หัวหน้า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 15 Mar 2023 13:49:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หนีไป! 3 สัญญาณร้ายแจ้งเตือนว่าคุณกำลังเจอ “เจ้านาย” ที่เป็นพิษต่อชีวิต https://positioningmag.com/1423410 Wed, 15 Mar 2023 10:57:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423410 ช่วงเริ่มทำงานใหม่ไม่กี่เดือนแรกอาจจะเป็นช่วงที่พนักงานยังอ่านสัญญาณไม่ออกว่า สิ่งที่ตนกำลังเผชิญอยู่นั้นถือเป็นสัญญาณร้ายจาก “เจ้านาย” ที่จะทำให้ชีวิตเป็นพิษในระยะยาวหรือไม่ บทความนี้ขอยกตัวอย่าง 3 สัญญาณร้ายสำคัญที่จะสั่งสมจนคนทำงานทนไม่ไหว เพื่อให้พนักงานประเมินสถานการณ์และตัดสินใจก่อนจะสาย

คริสติน่า นอซโซ่ ประธานบริษัท Jab Media เอเยนซีด้านการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ โดยมีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก แนะนำ 3 สัญญาณร้ายที่แจ้งเตือนได้ว่าคุณกำลังเจอกับ “เจ้านาย” แย่ๆ และแม้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อสั่งสมไปนานๆ จะทำให้พนักงานเกิดความไม่พึงใจ หงุดหงิด และ ‘burnout’ หมดไฟที่จะทำงานได้

 

1.เจ้านายที่ไม่เคารพเวลา

เวลา เป็นสิ่งที่มีค่ามาก ในการทำงานระหว่างวันปกติพนักงานอาจจะมีช่วงเวลาสั้นๆ พักเบรกระหว่างการประชุมหนึ่งไปสู่อีกการประชุมหนึ่ง หรือมีการจัดตารางเวลาทำงานไว้แล้ว แบ่งระหว่างเวลาประชุมและการลงมือทำงานให้เหมาะสม เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพและได้ผลสำเร็จออกมาตามที่ตั้งใจ

ดังนั้น หากคุณต้องเจอเจ้านายที่ไม่เคารพเวลาตามตารางที่ตกลงกัน นั่นคือสัญญาณเตือนถึงอันตราย

คริสติน่ายกตัวอย่างว่าครั้งหนึ่งเธอเคยทำงานกับผู้จัดการที่มาประชุมสายอย่างน้อย 15 นาทีทุกครั้ง บางครั้งก็ไม่มาประชุมเฉยๆ และหลายครั้งผู้จัดการคนนี้ยืดเวลาประชุมออกไปเป็นชั่วโมงๆ ซึ่งทำให้กระทบตารางเวลาการทำงานทั้งหมดของเธอจนส่งชิ้นงานให้ลูกค้าไม่ทันเวลา

ไม่ใช่แค่การมาประชุมสายเท่านั้น ผู้จัดการยังไม่เคารพเวลาหยุดพักร้อน สั่งงานที่ไม่มีความจำเป็น และเลื่อนเดดไลน์ตามใจชอบ วันดีคืนดีก็มีงาน “ด่วน” เข้ามากะทันหัน

ในระยะยาวแล้วอย่างไรเรื่องพวกนี้ก็จะทับถมจนเกิดความไม่พึงใจในการทำงาน ทำให้การไม่เคารพเวลาคือสัญญาณเตือนว่า คุณควรจะหาที่ทำงานที่ดีกว่านี้

 

2.เจ้านายที่ดูถูกเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะในอดีตหรือที่ยังอยู่

เหมือนกับทุกความสัมพันธ์ในชีวิต การสื่อสารคือพื้นฐานการสร้างความเชื่อใจ ในสิ่งแวดล้อมการทำงานก็เช่นกัน เมื่อมีการสื่อสารที่ดีในทีม จะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีการร่วมแรงร่วมใจ และสร้างงานที่ดีออกมา

