“ลลนา บุญงามศรี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์บริษัทปี 2565 กลับมาฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่เดือนมีนาคม และทำให้ยอดขายปีนี้เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 30%
นอกจากกำลังซื้อที่กลับมา Chester’s สามารถทำยอดขายเพิ่มจากการปรับตัวของบริษัทให้เข้ากับตลาด เน้นการขายผ่านเดลิเวอรีมากขึ้น และมีการออกเมนูใหม่ทุกๆ 2 เดือน พร้อมกับสินค้าพิเศษที่นำกลับไปทำทานเองที่บ้านได้ เช่น ซอสน้ำปลา ซอสเทอริยากิ
สำหรับการขยายสาขาปีนี้ จะเปิดเพิ่ม 12 สาขา จากเดิมมีอยู่กว่า 200 สาขา ส่วนใหญ่เป็นร้านขนาดกลางประมาณ 100 ตารางเมตร จำนวน 30-40 ที่นั่ง ซึ่งเข้ากับลักษณะการบริโภคปัจจุบัน ยอดขายมาจากนั่งทานในร้าน 50% และเดลิเวอรี 50% ต่างจากในอดีตก่อนเกิดโรคระบาด ลูกค้าทานในร้าน 80-90% และสั่งเดลิเวอรีเพียง 10-20%
จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่สั่งเดลิเวอรีมากขึ้น ทำให้บริษัทจะทดลองโมเดลร้านแบบใหม่แบบ Grab & Go ไม่มีที่นั่ง ใช้พื้นที่ร้านเพียง 10-20 ตารางเมตร เน้นการซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรี
โมเดลนี้จะต่างจาก kiosk หน้าร้าน Chester’s ที่เคยเห็นกัน เพราะแต่เดิม kiosk เล็กๆ มีขายเพียง 4 เมนู เช่น ฮอทดอก แต่ Grab & Go จะจำหน่ายกว่า 20 เมนู ใกล้เคียงกับหน้าร้านใหญ่ที่มีกว่า 30 เมนู
โมเดลใหม่ Grab & Go จะทดลองสาขาแรกที่ แฟชั่นไอส์แลนด์ เปิดตัว 16 ตุลาคมนี้ และถ้าหากทำยอดขายได้ดี ลลนากล่าวว่า ปี 2566 อาจได้เห็นการขยายสาขาแบบนี้อีกไม่ต่ำกว่า 10 สาขา เน้นพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น สถานี BTS/MRT , ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้าที่ยังไม่มีสาขาใหญ่ของ Chester’s
ด้านกลยุทธ์ปี 2566 ลลนาฉายภาพว่าบริษัทจะกลับมา “บุกหนัก” ในตลาด จากปกติบริษัทจะขยายสาขาปีละ 10-12 สาขา แต่ปีหน้าเตรียมตัวเปิด 20 สาขา (ไม่รวมสาขา Grab & Go) เพราะต้องการผลักดันให้รายได้ยังโต “ดับเบิล ดิจิต” ต่อเนื่อง
ส่วนอาหารในร้านจะยังคงเน้นการออกเมนูใหม่ถี่ทุก 2 เดือน แต่จะปรับมาเพิ่มเมนู “พรีเมียม” มากขึ้น เช่น ปลาซาบะ
ขณะที่เป้าหมายระยะยาว Chester’s จะยังคงเน้นการดึงลูกค้า “คนรุ่นใหม่” วัยไม่เกิน 35 ปีเข้าร้าน ต้องการเร่งสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดวัยรุ่นต่อไป ผ่านกลยุทธ์การออกสินค้าที่คนรุ่นใหม่นิยม เช่น ที่ผ่านมามีการออกเมนูไก่สไตล์เกาหลี และการสร้างกระแสในโซเชียลมีเดียที่คนรุ่นใหม่ใช้ เช่น TikTok
แต่จุดขายหลักที่ Chester’s ยังไม่เปลี่ยน ลลนาระบุว่า ร้านจะยังคงเป็นร้าน “ไก่ย่าง+ข้าว” ที่อิ่มท้องกว่า และดีต่อสุขภาพกว่าฟาสต์ฟู้ดประเภททอด
