทองคำเพิ่มมากถึง 740,000 ทรอยออนซ์ ซึ่งเทียบได้กับน้ำหนักราวๆ 23 ตัน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจะทำให้ธนาคารกลางของจีนสะสมทองคำเข้าคลังมากถึง 9 เดือนติดต่อกันแล้ว

ล่าสุดนั้นจะทำให้ธนาคารกลางจีนมีทองคำเก็บสะสมทั้งสิ้นราวๆ 2,137 ตัน หลังจากที่ได้ทยอยซื้อทองคำเพิ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนของปี 2022 ที่ผ่านมา โดยซื้อสุทธิทั้งสิ้นราวๆ 188 ตัน

PBoC ถือเป็นธนาคารกลางรายใหญ่ที่เป็นผู้นำในการซื้อทองคำเก็บเป็นทุนสำรอง เนื่องจากนโยบายของธนาคารกลางจีนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้ใช้นโยบายลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (De-Dollarization) เนื่องจากค่าเงินของสหรัฐได้แข็งค่าจากนโยบายการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลทำให้สกุลเงินหลายประเทศอ่อนค่าลงอย่างหนัก

นอกจากนี้ด้วยความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศคว่ำบาตรรัสเซียจากเหตุผลการบุกยูเครน หรือแม้แต่กรณีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ก็ทำให้หลายประเทศเริ่มหาทางออกจากการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่สื่อจีนอย่าง Global Times ได้สัมภาษณ์ Yang Delong นักเศรษฐศาสตร์จาก First Seafront Fund Management ชี้ว่าการเก็บทองคำเพิ่มเติมของ PBoC จะเป็นอีกรากฐานหนึ่งของความก้าวหน้าที่สกุลเงินหยวนของจีนจะได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากขึ้น

สื่อจีนรายดังกล่าวยังได้สัมภาษณ์ Ming Ming นักเศรษฐศาสตร์ของ CITIC Securities ว่าจีนมีทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีสัดส่วนสูงกว่านั้น และคาดว่าจีนจะซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง

โดยธนาคารกลางทั่วโลกได้พยายามที่จะลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นไม่ซื้อเงินดอลลาร์เก็บเป็นทุนสำรอง แต่พยายามหาสกุลเงินอื่นๆ ทดแทน หรือแม้แต่การเก็บสะสมทองคำ ซึ่งนโยบายดังกล่าวของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารกลางจีนเองยังส่งผลทำให้ราคาทองเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

]]>
1440096
Ausiris ชี้พฤติกรรมคนไทยชอบซื้อทองคำตอนขาขึ้น วัยรุ่นซื้อน้อยแต่ซื้อบ่อย มองระยะยาวทองมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ https://positioningmag.com/1439093 Wed, 26 Jul 2023 12:39:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439093 ออสสิริส มองราคาทองคำในระยะยาวนั้นเป็นขาขึ้น จากหลายปัจจัย มองพฤติกรรมของคนไทยในการซื้อทองคำมักจะซื้อตอนราคากำลังเป็นขาขึ้น ขณะเดียวกันวัยรุ่นไทยเริ่มสนใจซื้อทองคำมากขึ้น ซื้อน้อยแต่ซื้อบ่อย

บุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด (Ausiris) ได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่าถือเป็นช่วงเวลาที่ดี มียอดขายที่ดีมาก นอกจากนี้ราคาทองทำยังทำสถิติสูงสุดใหม่อีกด้วย

พฤติกรรมการซื้อทองของคนไทยส่วนใหญ่เวลาซื้อทองคำที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ausiris มองเห็นคือ ถ้าราคาทองขาขึ้น คนจะซื้อทองคำมากผิดปกติ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะสั้นและกลาง แต่บริษัทได้แนะนำให้ซื้อหรือลงทุนในทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า

นอกจากนี้ บุญเลิศ ยังเห็นเห็นอายุคนซื้อทองลดลง ซึ่งเป็นวัยรุ่นวัยทำงานมากขึ้น แต่ปริมาณการซื้ออาจไม่ใช่ทองคำแท่งขนาดใหญ่แต่อย่างใด แต่ส่วนใหญ่นั้นซื้อเล็กๆ น้อยๆ แต่ซื้อบ่อยมากขึ้น เขายังชี้ว่าวัยรุ่นหาข้อมูลเวลาซื้อขายทองคำมากขึ้น แล้วก็เช็คดูข้อมูลว่าน่าเชื่อถือหรือไม่

