ลอรีอัล ประเทศไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Jul 2025 11:56:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CeraVe ถุงรีฟิล ราคาถูกกว่าขวด 10-15% หมัดเด็ดเสริม Loyalty กลุ่มลูกค้าใช้ฉ่ำ ใช้ประจำ https://positioningmag.com/1531838 Thu, 31 Jul 2025 08:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531838 เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมความงาม เมื่อ CeraVe ออกแพ็กเกจจิ้งถุง Refill ขนาดเท่ากับขวดใหญ่ หรือ 473 ml. ถูกใจสาวกแบรนด์เป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการสกินแคร์ ที่ออกแพ็กเกจจิ้ง Refiil เพราะส่วนใหญ่จะเห็นกับแบรนด์สินค้าอุปโภคต่างๆ เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า เป็นต้น

ตัวเลือกความยั่งยืน

ทางแบรนด์ CeraVe ได้เปิดเผยกับ Positioning ว่า CeraVe ได้เริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ถุงรีฟิลในปี 2025 โดยเป็นการทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกพร้อมๆ กันในปีนี้ เหตุผลที่เลือกเปิดตัวถุงรีฟิลในประเทศไทยมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนของ L’Oréal Groupe ที่มีพันธกิจด้านความยั่งยืน มีเป้าหมายการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้ทรัพยากร และขับเคลื่อนการหมุนเวียนทรัพยากร (circular economy) ซึ่งผลิตภัณฑ์รีฟิลนั้น อยู่ในเป้าหมายใช้การลดความหนาแน่นบรรจุภัณฑ์และลดการใช้พลาสติกใหม่  

พร้อมกับต้องการสร้างความแตกต่าง การมีแพ็กเกจจิ้งรีฟิลช่วยให้แบรนด์ CeraVe สามารถสร้างความแตกต่าง และตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในตลาดไทยได้ 

แพร โตเจริญทรัพย์ Brand General Manager, CeraVe Thailand บอกว่า ผู้บริโภคคนไทยมีการตอบรับที่ดีต่อบรรจุภัณฑ์รีฟิล โดยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการรีฟิลผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน ด้วยแรงผลักดันจากกระแสความยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมองหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น 

โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์รีฟิลมักมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำ อีกทั้งยังสร้าง Loyalty กับแบรนด์ในระยะยาวได้ด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง และมักเป็นกลุ่มที่เปิดรับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้ง่าย

โดยที่แพ็กเกจจิ้งรีฟิลของ CeraVe ไม่ใช่แพ็คเกจถุงรีฟิลแรกของกลุ่ม L’Oréal Groupe ก่อนหน้านี้มีถุงรีฟิล หรือบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอื่นๆ ในหลายแบรนด์ และหลายประเทศ ภายใต้โครงการ L’Oréal for the Future ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Kiehl’s มีถุงรีฟิลแบบมาสักระยะหนึ่งแล้ว แบรนด์ลังโคมมีผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบกระปุก หรือกลุ่มน้ำหอมเช่น แบรนด์ YSL ในผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบขวด เป็นต้น 

เอาใจกลุ่มใช้ฉ่ำๆ

หนึ่งในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักที่ถุงรีฟิลเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยมคือ “Heavy User” หรือผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นประจำ และในปริมาณมาก ซึ่งมักจะซื้อผลิตภัณฑ์ไซส์ใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว ทำให้ราคาต่อหน่วยถูกลง ไม่ต้องซื้อขวดใหม่บ่อยๆ

ถึงแม้ว่า CeraVe ที่สหรัฐอเมริกาจะมีไลน์สินค้ามากกว่า 70 รายการ ครอบคลุมสกินแคร์หลายกลุ่มทั้งมอยเจอร์ไรเซอร์, ล้างหน้า, สิว, เอจจิ้ง, กันแดด และผม แต่ในไทยมีไลน์สินค้าหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ บอดี้โลชั่น, ล้างหน้า และผิวหน้า ในปีนี้กำลังจะมีสินค้าตัวอื่นๆ เข้ามามากขึ้น

จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของ CeraVe ก็คือ การมีแพ็กเกจจิ้งทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 88 ml, 236 ml และ 473 ml ซึ่งไม่ค่อยเห็นในแบรนด์อื่นๆ มากนัก เพราะในแง่ของการตลาดแล้ว การมีแพ็กเกจจิ้งเยอะ การบริหารสต๊อกยิ่งตามมา 