]]>บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดตัว ‘Chick Cargo’ (ชิคคาร์โก้) ร้านอาหารใหม่สไตล์เกาหลี 3 สาขา ได้แก่ โลตัส สุขาภิบาล 3, บิ๊กซี สุขสวัสดิ์ และ ไบเทค บางนา
ต่อยอดเทรนด์ และอิทธิพลของอาหารเกาหลีจากซีรีส์ต่างๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย จึงคิดค้นเมนูไก่ทอดที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ในปีนี้เชสเตอร์ตั้งเป้าขยายร้าน Chick Cargo มากขึ้นทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ร้าน Chick Cargo ทั้ง 3 สาขา เป็นรูปแบบ Stand Alone เหมาะกับการนั่งรับประทานคนเดียว ครอบครัว หรือรวมพลเพื่อนๆ โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. สาขาโลตัส สุขาภิบาล 3 และสาขาบิ๊กซี สุขสวัสดิ์ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ส่วนสาขาไบเทค บางนา ตั้งอยู่ชั้น G โซน SAMA Foodtory
โดยมีเมนูหลากหลายให้เลือกรับประทาน ทั้งเมนูข้าว ซุป และรามยอนสไตล์เกาหลี รวมถึงสแน็กของทานเล่นที่อร่อยลงตัว สำหรับเมนูไฮไลต์ คือ ไก่ทอด ที่มีซอสให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ ออริจินัล รสซีอิ้วเกาหลี, รสโคเรียนฮันนี่ และรสโคเรียนสไปซี่
และยังมีเมนูอินเทรนด์ สโนว์ออเนี่ยน ไก่ทอดพร้อมซอสสโนว์ออเนี่ยน หอมหวานมัน เสิร์ฟคู่กับหัวหอมสไลด์บางและมะนาว เมนูรามยอน เมนูเส้นสไตล์เกาหลีก็มีให้เลือก ทั้งรามยอนน้ำและแบบแห้ง พร้อมออกแบบเมนูข้าวเอาใจคนไทย โดยมี 3 สไตล์ อาทิ ข้าวผัดกิมจิ ข้าวหน้าหมูบูลโกกิ และข้าวหน้าหมูผัดกิมจิ
]]>ตลาดสตรีทฟู้ดร้อนแรงขนาดนี้ มีหรือที่ “เชสเตอร์” จะพลาดขบวนในการจับตลาดนี้ด้วย แบรนด์ “ตะหลิว” นี้ จะเป็นเหมือนแบรนด์ลูกในเครือของเชสเตอร์ ต่อยอดจากจุดเด่นของแบรนด์คือข้าว และพริกน้ำปลา
ตะหลิวได้วางจุดยืนเหมือนกับแบรนด์อื่นๆ เน้นที่เมนูอาหารตามสั่ง เมนูอาหารไทยยอดนิยมอย่างข้าวผัดกะเพรา ผัดมาม่า ต้มยำ และเมนูเส้น มีราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท
เชสเตอร์ได้นำร่องเปิดร้านตะหลิวแบบเงียบๆ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เลือกโลเคชั่นเป็นฟู้ดคอร์ทระดับพรีเมียม ได้แก่ อาคาร CP Tower 2 และโรงพยาบาลศิริราช และล่าสุดได้เปิดสาขาใหม่ที่อิมพีเรียล สำโรง เป็นโมเดลแบบร้านมีที่นั่ง
ถ้าถามถึงที่มาที่ไป “รุ่งทิพย์ พรหมชาติ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด เล่าให้ฟังว่า
“จุดเด่นของเชสเตอร์คือ เรื่องข้าว และพริกน้ำปลา เลยมองว่าจะมาต่อยอดอย่างไรได้บ้าง อีกทั้งตลาดสตรีทฟู้ดเป็นฐานใหญ่มากของตลาดร้านอาหารในไทย คิดเป็นสัดส่วน 50% เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นร้านเล็กๆ หรือโลคอลข้างทาง แต่ก็มีลูกค้าเยอะตลอด เราเลยมาปรับรูปแบบให้ร้านแบบนี้ขึ้นห้าง ปรับเมนูให้โดดเด่น เอามาผสมกับจุดเด่นของเรา”
