ซึ่งเมื่อปี 2018 นักการเมืองในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ สกอตแลนด์ และเวลส์) ได้มีการหยิบยกเรื่อง กฎหมายที่ห้ามบริษัท บาร์และร้านอาหาร เก็บทิปที่เป็นเงินส่วนที่ลูกค้าให้กับพนักงานเข้าร้านขึ้นมาอภิปรายแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เงียบหายไปจนล่าสุดสหราชอาณาจักรหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปรายกันอีกครั้งและได้มีการบังคับใช้เป็นที่เรียบร้อย
ภายใต้กฎหมายใหม่นี้ ระบุว่า พนักงานบริการควรได้รับทิปทั้งหมดจากที่ลูกค้าจ่ายให้นอกเหนือจากค่าอาหารหรือสินค้า โดยทิปทั้งหมดจะต้องส่งต่อไปยังพนักงานภายในสิ้นเดือนถัดไปนับจากที่ได้รับและห้ามบริษัทฯ ระงับการชําระเงินไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือบัตร หากบริษัทฯมีการละเมิดกฎหมายและเก็บทิปที่ลูกค้าให้แก่พนักงานเอาไว้เองพนักงานจะสามารถยื่นคําร้องต่อศาลการจ้างงานได้
โดยกฎหมายใหม่นี้ มีผลบังคับใช้ในทุกภาคอุตสาหกรรม และมีการคาดว่าพนักงานบริการในร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์ ผับ ช่างทําผม รวมถึงคนขับแท็กซี่ ซึ่งมีจำนวนกว่า 3 ล้านคนในสหราชอาณาจักรจะเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด แต่พนักงานบริการก็ยังคงต้องจ่ายภาษีที่มาจากทิปด้วยเช่นกัน
Tom William พนักงานด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เล่าว่า พนักงานบริการถือเป็นอาชีพที่มีอัตราการเข้าออกหมุนเวียนอยู่ตลอด ซึ่งเขาก็เคยทํางานให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่งทางร้านจะหักเงินจำนวน 3% ของมูลค่าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดที่พนักงานเสิร์ฟขายออกจากเงินเดือนของเขาไม่ว่าลูกค้าจะให้ทิปหรือไม่ก็ตาม และหากพนักงานไม่ยินยอมให้หักเงินก็จะถูกเลิกจ้าง เมื่อกฎหมายใหม่เกี่ยวกับเรื่องทิปนี้มีผลบังคับใช้จึงดีใจเป็นพิเศษเพราะถือเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับคนที่ทำงานเป็นกะและคนรายได้ต่ำ
Nisha Katona เจ้าของร้าน Mowgli Street Foods แสดงความเห็นว่า เธอมีความยินดีกับการออกกฎหมายใหม่นี้จะช่วยปกป้องสิทธิ์ของพนักงานบริการที่ทำงานหนักนี้ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ในฐานะเจ้าของธุรกิจเธอเชื่อว่ากฎหมายใหม่จะส่งผลกระทบกับบางบริษัทที่ไม่ได้วางแผนทางเตรียมรับมือไว้
Tom Moyes หุ้นส่วนของ Blacks Solicitors กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของกฎหมายทิปของพนักงานบริการคือความโปร่งใสและความเป็นธรรมเกี่ยวกับวิธีการแจกทิปให้กับพนักงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ตอนนี้พนักงานสามารถขอรายละเอียดว่าทิปถูกแจกจ่ายอย่างไรได้แล้ว แต่ก็มีข้อสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าพนักงานบริการระดับสูงควรได้รับทิปในระดับที่สูงขึ้นหรือตรงกันข้ามหรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่อยากให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบต่อไป
ในขณะเดียวกัน กฎหมายดังกล่าวยังไม่ถูกนํามาใช้ในประเทศไอร์แลนด์เหนือแต่กําลังมีการร่างกฎหมายสิทธิแรงงานขึ้นใหม่ตามที่ได้มีการปรึกษาหารือกันอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าทิปที่ได้จากลูกค้าจะถูกส่งต่อไปยังพนักงานได้อย่างเต็มที่ซึ่งจะถูกนํามาพิจารณาเป็นร่างกฎหมายต่อไป
ที่มา : BBC
สังคมอเมริกันเริ่มมีการคิด “ทิป” รวมไปในค่าบริการหลายโอกาสมากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นบริการในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดไปจนถึงแอปส่งสินค้าเดลิเวอรีต่างก็เรียกร้องให้ผู้บริโภคจ่ายทิป
แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มผันผวนและค่าครองชีพสูงขึ้น ผู้บริโภคจึงเริ่มต้องการจะลดการให้ทิปลง และเริ่มหงุดหงิดใจกับการบังคับทิปมากขึ้นทุกที
Bankrate มีการสำรวจผู้บริโภคอเมริกัน และพบว่าผู้บริโภคที่ตอบว่าตนให้ทิป “ทุกครั้ง” เมื่อใช้บริการต่างๆ เริ่มมีสัดส่วนน้อยลงเมื่อเทียบกับการสำรวจปีก่อน โดยการบริการที่มีการให้ทิป เช่น ทานอาหารนอกบ้าน บริการเรียกรถ ตัดผม เดลิเวอรี แม่บ้าน ช่างซ่อมบ้าน ฯลฯ
“เงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ไม่ดีดูเหมือนจะทำให้ชาวอเมริกันประหยัดขึ้นกับการให้ทิป ในขณะเดียวกัน เราต้องเผชิญหน้ากับการเชิญชวนให้ช่วยทิปมากกว่าที่เคยเป็นมา” Ted Rossman นักวิเคราะห์อาวุโสที่ Bankrate กล่าว