แต่การมี 3 ขนาด ยิ่งเป็นผลดีต่อ CeraVe เพราะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่ละคนใช้คนละแบบ ซึ่งแพรบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องการจัดการสต๊อกเลย เพราะทุกไซส์ขายดีหมด ขึ้นอยู่กับช่วงวัย 

“CeraVe มีกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y วัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-35 ปี ที่ชอบค้นหาข้อมูล และรู้จักส่วนผสม มีกลุ่ม Gen Z บ้างเล็กน้อย การมีแพ็กเกจจิ้งหลายไซส์ก็ช่วยทำให้เข้าถึงคนหลากหลายมากขึ้น กลุ่ม New User จะเริ่มใช้ขวดเล็กเป็นการทดลองใช้ง่าย ส่วนกลุ่ม Gen Y จะชอบขนาดกลาง ส่วนกลุ่มแม่ และเด็ก จะชอบใช้ขวดใหญ่”

จากข้อมูลของแบรนด์พบว่า 50-60% ของลูกค้า CeraVe จะมีการใช้สินค้ามากกว่า 3 ตัวขึ้นไป รับกับเทรนด์      ผู้บริโภคที่ผิวแต่ละวันไม่เหมือนกัน จึงจะเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์สกินแคร์ตามสภาพผิวในแต่ละวัน 

สำหรับสินค้าที่ขายดีอันดับ 1 ได้แก่ CeraVe Moisturizing Cream 50 ml รองลงมาคือ CeraVe Moisturizing Lotion 473 ml และ CeraVe PM Facial Moisturizing 

โดยที่สัดส่วนรายได้แบ่งเป็น กลุ่มบอดี้โลชั่น 40% คลีนเซอร์ 30-40% และผิวหน้า 30-40% 

ถุงรีฟิลของ CeraVe จะมี 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ Lotion, Cream, Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีขนาดเดียวคือ 473 ml. หรือเทียบเท่ากับขวดใหญ่ 

ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนต่างของราคาถุงรีฟิลสำหรับ Lotion และ Cream ที่มีส่วนต่างราคาอยู่ที่หลักร้อย แต่ Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีส่วนต่างอยู่ที่หลักสิบ ส่วนใหญ่ส่วนต่างราคาถูกกว่าขวดราวๆ 10-15% ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมากแน่นอน กระตุ้นให้รู้สึกคุ้มค่าได้ และมีแนวโน้มในการซื้อซ้ำ

ปัจจุบันขนาดของบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลของ CeraVe จะมีเพียงแค่ขนาดเดียว แต่ถ้าหากได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค และมีความต้องการที่มากขึ้น อาจจะมีการพิจารณาขนาดอื่นๆ อีกก็ได้ แถมยังอาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้ แบรนด์อื่นๆ ในตลาด นำเสนอแพ็กเกจรีฟิลให้กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดสกินแคร์ก็เป็นได้ 

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1531838
สวยรักษ์โลก! “ลอรีอัล” คิกออฟ ผลิตขวดเครื่องสำอางขวดแรกจากพลาสติกรีไซเคิล 100% https://positioningmag.com/1342011 Tue, 13 Jul 2021 08:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1342011 ลอรีอัล กรุ๊ป ประกาศความสำเร็จในการผลิตขวดเครื่องสำอางพลาสติกรีไซเคิลขวดแรกจากเทคโนโลยีเอนไซม์ของ Carbios พร้อมตั้งเป้าหมายผลิตขวดด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ในปี พ.ศ. 2568 โดยแบรนด์ไบโอเธิร์มเป็นแบรนด์แรกของลอรีอัล กรุ๊ปที่จะใช้นวัตกรรมขวดบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตนี้

เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการรีไซเคิลพลาสติก PET พัฒนาขึ้นโดย Carbios จะนำไปสู่การผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ทำจากวัสดุที่ได้มาจากการรีไซเคิล 100% โดยใช้ขั้นตอนของเอนไซม์ ซึ่งมีข้อดีคือ มีความเหมาะสมและใช้ได้กับพลาสติก PET ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบบใส แบบมีสี แบบขุ่น และแบบหลายชั้น และจะทำให้พลาสติกเหล่านี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ไม่สิ้นสุด

ฌัก เพล ผู้อำนวยการฝ่ายบรรจุภัณฑ์และการพัฒนา ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า

“เราได้ทำงานร่วมกับ Carbios มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เพื่อพัฒนาขวดใบแรกที่ทำจากพลาสติก PET ที่ได้มาจากเทคโนโลยีการรีไซเคิลด้วยเอนไซม์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ใช้แทนการรีไซเคิลพลาสติกเชิงกล เรายินดีอย่างยิ่งที่ขวดเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นจริงในโครงการนำร่อง และเราได้สร้างบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตร่วมกับพันธมิตรของเรา นี่จะเป็นนวัตกรรมยอดเยี่ยมสำหรับอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการนำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานด้านการหมุนเวียน (circularity) ที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว”