รุ่งทิพย์เสริมอีกว่า แผนการขยายสาขาของตะหลิวในปีนี้ยังอยู่ช่วงทดลองตลาด ดูว่าโลเคชั่นไหนเหมาะ และการตอบรับของผู้บริโภค แรกเริ่มจะเป็นบริษัทลงทุนเองก่อน มองว่าจะมี 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่ ร้านเล็กๆ ในฟู้ดคอร์ท, ร้านแบบมีที่นั่ง และ Cloud Kitchen ที่เน้นเดลิเวอรี่ โดยจะใช้ครัวของเชสเตอร์เป็นหลัก
ซึ่งถ้าผลตอบรับดี จะเริ่มขยายแฟรนไชส์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ในปีหน้า จะเป็นอีกหนึ่งโมเดลในการหารายได้เพิ่ม และยังช่วยขยายสาขาได้เร็วขึ้นด้วย
เทรนด์ของสตรีทฟู้ดเริ่มเห็นมาได้ 1-2 ปีแล้ว แรกเริ่มกลุ่ม ZEN ได้นำร่องเปิดตลาดด้วยแบรนด์ “เขียง” เป็นสไตล์อาหารตามสั่งยอดนิยม ปัจจุบันได้กลายเป็นแบรนด์ดาวรุ่งของกลุ่ม มีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่สร้างรายได้จากช่องทางเดลิเวอรี่ได้มากอีกด้วย
ในส่วนของกลุ่ม CRG ก็ร่วมวงด้วยการเปิดตัวแบรนด์ “อร่อยดี” เช่นกัน ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 สาขา และยังเตีรยมขยายแฟรนไชส์ในเร็วๆ นี้ด้วย
เชสเตอร์เป็นแบรนด์ล่าสุดที่ไม่พลาดขบวน แม้จะมาช้า แต่ก็ยังไม่หลุดขบวนเท่าไหร่ เพราะผู้บริโภคยังตอบรับกับเซ็กเมนต์นี้ เนื่องจากเป็นอาหารจานด่วน และเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกวัน เมื่อเทียบกับเชนร้านอาหารแล้ว จะมีราคาย่อมเยากว่าด้วย
ต้องจับตาต่อไปว่า จะมีเชนร้านอาหารแบรนด์ไหน ลงมาจับตลาด แต่เชื่อว่าตลาดต้องร้อนแรงอย่างแน่นอน
]]>ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “รุ่งทิพย์ พรหมชาติ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด จะมาเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังสรุปได้ 5 ข้อ ดังนี้
แรกเริ่มต้องเกริ่นถึงที่มาที่ไปของร้านเชสเตอร์ เป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในเครือของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ได้เริ่มเปิดสาขาแรกในปี 2531 ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง ตอนแรกใช้ชื่อแบรนด์ว่า “เชสเตอร์ กริลล์ ชิคเก้น” เน้นเมนูไก่ย่าง
ต่อมาในปี 2534 ได้รีแบรนด์ให้เหลือเพียงแค่ “เชสเตอร์ กริลล์” เพื่อเปิดกว้างสำหรับรายการอาหารที่หลากหลายยิ่งขึ้น และในปี 2556 ได้ปรับชื่อร้านให้สั้นลงอีก เหลือเพียง “เชสเตอร์” ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน
รุ่งทิพย์บอกว่า จากที่ในตอนแรกเน้นขายเมนูไก่ย่าง ก็เริ่มปรับให้เข้ากับคนไทยมากขึ้นด้วยการพัฒนา “เมนูข้าว” เมนูแรกที่จำหน่ายคือ “ข้าวอบไก่ย่าง” ตอนนี้ก็เป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ขายดีที่สุด เมนูนี้จะมีซอสหวานๆ เหมือนซอสสไตล์ญี่ปุ่น พอทานไปเรื่อยๆ หลายคนจะรู้สึกเลี่ยน
ทางผู้ใหญ่ของบริษัทเลยแนะนำว่าน่าจะมี “ซอสพริกน้ำปลา” เพื่อมาตัดเลี่ยน จึงได้พัฒนาพริกน้ำปลาในสูตรของเชสเตอร์ อยู่คู่กับร้านมาแล้ว