NerdWallet มีการสำรวจผู้บริโภคเช่นกัน และพบว่าหลายคนรู้สึกถูก “กดดัน” ว่าต้องให้ทิปมากกว่าปีก่อน
Bankrate บอกด้วยว่า 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันมีมุมมองเชิงลบต่อการ “ทิป” โดยเฉพาะเมื่อต้องให้ทิปผ่านระบบชำระเงินดิจิทัลซึ่งมักจะสร้างตัวเลือกการทิปมาให้อย่างชัดเจนล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องทิปเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ร้านมักจะตั้งอัตราการทิปอยู่ระหว่าง 15% ถึง 35% ของราคาสินค้า/บริการ
ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทให้ความเห็นว่าการทิปประมาณ 20% ในร้านอาหารประเภทนั่งรับประทาน มีบริกรคอยบริการภายในร้าน ยังเป็นมาตรฐานที่คนอเมริกันยอมรับร่วมกัน แต่สำหรับบริการประเภทอื่น เช่น ร้านกาแฟที่เป็น kiosk ซื้อกลับบ้าน ซึ่งไม่เคยมีการคิดทิปมาก่อนในอดีต ดูจะเป็นสิ่งที่คนอเมริกันไม่ค่อยยอมรับว่าจะต้องทิปด้วย
Toast มีการสำรวจการทิปในร้านอาหารต่างๆ พบว่าร้านอาหารประเภทฟูลเซอร์วิสยังได้รับทิปสม่ำเสมอ แต่ในร้านลักษณะฟาสต์ฟู้ดหรือที่ต้องบริการตนเอง ค่าเฉลี่ยอัตราการทิปลดลงมาเหลือ 16.7% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 ปี
“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกอ่อนล้าที่จะต้องทิป” Eric Plam ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Uptip สตาร์ทอัปจากซานฟรานซิสโกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการบริการช่องทางให้ทิปแบบไร้เงินสด กล่าวกับ CNBC “ในช่วงโควิด-19 ทุกคนอยู่ในช่วงช็อกและรู้สึกโอบอ้อมอารีมากกว่าปกติ”
ปัญหาก็คือ เมื่อทิปมากขึ้นในช่วงโควิด-19 ก็ทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ในการทิปซึ่งไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในช่วงปกติอีกต่อไป ยิ่งมีการกำหนดอัตราส่วนที่ต้องทิปไว้ให้แล้ว ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเป็น “การทิปที่น่ารังเกียจ”
อย่างไรก็ตาม Plam มองในอีกมุมหนึ่งว่า การทิปยังคงสำคัญมากกับพนักงานที่ได้ค่าจ้างเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำหรือน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เช่น พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดแบบจ้างประจำจะได้ค่าจ้างเฉลี่ย 14.34 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง ส่วนแบบพาร์ทไทม์จะได้เฉลี่ย 12.14 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง ซึ่งค่าจ้างที่ว่านี้รวม “ทิป” แล้ว (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติด้านแรงงานสหรัฐฯ)
“คนเราควรจะทราบไว้ด้วยว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการทิปมากทิปน้อย” Plam กล่าว
]]>ไม่รู้ว่าช้าไปไหม เพราะ Instagram กำลังทดสอบฟีเจอร์สำหรับให้ ของขวัญ (Gifts) ที่จะเป็นการให้ทิปครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ชื่นชอบ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการหารายได้ให้เหล่าครีเอเตอร์ อย่างไรก็ตาม ทาง Meta ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด โดยระบุเพียงว่า ฟีเจอร์ดังกล่าวยังเป็นเพียงต้นแบบที่ทดสอบภายในและยังไม่ได้ทดสอบกับภายนอก
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกโดย Alessandro Paluzzi ซึ่งเป็นนักวิจัยแอปเมื่อเดือนกรกฎาคม โดย Instagram กำลังพัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวภายใต้ชื่อ Content Appreciation โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะช่วยให้แฟน ๆ ครีเอเตอร์สามารถส่ง ของขวัญ ให้กับพวกเขาได้
สำหรับฟีเจอร์ดังกล่าวหากเปิดตัว มันจะไม่ใช่ฟีเจอร์สำหรับให้ทิปครีเอเตอร์เพียง อย่างเดียว ของ Meta grikt ในปี 2020 Instagram ได้เปิดตัว Badges ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้แสดงการสนับสนุนครีเอเตอร์ระหว่างไลฟ์สดวิดีโอ ผ่านการส่งดาวโดยมีราคาเริ่มต้นที่ $0.99, $1.99 หรือ $4.99 ซึ่งช่วยให้ครีเอเตอร์มีช่องทางในการสร้างรายได้ผ่านทั้งสตรีมสดและฟีเจอร์ Reels
ก็คงต้องรอดูว่าฟีเจอร์ดังกล่าวจะเปิดตัวมาให้ใช้เมื่อไหร่ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเปิดตัว เพราะหากย้อนดูคู่แข่งซึ่งส่วนใหญ่จะมีฟีเจอร์สำหรับให้ทิปครีเอเตอร์กันหมดไปตั้งนานแล้ว
]]>