เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 29 Jul 2023 00:46:02 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คุยกับ “เต๋อ-นวพล” เรื่องการสลับวงจรกำกับ “โฆษณา vs ภาพยนตร์” และซีรีส์เรื่องแรกของเขา https://positioningmag.com/1439216 Fri, 28 Jul 2023 11:47:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439216 หลังจบภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่ 8 ในชีวิตของ “เต๋อนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์” เขากลับเข้าสู่วงจรของการทำงานกำกับ “โฆษณา” อีกครั้ง พร้อมกับการซุ่มเขียนบทภาพยนตร์เรื่องที่ 9 และบทซีรีส์เรื่องแรกในชีวิตที่แอบแย้มประตูบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ ไกลตัวเองมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ “พี่เต๋อ” หายหน้าจากวงการโฆษณาไปเกือบ 2 ปี เพราะต้องทุ่มเทให้กับงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง Fast & Feel Love เร็วโหด…เหมือนโกรธเธอ” ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่ 8 ของเต๋อ-นวพลที่เข้าฉายเมื่อปี 2565

ล่าสุดเรามีโอกาสพูดคุยกับเขาในงานเปิดตัวหนังโฆษณาชุด “เดอะแบก” ของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ซึ่งมีพี่เต๋อเป็นผู้กำกับ และเป็นงานโฆษณาลำดับที่ 3 ของเขาในปี 2566 ปีที่เขากลับมารับงานโฆษณาอีกครั้ง (และล่ารางวัลมาได้ทันทีกับโฆษณาชุด Whiplove ที่ทำให้ห้างฯ โรบินสัน โดยเป็นงานโฆษณาไทยงานแรกที่ได้รางวัล Best of Show จากเวที New York Festival)

 

Q: ก่อนหน้านี้พี่เต๋อหายจากวงการโฆษณาไป ปกติจัดระบบอย่างไรระหว่างการทำหนังกับทำโฆษณา?

A: ใช่ครับ มีเบรกโฆษณาไปเกือบ 2 ปีเพราะไปทำหนัง Fast & Feel Love ช่วงนี้กลับมาก็เพราะกำลังพัฒนาบทหนังเรื่องใหม่อยู่ แต่สำหรับผมโฆษณากับหนังมันไม่ใช่งานหนึ่งงานสองนะ ผมทำได้ทั้งคู่ เพียงแต่แล้วแต่จังหวะชีวิตมากกว่า

ปกติเวลากลับมาทำโฆษณาเฉลี่ยผมจะรับงาน 5-6 ชิ้นต่อปี ซึ่งน้อยมากถ้าเทียบกับคนกำกับโฆษณาเป็นอาชีพ เขาจะรับกันเดือนละ 1-2 ชิ้น แต่เพราะเราอยากจะทำทั้งสองอย่างเลยเลือกทางนี้

 

Q: โฆษณาแบบไหนที่เป็นงานถนัด และพี่เต๋อเลือกงานอย่างไรเพราะปีหนึ่งรับได้น้อยชิ้น

A: อาจจะเพราะผมโตมาช่วงโฆษณา long form ที่จะเป็นรูปแบบหนัง ก็จะทำแบบนี้มาเรื่อยๆ ไม่เคยทำแบบ TVC 90 วินาทีเป๊ะที่ต้องทำสตอรีบอร์ด เพราะฉะนั้นทั้งเอเจนซีและลูกค้าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเราถนัดอะไร ถ้าอยากได้เซนส์ประมาณนี้ ทางประมาณนี้ เอ้อ ควรเป็นเรา

คนที่เข้ามาก็จะเชื่อมือ เหมือนเลือกกันและกัน เหมือนกับเลือกคู่แต่งงาน เขาเชื่อว่าเราทำได้ ส่วนเราก็สบายใจ ใส่ได้เต็มร้อยในการเอาความรู้ความสามารถหลายปีมาทำให้กับลูกค้า

 