ปัจจัยที่ทำให้ทองคำเป็นขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ausiris มองว่าปัจจัยที่ทำให้ทองคำมีราคาเพิ่มสูงขึ้นก็คือ การลดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา รวมถึงการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลต่อราคาทองคำ แต่ถ้าหากปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำมีราคาลดลงคือดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาออกมาดูดี

ถ้ามองในระยะระยะยาวดอกเบี้ยของสหรัฐน่าจะขึ้นอีกไม่กี่ครั้งแล้วก็คงดอกเบี้ยยาวแล้วก็จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ทำให้เขาคาดว่าทองคำจะทำราคาสูงสุดใหม่ในช่วงปีหน้าได้

นอกจากนี้เขายังมองถึงปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ทั่วโลกจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มไม่เก็บเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่เป็นการเก็บทองคำแทน หรือแม้แต่เศรษฐกิจในเอเชียยังเติบโต ส่งผลทำให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่ามากขึ้น เป็นส่วนผลักดันที่ทำให้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้นหลังจากนี้ได้อีก

บุญเลิศ สิริภัทรวณิช – ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด

ธุรกิจทองคำของบริษัท และภาพรวมตลาด

บุญเลิศ ได้กล่าวถึงตลาดทองคำในประเทศไทยว่า ราคาไม่ใช่ประเด็นใหญ่แล้ว ราคาทองคำในไทยเป็นราคาตลาดโลกสมบูรณ์แบบ และกลไกตลาดใกล้เคียงตลาดโลกแล้ว แต่เขาชี้ว่าการเข้าถึงตลาดทองคำในไทยนั้นสำคัญกว่ามาก เห็นได้จากช่วงที่ผ่านมา หลายแพลตฟอร์มลงทุนออนไลน์เริ่มชักชวนให้คนเข้ามาลงทุนทองคำ

เขามองว่าสนามสู้รบในปัจจุบันไม่ใช่ร้านทองด้วยกันเอง แต่เขามองว่าอุตสาหกรรมทองคำ จะเติบโตจากปัจจัยการลงทุนด้วย ขณะเดียวกันบริษัทก็อยากขายทองคำแบบ 99.9% เนื่องจากตลาดโลกหันไปทางนี้มากกว่า (ซึ่งในไทยนั้นมีทองคำขายทั้ง 99.9% และ 96.5%)

สิ่งที่ Ausiris ได้ทำในตอนนี้คือการส่งมอบทองคำให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะซื้อทองคำที่มีขนาดเล็กก็น้อย หรือซื้อขนาดใหญ่มากได้ บริษัทสามารถจัดส่งได้หมด หรือแม้แต่ถ้าหากลูกค้าอยากซื้อขายแบบไหนได้หมด ไม่ว่าจะเป็นออมทองคำ ซื้อขาย หรือเวลารับมอบทองคำแท่งจริงๆ ก็ได้เช่นกัน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ausiris ยังกล่าวว่าปัจจุบันรายได้ของบริษัทมีสัดส่วน 80% มาจากลูกค้าขายส่ง และอีก 20% จากลูกค้ารายย่อย ซึ่งเขาพยายามที่จะเข้าถึงลูกค้ารายย่อยมากขึ้น และเปลี่ยนสัดส่วนรายได้ให้สมดุลมากขึ้น และจะมาเจาะลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น และบริษัทยังมองเรื่องนวัตกรรม รวมถึงบริการให้กับลูกค้ามากกว่าเดิม 

เขาคาดว่าในปี 2023 นี้ยอดขายของบริษัทจะเติบโตมากกว่า 20%

บุญเลิศได้กล่าวทิ้งท้ายว่าเขามอง Ausiris เป็นแบรนด์ร้านทองในใจของลูกค้า ซึ่งคำพูดง่ายๆ แต่เขาจริงจังกับเรื่องนี้ และมองว่าบริษัทไม่ใช่แค่ผู้ขายอย่างเดียว แต่ยังต้องให้ความรู้ในเรื่องทองคำด้วย ถ้าไม่เข้าใจลูกค้าก็ขายสินค้าไม่ได้

]]>
1439093
นักวิเคราะห์ประเมิน ‘ทองคำ’ อาจทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 2,600 ดอลลาร์/ออนซ์ https://positioningmag.com/1424435 Wed, 22 Mar 2023 06:58:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424435 แม้ว่าราคา ทองคำ วันนี้ (22 มี.ค.66) จะปรับลง 200 บาท แต่ทองไทยได้เงินบาทอ่อนหนุน จึงยังยืนในช่วง 31,000-32,000 บาท อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ธนาคารใหญ่ ๆ ในโลกกำลังเจอกับวิกฤตและธนาคารกลางสหรัฐตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำมีโอกาสทำลายสถิติสูงสุด

