หนี้บัตรเครดิต – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Nov 2025 10:52:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หมดยุครูดปี๊ด? คนไทยปิดบัตรเครดิต มากกว่าเปิดใหม่ ลดก่อหนี้ไม่จำเป็น https://positioningmag.com/1546821 Thu, 13 Nov 2025 06:34:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546821 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยเห็นเทรนด์ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย สะท้อนจากจำนวนการปิดบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น มากกว่าเปิดบัตรใหม่ และลดการใช้จ่ายผ่านบัตร หวังลดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งเห็นพฤติกรรมนี้ในทุกกลุ่มลูกค้า

 

‘อธิศ รุจิรวัฒน์’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายและเหนื่อยสำหรับธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2568 เห็นสัญญาณของผู้บริโภคที่มียอดปิดบัตรเครดิต มากกว่ายอดเปิดบัตรใหม่ และมีการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง ซึ่งเกิดขึ้นกับลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง

 

สาเหตุหลักมาจากการผู้บริโภคเกิดความไม่เชื่อมั่นทั้งสภาพเศรษฐกิจโดยรวม และอีกหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน ทำให้ระมัดระวังการใช้จ่าย และลดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น ซึ่งการยกเลิกบัตรส่วนใหญ่ลูกค้าให้เหตุผลว่า ไม่อยากถือบัตรเครดิตหลายใบ เพราะต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายและจำกัดการใช้เงิน

 

“คนยังมีเงิน แต่หลัก ๆ คือ อารมณ์และความรู้สึกที่ไม่เชื่อมั่นจากข่าวต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ชะลอการจับจ่าย เนื่องจากเราดูการใช้จ่ายผ่านบัตรของลูกค้าพบว่า ค่อนข้างสวิง คือ เมื่อมีเหตุการณ์หรือข่าวด้านลบเข้ามากระทบ การใช้จ่ายผ่านบัตรจะลดลง พอไม่มีข่าวก็มีการใช้จ่ายสูงขึ้น”

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยกรุงศรี คอนซูมเมอร์ วางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสภาวะตลาดที่ซบเซา ด้วยการกลับมาโฟกัส ‘ตัวเอง’ คำนึงถึงจุดแข็งและโปรดักต์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท มากกว่ามุ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและการบริหารต้นทุน

 

ขณะที่การทำโปรโมชั่นและให้สิทธิประโยชน์ จะเน้น ‘ความคุ้มค่า’ และเป็นตัวช่วยในการแบ่งภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การให้เครดิตเงินคืน เพิ่มคะแนนการใช้จ่าย แทนการอัดโปรโมชั่นแรง ๆ

 

“ตอนนี้เหมือนสู้กับจุดที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเราไม่รู้ว่า จุดนี้ของแต่ละคนอยู่ตรงไหน ถ้ายิ่งทำ อาจจะเจ็บตัวหนัก เราเลยเลือกที่จะไม่ทำในจังหวะนี้”

 

สำหรับผลประกอบการของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งแต่เดือน ม.ค. – ก.ย. 2568 ในภาพรวมยังเติบโตดีกว่าตลาดทั้งในด้านจำนวนบัตรและยอดใช้จ่ายผ่านบัตร โดยมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 422,800 บัญชี ลดลง 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน, ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 286,300 ล้านบาท เติบโต 1%, ยอดสินเชื่อใหม่ 68,400 ล้านบาท ลดลง 2.2% และยอดสินเชื่อคงค้าง 134,300 ลดลง 2.6%

 

ขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน อยู่ที่ระดับ 1.3% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.2% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจ เนื่องจากมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม

 

ส่วนหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุดเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1. ประกันภัย, 2. ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ, 3.ปั๊มน้ำมัน, 4. ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน และ 5. ช้อปออนไลน์

 

ขณะที่หมวดใช้จ่ายที่มีอัตราเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน, 2. แอปดิลิเวอรี 3.กองทุนรวม, 4.ตัวแทนท่องเที่ยว และ 5.ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่าย เน้นซื้อสินค้าในหมวดที่จำเป็นมากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย

 

สำหรับผลประกอบการสิ้นปี 2568 ตั้งเป้ามียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 578,000 บัญชี ลดลง 2.7%, ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 400,000 ล้านบาท โต 2%, ยอดสินเชื่อใหม่ 94,000 ล้านบาท ลดลง 1.3% และยอดสินเชื่อคงค้าง 143,000 ลดลง 2.2%