Q: เอกลักษณ์ ‘หนังเต๋อ’ เซนส์แบบไหนที่ลูกค้าเลือก

A: น่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต เวลาเราทำหนังมักจะเลือกเรื่องประมาณนี้ เราจะไม่ทำหนังแบบธริลเลอร์หรือ high concept มากๆ แต่จะเล่าเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันที่คนอาจมองข้ามไป อย่างโฆษณาล่าสุดของพรูเด็นเชียลก็จะเล่าเรื่องในชีวิตจากไอเดียว่า ‘เดอะแบกไม่ใช่แค่คุณคนเดียว’

 

Q: เล่าเบื้องหลังของโฆษณาชุด “เดอะแบก” หน่อย ไอเดียที่ได้มาจากไหน

A: บรีฟจากเอเจนซีเข้ามาว่า จะเป็นธีมของ “end credit” เหมือนชีวิตหรืองานที่เราทำอยู่มันมีเบื้องหลังมากมายในเชิงเปรียบเปรยกับทีมงานในกองถ่ายหนัง ซึ่ง end credit ในชีวิตเราบางทีก็จะเป็นคุณแม่ น้อง แฟน หรือลูก ที่ช่วยเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะไม่ใช่การช่วยงานโดยตรงแต่เป็น การดูแลบ้าน ดูแลใจ หรือเขามีทักษะบางอย่างที่เราไม่มีก็ได้ เช่น ในโฆษณาก็จะมีลูกมาเตือนพ่อว่าเวลาประชุมออนไลน์อย่านั่งหลังค่อม ซึ่งจริงๆ เด็กเขาคุ้นเคยกับโลกออนไลน์จนมองเห็นเรื่องแบบนี้ ทำให้เห็นว่าแม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่า แต่ก็ช่วยเราได้

เราก็รู้สึกว่าเป็นคำเปรียบเปรยที่ดีนะ บางทีเราไม่ได้คิดถึงคนเบื้องหลังเพราะมัวแต่ทำงาน ผมว่าเป็นบรีฟที่สนุกดี น่าทำ

งานนี้ตอนถ่ายไม่ยาก แต่สนุกตอน post-production ต้องมาดูว่าเขียน copy แบบไหนดีให้มันใกล้เคียงกับตำแหน่งคนในกองถ่าย ให้ดูเหมือน end credit จริงของหนังและเปรียบเปรยกับชีวิตจริงได้ด้วย คำไหนจะตลก เรามีหน้าที่ตรงนี้ มาทำให้น่าสนใจมากขึ้น

 

Q: ทำหนังสลับกับทำโฆษณา มีข้อดีอย่างไร

A: มันเติมเต็มกันและกัน เพราะเวลาทำหนังเราก็จะได้ทักษะบางอย่างเพิ่มขึ้นที่มาใช้กับโฆษณาได้ กลับมาวงการก็ทำให้โฆษณาเรา ‘เฟรช’ ขึ้น ระหว่างเราทำโฆษณาเราก็จะได้เรียนรู้บางอย่างและเอากลับไปทำหนังต่อ

อย่าง Fast & Feel Love ธีมเป็นหนังแอคชันในชีวิตประจำวัน เราก็ต้องหาวิธีถ่ายทำใหม่ให้มัน ‘ฟึ้บๆๆ’ ซึ่งเราไม่เคยทำเลยนะ ตอนไปจับแรกๆ นี่คิดว่า ‘หาเรื่องอีกแล้วกู’ (หัวเราะ) แต่พอหนังเสร็จ เราก็จะเห็นว่าที่เราทำไปมันได้ผลอย่างไร ตัดต่อแบบนี้มันสนุก มันตลกขึ้น เหมือนได้ไปสะสมอาวุธใหม่เพิ่ม ก็เป็นหน้าที่เนอะ คนทำงานครีเอทีฟ เราก็ไม่ควรจะวนลูปของเดิมใช้ไปเรื่อยๆ

มันเติมเต็มกันและกัน เพราะเวลาทำหนังเราก็จะได้ทักษะบางอย่างเพิ่มขึ้นที่มาใช้กับโฆษณาได้ … เหมือนได้ไปสะสมอาวุธใหม่เพิ่ม ก็เป็นหน้าที่เนอะ คนทำงานครีเอทีฟ เราก็ไม่ควรจะวนลูปของเดิมใช้ไปเรื่อยๆ

Q: ระหว่างปีนี้ที่ทำโฆษณา ก็กำลังซุ่มพัฒนาหนังเรื่องใหม่ด้วย?