ในทางกลับกัน ถ้าการสื่อสารที่ไม่ดีก็สามารถทำลายความเชื่อใจในทีมได้

คริสติน่ายกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัว หลังไปเริ่มงานที่ใหม่ได้ไม่กี่วัน ผู้จัดการของที่นั่นบ่นถึงอดีตพนักงานในทีมในทางร้าย ทีแรกเธอไม่ได้สนใจ แต่ต่อมาผู้จัดการก็เริ่มตำหนิตัวเธอและเพื่อนร่วมงานของเธอยาวเหยียดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าทุกคนจะทำงานอย่างแข็งขันและงานก็สำเร็จลุล่วง พฤติกรรมของผู้จัดการทำให้พนักงานในทีมโอนย้ายไปทีมอื่นหรือขอลาออกเป็นจำนวนมาก

ในโลกการทำงานปัจจุบัน การทำงานร่วมกันโดยที่หัวหน้างานไม่เคารพหรือไม่เชื่อใจทีม บรรยากาศการสร้างการเติบโตขององค์กรก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อสั่งสมไปเรื่อยๆ หัวหน้าแบบนี้จะบ่อนทำลายความทะเยอทะยานของคุณเอง

 

3.เจ้านายที่ไม่ใส่ใจกับความสำเร็จส่วนตัวของคุณ

เจ้านายที่ไม่ยินดียินร้ายกับความสำเร็จส่วนตัวของพนักงาน คือสัญญาณร้ายที่ต้องระวัง

คริสติน่ายกตัวอย่างประสบการณ์ว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งขันชกมวยสมัครเล่น นอกเวลางานเธอจะไปซ้อมที่ยิมตั้งแต่ตี 5 และต้องมีเวลาซ้อมอย่างน้อย 6 ครั้งต่อสัปดาห์ เธอตั้งใจฝึกถึง 10 เดือนก่อนลงแข่ง ซึ่งตลอดการตามล่าความสำเร็จส่วนตัวนอกเหนือจากเรื่องงานนี้ หัวหน้าของเธอไม่ได้สนใจเลย

การได้รับความสนใจ ‘จริงๆ’ ในที่ทำงานนั้นเป็นเรื่องสำคัญกับความรู้สึกของพนักงานหลายคน การทักทายไปแกนๆ ว่า ‘วันหยุดเป็นไงบ้าง’ ไม่เพียงพอต่อการซื้อใจพนักงาน หัวหน้าที่ดีคือหัวหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนคนในทีมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวในชีวิต เพราะการใส่ใจคนในทีมคือการสร้างความผูกพัน กระตุ้นให้พนักงาน ‘อยาก’ ทำงานให้เจ้านาย

หากช่วงแรกที่เข้าทำงานคุณพบว่าหัวหน้าไม่ค่อยสนใจชีวิตส่วนตัวของทีม อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าถ้าคุณมีห้วงเวลาสำคัญของชีวิต เช่น มีลูก หัวหน้าคุณก็จะไม่ใส่ใจ ไม่มีการผ่อนผันยืดหยุ่นเพื่อให้คุณผ่านช่วงสำคัญเหล่านี้ไปได้

ใน 3 ข้อนี้หากมีข้อไหนโผล่มา นั่นคือสัญญาณร้ายว่าอาจถึงเวลาที่คุณต้องไปหาโอกาสใหม่ๆ และถ้าหากคุณยังต้องติดอยู่ที่เดิมระหว่างหางาน คริสติน่าแนะนำให้หาทางระบายความเครียดและกดดัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือออกกำลังกาย หรือสิ่งแวดล้อมใดๆ ที่ช่วยผ่อนคลายได้ อย่าลืมว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องชั่วคราว เวลาจะช่วยให้คุณหาเส้นทางอาชีพที่ดีกับสุขภาพจิตมากกว่านี้ได้แน่นอน