]]>
1546821
‘ปัญหาหนี้’ คนไทยน่าห่วง โดยเฉพาะ Gen Z ที่ติดบ่วงหนี้ NPL จากการใช้จ่ายเกินตัว https://positioningmag.com/1535206 Mon, 25 Aug 2025 12:15:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1535206 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดข้อมูลเผยปัจจัยการเกิด ‘วิกฤตหนี้ครัวเรือนไทย’ ที่พุ่งสูง โดยเฉพาะ ‘Gen Z’ ที่น่าเป็นห่วง โดย 1 ใน 4 ติดบ่วงหนี้ NPL สูงสุดเมื่อเทียบทุก Gen จากการติด ‘กับดัก’ การใช้จ่ายเกินตัวตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ

 

รศ. ดร.ดำรงค์ อดุลยฤทธิกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากเครดิตบูโรและธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ณ ไตรมาสแรกปี 2568 มีหนี้ครัวเรือนรวมสูงถึงกว่า 16.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 87.4% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ไม่เกิน 80% มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

 

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง และกลายเป็น ‘กับดักหนี้ ที่ฉุดรั้งคุณภาพชีวิตของครัวเรือนและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่ปริมาณหนี้ที่เพิ่มสูง แต่คุณภาพของหนี้ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากกว่า 2 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดเป็นหนี้เพื่อการบริโภค ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล

 

ขณะที่หนี้เพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า เช่น บ้าน หรือธุรกิจ กลับมีสัดส่วนเพียง 4% เท่านั้น ทำให้ภาระหนี้กลายเป็นวงจรที่กัดกินกำลังซื้อและลดทอนความสามารถในการออมของครัวเรือน

 

สำหรับในกลุ่ม ‘คนรุ่นใหม่’ ปัญหาหนี้ยิ่งทวีความรุนแรง โดยข้อมูลจากเครดิตบูโรระบุว่า 1 ใน 2 ของคน Gen Z  ที่เพิ่งเริ่มทำงานมีหนี้สินแล้ว และที่น่ากังวลคือกว่า 1 ใน 4 ของคนกลุ่มนี้เป็นหนี้เสีย (NPL) ซึ่งถือเป็นอัตราสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเจเนอเรชันอื่น ๆ

 

ปัจจัยสำคัญเกิดจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ได้รับอิทธิพลจาก ‘สื่อสังคมออนไลน์’ รวมถึง ‘การเข้าถึงบัตรเครดิตและสินเชื่อที่ง่ายดาย’ ส่งผลกระทบให้คนรุ่นใหม่ตกอยู่ในกับดักหนี้เร็วขึ้นและยากต่อการฟื้นตัว

 

ขณะเดียวกันระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสังคมไทยในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทั้งการลดลงของกำลังซื้อประชาชน ความสามารถในการออม ตลอดจนการบังคับให้ครัวเรือนจำนวนมากต้องตัดค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น การรักษาพยาบาลหรือการศึกษา เพื่อหันไปชำระหนี้แทน

 

สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวงจรลบที่สะท้อนถึงความเปราะบางและความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจในระยะยาว

 

“หนี้ครัวเรือนไทยคือภัยเงียบที่กัดกร่อนชีวิตผู้คนทั้งในวัยเรียน วัยทำงาน และแม้กระทั่งวัยเกษียณ โดยพบว่าผู้สูงอายุจำนวนมากยังมีหนี้เฉลี่ยกว่า 400,000 บาท และเสี่ยงกลายเป็นหนี้เสีย ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็ติดกับดักการใช้จ่ายเกินตัวตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงทำลายคุณภาพชีวิต แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม

 

จากภาพที่เกิดขึ้น ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงขับเคลื่อนการแก้ปัญหานี้ด้วย ‘ความรู้ทางการเงิน’ หรือ Financial Literacy หลักสูตรใหม่เพื่อปลูกฝังความเข้าใจด้านการเงินและการลงทุนให้แก่นักศึกษา โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2570 บัณฑิตทุกคนจะต้องผ่านการเรียนหลักสูตรนี้ก่อนออกสู่ตลาดแรงงาน

 