A: ใช่ครับ จบงานนี้ (โฆษณาเดอะแบก) ผมจะพัก 2 เดือน เพื่อทำบทให้เสร็จ ตอนนี้มีทำบทซีรีส์ 1 เรื่อง และหนังยาว 1 เรื่อง จะเป็นการทำซีรีส์เรื่องแรกด้วย

 

Q: ปีที่แล้วหลัง Fast & Feel Love ออกฉาย พี่เต๋อบอกว่ารู้สึกเหมือน ‘หมดก๊อก’ แต่ปีนี้กลับมาพร้อมไอเดียถึง 2 เรื่องได้อย่างไร

A: ใช่ คือทุกครั้งที่ทำหนังเรื่องหนึ่งเสร็จ มันจะเหมือนรีดเค้นทุกอย่างในชีวิตเข้าไปในนั้นเลย พอหนังจบเราก็ขอพักแป๊ป

ตอนแรกก็คิดว่าหมดก๊อกนะ แต่พอไปพักสักพักก็ได้คำถามใหม่กับชีวิต หรือเจอเรื่องที่สนใจ ก็ค่อยๆ สร้างไอเดียออกมา แต่ว่ามันจะเริ่มเป็นเรื่องที่ไกลตัวออกไป อาจจะไม่ใช่เรื่องชีวิตของเราแล้ว แต่เป็นเรื่องที่เราเข้าไปสนใจที่ไกลจากตัวเองอีกเล็กน้อย เช่น อาชีพที่เราไม่ได้ทำ ซึ่งเราก็จะต้องใช้เวลาหาข้อมูลเพิ่ม

Fast & Feel Love เร็วโหด…เหมือนโกรธเธอ ภาพยนตร์เรื่องที่ 8 ในชีวิตเต๋อ-นวพล

 

Q: ไปพักอย่างไรให้ได้ไอเดียใหม่ๆ

A: เราว่าก็แค่ไปใช้ชีวิต ตอบดูกว้างมากเนอะ (หัวเราะ) จริงๆ ก็คือไปเจอคนใหม่ๆ มากขึ้น เจอคนที่เราไม่เคยเจอ

อีกอย่างคือ stage ชีวิตมันเปลี่ยนนะ ตอนนี้จะให้เราไปทำหนังแบบวัยรุ่นเด็กมัธยม เราก็ทำไปแล้วและตอนนี้เราก็โตกว่านั้น เรื่องที่เราสนใจก็เปลี่ยนไป เราจะเริ่มอยากทำเรื่องอื่นแล้ว

 

Q: พี่เต๋อสนใจจะทำหนังสำหรับลงสตรีมมิ่งโดยเฉพาะไหม

A: ถ้าเป็นหนังเรายังคิดว่าถ้าได้ลงที่โรงก่อนก็ดีนะ อาจจะมีความเป็นคนยุคก่อนนิดหน่อย คือเรามองว่า ‘ความฟิน’ ต่างกัน เช่น จอเล็กกับจอใหญ่ และเหมือนเวลาเราทำฉายโรง คนจะจำได้มากกว่า สตรีมมิ่งมันเร็วมากนะ คุณมีเวลา 7 วันแล้วหายไปเลยเพราะว่าเขามีหนังใหม่เข้าตลอด ก็ตามชื่อเลย สตรีมมิ่งเหมือนสายน้ำที่ผ่านไปเร็ว

แต่จริงๆ อีกทางหนึ่งสตรีมมิ่งก็เป็นเรื่องดี ยกตัวอย่าง Fast & Feel Love ตอนลงโรงคนดูน้อยมาก แต่พอหนังมาเข้าสตรีมมิ่งมันเกิดกระแสกลับมาอีกรอบ เราเลย ‘อ๋อ เขาเปลี่ยนพฤติกรรมไปแล้วนั่นเอง’ ไม่ใช่เขาไม่อยากดู แต่เขารอดูที่สตรีมมิ่ง

