นิคมอุตสาหกรรม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 11 Aug 2021 13:50:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เวียดนามดึงนักลงทุนเข้า “นิคม” ได้มากกว่าไทย “คลังสินค้า” โตสวนทาง บูมจากอีคอมเมิร์ซ https://positioningmag.com/1346315 Wed, 11 Aug 2021 11:47:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1346315 CBRE เปิดข้อมูลตลาดนิคมอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ พบว่าการขายพื้นที่นิคมฯ ของไทยได้อานิสงส์จาก China Plus One น้อยกว่าเวียดนาม ซึ่งมีข้อได้เปรียบเรื่องแรงงานอายุน้อยและค่าแรงต่ำ แต่ที่โตสวนทางคือ “คลังสินค้า” เกิดดีมานด์สูงมากหลังอีคอมเมิร์ซโตพุ่ง 15-20%

“อาดัม เบลล์” หัวหน้าแผนกพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย (CBRE) เปิดเผยข้อมูลการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมของไทยช่วงปี 2559-63 ประเมินว่าไทยไม่ได้อานิสงส์จากโมเดล China Plus One มากนัก โดยตลาดรวม 5 ปีมียอดขายสะสม 7,913 ไร่

โมเดล China Plus One ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ระบาด คือโมเดลการกระจายฐานผลิตและซัพพลายเชนออกจากประเทศจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงหลังเกิดสงครามการค้า แต่เดิมคาดการณ์ว่าผู้ที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย

CBRE มองว่า เวียดนาม กลายเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากกว่าในการดึงดูดนักลงทุนให้ย้ายฐานเข้ามา โดยมีข้อได้เปรียบคือ แรงงานจำนวนมาก อายุน้อย ค่าแรงต่ำ ทำให้อุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมากจะสนใจเวียดนามมากกว่าไทย

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะแข่งขันเรื่องอัตราค่าแรงกับเวียดนามไม่ได้ แต่ไทยมีจุดแข็งมากกว่าเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ และมีแรงงานทักษะเฉพาะทางจำนวนมากกว่า

CBRE เชื่อว่า แหล่งนิคมฯ ที่เป็นที่ต้องการมากคือแถบอีสเทิร์นซีบอร์ด แต่เนื่องจากชาวจีนยังเดินทางเข้ามาชมพื้นที่ไม่ได้ ทำให้การขายหยุดชะงัก ประเทศไทยอาจต้องรอจนกว่าสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ดีมานด์ที่ค้างอยู่นี้จึงจะเกิดเป็นยอดขายจริง

Bangkok Free Trade Zone (BFTZ) โครงการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าบริเวณถนนบางนา-ตราด กม.23

แต่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่กำลังบูมขณะนี้คือ “คลังสินค้า” ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากอีคอมเมิร์ซ และยิ่งบูมสุดขีดจากการระบาดที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้จ่ายออนไลน์สูง

สำหรับคลังสินค้า อาดัมมองว่าทำเลทองที่มีดีมานด์สูงคือ ถนนบางนา-ตราด กม.18 – กม.23 เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์เชื่อมต่อได้ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิและท่าเรือแหลมฉบัง และเป็นโซนนิ่งให้พัฒนาคลังสินค้าขนาดใหญ่ได้ แต่ราคาที่ดินที่พุ่งสูงขณะนี้เริ่มสร้างความท้าทายต่อการพัฒนาคลังสินค้าเพิ่มบริเวณนี้

ก่อนหน้านี้ Shopline Thailand บริษัทระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ ประเมินว่าปี 2564 จะเป็นปีทองของอีคอมเมิร์ซไทย คาดว่าตลาดจะโตถึง 15-20% เห็นได้ว่าการเติบโตของธุรกิจนี้โตทะยานสวนทางกับเศรษฐกิจ

]]>
1346315
อ่านเกม “สิงห์ เอสเตท” ลุยนิคมฯ เต็มตัว เข้าซื้อ “เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์” เติมเต็มธุรกิจโรงไฟฟ้า https://positioningmag.com/1332060 Fri, 14 May 2021 10:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332060