หลังจากที่หุ้นธนาคารได้รับผลกระทบจากการปิดตัวของ Silicon Valley Bank และ Credit Suisse ส่งผลให้นักลงทุนแห่กันไปที่ทองคำ ทำให้ราคาทองคำซื้อขายทะลุ 2,000 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นประมาณ 10% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565

Tina Teng จากบริษัทที่ให้บริการทางการเงิน CMC Markets กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเร็ว ๆ นี้อาจทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากการลดลงของเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยคาดว่าราคาทองคำจะซื้อขายระหว่าง 2,500-2,600 ดอลลาร์/ออนซ์ (ราว 86,000-89,000 บาท) ทำสถิติสูงสุด แซงช่วงเดือนสิงหาคม 2563 ที่ราคาทองคำอยู่ที่ 2,075 ดอลลาร์/ออนซ์ (ราว 74,000 บาท) ตามข้อมูลของ Refinitiv

“ฉันคิดว่ามันเป็นไปได้มากที่เราเห็นผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทองคำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราอาจเห็นได้ว่ามันจะทำลายจุดสูงสุดใหม่ในไม่ช้า”

ในปีที่ผ่านมา ความต้องการทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี เนื่องจากการซื้อจำนวนมากของธนาคารกลาง ตามรายงานของ World Gold Council โดยธนาคารกลางได้ซื้อทองคำสูงสุดในรอบ 55 ปีที่ 1,136 ตัน

Source

]]>
1424435
‘โลหะเงิน’ อาจแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี แถมมีแนวโน้มแซงหน้าราคา ‘ทองคำ’ https://positioningmag.com/1416691 Wed, 25 Jan 2023 07:40:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416691 โลหะเงิน ถือเป็นโลหะมีค่าที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง และจากความต้องการใช้โลหะเงินที่มากขึ้นในปีนี้ มีการคาดการณ์ว่าราคาโลหะเงินอาจพุ่งทำระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี และอาจจะแซงหน้าราคาทองคำเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาโลหะเงินอาจแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีที่ 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปีนี้ ซึ่งอาจแซงหน้าราคาทองคำ เนื่องจากอุปทานที่ไม่เพียงพอ รวมถึงแนวโน้มที่เงินให้ ผลกำไรได้ดีกว่าทองคำ ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง

“ครั้งสุดท้ายที่เม็ดโลหะเงินแตะระดับ 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คือในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 และจากที่ผ่านมา โลหะเงินเคยทำกำไรได้เกือบ 20% ในปีที่อัตราเงินเฟ้อสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาโลหะเงินจะพุ่งไปที่ 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีนี้” Janie Simpson ซีอีโอของ ABC Bullion กล่าว

ทั้งนี้ เม็ดโลหะเงิน (silver spot) เคยทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 49.45 ดอลลาร์ในปี 1980 เทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่ 13.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณ 4 ดอลลาร์ในปี 1976 เมื่ออัตราเงินเฟ้อที่ 5.7% และช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา โลหะเงินมีการซื้อขายอยู่ที่ 24.02 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่ 6.5%

ปัจจุบันแร่เงินอยู่ในภาวะขาดแคลนและมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปัจจุบันเงินเป็นโลหะที่ใช้โดยทั่วไปในการผลิตยานยนต์ แผงโซลาร์เซลล์ เครื่องประดับ และอิเล็กทรอนิกส์ และคาดว่าแร่เงินจะ ขาดดุลมากกว่า 100 ล้านออนซ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันการใช้แร่เงินในภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นเกือบ 50% ของความต้องการทั้งหมด

“ความต้องการดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเป็นผลมาจากความต้องการทางอุตสาหกรรมที่เร่งตัวขึ้นจากการใช้งานยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์” Nicky Shiels หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์โลหะของบริษัทค้าโลหะมีค่า MKS PAMP กล่าว