Source

]]>
1423410
50% ของพนักงาน ลาออกเพราะ “หัวหน้าแย่” พบกับ 10 นิสัยหัวหน้างานที่ลูกน้องเกลียดที่สุด https://positioningmag.com/1414323 Tue, 03 Jan 2023 05:57:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414323 คำกล่าวยอดฮิตที่คนมักจะพูดกันคือ “พนักงานลาออกจากหัวหน้า ไม่ใช่ลาออกจากบริษัท” เพราะหลายคนที่ลาออกมักจะเกิดจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ของตนกับหัวหน้า แม้ว่าเรื่องอื่นๆ เช่น เนื้องาน เพื่อนร่วมงาน จะดีก็ตาม แต่หัวหน้าแย่ๆ กลับทำให้พนักงานอยากให้เวลาเลิกงานมาถึงเร็วๆ

งานวิจัยของ Gallup จัดสำรวจวัยทำงานในสหรัฐฯ 7,000 คน และพบว่า 50% ของพนักงานที่เคยลาออก ออกเพราะต้องการจะหนีจากหัวหน้า

ในงานวิจัยเดียวกันนี้ยังพบด้วยว่า พนักงานส่วนใหญ่มองว่าหัวหน้าที่เคยเจอมามักจะมีปัญหาเรื่องการพัฒนาความสามารถของลูกน้อง ไม่สามารถให้ feedback การทำงานได้อย่างสม่ำเสมอ และไม่สามารถตั้งเป้าหมายการทำงานให้ลูกน้องได้ชัดเจนพอ

นอกจากการพัฒนาทักษะให้ลูกน้องแล้ว พนักงานมักจะพบเจอหัวหน้าประเภท ‘toxic’ ด้วย และที่จริงหัวหน้าที่มีนิสัยเป็นพิษต่อสภาพแวดล้อมการทำงาน มักจะเป็นตัวแปรที่ส่งให้ลูกน้องวิ่งไปเปิดเว็บไซต์หางานใหม่กันทันที

แล้วหัวหน้าที่มีพฤติกรรมแบบไหนที่ทำให้ลูกน้องหางานใหม่ทันที? จากการสำรวจของ Signs.com พบว่า 10 พฤติกรรมของหัวหน้าที่ลูกน้องเกลียดที่สุด มีดังนี้

  • ลำเอียง/มี ‘ลูกรัก’ ในที่ทำงาน
  • ลักลอบนำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว
  • นำผลงานคนอื่นไปใช้เอาหน้า
  • หาเรื่องเพื่อจะไล่ลูกน้องออก
  • ประจานผลงานที่ไม่ดีให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นทราบ
  • ใช้ตำแหน่งเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงชู้สาว
  • ใช้ยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ในที่ทำงาน
  • จัดการบริหารเวลาได้แย่
  • สุขอนามัยไม่ดี
  • เฉื่อยชา

ทั้งนี้ เพศชายกับเพศหญิงมองพฤติกรรม “หัวหน้าแย่” ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว การจัดลำดับหัวหน้าที่แย่ที่สุดมีความแตกต่างระหว่างเพศ เช่น หัวหน้าที่แย่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในมุมมองของเพศชาย คือ “หาเรื่องเพื่อจะไล่ลูกน้องออก” ในขณะที่อันดับ 2 ในมุมมองเพศหญิงกลับเป็นเรื่อง “ลักลอบนำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว”

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “ลำเอียง/มี ‘ลูกรัก’ ในที่ทำงาน” เป็นรูปแบบหัวหน้าที่ลูกน้องเกลียดที่สุดในทั้งสองเพศ นี่คือหัวหน้าที่ ‘toxic’ มากที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการมีลูกรักทำให้พนักงานคนอื่นรู้ตัวว่า ไม่ว่าจะทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้เป็นคนแรกที่ได้เลื่อนขั้น และทำให้บรรยากาศโดยรวมกลายเป็นที่ทำงานของการ ‘เอาใจนาย’ มากกว่าได้ทำงานกันจริงๆ

Source

 

อ่านเรื่องอื่นๆ ต่อ

]]>
1414323
เปิดเหตุผลทำไมทีมทำงานดีขึ้น? เมื่อหัวหน้าออกกำลังกายมีวินัยทุกวัน! https://positioningmag.com/1331190 Sun, 09 May 2021 14:47:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331190 หัวหน้าที่ดีต้องออกกำลังกาย! ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ในองค์กรฟันธง การจัดการความเครียดของหัวหน้า คือหนทางพาลูกทีมทำงานเต็มประสิทธิภาพ แนะผู้นำทุกคนควรสละเวลา 5 นาทีรีเซตอารมณ์ทุกวัน ก่อนที่ความเหนื่อยใจจะทำร้ายการตัดสินใจในระยะยาว