สำหรับหลักสูตรดังกล่าวจะครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนเป้าหมายทางการเงินระยะสั้น กลาง และยาว การออมอย่างมีระบบ การทำความเข้าใจภาษีและกฎหมายเกี่ยวข้องกับหนี้ ไปจนถึงการลงทุนในสินทรัพย์สมัยใหม่ เช่น เงินดิจิทัล  คริปโทเคอร์เรนซี และผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ

]]>
1535206
อัปเดต : คนไทยว่างงาน 8.7 แสนคน หนี้ครัวเรือนพุ่ง 14.27 ล้านล้าน ระวังหนี้เสียบัตรเครดิต https://positioningmag.com/1363146 Mon, 22 Nov 2021 07:38:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363146
อัปเดตตัวเลขผู้ว่างงาน Q3/64 มีมากกว่า 8.7 แสนคน สูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 เด็กจบใหม่หางานยาก หนี้ครัวเรือนไทยยังพุ่งต่อเนื่อง เเม้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP จะปรับลดลงเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ต้องเฝ้าระวังหนี้เสียจากบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้น

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/64 พบว่า การว่างงาน เพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด โดยมีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ 2.25%

ผู้ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานสูงสุด 3.63% รองลงมาเป็น ปวส. 3.16% ซึ่ง ผู้ว่างงานส่วนใหญ่จบในสาขาทั่วไป (บริหารธุรกิจ การตลาด) จึงมีแนวโน้มประสบปัญหาการว่างงานยาวนานขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างจำกัด และคนกลุ่มนี้ที่มีทักษะไม่ต่างกัน จึงหางานได้ยากขึ้น

เด็กจบใหม่ หางานยาก

โดยแรงงานที่มีอายุ 15-19 ปี มีอัตราการว่างงานสูงสุด 9.74% รองลงมาเป็นอายุ 20-24 ปี ที่ 8.35% สะท้อนว่าโควิดส่งผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการที่เคยชะลอการเลิกจ้างบางส่วนไม่สามารถรับภาระต่อได้และจำเป็นต้องเลิกจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น

“เด็กจบใหม่ยังไม่มีตำแหน่งรองรับ เนื่องจากผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบและรอดูสถานการณ์ จึงชะลอการขยายตำแหน่งงาน” 

ทั้งนี้ การว่างงานของแรงงานในระบบ มีสัดส่วนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต่อผู้ประกันตนอยู่ที่ 2.47% ลดลงจากช่วงไตรมาสก่อนหน้าและปีก่อน เนื่องจากช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและผู้ประกันตนในพื้นที่ควบคุมสูงสุด ประกอบกับสถานประกอบการมีการหยุดกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัยแทนการเลิกจ้าง ซึ่งมีจำนวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย 2.1 แสนคน ในเดือนกันยายน 2564 เพิ่มขึ้นจาก 0.9 แสนคน ณ สิ้นไตรมาสก่อน

ภาพรวมการจ้างงาน ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น 37.7 ล้านคน ลดลง 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการจ้างงานภาคเกษตรกรรมยังคงขยายตัวได้ ซึ่งมีการจ้างงาน 12.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.0% เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มฤดูการเพาะปลูกข้าว

การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมลดลง 1.3% โดยสาขาที่มีการจ้างงานลดลงมาก ได้แก่ สาขาก่อสร้าง สาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ที่ลดลงถึง 7.3% และ 9.3% ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลของมาตรการควบคุมการเปิดปิดสถานประกอบการ ทั้งการปิดแคมป์คนงาน และจำกัดการขายอาหาร

สำหรับสาขาที่ขยายตัวได้ ประกอบด้วย สาขาการผลิต ขายส่ง/ขายปลีก และสาขาขนส่ง/เก็บสินค้า ขยายตัวได้ 2.1% 0.2 และ 4.6% ตามลำดับ สาขาการผลิตที่มีการจ้างงานขยายตัวได้ดี อาทิ การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม การผลิตรถยนต์ การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์

สำหรับ ชั่วโมงการทำงานหลักโดยเฉลี่ยของภาคเอกชนอยู่ที่ 43.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีผู้ว่างงานชั่วคราวสูงถึงเกือบ 9 แสนคน (ผู้มีงานทำที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์แห่งการสำรวจ หรือทำงาน 0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อาทิ ลาหยุด ลาป่วย ถูกพักงาน หรือสถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราว) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนเพียง 4.7 แสนคน เท่านั้น

Photo : Shutterstock

สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่

1.การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยว และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศยังต้องมีมาตรการเพิ่มเติม คือ การควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดที่ต้องเข้มงวดขึ้น