จากข้อมูลของ The Silver Institute ระบุว่า ในปี 2022 มีซัพพลายแร่เงินจากเหมืองแร่รวมทั้งหมด 843.2 ล้านออนซ์ ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับระดับสูงสุดในปี 2016 ที่ผลิตได้ 900 ล้านออนซ์ ขณะที่ Randy Smallwood ประธานบริษัทเหมือง Wheaton Precious Metals บอกว่า ซัพพลายโลหะเงินขึ้นถึงระดับสูงสุดเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว จากนั้นการผลิตโลหะเงินทั่วโลกก็ลดลง และจะไม่ได้เห็นแร่เงินจากเหมืองในปริมาณมากเท่านั้นแล้ว

Source

]]>
1416691
Standard Chartered คาด ‘Bitcoin’ อาจร่วงเหลือ 5,000 ดอลลาร์ในปีหน้า ส่วน ‘ทองคำ’ จะพุ่ง 30% https://positioningmag.com/1411104 Tue, 06 Dec 2022 03:41:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1411104 ถือเป็นอีกปีที่ตลาดคริปโตฯ เจอแต่ข่าวร้าย ๆ ซึ่งส่งผลให้เหรียญที่มีมูลค่าสูงสุดอย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin) ปัจจุบันมีมูลค่าที่ 17,000 ดอลลาร์ จากที่เคยพุ่งสูงสุดถึงกว่า 67,000 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2564 ล่าสุด Standard Chartered ได้ออกมามองถึงทิศทางบิตคอยน์ปีหน้า โดยคาดว่ามูลค่าจะเหลือเพียง 5,000 ดอลลาร์เท่านั้น

Eric Robertsen หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของ Standard Chartered Bank คาดการณ์ว่า บิตคอยน์อาจลดลงเหลือ 5,000 ดอลลาร์ในปีหน้า ซึ่งถ้าถึงระดับนั้น แปลว่ามูลค่าของบิตคอยน์จะลดลงประมาณ 70% จากราคาปัจจุบันที่ 17,000 ดอลลาร์ ซึ่งมูลค่าลดลงไปมากกว่า 60% หากนับเฉพาะปีนี้

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของบิตคอยน์ก็คือ การล่มสลายของโครงการและบริษัทที่มีชื่อเสียงมากมาย ทำให้อุตสาหกรรมเสียหาย โดยเฉพาะที่ FTX ได้ยื่นล้มละลาย นับเป็นความเสียหายล่าสุดและใหญ่ที่สุด เพราะหลังจากที่ FTX ล้มก็ได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั้งตลาด

“ผลตอบแทนของคริปโตฯ ลดลงไปพร้อม ๆ กับหุ้นเทคโนโลยี และในขณะที่บริษัทหรือแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนคริปโตฯ จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มพบว่าตัวเองมีสภาพคล่องไม่เพียงพอ ได้นำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล” Eric Robertsen กล่าว

ในขณะที่มูลค่าของบิตคอยน์อาจจะลดลงในปีหน้า แต่ราคา ทองคำ อาจเพิ่มขึ้น 30% เป็น 2,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการถดถอยของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยทองคำนั้นจะเป็นเหมือน แหล่งหลบภัย โดยนักลงทุนแห่กันไปเพื่อความมั่นคงในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน

ไม่ใช่แค่ Standard Chartered ที่มองว่ามูลค่าของบิตคอยน์จะลดลงในปีหน้า แต่ Mark Mobius นักลงทุนรุ่นเก๋าก็คาดว่า บิตคอยน์จะร่วงลงสู่ระดับ 10,000 ดอลลาร์ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นจากธนาคารกลางสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม มีเพียง Tim Draper มหาเศรษฐีพันล้านยังเชื่อว่าในช่วงกลางปีหน้า มูลค่าของบิตคอยน์จะกลับมาแตะ 250,000 ดอลลาร์ ได้

Source

]]>
1411104
เศรษฐกิจผันผวน นักลงทุนไทยหันมาถือครอง “ทองคำ” เพื่อปกป้องความมั่งคั่ง https://positioningmag.com/1402083 Wed, 28 Sep 2022 03:07:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1402083 รายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทองคำค้าปลีกประเทศไทย (Retail Gold Insights : Thailand report) ฉบับล่าสุดจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) เผย ผู้บริโภคชาวไทยมีความเข้าใจในการลงทุน โดยมีการนำรายได้ 35% มาลงทุุนในทอง และผู้ลงทุนมีผลิตภัณฑ์การลงทุุนเฉลี่่ย 3.5 รายการ ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าตนเองเป็นนักลงทุนที่มีความมั่นใจ และเต็มใจที่จะลองลงทุนในหลายรูปแบบเพื่อแลกกับการเติบโตทางการเงินแบบทวีคูณ