การทำธุรกิจในยุคสมัยนี้ การสยายปีกสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ถือว่าเป็นโอกาสทองในการสร้างการเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงเมื่ออีกอุตสาหกรรมมีการเติบโตน้อยลงด้วย ช่วยสร้างความสมดุลให้พอร์ตได้อย่างดี

เมื่อไม่นานมานี้ จึงได้เห็นการเคลื่อนไหวสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ “สิงห์ เอสเตท” ผู้พัฒนา และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้ใช้งบลงทุนกว่าพันล้าน ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง

มูฟเมนต์นี้ถือเป็นการขยายธุรกิจสู่กลุ่มที่ 4 กลุ่มพลังงาน นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเต็มตัว และคาดการณ์ว่าจะทำให้มีรายได้ปีละ 20,000 ล้านภายใน 3 ปี เป็นการหาน่านน้ำใหม่

สิงห์ เอสเตทไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ล่าสุดได้ลงนามในข้อตกลงเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด จากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โดยบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ ซึ่งมีเนื้อที่ 1,790 ไร่ ตั้งอยู่ใน จ.อ่างทอง

ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,421 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 510 ล้านบาท เป็นเงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรีในราคาพาร์ ส่วนอีก 1,726 ล้านบาท เป็นเงินที่จะใช้ในการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งการโอนหุ้นระหว่างกันคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า

“การซื้อนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับโรงไฟฟ้าสามแห่งที่เราเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนที่มากพอสมควรนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของเราที่จะสร้างจุดแข็งที่ทรงพลังให้กับธุรกิจ จากการส่งเสริมซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่หลากหลายของสิงห์ เอสเตท เพื่อทำให้เรามีความแข็งแกร่งในการแข่งขัน และทำให้ธุรกิจของเรามีความเป็น Resilient Business”

ทางด้าน ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า

“การผสานธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า จะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของเรา ทั้งในด้านการเงิน และการดำเนินงาน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วนิคมอุตสาหกรรมคือหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด การดำเนินกิจการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งของเรา

และการที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ เน้นสินค้าอาหารโดยเฉพาะ ทำให้มีความต้องการใช้ไอน้ำจากผู้ประกอบการแปรรูปอาหารต่างๆ ในนิคมฯ ซึ่งโรงไฟฟ้าของเรา ก็เป็นผู้ผลิตไอน้ำที่ใช้ได้ในอุตสาหกรรมอาหารด้วย นอกจากนั้น กิจการโรงไฟฟ้ายังช่วยให้เรามีรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดจากการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม”

การที่มีนิคมอุตสาหกรรมในมือนั้น นอกจากความลงตัวในเชิงกลยุทธ์แล้ว ต้องบอกว่าธุรกิจนิคมฯ ยังมีอนาคตที่สดใสมากเลยทีเดียว นิคมตั้งอยู่ในจ.อ่างทองซึ่งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย

ถ้าดูจากสถิติโดยรวมของอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของทั้งประเทศนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80% ณ ช่วงสิ้นปี 2563 ในขณะที่ภาคกลางของประเทศไทย มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระดับสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 89% จึงเป็นโอกาสทองอย่างมากในการลงทุนครั้งนี้

ฐิติมากล่าวเพิ่มเติมว่า “นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ยังมีความสำคัญตามนโยบายการขับเคลื่อนประเทศที่มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นครัวของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก โดยทำเลที่ตั้งของนิคมฯ แห่งนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางห่วงโซ่อุปทานอาหาร และวัตถุดิบของประเทศ ทั้งแหล่งสำคัญในการผลิตข้าว ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์ปีก นอกจากนี้ ยังมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา”

รัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายระยะยาว โดยข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พบว่า อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร เป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาในอัตราที่เติบโตรวดเร็วที่สุด โดยภาคกลางของประเทศไทยมีสัดส่วนของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนประมาณครึ่งหนึ่งของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดในปี 2563 อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการความเข้มงวดในการเดินทางหลังการคลี่คลายของวิกฤต COVID-19

