ทักษะการทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 17 Apr 2025 05:39:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ผลวิจัยชี้ CEO ก็กลัวตกงาน เพราะ AI เหมือนกัน https://positioningmag.com/1518553 Thu, 17 Apr 2025 05:38:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518553 ไม่ใช่แค่พนักงานเท่านั้นที่กังวลว่า การพัฒนาของเทคโนโลยี AI จะเข้ามาแย่งตำแหน่งและทำให้ตัวเองต้องตกงาน เพราะผลสำรวจชี้ว่า ผู้บริหารหรือซีอีโอ ก็กังวลต้องตกงานจาก AI เช่นเดียวกัน 

 

The Harris Poll ได้ทำการสำรวจซีอีโอกว่า 500 คนในยุโรป โดย 1 ใน 4 เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี พบว่า ซีอีโอถึง 74% ยอมรับว่า ตนเองอาจจะต้องออกจากงานภายใน 2 ปี หากยังไม่สามารถใช้ AI มาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเพื่อสร้างผลกำไร

 

เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซีอีโอ 70% คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปีนี้จะมีซีอีโอคนอื่น ๆ อย่างน้อยหนึ่งคนจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากกลยุทธ์ AI ที่ล้มเหลว ขณะเดียวกันซีอีโอราว 54%  ยอมรับคู่แข่งมีการนำกลยุทธ์ AI ที่เหนือกว่ามาใช้แล้ว ซึ่งย้ำให้องค์กรต่าง ๆ เห็นถึงความเร่งด่วนในการนำ AI มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม 

 

ผลการวิจัยชิ้นนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการรับผิดชอบของผู้บริหาร โดยซีอีโอถึง 94% ยอมรับว่า AI สามารถให้คำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจได้เท่าเทียมหรือดีกว่าบอร์ดบริหารที่เป็นมนุษย์

 

และซีอีโอ 89% เชื่อว่า AI สามารถพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ได้เท่าเทียมหรือดีกว่าผู้นำฝ่ายบริหารในระดับ รองประธาน ไปจนถึง C-Level เสียอีก 

 

 

ที่มา

.

https://www.businessinsider.com/ceos-insecure-about-ai-strategy-2025-3

 

]]>
1518553
เอาไงดี ‘เด็กจบใหม่’ TDRI เผยนายจ้างเกินครึ่งรับคนทำงานที่มีประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี https://positioningmag.com/1511548 Wed, 19 Feb 2025 13:04:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1511548 ก่อนหน้านี้ เราได้เห็นผลสำรวจว่า หัวหน้า HR ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่รับ ‘เด็กจบใหม่’ เพราะไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ล่าสุด ทีม Big Data สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้เปิดเผยวิเคราะห์ประกาศรับสมัครงาน สำรวจโอกาสของเด็กจบใหม่ ซึ่งมีทิศทางเดียวกัน นั่นคือ

 

ตำแหน่งงานที่มีการประกาศรับสมัครงานออนไลน์ส่วนใหญ่ เป็น ‘ระดับ junior’ (กลุ่มที่ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี) มีจำนวนมากถึง 84,669 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 38.3% รองลงมา คือ ตำแหน่งงานที่ต้องการ ‘ประสบการณ์ 3 ปีขึ้นไป’ จำนวน 54,877 ตำแหน่ง คิดเป็น 24.8%

 

ส่วนตำแหน่งงานระดับ entry-level ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ 49,366 ตำแหน่ง คิดเป็น 22.3% รวมถึงยังมีตำแหน่งงานประกาศที่ไม่ระบุความต้องการประสบการณ์อีกจำนวน 32,427 ตำแหน่ง คิดเป็น 14.7%

จากรายงานดังกล่าวยังระบุ ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงาน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ทำงานถึง 139,546 ตำแหน่ง คิดเป็น 63.1% นอกจากนี้ ประสบการณ์ที่นายจ้างมีแบบแผนในการต้องการประสบการณ์ของผู้สมัครงาน ได้แก่

 

1.ด้านระดับการศึกษา พบว่า ตำแหน่งงานที่ต้องการ ‘ผู้มีระดับการศึกษาสูง’ มีแนวโน้มต้องการ ‘ประสบการณ์ทำงานสูง’ ขึ้นด้วย อย่าง ‘ระดับปริญญาตรี’ ตำแหน่งงานส่วนใหญ่กว่า 78.6% ต้องการคนมีประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี รองลงมา 38.6% ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไป และมีเพียง 16% บอกไม่ต้องการประสบการณ์

 