87% ของนักลงทุนไทยเห็นด้วยว่า การมีพอร์ตลงทุนที่หลากหลายเพื่อช่วยปกป้องความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนชาวไทยมีความกังวลถึงภาวะตลาดการเงินล่ม พวกเขาจึงต้องการทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่เลือกลงทุน และมีมุมมองในการลงทุนระยะยาว

ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ทองคำเป็นการลงทุนที่นิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในพอร์ตการลงทุนของประเทศไทย และกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศได้ถือครองทองคำในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยการลดความเสี่ยงเป็นปัจจัยหลัก (57%) ที่กระตุ้นให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในทองคำ แนวโน้มเช่นนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า นักลงทุนรายย่อยตระหนักถึงบทบาทของทองคำในฐานะผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีความปลอดภัย ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับบทบาทของทองคำในพอร์ตการลงทุน ที่ถือเป็นเครื่องมือช่วยปกป้องความมั่งคั่ง

นักลงทุนกว่า 40% ได้ซื้อทองคำเพื่อการลงทุนในช่วง 12 เดือนก่อนการสำรวจ โดยทองคำแท่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของนักลงทุน ตามด้วยเหรียญทองคำที่ 12% กองทุนทอง (ETF) ที่ 10% ทองคำเก็บในคลังนิรภัยที่ 9% และเครื่องประดับทองคำที่ 9%

Photo : Shutterstock

แต่ก็พบว่ามีอุปสรรคที่ทำให้นักลงทุนที่สนใจยังลังเลที่จะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรก

  • เกือบ 80% ของนักลงทุนกลุ่มนี้เผยว่า พวกเขายังไม่มีความรู้มากพอที่จะซื้อทองคำ และไม่ทราบถึงช่องทางในการซื้อทองคำที่มีราคาไม่แพง โดยอุปสรรคที่เด่นชัดที่สุดคือ พวกเขาเชื่อว่าทองคำนั้น “มีค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขายทองคำสูงเกินไป”
  • เกือบครึ่งหนึ่งกังวลถึงความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ทองคำ โดยมากกว่า 30% ระบุว่ากลัวถูกหลอกให้ซื้อทองคำปลอม จึงเลือกที่จะไม่ซื้อ และกว่า 10% ชี้ว่าตนไม่กล้าซื้อ เพราะยังไม่มีการรับประกันถึงความบริสุทธิ์ของทองคำ
  • มากกว่าหนึ่งในสามของนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรกคิดว่าตนจะไม่สามารถเก็บทองคำไว้ได้อย่างปลอดภัย โดยนักลงทุนกลุ่มนี้อาจยังไม่ทราบถึงช่องทางและบริการการจัดเก็บทองคำที่มีอยู่

กลุ่มนักลงทุนรายย่อย 4 ประเภทในประเทศไทย

การศึกษาวิจัยยังเจาะลึกถึงกลุ่มนักลงทุนรายย่อยสี่ประเภทในประเทศไทย ได้แก่ นักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ (Guided Risk Takers), เทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน (Adventurous Traders), นักกลยุทธ์เชิงอไจล์ (Agile Strategists) และนักออมที่ระมัดระวัง (Cautious Savers)

  • 35% เป็นนักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ ซึ่งยอมรับความเสี่ยงเพื่อให้สามารถเติบโตได้แบบทวีคูณ และนักลงทุนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยกังวลกับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลาย
  • 26% เป็นเทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน ซึ่งต้องการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลในระยะสั้น และมักจะชอบเป็นผู้ที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ นักลงทุนกลุ่มนี้มักเป็นนักลงทุนรายแรก ๆ ที่จะเลือกการลงทุนแบบใหม่
  • 26% เป็นนักกลยุทธ์เชิงอไจล์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมมากที่สุด โดยพวกเขากลุ่มนี้มองการลงทุนเป็นงานอดิเรก และมุ่งเน้นที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อปกป้องและเพิ่มความมั่งคั่ง นอกจากนี้ พวกเขายังมักที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ตนเองเข้าใจอย่างชัดเจน
  • 13% เป็นนักออมที่ระมัดระวัง โดยจะเลือกลงเงินน้อยที่สุดและไม่ชอบความเสี่ยงสูง พวกเขาจะเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ และสิ่งที่จะมาช่วยลดความเสี่ยง รวมถึงให้ผลตอบแทนที่มั่นคงอันสามารถเก็บเป็นมรดกไว้ให้บุตรหลานของตนได้