ทั้งนี้สิงห์ เอสเตท ได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 23 เมษายน ซึ่งในการประชุมดังกล่าว ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการซื้อหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

โดยที่โรงไฟฟ้าแห่งแรกเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ดำเนินการผลิตอยู่แล้วขนาด 123 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 และ 3 เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยมีกำหนดจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2566 มีกำลังการผลิตแห่งละ 140 เมกะวัตต์

เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่าบริษัทมีเป้าหมายดันรายได้ต่อปีให้เพิ่มขึ้น 3 เท่า กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี และมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี

 

]]>
1332060
เปิดดีล AIS x อมตะ ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่ Smart City เทียบโมเดล “โยโกฮาม่า” https://positioningmag.com/1289668 Sun, 26 Jul 2020 11:27:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289668 AIS สานต่อความร่วมมือกับอมตะ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ปูพรมนำเทคโนโลยีสร้างโครงข่ายดิจิทัลภายในนิคมฯ เพื่อยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่ Smart City ดึงดูดนักลงทุนจากต่างแดน โดยยกเทียบเท่าโมเดล “โยโกฮาม่า” ประเทศญี่ปุ่น

ปูพรม 4 ปี วางรากฐาน Infrastucture

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา AIS ได้ขับเคลื่อนองค์กรเพื่อให้เป็นมากกว่า “โอเปอเรเตอร์” ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ต้องต้องเป็นผู้ให้บริการ Digital Service ที่ครบวงจร ยิ่งในช่วงปีที่ผ่านมานี้เริ่มมีสัญญาณการมาของ 5G ทำให้ได้เห็น AIS เร่งสร้างพันธมิตรแก่ทุกอุตสาหกรรม เพื่อสร้างนวัตกรรมดิจิทัลที่ทันสมัย

ล่าสุด AIS ได้สานต่อความร่วมมือกับ “อมตะ” ในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ด้วยการนำโครงข่ายดิจิทัลเข้าไปช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม

บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมอมตะ บริหารงานโดย “วิกรม กรมดิษฐ์” ประธานกรรมการ และ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2540

จริงๆ แล้วดีลนี้ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2559 ภายใต้ “บริษัท อมตะ เน็ทเวอร์ค จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านหุ้น เป็นเงิน 100 ล้านบาท โดย บริษัท แอดวานซ์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (ABN) ถือหุ้น 60% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 60 ล้านบาท และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ถือหุ้น 40% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 40 ล้านบาท

ในปีแรกที่เริ่มผนึกกำลังกันนั้น เป็นการเริ่มวางระบบโครงข่าย Infrastructure ต่างๆ ที่อมตะซิตี้ ชลบุรี  จากนั้นเมื่อมีการลงทุน 5G จึงสานต่อในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการผลิตมากขึ้น

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ  AIS  กล่าวว่า

“ตั้งแต่ปี 2559  AIS และอมตะ ได้ทำงานร่วมกันในการนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญและนำนวัตกรรม IoT เข้าไปสนับสนุนการบริหารงาน การผลิต และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่อมตะซิตี้ชลบุรี ซึ่งวันนี้เมื่อเทคโนโลยี 5G มีความพร้อมและได้กลายเป็น The Real New Normal ด้านเทคโนโลยี ที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านคุณสมบัติด้านความเร็ว ความเสถียร และการรองรับอุปกรณ์จำนวนมาก AIS จึงได้ขยายความร่วมมือกับอมตะไปอีกขั้น เพื่อสร้างเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ

โดยนำเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง 5G ทั้ง 5G Stand Alone (5G SA) และ 5G Network Slicing รวมถึงโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) และ ICT Infrastructure เข้าไปยกระดับการทำงานในอมตะซิตี้ ชลบุรี ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่มากกว่า 750 แห่ง เพื่อเสริมขีดความสามารถด้านผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยให้ทัดเทียมเวทีโลก ตลอดจนพัฒนาโซลูชั่นส์ที่เอื้อต่อการสร้างเมืองอัจฉริยะที่ทันสมัย ทั้งด้านการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร การขนส่ง และระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่”