จูลิโอ เบียร์กามาสกี ประธานแบรนด์ไบโอเธิร์ม กล่าวว่า

“ไบโอเธิร์มเป็นแบรนด์บุกเบิกเครื่องสำอางที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการลดขยะเป็นศูนย์กลางของแผนยุทธศาสตร์ของแบรนด์ เราดีใจที่ได้เป็นแบรนด์ความงามแบรนด์แรกที่ประสบความสำเร็จในการผลิตขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล โดยใช้เทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกของ Carbios”

เมื่อปี พ.ศ.2560 ลอรีอัลได้รวมกลุ่มบริษัทกับ Carbios ซึ่งมี Nestlé Waters, PepsiCo และ Suntory Beverage & Food Europe เข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมโซลูชันการรีไซเคิลพลาสติกด้วยการใช้นวัตกรรม และการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้เป็นอุตสาหกรรม และต่อมาในปี พ.ศ. 2562 ลอรีอัลได้ลงทุนใน Carbios ผ่านกองทุนร่วมทุน BOLD หรือ Business Opportunities for L’Oréal Development

ด้วยโปรแกรมเพื่อความยั่งยืนปี 2030 ของลอรีอัล กรุ๊ป “L’Oréal for the Future” บริษัทฯ ได้ยกระดับการทำงาน เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนโฉมการดำเนินธุรกิจ และได้ตั้งเป้าหมายใหญ่ในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างด้านบรรจุภัณฑ์ อาทิ

  • ภายในปี พ.ศ. 2568 บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะเป็นแบบที่สามารถรีฟิลได้ นำมาใช้ซ้ำได้ รีไซเคิลได้ หรือย่อยสลายได้
  • ภายในปี พ.ศ. 2573 บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะมาจากวัสดุรีไซเคิล หรือแหล่งชีวภาพ และจะไม่ใช้พลาสติกผลิตใหม่ที่มาจากแหล่งกำเนิดฟอสซิลอีกต่อไป
  • ส่วนประกอบ 100% ที่ใช้ในสูตรต่าง ๆ และวัสดุที่มาจากแหล่งชีวภาพจะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และจะมาจากแหล่งที่ยั่งยืนภายในปี พ.ศ. 2573

เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ลอรีอัล กรุ๊ปทำงานร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หลายราย เพื่อให้บริษัทมีช่องทางเข้าถึงเทคโนโลยีที่ดีที่สุด นอกจาก Carbios แล้ว ลอรีอัลยังร่วมมือกับ Albéa ผู้นำระดับโลกด้านบรรจุภัณฑ์ความงาม  ในการพัฒนาหลอดเครื่องสำอางหลอดแรกที่ใช้กระดาษแข็งที่ผ่านการรับรองจาก FSC ในปี พ.ศ.2562

และยังร่วมมือกับ Purecycle เพื่อผลิตพลาสติก polypropylene (PP) ที่รีไซเคิลด้วยการใช้สารละลาย และในเดือนตุลาคม 2563 ลอรีอัลได้ร่วมมือกับ LanzaTech และ Total พร้อมทั้งได้ประกาศให้โลกได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่า สามารถผลิตขวดเครื่องสำอางที่ใช้พลาสติก polyethylene (PE) ที่ผลิตจากก๊าซคาร์บอน ซึ่งถูกปล่อยออกมาจากภาคอุตสาหกรรมและถูกนำมารีไซเคิล

]]>
1342011
ไวรัสทำหยุดสวย! “ลอรีอัล” ปี 63 รายได้ลดลง 4.1% แต่กลุ่มเวชสำอางโตทุบสถิติ https://positioningmag.com/1320739 Wed, 24 Feb 2021 14:41:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320739 อุตสาหกรรมความงามได้รับผลกระทบไม่แพ้อุตสาหกรรมอื่นๆ “ลอรีอัล” ได้ประกาศปลประกอบการปี 2563 ด้วยยอดขายมูลค่า 27,990 ล้านยูโร ลดลง 4.1% ส่วนใหญ่มาจากจุดจำหน่ายสินค้าต้องปิดตัวจากล็อกดาวน์ แต่ผู้บริโภคดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้กลุ่มเวชสำอางเติบโตแบบทุบสถิติ