มากกว่า 80% ของนักลงทุนรายย่อยแต่ละกลุ่มเห็นด้วยว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ดี ซึ่งช่วยสร้างหลักประกันในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือเศรษฐกิจได้

Photo : Shutterstock

ผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัลเพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเพิ่มและรักษาฐานนักลงทุนที่มีอยู่เดิม

ประการสุดท้าย งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทองคำกว่า 73% ผ่านทางออฟไลน์ แต่เมื่อถามถึงปัจจัยของการเลือกซื้อทองคำแล้ว สาเหตุอันดับต้น ๆ ได้แก่ การขาย/เปลี่ยนทองเป็นเงินสดได้ง่าย ซื้อได้ตลอดเวลา และมีการสร้างผลกำไร

ผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัล ไม่ว่าจะให้บริการโดยธนาคารหรือผู้ให้บริการรายอื่น จะช่วยให้ผู้ขายสามารถทำการตลาดและผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างครอบคลุมและราบรื่นยิ่งขึ้น

Mr. Andrew Naylor ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค APAC (ไม่รวมประเทศจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า

“ประเทศไทยมีตลาดทองคำขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก เกือบครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยเลือกที่จะลงทุนในทองคำ และทองคำนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมเป็นอันดับสองของไทย จากรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทองคำค้าปลีกในประเทศไทย (Retail Gold Insights : Thailand report) ทำให้เข้าใจถึงอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวัง ความต้องการในการลงทุน และพฤติกรรมการซื้อของนักลงทุนไทย รวมถึงแสดงให้เห็นว่า ทำไมนักลงทุนประเภทต่าง ๆ ในประเทศไทยถึงให้ความสนใจกับทองคำกันอย่างแพร่หลาย โดยสิ่งขับเคลื่อนสำคัญคือบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่การเมืองหรือเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน

ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการลงทุนมหาศาล อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาว ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความต้องการของนักลงทุนในการถือทองคำในฐานะที่เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย แต่ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งอื่น ๆ ผ่านการศึกษานี้อีกด้วย การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกยังแสดงให้เห็นว่า ทองคำสามารถเป็นเครื่องปกป้องความมั่งคั่ง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและสามารถช่วยกระจายพอร์ตการลงทุนได้ เราจะเดินหน้าทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนในทองคำและวิธีการในการลงทุน”

]]>
1402083
ภารกิจร้านทอง “ออโรร่า” ตามหาลูกค้ากลุ่มใหม่ “ซื้อทอง” ได้ทุกโอกาส ดีไซน์ทันสมัยไม่ตกยุค https://positioningmag.com/1398273 Tue, 30 Aug 2022 11:04:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398273 ร้านทองขึ้นห้าง “ออโรร่า” (Aurora) เปิดแคมเปญโฆษณา The New Way of Gift พร้อมลุย Pop-up Store 2 แห่ง กลางย่านวัยรุ่นและในโรงพยาบาล ส่งแรงบันดาลใจให้ลูกค้า “ซื้อทอง” เป็นของขวัญที่มีค่าได้ทุกโอกาส เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ ตอกย้ำจุดขายร้านทองที่มีสินค้าดีไซน์-เข้าเทรนด์สายมู เช่น พวงกุญแจ สร้อยข้อมือเสริมสิริมงคล

ห้างเพชรทอง “ออโรร่า” (Aurora) ถือเป็นหนึ่งในชื่อร้านทองคุ้นหูเพราะปัจจุบันมีถึง 255 สาขาทั่วประเทศ และเน้นการเปิดสาขาในศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า ทำให้ลูกค้าพบเห็นและเข้าถึงได้ง่าย

ชื่อของออโรร่าฟังดูเป็นชื่อฝรั่ง แต่จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นมาจากตระกูลคนไทยเชื้อสายจีนเช่นกัน “อนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่น 3 ของออโรร่าเล่าย้อนประวัติให้ฟังว่า ครอบครัวเริ่มค้าทองตั้งแต่รุ่นอากง “นายซุ่ยฮุย” ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีนเมื่อปี 2483 ใช้ความรู้ด้านการทำทอง ตั้งโรงงานผลิตเครื่องประดับในลักษณะค้าส่งให้กับร้านทองในเยาวราช