สตรีมมิ่งยังทำให้คนที่ไม่เคยดูหนังเรามีโอกาสได้ลอง การส่งไปต่างประเทศก็จะง่ายขึ้น เพราะเมื่อก่อนเราต้องรอเทศกาลหนัง แต่ตอนนี้ถ้าอยู่ใน Netflix ก็ดูได้ทั่วโลก ก็เป็นประโยชน์กับคนทำหนังครับ

]]>
1439216
เปลี่ยนบ้างก็ได้! ‘แกร็บ’ จัด ‘100 เมนูเอ็กซ์คลูซีฟ’ สู้ศึกฟู้ดเดลิเวอรี่ https://positioningmag.com/1294094 Tue, 25 Aug 2020 14:13:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1294094 จากวิกฤติ COVID-19 ส่งผลให้ตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่เติบโตอย่างมาก ส่งผลให้ใคร ๆ ก็อยากตบเท้าเข้ามาชิงส่วนแบ่งจากเค้กมูลค่า 35,000 ล้านบาทก้อนนี้ ดังนั้น จากที่มีคู่แข่งจากฝั่งบริษัทเทคโนโลยีด้วยกันเองอย่างฟู้ด แพนด้า, ไลน์แมน, โกเจ็ก (เก็ทเดิม) แต่กลายเป็นว่า ‘ธนาคาร’ กลับเข้ามาเล่นในตลาดนี้ด้วย เช่น โรบินฮู้ด (Robinhood) จากกลุ่มเอสซีบี หรืออีทเทเบิล (Eatable) จากบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป จำกัด ในเครือกสิกรไทย คำถามคือ ‘แกร็บฟู้ด’ (Grab Food) จะทำอย่างไรในเกมนี้

COVID-19 ดันยอดโตกระโดด

ปัจจุบันแกร็บมียอดดาวน์โหลดกว่า 14 ล้านดาวน์โหลด โดยในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา ธุรกิจส่งคนยอดหายถึง 90% แต่ในส่วนของแกร็บฟู้ดมีผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ผลประกอบการเติบโตเท่าตัว ยอดออเดอร์โต 30% ส่วนพาร์ตเนอร์ผู้ขับเติบโต 40,000 ราย รวมทั้งหมดกว่า 1 แสนราย ขณะที่การเติบโตของร้านอาหารรายใหม่อยู่ที่ 2.5 เท่า รวมทั้งหมดที่ 80,000 ร้าน ส่วนมูลค่าคำสั่งซื้ออยู่ที่ประมาณ 100-200 บาท

แน่นอนว่าหลังจากที่มีการคลายล็อกดาวน์จะส่งผลให้การเติบโตของแกร็บฟู้ดลดลง แต่พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยกินอาหาร 7 ครั้งต่อวัน อีกทั้งการเข้าถึงของสมาร์ทโฟนในไทยยังสูงถึง 80% อีกทั้งพื้นที่การให้บริการแล้วยังครอบคลุมแค่ 35 เมืองใน 33 จังหวัด ซึ่งแปลว่าโอกาสเติบโตยังมีอีกมาก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครเก็บข้อมูลชัดเจนว่าผู้เล่นแต่ละรายมีส่วนแบ่งตลาดมากน้อยแค่ไหน แต่มีข้อมูลการใช้งานเป็นประจำ หรือ Most Often Used Brand ของ Kantar ที่ใช้แทนการชี้วัดมาร์เก็ตแชร์ระบุว่าแกร็บมีอยู่ที่ 56%

“แกร็บอยู่ในไทย 2 ปี เราขึ้นเบอร์ 1 ในเวลา 1 ปีนิด ๆ เท่านั้น และการที่คู่แข่งมีจำนวนมากขึ้น ก็ยิ่งดีกับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เพราะบิสซิเนสโมเดลของผู้เล่นแต่ละรายแตกต่างกัน แต่เรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มเราสมดุลสุด ทั้งร้านค้า, ผู้ขับ และลูกค้า” นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าว