แม้เทคนิคเช่นการนับถึง 10 และการหายใจเข้าลึก จะมีประโยชน์ แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่พบว่ายากที่จะทำได้ผลเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้นและซับซ้อนกว่าปกติ สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำคือการหาทางทำให้มีช่วงเวลาที่จิตใจไม่สร้างความเครียดขึ้นมา ผ่านกิจกรรมที่ชอบในทุกวัน การันตีเทคนิคนี้จะสร้างความแตกต่าง ยกระดับวิธีปฏิสัมพันธ์กับตัวเอง คนรอบข้าง และลูกทีมแบบจับต้องได้

อย่าละเลย

Paul Donovan ผู้ก่อตั้งบริษัท The Change Company ในออสเตรเลียตั้งแต่ปี 1999 นั้นมีความเชี่ยวชาญในการแนะนำให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรสามารถเจรจาและตัดสินใจที่เอื้อให้ทีมทำงานอย่างมีคุณภาพ ล่าสุด Paul ออกมาแนะนำให้ผู้นำองค์กรจัดการความเครียดของตัวเอง หากต้องการให้ลูกน้องทุกคนมีประสิทธิผลในการทำงาน โดยอธิบายว่า แม้การจัดการกับความรับผิดชอบจำนวนมากจะเป็นส่วนหนึ่งของงานผู้นำก็จริง แต่การละเลยสุขภาพของตัวเอง ก็อาจจะทำร้ายประสิทธิภาพในการตัดสินใจได้แบบรุนแรง

Donovan บอกว่าในฐานะผู้นำ การจัดการความเครียดอาจเป็นเรื่องท้าทาย เพราะหัวหน้างานมักจะจมอยู่กับงานการทำงานหลายอย่างพร้อมกันตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว ดังนั้น การเรียนรู้วิธีจัดการความเครียด จึงเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งที่ผู้นำทุกคนสามารถทำได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับสุขภาพจิตใจโดยรวม แต่ยังช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างความมั่นใจให้ตัวหัวหน้า ว่าจะสามารถทำงานบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเพื่อนร่วมทีม

Donovan ย้ำว่าผู้นำองค์กรหลายคนประสบกับความเครียดในระดับสูงค่อนข้างบ่อย ซึ่งในความเป็นจริง การศึกษาพบว่าสังคมโลกประสบกับความเครียดมากขึ้นเรื่อย เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้มักเรียกกันว่าการแพร่ระบาดของความเครียดเป็นปัญหาใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทีมต้องทำโปรเจกต์ใหญ่ที่ทีมต้องทุ่มเทพลังงานเต็มที่

เมื่อความรู้สึกเครียดครอบงำ ระดับคอร์ติซอลในร่างกายของคนนั้นจะเพิ่มขึ้น สิ่งนี้ทำให้เกิดมุมมองว่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นภัยคุกคาม สมองของคนผู้นั้นจึงเพิ่มความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ภาวะนี้เองที่จะทำให้คนผู้นั้นไม่ได้ใช้พลังของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่มักจะเริ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรง รู้สึกอ่อนแอ และเริ่มสูญเสียวิจารณญาณ

ในขณะที่ความเครียดตัวร้ายเริ่มออกฤทธิ์ หลายคนจะมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อสิ่งที่เรียกว่าความขัดแย้งทางอำนาจ (power paradox) ความขัดแย้งทางอำนาจนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคนผู้นั้นถูกบีบให้ใช้ตำแหน่งหรือยศของตัวเองเพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว หลายคนอาจเคยประสบกับภาวะนี้ด้วยตัวเองหรือเคยเห็นเหตุการณ์นี้กับบุคคลอื่น เช่น หัวหน้างานที่เครียดและกังวลว่าเรื่องนั้นก็ไม่ดี เรื่องนี้ก็ไม่ใช่และทันใดนั้น หัวหน้ารายนี้ก็กลายร่างเป็นคนที่ฝักใฝ่งานสมบูรณ์แบบและมีแรงผลักดันพลังงานล้นปรี่ แล้วจึงเริ่มออกคำสั่งคนรอบข้างเพื่อลดความเครียด กลายเป็นการใช้อำนาจที่ไม่เข้าท่าไป