จนกระทั่งมาถึงรุ่น 2 คือ “ประสิทธิ์ ศรีรุ่งธรรม” คุณพ่อของอนิพัทย์ เริ่มเปิดร้านขายทอง “ซุ่ยเซ่งเฮง” ย่านอุดมสุข เมื่อปี 2516 จุดประสงค์เดิมคือต้องการรู้ความต้องการของลูกค้ารายย่อยโดยตรง เพื่อให้การออกแบบเครื่องประดับเพื่อค้าส่งทันสมัยขึ้น แต่ปรากฏว่าร้านขายทองรายย่อยนี้ไปได้ดี จึงมีการขยายสาขา และมีการ ‘รีแบรนด์’ เป็น “ออโรร่า” เมื่อปี 2529 เพราะเป็นร้านทองรายแรกที่จะ “ขึ้นห้าง” ไปเปิดในเดอะมอลล์ รามคำแหง จึงต้องการชื่อที่มีความทันสมัย

หลังจากนั้นออโรร่าก็เป็นรายแรกอีกที่เปิดในไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น บิ๊กซี โลตัส และต่อมามีการขยายสินค้าจับกลุ่ม “เพชร” เพิ่มเข้ามาในปี 2555 รวมถึงเข้าสู่ตลาดออนไลน์เต็มตัวในปี 2560 ปัจจุบันสามารถซื้อทองออนไลน์ได้ทั้งทางเว็บไซต์, LINE และมาร์เกตเพลสต่างๆ

“อนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน)

 

จุดขายอยู่ที่ “งานดีไซน์” และ “การรับประกัน”

อนิพัทย์กล่าวต่อว่า กลุ่มลูกค้าหลักของร้านออโรร่าจะไม่ได้เน้นผู้ซื้อแบบเก็งกำไรตามราคาทอง แต่จะเน้นผู้ซื้อเพื่อเป็นของขวัญตามโอกาส หรือซื้อเก็บเป็นทรัพย์สิน ทำให้จุดเน้นของร้านจะเป็นเรื่อง “งานดีไซน์” ปัจจุบันสินค้าสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1.โมเดิร์น โกลด์ คือ เครื่องประดับทองรูปพรรณที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ 96.5% เช่น สร้อยคอ แหวน สร้อยข้อมือ ต่างหู

2.ดีไซน์ โกลด์ ผลิตภัณฑ์ทำจากทองคำรูปแบบอื่นๆ เช่น ทองคำแท่ง ของฝาก ของขวัญ สินค้าเสริมสิริมงคล พระเครื่อง

3.กลุ่มเครื่องประดับเพชร โดยออโรร่าเป็นพาร์ทเนอร์กับ De Beers ในการใช้เพชรแท้มีใบรับประกันเพชร

สร้อยข้อมือทองคำ

รวมถึงจุดแข็งอีกประการคือบริการหลังขาย “ออโรร่า แคร์” คือ มีการออกบัตรรับประกัน 3 ใบ ได้แก่ สินค้าเป็นทองคำแท้หรือเพชรแท้, สินค้ามีบริการหลังขาย ล้าง ซ่อม ต่อ ดูแลตลอดอายุการใช้งาน และ รับประกันจะรับซื้อคืนในราคาสูงสุด

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ลูกค้าไว้วางใจและเลือกซื้อสินค้าออโรร่า จนเมื่อปี 2564 บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 10,000 ล้านบาท และไตรมาส 1 ปี 2565 ยังเติบโตได้ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า พร้อมมีแผนขยายสาขารวม 30-40 สาขาในปีนี้ แม้เทรนด์การซื้อทองจะสะดุดเล็กน้อยหลังราคาทองพุ่งขึ้น เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ออโรร่า ซื้อทอง ร้านทอง
ต่างหูประดับเพชร

อย่างไรก็ตาม หากจะเติบโตให้ได้ในระยะยาว เพียงขยายสาขาเท่านั้นอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องเริ่มมองลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะที่อายุน้อยลง เพราะปัจจุบันลูกค้าหลักของออโรร่า 30-40% คือคนวัย 35-45 ปี และรองมา 30% คือวัย 45-60 ปี

บริษัทจึงทำงานทั้งสองทาง คือทั้งการดีไซน์สินค้าที่เข้ายุคสมัย และการทำแคมเปญการตลาด The New Way of Gift ในปีนี้

 