2.ตำแหน่งงานวิชาชีพและมีเส้นทางอาชีพ (career path) ที่ดี เช่น งานด้านการเงิน คอมพิวเตอร์ วิศวกรรม และอาจจะรวมถึงงานด้านกฎหมาย มักต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงานมาบ้าง และมีตำแหน่งงานสำหรับผู้เริ่มอาชีพไม่มากนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถป้อนคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน เนื่องจากมีความต้องการรับผู้สมัครงานที่สำเร็จการศึกษาใหม่ไม่มาก และเมื่อผู้สมัครงานไม่มีโอกาสในการทำงาน ก็จะไม่มีประสบการณ์ไปสมัครงาน

 

ส่วนงานที่มีสัดส่วนการรับผู้ไม่มีประสบการณ์นั้นมักเป็นงานพื้นฐาน หรือเป็นงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะความรู้สูงมากนัก เช่น งานด้านการขาย งานการผลิต และงานบริการต่างๆ

นอกจากจะเผยถึงตลาดแรงงานและโอกาสของเด็กจบใหม่แล้ว รายงานดังกล่าวยังมีข้อเสนอแนะ เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างผู้ที่สำเร็จการศึกษาแต่ยังขาดประสบการณ์การทำงาน กับความต้องการของนายจ้าง โดยรัฐบาลควรพิจารณาส่งเสริมการฝึกงานสำหรับผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน (internship หรือ traineeship) ที่อาจศึกษาแนวทางในต่างประเทศ และร่วมหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถออกแบบมาตรการที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม

 

นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคีหรือสหกิจศึกษามากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ทำงานอย่างเข้มข้นในสาขาอาชีพที่เรียนมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางาน และช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกของการทำงานได้ราบรื่นมากขึ้นนั่นเอง

 

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ : https://tdri.or.th/2025/02/online-job-post-bigdata-q4-2024/

]]>
1511548
7 ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงเวลา “ชวนคุย” เปลี่ยนความอึดอัดเป็นบทสนทนาที่ไหลลื่น https://positioningmag.com/1408820 Thu, 17 Nov 2022 09:04:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408820 บทสนทนาเวลา “ชวนคุย” กับคนไม่รู้จักหรือไม่สนิทในแวดวงการทำงานนั้นอาจจะชวนอึดอัด ไปต่อไม่ถูก ถ้าหากคนในวงสนทนาเกิดพูดหรือทำอะไร “ผิดจุด” ขึ้นมา คนคนนั้นจะไม่เป็นคุณอีกต่อไปถ้าหากทำตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญดังนี้

หลายครั้งในการทำงาน (หรือกระทั่งในชีวิตส่วนตัวด้านอื่น) เราจำต้อง “ชวนคุย” (Small talk) กับคนอื่นที่เราไม่สนิท หรือเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่เจอในห้องชงกาแฟ หัวหน้าแผนกที่เผอิญลงลิฟต์พร้อมกัน หรือเพื่อนร่วมวงการที่เจอในงานสัมมนา/เน็ตเวิร์กกิ้ง

คนที่ชวนคุยเป็นมักจะได้ภาพลักษณ์ที่ดีในแวดวงการทำงาน เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ และอาจเปิดประตูไปสู่คอนเน็คชันใหม่ๆ ได้ ทำให้ทักษะการชวนคุยที่ดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม

John Bowe เทรนเนอร์ด้านการพูดในที่สาธารณะ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว CNBC สหรัฐอเมริกา กล่าวถึงการชวนคุยว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบุคลิกนิสัยส่วนตัวเลย แม้ว่าจะเป็น ‘introvert’ คนเก็บเนื้อเก็บตัวก็สามารถทำได้ แค่เพียงเรียนรู้ผู้ฟังของตนเองให้เป็น

ในการชวนคุยสัพเพเหระ มีหลายวิธีและหลายหัวข้อที่สามารถนำมาพูดคุยได้ แต่บางอย่างที่ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด Bowe แนะนำ 7 ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาชวนคุย ไว้ดังนี้

 

1.คิดไปเองว่าไม่มีใครอยากคุยกับคุณหรอก

ถ้าคุณเป็นคนขี้อาย ก็เข้าใจได้อยู่ แต่ไม่ใช่คุณคนเดียวที่ขี้อาย ให้คิดกลับกันว่า เป็นไปได้ว่าคนอื่นก็รอให้คุณเปิดบทสนทนาอยู่เหมือนกัน

2.ไปขัดจังหวะการสนทนาของคนอื่น

จังหวะคือทุกอย่าง ถ้าคุณเห็นคนกำลังคุยกันอย่างออกรส พวกเขาคงไม่พร้อมจะให้คุณพรวดเข้าไปคุยด้วย

