เทสล่า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Mar 2025 13:24:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘BYD’ โชว์ปี 2024 กวาดรายได้ทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ ค่อย ๆ ทิ้งห่าง ‘Tesla’ คู่แข่ง https://positioningmag.com/1516011 Tue, 25 Mar 2025 12:45:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516011 หลังจากที่เริ่มบุกตลาดโลก บีวายดี (BYD) ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง เทสลา (Tesla) กำลังอยู่ในช่วงขาลงจากทั้งการแข่งขันที่รุนแรง และภาพลักษณ์ของ    อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอ ที่ส่งผลต่อแบรนด์

BYD ค่ายรถอีวียักษ์ใหญ่ของจีน เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 7.77 แสนล้านหยวน หรือ 1.07 แสนล้านดอลลาร์ โดยยอดขายเพิ่มขึ้น +29% คิดเป็นยอดส่งมอบรถทั้งหมด 4.27 ล้านคัน ในขณะที่ Tesla คู่แข่งคนสำคัญทำรายได้ 9.77 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นยอดส่งมอบรถทั้งหมด 1.79 ล้านคัน ลดลง -1.1% 

ในปีนี้ ยอดส่งออกของ BYD ก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2025 BYD ส่งออกรถไปแล้ว 133,361 คัน เติบโต +124% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ด้านของ Tesla กำลังเจอปัญหาในหลายตลาด ไม่ว่าจะเป็น จีน ที่ยอดขายในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงมากกว่า -50% อีกตลาดก็คือ ยุโรป ที่ส่วนแบ่งการตลาดของ Tesla ในช่วง 2 เดือนแรกลดลงเหลือ 7.7% จาก 18.4% ในปี 2024

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ยอดขายของ Tesla กำลังดิ่งลงเหวเป็นผลมาจาก พฤติกรรมของมัสก์ ที่กำลังส่งผลกระทบความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาเป็น ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเป็นผู้ดูแลกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล นอกจากนี้ มัสก์มักจะแสดงความเห็นแทรกแซงเกี่ยวกับ การเมืองในต่างประเทศ 

อีกประเด็นที่น่าจับตาคือ BYD อาจจะทิ้งห่าง Tesla ได้มากกว่านี้หรือไม่ ทั้งในแง่ยอดขายและเทคโนโลยี โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว BYD ได้เปิดตัว ระบบชาร์จเร็วพิเศษ ที่ชาร์จเพียง 5 นาที วิ่งได้ 400 กิโลเมตร แซงหน้าเทคโนโลยีการชาร์จของ Tesla Superchargers ของ Tesla ใช้เวลา 15 นาทีในการชาร์จและให้ระยะ 320 กิโลเมตร

นอกจากนี้ BYD ได้เปิดตัวระบบ God’s Eye ช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงเมื่อเดือนที่แล้ว แถมยังให้ใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งนักวิเคราะห์ มองว่า การอัปเกรดฟรีของระบบผู้ช่วยขับรถอัจฉริยะ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อ Tesla และผู้ผลิตรถอีวีสัญชาติจีนรายอื่น ๆ ในทางตรงกันข้าม บริการ Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla ต้องจ่ายค่าสมัครสมาชิกรายเดือนที่ 99 ดอลลาร์ หรือการชําระเงินครั้งเดียว 8,000 ดอลลาร์ ทำให้ Tesla อาจต้องยอมลดราคา

Source

]]>
1516011
หนัก! หุ้น ‘Tesla’ ร่วง 7 สัปดาห์ติด ดิ่ง -15% แย่สุดในรอบ 5 ปี สูญมูลค่าบริษัทกว่า 8 แสนล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1514122 Tue, 11 Mar 2025 07:12:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1514122 การเทขายหุ้น เทสลา (Tesla) ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น โดยเป็นการสูญเสียติดต่อกัน 7 สัปดาห์ติด ปัจจุบัน มูลค่าร่วงกว่า 15% ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2020

หุ้นของ เทสลา ดิ่งกว่า -15% ซึ่งถือเป็นการร่วงหนักสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 โดยตั้งแต่ที่หุ้นเทสลาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 479.86 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2024 หลังจากนั้นราคาหุ้นลดลงกว่า 50% ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์  