“การหามาตรการช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวขนาดเล็ก การอำนวยความสะดวกในการจ้างงานให้กับภาคท่องเที่ยวซึ่งอาจมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน และการดำเนินมาตรการอื่นควบคู่เพื่อฟื้นฟู่เศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยเฉพาะจากโครงการ พ.ร.ก.กู้เงินฯ ฉบับใหม่ ซึ่งต้องเน้นให้เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น”

2.ผลกระทบของอุทกภัยต่อแรงงานภาคเกษตรและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยรัฐบาลได้มีมาตรการเยียวยาเบื้องต้นจากความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ทั้งนี้ อาจต้องมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อนำไปใช้ในการซ่อมแซมบ้านเรือนและเป็นทุนในการทำการเกษตรอีกทางหนึ่ง

3.ภาระค่าครองชีพที่อาจปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ว่างงานชั่วคราวที่ไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 7.8 แสนคน ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีปัญหาในการดำรงชีพ

4.การจัดการปัญหาการสูญเสียทักษะจากการว่างงานเป็นเวลานานและการยกระดับทักษะให้กับแรงงาน โดยในระยะถัดไป ภาครัฐอาจส่งเสริมให้แรงงานโดยเฉพาะกลุ่มผู้ว่างงานเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะให้เพิ่มขึ้น

5. การส่งเสริมให้แรงงานที่ประกอบอาชีพอิสระที่ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ของสำนักงานประกันสังคม เพื่อรับการช่วยเหลือเยียวยาให้เป็นผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่อง

หนี้ครัวเรือนพุ่งไม่หยุด ระวังหนี้บัตรเครดิต

ด้าน ‘หนี้สินครัวเรือน’ ไตรมาส 2 ปี 2564 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 จากร้อยละ 4.7 ในไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89.3 ต่อ GDP ลดลงจากร้อยละ 90.6 ในไตรมาสที่ผ่านมา จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วกว่าหนี้สินครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ด้านคุณภาพสินเชื่อยังต้องเฝ้าระวังหนี้บัตรเครดิตที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

แม้ว่าสัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 2.92 ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อบัตรเครดิตต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน จากร้อยละ 3.04 ในไตรมาสก่อนมาเป็นร้อยละ 3.51 รวมถึงลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสียจากบัตรเครดิต 1 ใน 3 เป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี

หนี้สินครัวเรือน ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุจาก

  • ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถขยายตัวได้ในระดับปกติ แม้ว่าทั้งปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว แต่เป็นการขยายตัวจากฐานต่ำ สะท้อนว่ารายได้ครัวเรือนยังคงไม่ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน
  • ผลกระทบของอุทกภัย ทำให้ครัวเรือนต้องก่อหนี้เพื่อนำมาซ่อมแซมบ้านเรือนและเครื่องใช้ที่ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค

ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในระยะถัดไป ได้แก่

1. หนี้เสียโดยเฉพาะบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งหากลูกหนี้ผิดนัดชำระจะต้องเสียดอกเบี้ยปรับในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหนี้ประเภทอื่น

2. การส่งเสริมให้ลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ จากปัจจุบันที่หนี้เสียของครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากการไม่รับรู้ถึงมาตรการช่วยเหลือ จึงควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้

3. การก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในรอบครึ่งปี 2564 พบว่า มีมูลค่าหนี้นอกระบบรวม 8.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเพียง 5.6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.5 เท่าจากปี 2562

 

อ่านรายงานฉบับเต็ม : ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2564

]]>
1363146
KTC หั่นเป้ารูดบัตรเหลือ 2 เเสนล้าน ปรับมูฟครึ่งปีหลัง รออัดโปร-แลกพอยต์ คุมเข้มบัตรใหม่ https://positioningmag.com/1340915 Thu, 08 Jul 2021 08:30:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340915 KTC มองโควิดลากยาวฉุดการใช้จ่าย หวังฟื้นตัวได้ช่วงปลายปี หั่นเป้าใช้จ่ายเหลือ 5% หรือราว 2 แสนล้านบาท จากเป้าหมายเดิม 8% หรือ 2.2 แสนล้านบาท เลือกทำการตลาดเฉพาะบุคคลให้ตรงจุดมุ่ง Partnership Marketing ช่วยคู่ค้าอัดโปรฯ แลกพอยต์ กระตุ้นยอดขาย เน้นวงเงินยอดใช้จ่ายไม่สูงแต่ต่อเนื่อง

พิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจบัตรเครดิตบริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน) หรือ KTC ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ยอดรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต (Spending) อยู่ที่ 94,000 ล้านบาท เติบโต 4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เเต่ต่ำกว่าที่คาดไว้

ดังนั้น บริษัทจึงปรับลดเป้ายอดใช้จ่ายบัตรเครดิตทั้งปี 2564 เหลือเติบโตที่ 5% หรือราว 200,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 8% หรือราว 2.2 แสนล้านบาท

ที่ผ่านมา เริ่มเห็นการเติบโตในเดือนเม.. เเต่พอเข้าเดือนพ.. ก็เริ่มกระตุกอีกครั้ง เมื่อต้องเจอโรคระบาดระลอกที่ 3 ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเดือนมิ.. จากเดิมที่เคยคาดหวังว่าตัวเลขจะเป็นบวกไปเรื่อยๆ เเต่ตอนนี้กลับติดลบ

ต้องยอมรับว่าปัจจัยเหล่านี้ จะกระทบต่อเป้าหมายในช่วงปลายปีของเรา การเจอสถานการณ์เช่นนี้ คงทำให้การหาสมาชิกบัตรใหม่ทำได้ยากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันฐานสมาชิกบัตรเครดิต KTC มีจำนวน 2.5  ล้านใบ สมาชิกบัตรฯ ใหม่ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 95,000 ใบ จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 230,000 ใบ

พิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจบัตรเครดิตบริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน)

ปกติเเล้ว ช่องทางขยายฐานสมาชิกที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ ผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ และหน่วยงาน Outsource Sales พนักงานเซลส์จากภายนอก เเต่ในยุคโควิด-19 ต้องเว้นระยะห่าง การไปพบปะลูกค้าทำได้ยากขึ้น รวมไปถึงคุณภาพการเงินของลูกค้าก็ลดลงด้วย

ทั้งนี้ อัตราการอนุมัติบัตรเครดิตใหม่ของ KTC อยู่ที่ 36% ลดลงจากเดิมที่เคยอยู่กว่า 40% โดยยังคงเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วนสมาชิกอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร 55% และจังหวัดอื่นๆ 45%

เราเชื่อว่าถ้าผ่านพ้นวิกฤตช่วงนี้ไป ยอดบัตรใหม่น่าจะกระเตื้องขึ้น เเต่คิดว่าในช่วงไตรมาส 3 ยังคงไม่ฟื้นตัวได้เร็ว อาจจะค่อยๆ ขยับขึ้นไปรอโอกาสสุดท้ายในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งปกติก็เป็นไฮซีซั่นที่การใช้จ่ายกลับมาอยู่เเล้ว

รูดซื้อ ‘ประกัน’ มากสุด ช้อปออนไลน์-เเต่งบ้านพุ่ง 

สำหรับหมวดหมู่ที่ผู้ถือบัตร KTC นิยมใช้จ่ายมากที่สุด คือหมวดประกัน ซึ่งครองอันดับ 1 มาหลายปีเเล้ว ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่างการเติมน้ำมัน

ส่วนอันดับ 3 โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือวาไรตี้สโตร์มาร์เก็ตเพลลสเช่น เช่น Shopee และ Lazada จากเทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์ อันดับ 4 คือ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะคนซื้อของกักตุนที่บ้านเยอะขึ้น เเละอันดับ 5 คือสุขภาพโรงพยาบาล

ส่วนหมวดเฟอร์นิเจอร์ของตกเเต่งบ้านก็มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ จากการที่หลายคนต้องทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ปรับเปลี่ยนชีวิตมาอยู่บ้านมากขึ้น ขณะที่หมวดการใช้จ่ายที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ การท่องเที่ยวเเละแฟชั่น

ปัจจุบันวงเงินใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 6,000 บาทต่อราย ลดลงจากราว 7,000 บาท ส่วนหนึ่งมาจากการใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้าเล็กๆน้อยๆ ตามร้านสะดวกซื้อและช้อปปิ้งออนไลน์ได้มากขึ้น ต่างจากเดิมที่มักจะใช้ซื้อสินค้าใหญ่ๆ