อีคอมเมิร์ซโตพุ่ง 62%

การแพร่ระบาดไปทั่วโลกของ COVID-19 ในปี 2563 ก่อให้เกิดวิกฤตด้านอุปทาน เนื่องจากจุดจำหน่ายสินค้าส่วนใหญ่ต้องปิดให้บริการ ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามมียอดขายที่ตกต่ำลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม้ภาพรวมรายได้ทั้งปีจะลดลง 4.1% แต่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ยอดขายในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 4.8% และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ เป็นการสร้างการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง

ในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ทำให้ต้องหันมาพึ่งพาช่องทางดิจิทัล และอีคอมเมิร์ซมากขึ้น นอกจากจะรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคไว้ได้ ยังสามารถชดเชยยอดขายจากการปิดจุดจัดจำหน่ายสินค้าได้เป็นจำนวนมาก โดยยอดขายส่วนอีคอมเมิร์ซพุ่งขึ้นถึง 62% โดยเพิ่มขึ้นทุกแผนก และทุกภูมิภาค และมีขนาดเป็น 26.6% ของยอดขายของทั้งบริษัทในปีที่แล้วซึ่งมากเป็นประวัติการณ์

เวชสำอางฮีโร่! โตสูงเป็นประวัติการณ์

ในปีที่แล้วแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายโตเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีพลวัตอย่างมาก และแบรนด์ต่างๆ ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดด้วยคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

ในส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคสามารถฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบในกลุ่มผลิตภัณฑ์เมคอัพ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในผลิตภัณฑ์หลักอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปิดร้านทำผมในช่วงครึ่งปีแรกนั้น สามารถดีดตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง และยังเติบโตได้อย่างโดดเด่นกว่าตลาดโดยรวมอย่างชัดเจนตลอดปี

และท้ายสุด แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง สามารถเติบโตได้ดีกว่าตลาดโดยรวม แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ลำบากยิ่ง และกลับมาเติบโตได้ในไตรมาสสุดท้าย

ฌอง-ปอล แอกง ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลอรีอัล กรุ๊ป บอกว่า

“ในช่วงต้นปี 2021 สถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่กลุ่มผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลกก็ยังคงมีความต้องการในเรื่องความสวยความงาม เราจึงมั่นใจในศักยภาพที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นเหนือกว่าตลาดอีกครั้งในปีนี้ ตลอดจนประสบความสำเร็จในการเติบโตยอดขายและผลกำไรได้อีกปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของวิกฤตโรคระบาดด้วยเช่นกัน” 

สรุปยอดขายแบ่งตามแผนก

  • แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ยอดขายลดลง -6.4%
  • แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ยอดขายลดลง -4.7%
  • แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง ยอดขายลดลง -8.1% ในขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามขั้นสูงทั่วโลกหดตัวลงประมาณ 14% ลอรีอัลได้ส่วนแบ่งตลาดในแผนกนี้เพิ่มขึ้นเกือบทุกภูมิภาค
  • แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ยอดขายเติบโต +18.9% สูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีมูลค่ายอดขายทะลุ 3,000 ล้านยูโรเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

สรุปยอดขายแบ่งตามภูมิภาค

  • ยุโรปตะวันตก ยอดขายลดลง -10.3%
  • อเมริกาเหนือ ยอดขายลดลง -7.4%

กลุ่มตลาดใหม่

  • ละตินอเมริกา ยอดขายลดลง -1.5%
  • ยุโรปตะวันออก ยอดขายลดลง -4.9%
  • แอฟริกา และตะวันออกกลาง ยอดขายลดลง -3.3%
  • เอเชียแปซิฟิก ยอดขายเพิ่มขึ้น +3.5% โดยยอดขายในไตรมาส 4 พุ่งขึ้น +16.6%
  • จีน มียอดขายเพิ่มขึ้น +27.0%

ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย แปซิฟิก สถานการณ์ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเทศที่ยอดขายได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากการแพร่ระบาด อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเวียดนามนั้น ทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น ในกลุ่มตลาดผลิตภัณฑ์เมคอัพยังคงตกต่ำอยู่ แต่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำตลาดโดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ดูแลผม และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั้น ทำให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในแต่ละไตรมาส

ฌอง-ปอล แอกง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลอรีอัล กรุ๊ป

อีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางที่ผลักดันการเติบโต ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงและผลิตภัณฑ์เวชสำอางมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดหลักทุกแห่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แบรนด์ลา โรช-โพเซย์ และเซราวี ช่วยผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางให้เติบโตขึ้น ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคมียอดขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากยอดขายที่ดีของแบรนด์การ์นิเย่