สำหรับเหตุผลที่ AIS เลือกจับมือกับอมตะนั้น AIS มองว่าอมตะเป็นผู้นำด้านนิคมอุตสาหกรรม ต่างคนต่างเป็นเบอร์หนึ่งกันทั้งคู่ มีวิสัยทัศน์ที่ตรงกันในการยกระดับนิคมด้วยนวัตกรรม ซึ่ง AIS จะใช้โมเดลพาร์ตเนอร์อยู่แล้ว ไม่มีการลงทุนเองเพื่อสร้างแข่ง แต่เป็นการเติบโตไปด้วยกัน

ยกโมเดล “โยโกฮาม่า” ปั้นอมตะสู่ Smart City

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม รวมถึง 5G ที่จะเข้ามาเขย่าวงการครั้งใหญ่ ภาพของนิคมอุตสาหกรรม หรือภาคการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน จะต้องมีเทคโนโลยี ซึ่งมีการวางแผนว่านิคมฯ อมตะจะต้องเป็น Smart City เพื่อเพิ่มขีดจำกัดในการแข่งขันกับต่างประเทศให้ได้

ภาพรวมของอมตะในปัจจุบัน ถ้านับเฉพาะในประเทศไทย มีลูกค้าโรงงานรวมกว่า 1,200 โรง มีประชากรอาศัยเกือบ 3 แสนคน แต่เดิมอมตะใช้โครงข่ายการสื่อสารแบบเดิมๆ เป็นสายทองแดง การร่วมมือกับ AIS จึงมีการวางระบบไฟเบอร์ออฟติก ทำให้การสื่อสารรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ คล่องตัวขึ้น โรงงานอินเตอร์ต่างๆ ที่เวลาไปลงทุนต้องใช้ความรวดเร็ว ทำให้เกิดความแตกต่างจากอดีต ทำให้โรงงานทำงานได้คล่องตัวขึ้น เอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

อมตะเองมีนโยบายการทำ Smart City การใช้ 5G Infrastructure จะช่วยยกระดับได้ ซึ่งมีเมือง “โยโกฮาม่า” เป็นโมเดล

วิกรม กรมดิษฐ์ เล่าว่า “ตอนนี้อมตะเปลี่ยนตัวเองจากสายการผลิตไปสู่นวัตกรรมใหม่ ร่วมกับเมืองโยโกฮาม่าเริ่มมา 4 ปีแล้ว จะเห็นว่าเมืองโยโกฮาม่าเป็น Smart City ทั้งเมืองเลย  ร่วมกับรัฐบาลโยโกฮาม่า มาตั้งเป็นโยโกฮาม่า 2 เรากำลังก้าวเข้าสู่ Smart City ไม่ใช่เรื่องสายการผลิตอย่างเดิม การมี AIS มาช่วยทำให้ขยับตัวได้คล่อง”

ยกตัวอย่าง “ฮิตาชิ” มาสร้าง Lumada Center แห่งแรกของโลก เรียกว่าเป็นสมองของ IoT การทำงานต่อไปจะไม่ใช่แค่คนกับเครื่องจักร แต่ต่อไปจะเป็นเครื่องจักรจะคุยกับเครื่องจักรได้ โดยใช้ Smart City ในแบบโยโกฮาม่า แต่ใช้ระบบของฮิตาชิเข้ามาต่อยอด โรงงานรันด้วยตัวเองได้มากขึ้น เพราะบางช่วงถ้าต้องใช้คน บางครั้งจะมีเรื่องของเวลา

ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้โรงงาน ดูดนักลงทุนต่างชาติ

ความสำคัญของการร่วมมือกันครั้งนี้ นอกจากทางโรงงานจะได้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว การยกระดับสู่ Smart City ยังช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งขยายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ใน EEC

วิกรมเสริมว่า พื้นที่ EEC ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะเชื่อมโยงเส้นทางการค้า – การลงทุนของภูมิภาคอาเซียนเข้ากับตลาดโลก อมตะจึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาอมตะซิตี้ ชลบุรี ไปสู่มาตรฐานสากล และก้าวสู่การเป็น Smart City อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมทั้งเป็นต้นแบบให้กับนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกให้สนใจมาสร้างฐานการผลิตในพื้นที่ EEC