ส่งแคมเปญใหญ่เน้นเมนูหลากหลาย เพิ่มผู้ใช้ทิ้งห่างคู่แข่ง

ที่ผ่านมา แกร็บทำการสำรวจพฤติกรรมลูกค้าพบว่า ความหลากหลายของอาหาร เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญที่สุด รองลงมาเป็นเรื่อง ราคาและโปรโมชั่น ดังนั้น จึงเกิดเป็นแคมเปญ “Free Your Hunger เลิกกินตามใคร กดสั่งตามใจ” แคมเปญใหญ่สุดของปีนี้ โดยได้ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับชื่อดัง มาช่วยสร้างหนังสั้นที่แสดงโดย BNK48 พร้อมทั้งใช้การสื่อสารแบบครบทุกช่องทางการสื่อสาร ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

นอกจากนี้ ยังมีดีลและโปรโมชั่นกว่า 30,000 ดีล ทั้งส่งฟรี 3 กิโลเมตรแรก, ลด 50% และซื้อ 1 แถม 1 อีกทั้งยังมีเมนู Signature Menu กว่า 100 เมนู จากปีที่ผ่านมามี 30 เมนู ทิ้งห่างคู่เเข่งรายอื่น ๆ อย่าง LINE MAN ที่มีแค่ 17 เมนู รวมถึงการทำโปรโมชั่นร่วมกับธนาคารและผู้ให้บริการด้านการชำระเงินดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารซิตี้แบงก์ เป็นต้น โดยแคมเปญดังกล่าวมีระยะเวลาการจัดยาวที่สุดตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2563 ถึง 4 ตุลาคม 2563

“ปกติเราจะมีแคมเปญทุกเดือน และมีแคมเปญใหญ่ 1-2 ครั้ง แต่ครั้งนี้เรามั่นใจว่าใหญ่สุดของปีและในอุตสาหกรรม  หากเทียบกับความครอบคลุมของดีลและจำนวนร้านอาหาร”

ทั้งนี้ เป้าหมายของแคมเปญดังกล่าว คือ ร้านค้าต้องมียอดขายโตขึ้น 2 เท่า ผู้ใช้ใหม่โดยเฉพาะในกลุ่ม 20-39 ปีเติบโต 1 เท่า และมี Most Often Used Brand 60% นอกจากนี้ แกร็บได้เตรียมเพิ่ม ‘คลาวด์คิทเช่น’ จาก 3 แห่ง ได้แก่ สาขาสามย่าน สาขาถนนวิภาวดี 64 และสาขาทองหล่อ เป็น 6 แห่งภายในสิ้นปีนี้

กำไรยังไม่เน้น เน้นสร้างสมดุล

ความท้าทายของแกร็บในปัจจุบัน คือ การสร้างสมดุลระหว่างแกร็บ, พาร์ตเนอร์คนขับ, ร้านอาหาร ผู้บริโภคให้พอใจทั้งหมด เรื่องรายได้และกำไรยังไม่คิด เพราะแม้ว่าในส่วนของการส่งอาหารและส่งของ (แกร็บมาร์ท) จะเติบโต แต่ยังไม่สามารถครอบคลุมในส่วนของส่งคน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้เต็มที่ เพราะลูกค้ากลุ่มต่างชาติที่คิดเป็น 20-30% ของลูกค้าแกร็บยังไม่กลับมา

“ที่ผ่านมา มีประเด็นที่พาร์ตเนอร์คนขับแกร็บได้รวมตัวประท้วง เรามีการส่งจดหมายชี้แจงแล้ว เรามีการเปิดรับฟังทุก ๆ เดือน เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยกัน อีกทั้งยังมีขาของร้านอาหารและผู้บริโภคอีก ดังนั้นโจทย์ของเราไม่ใช่กำไร แต่เป็นการรักษาสมดุล”

]]>
1294094