Donovan บอกว่าที่สุดแล้ว ทุกคนอาจรู้สึกเครียดได้ที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่ถ้าใครมียศมีตำแหน่ง ก็จะถูกกระตุ้นให้ใช้ตำแหน่งของตัวเองเป็นเครื่องมือในการจัดการกับความรู้สึกว่าไร้อำนาจ ความเครียดยังมีแนวโน้มที่จะทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกไร้พลัง และเมื่อรู้สึกเช่นนี้ หลายคนอาจจะไม่ใช้พลังของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางอำนาจซึ่งผู้นำหรือหัวหน้าทีมต้องระวังให้ดี

จัดการกับความเครียดสไตล์ผู้นำ

Donovan ยกตัวอย่างว่าเมื่อใดที่ใครก็ตามรู้สึกเครียดมาก เมื่อนั้นมักเป็นสัญญาณว่าคนผู้นั้นผลักดันตัวเองมากเกินไป และไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเร็วพอที่จะจัดการกับอารมณ์ได้ แต่ทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าจะสายเกินไปที่จะทำอะไรบางอย่างกับอารมณ์ที่คุกรุ่น เพียงแต่ทุกคนจะต้องไม่รอให้ถึงเวลาที่เครียดจัดก่อนที่จะลงมือแก้ไข

ตรงนี้ Donovan ยอมรับว่าแม้เทคนิคเช่นการนับถึง 10 และการหายใจเข้าลึก จะมีประโยชน์ แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่พบว่ายากที่จะทำได้เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้นมากๆ ดังนั้นสิ่งที่แนะนำให้ทำคือออกกำลังกายให้มีวินัยมากขึ้น และควบคุมให้เข้มข้นขึ้นเมื่อไม่ได้รู้สึกเครียด 

Donovan เชื่อว่าทุกคนโดยเฉพาะหัวหน้างาน ควรต้องหาเวลาทุกวันที่จะปลีกตัวออกจากงาน แล้วนั่งลง คิด อ่าน ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และผ่อนคลาย หากทำเช่นนี้ทุกวัน ความเครียดจะไม่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งทำให้คลายความรู้สึกหนักใจไม่ให้เกิดขึ้นต่อเนื่องจนสะสม

สิ่งนี้เป็นเหมือนการรีเซต Donovan เปรียบเทียบว่าเหมือนการตั้งค่ากลับเป็นศูนย์ทุกวันในเวลาครู่หนึ่ง เทคนิคนี้ถือว่าสำคัญ ผู้บริหารบางคนใช้วิธีนั่งสมาธิ หรือออกกำลังกายแบบใช้สมาธิง่ายๆ เช่น เก็บของใส่ตู้ อ่านหนังสือ หรือยืดเส้นยืดสาย แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียง 5 นาที แต่หลายคนพบว่าสิ่งนี้จะเริ่มสร้างความแตกต่าง ช่วยให้ไม่ได้รู้สึกเครียดเพิ่มขึ้นบ่อยครั้งเหมือนเคย

การจัดการความเครียด จึงถือเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเราอยู่ในสถานะที่มีอำนาจ การสละเวลาปล่อยวางออกจากงานอย่างมีสติ และใช้เวลาในแต่ละวันให้ช้าลง จะสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมาก ต่อวิธีปฏิสัมพันธ์กับตัวเองและคนรอบข้างแบบเห็นได้ชัด Donovan ทิ้งท้าย ซึ่งสะท้อนได้ชัดถึงเหตุผลว่าทำไม? ทีมจึงทำงานดีขึ้นเมื่อหัวหน้าจัดการความเครียดของตัวเองได้สำเร็จ.

ที่มา

]]>
1331190