คุณควรจะรอจังหวะอยู่ก่อน โดยทิ้งระยะไม่ไกลหรือใกล้เกินไป เพื่อรอให้มีใครสักคนในวงสนทนานั้นสังเกตเห็นคุณ และส่งซิกด้วยภาษากายว่าคุณสามารถเข้าไปร่วมวงได้ ถ้าหากเข้าไปผิดจังหวะ อาจจะทำให้คนมองว่าคุณเป็นคนน่าขนลุกได้ในภายหลัง

3.เริ่มบทสนทนาโดยที่ไม่มีอะไรจะพูดต่อ

ถ้าจะเริ่มเปิดบทสนทนากับคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ อย่าเปิดด้วยคำว่า “สวัสดี” แล้วก็จบแค่นั้น ควรจะคิดคำถามต่อเนื่องไว้สำหรับชวนคุยต่อด้วย เช่น สมมติว่าไปงานเลี้ยงบริษัท อาจจะถามต่อว่า “งานคืนนี้สนุกหรือเปล่า” หรือ “เพลงนี้ดีนะ รู้จักไหมว่าเพลงอะไร”

ทั้งหมดคือการสร้างโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ตอบบทสนทนา มากกว่าจะแค่ทักทายแล้วก็ไม่มีอะไรพูดต่อ

4.เลือกหัวข้อที่เสี่ยงมีความเห็นต่างรุนแรง

ถ้าคุณเพิ่งจะรู้จักกับคนแปลกหน้า ดีที่สุดที่จะไม่เลือกหัวข้อหนักมาคุย เช่น การเมือง กฎหมายทำแท้ง ฯลฯ เพราะหัวข้อเหล่านี้มักจะมีความเห็นที่แตกเป็นสองขั้วอย่างแรง

หากบทสนทนาลื่นไหลจนในที่สุดเข้าไปแตะหัวข้อเหล่านี้นั้นไม่เป็นไร แต่สำหรับการเริ่มต้นคุยกัน ควรจะเลือกหัวข้อที่ง่ายๆ สบายกว่านี้

5.พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง

พอเริ่มชวนคุยได้แล้ว ควรจะพูดให้ฟังง่ายที่สุด ถ้าเป็นการพูดคุยคนละภาษา ก็ควรจะพูดให้ช้าและออกเสียงให้ชัด การคุยกันควรเลี่ยงคำแสลงที่อีกฝ่ายน่าจะไม่เข้าใจ หรือถ้าคุยเรื่องการทำงานก็ควรเลี่ยงศัพท์เฉพาะ (jargon) ที่คุณเข้าใจแต่อีกฝ่ายคงไม่เข้าใจ

6.ถามเรื่องของอีกคนมากเกินไป

หลายคนเคยกล่าวว่า คนเรามักจะชอบคุยเรื่องตัวเอง ทำให้การถามคำถามเป็นเคล็ดลับไปสู่การต่อบทสนทนาที่ดี แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงสำหรับทุกคน

บางคนไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัวหรือรู้สึกเหมือนถูกสอบสวน ดังนั้น ถ้าคุณถามบางอย่างไปแล้วคู่สนทนาดูไม่ค่อยพอใจ รีบเลี่ยงไปสนทนาเรื่องอื่นด่วน

เรื่องอื่นที่ทำให้ไม่ต้องถามเรื่องส่วนตัวของอีกคนมากเกินไปนัก แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ได้รู้ความสนใจหรือลักษณะบุคลิกอีกฝ่ายมากขึ้นด้วย เช่น ถามว่ามีร้านอาหารเด็ดๆ ในย่านแนะนำบ้างไหม ขอความเห็นว่าเสื้อผ้าของเราที่ใส่มาดูโอเคหรือเปล่า

7.ทำให้คนอื่นเสียเวลา

ถ้าคุณจะคุยกับใครก็ต้องตั้งใจคุย อย่ากดมือถือไปด้วยระหว่างคุย อย่าก้มมองแต่พื้นห้อง หรือมองข้ามไหล่พวกเขาเพื่อมองหาคนอื่น ควรจะให้ความสนใจกับคนที่คุยด้วยอย่างเต็มที่

‘Small talk’ หรือการชวนคุย อาจจะถูกมองว่าเป็นกิจกรรมที่ไร้ความจริงใจ ไม่มีใครอยากจะทำเท่าไหร่ แต่ลองมองย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ที่คุณมีปัจจุบัน หลายครั้งก็เริ่มจากการชวนคุยสัพเพเหระที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่แท้จริงได้ในภายหลังนั่นเอง

source

 

อ่านเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

]]>
1408820