“ซื้อทอง” ยุคนี้ไม่ได้มีแค่ทองแท่ง สร้อย แหวน กำไล

อนิพัทย์อธิบายถึงพฤติกรรมลูกค้าจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ คนที่ชอบการสวมใส่เครื่องประดับทองอยู่แล้ว ก็จะสนใจกลุ่มสินค้าโมเดิร์น โกลด์ ซื้อเป็นเครื่องประดับสวมใส่ ซึ่งร้านมีการออกแบบรูปแบบใหม่ๆ ให้ทันสมัยเสมอ

ออโรร่า ซื้อทอง ร้านทอง
สร้อยหินปี่เซียะทองคำ สินค้านวัตกรรมทอง เจาะตลาดคนที่ไม่ใส่เครื่องประดับทองแบบเดิมๆ

แต่อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มที่ปกติไม่สวมใส่เครื่องประดับทอง เมื่อร้านจะดึงดูดกลุ่มเหล่านี้ให้สนใจซื้อก็ต้องมีงานดีไซน์ “ทองนวัตกรรม” ในกลุ่มดีไซน์ โกลด์ มาในรูปแบบเสริมสิริมงคล เช่น สร้อยข้อมือมงคล ออกแบบร่วมกับหินมงคลหรือพลอย ซึ่งเข้ากับยุคสมัย ‘มูเตลู’ ในขณะนี้ หรือสินค้า พวงกุญแจประจำนักษัตร แต่ออกแบบเป็นลายการ์ตูนบนแผ่นทอง เหมาะกับวัยรุ่นมากขึ้น ไปจนถึงของฝากของขวัญ ร้านมีการออกแบบ ทองแผ่นรูปกิมตุ้ง ดูสวยงามเหมาะเป็นของขวัญมากกว่าทองแผ่นสี่เหลี่ยมธรรมดา

สินค้าเหล่านี้อนิพัทย์มองว่าจะตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือคนที่ไม่ชอบสวมใส่ทองคำได้มากขึ้น

 

กระตุ้นแรงบันดาลใจ “ของขวัญที่มีค่า”

เมื่อมีสินค้าพร้อมแล้ว ปีนี้ออโรร่าจึงมีการทำแคมเปญ The New Way of Giftพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนเลือกซื้อ “ทองคำ” เป็นของขวัญของฝากตามโอกาส โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่

ปกติคนไทยมักจะซื้อทองตามวาระมงคลต่างๆ อยู่แล้ว เช่น วันเกิด วันแต่งงาน วันพ่อ วันแม่ รับขวัญทารกเกิดใหม่ เลื่อนขั้น รับปริญญา ฯลฯ แต่จะเห็นได้ว่า โฆษณาชุดนี้เหมือนเป็นการตอกย้ำให้ไม่ลืมคุณค่าว่าทำไมคนไทย/จีนมักซื้อทองเป็นของขวัญ เพราะทองคือสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว สามารถเก็บเป็นมรดกให้ลูกหลานต่อไปได้นั่นเอง

นอกจากนี้ ออโรร่ายังสร้าง “ร้านห่อของขวัญ” Pop-up Store ขึ้น 2 แห่ง ที่ สยามสแควร์ซอย 9 (วันที่ 6-7 สิงหาคม 2565) และที่ รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ (วันที่ 19-21 สิงหาคม 2565) สโตร์แห่งนี้รับ “ห่อของขวัญฟรี” ด้วยลายกระดาษห่อออโรร่า ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อของขวัญใดมา แต่ที่ร้านก็จะมีสินค้าของออโรร่าจัดแสดงและจำหน่ายด้วยเช่นกัน

Pop-up Store ของออโรร่าที่รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ

อนิพัทย์กล่าวว่าลูกค้าให้การตอบรับดี เป็นไปตามเป้าที่แบรนด์ต้องการให้คนรู้จักและนึกถึงการซื้อทองเป็นของขวัญมากขึ้น โดยเฉพาะที่รพ.พริ้นซ์ฯ ตอบโจทย์มากเพราะที่นี่จะมีลูกค้าซื้อของขวัญมารับขวัญลูกหลานที่เพิ่งเกิดใหม่ หรือซื้อฝากให้กับคุณหมอที่ดูแลกันอยู่เสมอ

ปีนี้ออโรร่า Pop-up Store จะเปิดสาขาใหม่เรื่อยๆ แต่ขณะนี้ยังไม่เปิดไลน์อัปว่าจะมีที่ใดบ้าง

ห้างเพชรทองออโรร่าภายใต้การบริหารของรุ่น 3 จะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ล่าสุดออโรร่าได้ยื่นไฟลิ่งเพื่อเปิด IPO เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้จะเข้าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเร็วๆ นี้

]]>
1398273