ความร่วมมือกับ AIS นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ 5G และนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และความสามารถในการแข่งขันให้โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้พลังงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยก้าวทันประเทศชั้นนำอย่าง จีน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ที่ได้นำ 5G มาเพิ่มมูลค่าไปแล้ว

ถ้ารวมกิจการในประเทศเวียดนามจะมีโรงงานรวม 1,400 โรง คิดเป็นมูลค่า 2 ล้านล้านบาท โดยโรงงานส่วนใหญ่ 85% เป็นโรงงานข้ามชาติ มีความต้องการประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่แล้ว

ปัจจุบันอมตะมีคนทำงานมาจาก 30 กว่าประเทศ รวม 3 แสนกว่าคน การทำ Smart City คิดค้น วิจัยสิ่งใหม่ๆ คู่กับสายการผลิตได้ วิกรมคาดว่าต่อไปจะขยายไปได้ถึง 3,000 กว่าโรง มีประชากรทำงานกว่าล้านคนได้ ซึ่งต่อไปจะไม่ใช่แค่เรื่องแรงงาน แต่เป็นทักษะใหม่ๆ

“อมตะจะไม่ใช่แค่ขายพื้นที่เปล่าๆ แต่ต้องเป็น Intelligence ต้องสร้างผลประโยชน์ระยะยาว ทำให้ไทยแข่งขันได้ดีขึ้น เพราะไทยยังไม่มี Smart City ต้องสร้างเป็นสินค้าใหม่ ทำให้แข่งกับในภูมิภาคได้ ต้องเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ การบิรหารงานใหม่ๆ เข้ามาเติม”

เทคโนโลยีช่วยลับสกิล เสริมทักษะมนุษย์

เทคโนโลยีเข้ามา หลายคนกังวลเรื่องบทบาทการทำงานของมนุษย์ จะทำให้คนตกงานมากขึ้นหรือไม่?

วิกรมมองในประเด็นนี้ว่า ต่อให้มีเทคโนโลยีอย่างไร คนก็ยังสำคัญ แต่การจ้างการจะเปลี่ยนไป จะเป็นคนที่มีสกิลใหม่ๆ เป็นไฮเทคเทคโนโลยี นอกจากพัฒนาอุตสาหกรรม จะพัฒนาแรงงานคนด้วย จะช่วยปลดล็อกแก้ปัญหาแรงงานราคาถูกที่สู้กับต่างชาติไม่ได้ แก้เชิงพัฒนาคน แต่ทางรัฐบาลต้องช่วยพัฒนาทักษะให้มีฝีมือ คนที่มีทักษะจะอยู่ได้ในยุคดิจิทัล

ยกตัวอย่างตลาดไต้หวันน่าสนใจ มีโครงการซอฟต์แวร์พาร์ค ในพื้นที่ 120 ไร่ สร้างเป็นแท่งๆ มีแรงงาน 20,000-30,000 คน แรงงานปริญญาตรี-เอกทั้งนั้น การผลิตมีมูลค่า GDP ถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เราต้องมาทำเรื่องนวัตกรรมใหม่ ต้องเรียนรู้ว่าเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามา การสื่อสารเร็วๆ ทำให้คนไทยมีความรู้ไปสู่สายตรงนั้น ต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์”

เท่ากับว่าการร่วมมือกันของ 2 ยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับภาพอุตสาหกรรมในประทเศไทยได้อย่างสิ้นเชิง รวมถึงจะสามารถเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานต่อไปในอนาคตได้ด้วย เมื่อมีนวัตกรรมเข้ามา ช่วยส่งเสริมให้คนมีทักษะมากขึ้น ช่วยเพิ่มขีดจำกัดในการแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างแน่นอน

“ประเทศไทยมีแค่งานสายการผลิต ถ้ามีการเพิ่มสายนวัตกรรม เป็นการเพิ่มโอกาสของคนในการทำงานในแง่ของเทคโนโลยีได้ เป็นการจ้างงานให้มีแรงงานสูงขึ้น”
]]>
1289668