เมื่อเดือน พ.ย. ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการจัดพื้นที่ภูมิภาคใหม่บางพื้นที่ ได้แก่ โซนเอเชียเหนือ โซน SAPMENA (South Asia, Pacific, Middle East, North Africa) และโซนแอฟริกาใต้ซาฮารา โดยในโซนเอเชียเหนือประกอบด้วยจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ส่วนในโซน SAPMENA เป็นโซนที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ ซึ่งประกอบด้วยเอเชียใต้ แปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ

]]>
1320739
“ลอรีอัล” บุกไซส์เล็ก! ส่ง “ลิปสติกซอง” เมย์เบลลีน นิวยอร์ก จับตลาดสวยสะดวกซื้อ https://positioningmag.com/1320107 Thu, 18 Feb 2021 16:55:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320107 ลอรีอัล ประเทศไทย เดินหน้าปลุกตลาดความงาม ส่งลิปสติกจิ้มจุ่มแบบซอง จากเมย์เบลลีน นิวยอร์ก เพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภคไทยผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ และไฮเปอร์มาร์เก็ต

เทรนด์ซองยังมาแรง

เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดซาเช่ หรือแพ็กเกจจิ้งแบบซองยังมีการเติบโต และเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากลุ่มอุปโภค หรือเทรนด์ล่าสุดก็คงจะเป็นเครื่องสำอางซอง สกินแคร์แบบซอง สามารถพบเห็นหลายแบรนด์ลงมาบุกตลาดกันเนืองแน่น

เหตุผลหลักที่คนไทยชอบแพ็กเกจจิ้งแบบซองนั้น เนื่องจากมีความรู้สึกว่าราคาไม่แพงในการซื้อต่อครั้ง เพราะเครื่องสำอางซอง หรือสกินแคร์ซองมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 20-40 บาท สามารถใช้งานได้หลายวัน หลายคนรู้สึกดีกว่าที่ต้องเสียเงินในจำนวนเต็มเพื่อซื้อขนาดจริง แม้ว่าเมื่อเทียบกับปริมาณแล้ว ขนาดจริงจะคุ้มค่ากว่าก็ตาม

อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ เป็นการทดลองสินค้าไปในตัว หรือจะให้เครื่องสำอางซองเหล่านี้เป็นเทสเตอร์แบบกลายๆ อีกทั้งยังพกพาง่าย สามารถใส่กระเป๋าเดินทางได้สะดวก

เราจึงได้เห็นแบรนด์ใหญ่ๆ ลงมาจับตลาดเครื่องสำอางซองกันมากมาย แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง “ลอรีอัล” ก็ไม่ตกขบวน ซึ่งก่อนหน้านี้ลอรีอัลเคยออกรองพื้นฟิตมีในรูปแบบซองมาแล้ว เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย กระตุ้นการทดลองใช้ได้อย่างดี

ล่าสุดได้เปิดตัว “ลิปสติกซอง” เป็นครั้งแรก ในแบรนด์ “เมย์เบลลีน นิวยอร์ก เซนเซชั่นแนล ลิควิด แมท” เป็นลิปสติกแบบจิ้มจุ่ม ได้นำสินค้าจากรูปแบบแท่งมาอยู่ในซอง มาพร้อม 4 เฉดสี ในราคา 59 บาท เริ่มจำหน่ายที่โลตัส โลตัสเอ็กซ์เพรส มินิบิ๊กซี ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าเครื่องสำอางทั่วไป

อินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย

อินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย บอกว่า

“อุตสาหกรรมความงามในประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ก่อนสถานการณ์โควิดย้อนไปตั้งแต่ปี 2556 อุตสาหกรรมความงามไทยเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณกว่า 7% ทุกปี แม้ในปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทายที่อุตสาหกรรมความงามได้รับผลกระทบโดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องสำอาง และมีผู้เล่นแข่งขันในตลาดมากมาย แต่ลอรีอัล ประเทศไทย ยังสามารถครองตำแหน่งบริษัทยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และเครื่องสำอางในประเทศไทยในปัจจุบัน”

การออกลิปสติกซองในครั้งนี้ เป็นการบุกตลาด “ร้านสะดวกซื้อ” มากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่มีอิทธิพลต่อคนในยุคปัจจุบัน มีการใช้บริการบ่อย อีกทั้งในเรื่องของราคายังเข้าถึงได้ง่าย กระุต้นการทดลองใช้ อีกทั้งยังสามารถซื้อเก็บได้หลายๆ สี เพราะเชื่อว่าสาวๆ ต้องไม่มีลิปสติกสีเดียวอย่างแน่นอน!

]]>
1320107