ในตอนแรกพริกน้ำปลาอาจจะเป็นแค่ตัวประกอบที่เอามาตัดกับเมนูข้าว ตอนนี้ถ้าพูดในภาษากีฬา หรือเกมอาจจะต้องบอกว่าเป็น MVP ก็ได้ หรือ Most Valuable Player เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า หรือเป็นตัวละครโดดเด่นประจำร้านเชสเตอร์ไปแล้ว เพราะหลายคนนึกถึงเชสเตอร์ จะนึกถึงพริกน้ำปลาเป็นอันดับต้นๆ
เคล็ดลับของพริกน้ำปลาเชสเตอร์จะทำสดใหม่วันต่อวัน แต่ละสาขาจะต้องลงมือทำเอง ไม่มีการทำจากครัวกลางแล้วส่งตามสาขาเด็ดขาด และจะไม่ทำค้างคืน
ส่วนผสมทั้งหมดจะต้องหั่น และผสมในวันนั้นๆ ผสมสดๆ เพราะถ้าค้างคืนรสชาติจะเปลี่ยนทันที น้ำปลาจะเค็มขึ้น เมื่อน้ำปลาผสมกับมะนาว พอข้ามวันจะมีรสชาติขม กระเทียมจะช้ำ และพริกจะดำ
รุ่งทิพย์บอกว่า บางสาขาที่ขายดีอย่างเช่น สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ต้องใช้พริกวันละ 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว
เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งนอกจากต้องทำวันต่อวันแล้ว ส่วนผสมทุกอย่างต้องหั่นด้วย “มือ” ทั้งหมด ไม่ว่าจะพริก กระเทียม ต้องมีขนาดเท่าๆ กัน เคยใช้เครื่องหั่นทำให้พริกแตก และทำให้สูตรเพี้ยน เผ็ดไปบ้าง ลูกค้าจะไม่ชอบ
แต่ละสาขาจะมี “มือหั่น” ที่ชำนาญในการหั่นพริก กระเทียมอย่างดี ต้องมีการฝึกฝน
รุ่งทิพย์ เล่าว่า ถ้าวันไหนร้านหั่นพริกไม่ได้ขนาด จะมีลูกค้าประจำที่มาทานบ่อยๆ จะรู้ทันที จะเข้ามาแซว มาคอมเมนต์ว่าร้านนี้หั่นพริกใหญ่จัง ทำให้ต้องรักษามาตรฐานตลอด
กระแสความนิยมของพริกน้ำปลาเชสเตอร์เป็นที่พูดถึงมากบนโลกออนไลน์ มีหลายคนถึงกับแกะสูตรในการทำพริกน้ำปลาเชสเตอร์ทานเองให้ได้
เมื่อถามถึงโอกาสในการจำหน่ายพริกน้ำปลาแยกเป็นขวดๆ รุ่งทิพย์บอกว่า เรื่องนี้มีคนถามเข้ามาเยอะ แต่ทำค่อนข้างยาก เพราะอย่างที่บอกว่าต้องทำสดใหม่แบบวันต่อวัน ทำค้างคืนไม่ได้ รสชาติจะเปลี่ยนทันที
ที่สำคัญอยากดึงให้ลูกค้ามาทานที่ร้านมากกว่าด้วย ให้เป็นไอเท็มที่หาทานที่อื่นไม่ได้
แม้เชสเตอร์จะเริ่มต้นมาจากเมนูไก่ย่าง แต่ในปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของเมนูข้าวมีมากถึง 40% ที่เหลือเป็นอาหารทานเล่น 20% ไก่ย่าง 15% และอื่นๆ 25%
ซึ่งอย่างไรแล้วคนไทยก็ยังชื่นชอบเมนูข้าว ไม่ว่าร้าน QSR จะมาจากต่างประทเศ ก็ยังต้องมีเมนูโลคอลที่เป็นเมนูข้าวมาเสริม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนไทย
รุ่งทิพย์บอกว่าแม้ในตอนนี้จะมีเมนูใหม่ๆ ที่เป็นเมนูแซ่บๆ ลูกค้าก็ชอบทานคู่กับพริกน้ำปลาอยู่ดี กลายเป็นไอเท็มที่ทานได้กับทุกเมนูไปแล้ว
ปัจจุบันเชสเตอร์มีสาขารวมทั้งหมด 200 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 50% และแฟรนไชส์ 50% ในปีนี้มีแผนขยาย 20 สาขา ยังคงเป็นไปตามแผนเดิม
]]>