รอจังหวะอัดโปรฯ-แลกพอยต์ กระตุ้นปลายปี 

สำหรับกลยุทธ์การตลาดธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งปีหลังของปี 2564 นั้น จะมีการเปลี่ยนเเปลงไปตามสถานการณ์ โดยเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล เเละยึดหลัก ‘Partnership Marketing’ สร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรให้หลากหลายมากขึ้น

เเต่เดิมเราคิดว่าในไตรมาสที่ 3 จะเริ่มบุกทำการตลาดเเบบเต็มสูบมากขึ้น เเต่พอเจอสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ทีมต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ โดยทุกวันนี้โปรโมชันของเรามีทำไว้รออยู่เเล้ว เพียงเเต่ว่าเมื่อคนยังไม่กล้าออกมา เราก็คงไม่กล้าที่จะทุ่มโปรโมตมากๆ

การตลาดช่วงนี้จึงจะต้องเน้นไปที่การทำความเข้าใจกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เมื่อการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ยังจำเป็น เเละการสั่งสินค้าออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตไปเเล้ว

ในช่วงที่คนมีความกังวลมากมาย เเบรนด์ต้องสื่อสารให้ตรงกับเขามากกว่าจะไปพูดสารพัดเรื่อง พยายามให้ข่าวสารที่มีประโยชน์เเละไม่รบกวนลูกค้ามาก

มุ่งเน้นกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สมาชิกเลือกใช้บัตรเครดิตของ KTC เป็นอันดับแรก หรือตั้งเป็น Default Card ที่ใช้เป็นประจำในทุกวัน โดยร่วมกับพันธมิตรมอบสิทธิประโยชน์และใช้จุดแข็งด้านคะแนนสะสมเน้นวงเงินยอดใช้จ่ายไม่สูงแต่ต่อเนื่อง

ทีมการตลาดทำงานใกล้ชิดกับพาร์ตเนอร์ เมื่อพาร์ตเนอร์ต้องการความช่วยเหลือ เราก็ช่วยได้ เช่น ธุรกิจโรงเเรมในกรุงเทพฯ ที่หันมาจับลูกค้าคนไทยเเละขายอาหารมากกว่าห้องพัก ทาง KTC ก็โปรโมตโปรโมชันเเพ็กเกจเมนูอาหารสำหรับคน Work from Home ให้ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

พร้อมกันนี้ ยังมี KTC U SHOP ซึ่งเป็นบริการขายสินค้าออนไลน์ที่ใช้เป็นช่องทางในการสนับสนุนพันธมิตรและผู้ประกอบการที่สนใจนำเสนอสินค้าให้แก่สมาชิกบัตรฯ ซึ่งสมาชิกสามารถชำระด้วยคะแนน KTC FOREVER หรือบัตรเครดิตเคทีซีได้

ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาศักยภาพของแอปฯ KTC Mobile ให้มีบริการที่สะดวก เน้นใช้งานง่าย และรวดเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกที่คุ้นชินกับการทำรายการแบบออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมียอดสมาชิกโหลดใช้งาน KTC Mobile แล้ว 1.8 ล้านราย มียอดใช้ทำธุรกรรมสม่ำเสมอ (Active) คิดเป็นประมาณ 75% จากฐานลูกค้าทั้งหมด 2.5 ล้านราย

ในไตรมาส 3 นี้ เราจะนำเสนอน้องกะทิเเชทบอทตัวใหม่ที่จะมาพูดคุยสื่อสารเเละช่วยเหลือลูกค้าด้วย” 

NPL ยังคุมได้ เข้มอนุมัติบัตรใหม่ 

จากกรณีภาครัฐ กำลังจะมีนโยบายปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยอีกครั้งนั้น KTC คาดว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะดอกเบี้ยบัตรฯ ได้ถูกปรับลดลงมาที่ระดับ 16% แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนทางธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)

ด้านคุณภาพสินเชื่อ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นั้น ผู้บริหาร KTC มองว่า ณ ขณะนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้แม้ว่าแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ โดยในไตรมาส 1 NPL อยู่ที่ 1.4% และขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.5% ในเดือนพ.. ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรม ที่เดือนเม.. NPL อยู่ที่ 2.3%

การที่ NPL ของเราอยู่ในระดับต่ำได้ ส่วนหนึ่งมาจากการคัดกรองลูกค้าใหม่ที่เข้มงวดและอนุมัติยากขึ้น โดยจะดูที่ความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก

 

 

]]>
1340915