โดยราคาหุ้นเทสลา ลดลงติดต่อกัน 7 สัปดาห์ ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่บริษัทเปิดตัวบน Nasdaq ในปี 2010 และถือว่าลดลง นับตั้งแต่ อีลอน มัสก์ เข้ารับตำแหน่ง หัวหน้ากระทรวงประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาหุ้นของเทสลาเมื่อวันจันทร์ก็คือ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนภาษีของทรัมป์ เพราะแคนาดาและเม็กซิโก ที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษี ถือเป็นตลาดสําคัญสําหรับซัพพลายเออร์ยานยนต์ ซึ่งภาษีที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิต และอาจนําไปสู่ราคารถที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ยอดขายของเทสลาก็ลดลงต่อเนื่องในหลายตลาด โดยนักวิเคราะห์จาก Bank of America’s เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ใหม่ของเทสลาใน ตลาดยุโรป ลดลงประมาณ 50% ใกล้เคียงกับตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง จีน ที่ยอดขายในเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 49% ทำได้เพียง 30,688 คัน ตามรายงานของสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีน ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง 

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง X ก็เพิ่งเจอปัญหา ล่ม หลายครั้งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่ง มักส์ ระบุเพียงว่า แพลตฟอร์มถูก โจมตี ในส่วนธุรกิจ Space X ก็กำลังเผชิญกับการสืบสวนเกี่ยวกับการระเบิดสองครั้งติดต่อกัน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบการบินของจรวด Starship 

Source

]]>
1514122
Nissan-Honda เล็งควบรวมกิจการ สู้ศึกรถอีวีจากจีนที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง https://positioningmag.com/1504033 Wed, 18 Dec 2024 08:51:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504033 นับเป็นข่าวใหญ่สำหรับแวดวงยานยนต์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่น เมื่อมีรายงานข่าวว่า สองยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง ‘นิสสัน’ (Nissan) และ ‘ฮอนด้า’ (Honda) มีแผนจะควบรวมกิจการกัน เพื่อให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้านทานกระแสรถยนต์อีวีจากจีนที่กำลังมาแรงมากในปัจจุบัน

 

สำนักข่าวบีบีซี ได้รายงานว่า นิสสัน และฮอนด้ากำลังเจรจาความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการ ที่จะดำเนินงานภายใต้รูปแบบ ‘บริษัทโฮลดิ้ง’ ซึ่งจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจในเร็วๆ นี้ และยังระบุว่า ทั้งสองบริษัทยังมีวางแผนจะนำ ‘มิตซูบิชิ มอเตอร์’ (Mitsubishi Motors) ที่นิสสันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 24% เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งนี้ด้วย

 

อย่างไรก็ตามทั้งฮอนด้า และนิสสัน ไม่ได้ ‘ยืนยัน’ หรือ ‘ปฏิเสธ’ ต่อกระแสข่าวดังกล่าว โดยฮอนด้าเผยว่า “เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ ทั้งสองบริษัทมีการสำรวจความเป็นไปได้ต่าง ๆ สำหรับความร่วมมือในอนาคต โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของกันและกัน หากมีการอัปเดตใด ๆ จะแจ้งในเวลาที่เหมาะสม”

 

การควบรวมกิจการที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างผู้ผลิตรถยนต์อันดับสองและอันดับสามของญี่ปุ่น อาจมีความซับซ้อนด้วยเหตุผลหลายประการ เนื่องจากข้อตกลงใดๆ ก็ตามที่จะออกมาต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มข้นของรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากการควบรวมกิจการอาจนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก

 

ด้านสำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า หลังจากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทำให้ราคาหุ้นของนิสสันพุ่งสูงขึ้นกว่า 20% และหุ้นของมิตซูบิชิ มอเตอร์พุ่งขึ้น 13% ขณะที่ที่หุ้นของฮอนด้าปรับตัวลดลงราว 2%

 

นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า ในปี 2023 นิสสันและฮอนด้ามียอดขายทั่วโลกรวมกัน 7.4 ล้านคัน โดยทั้งค่ายกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับรถยนต์อีวีที่มีราคาถูกกว่า โดยเฉพาะจากสัญชาติจีน อาทิ บีวายดี (BYD) ซึ่งมีรายได้ประจำไตรมาสพุ่งสูงแซงหน้า เทสลา (Tesla) เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

ก่อนจะมีข่าวการควบรวมกิจการแพร่สะพัดออกมา ทางนิสสันและฮอนด้า ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU เมื่อเดือนมีนาคม 2024 โดยทั้งสองบริษัทจะเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในด้านของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และการเคลื่อนที่อัจฉริยะ ซึ่งขอบเขตของการศึกษาความเป็นไปได้ จะประกอบไปด้วย แพลตฟอร์มและ ซอฟต์แวร์ของยานยนต์ ส่วนประกอบหลักที่เกี่ยวข้องกับรถอีวี และผลิตภัณฑ์เสริม อื่นๆ

อ้างอิง

https://www.bbc.com/news/articles/cr56r74214eo

https://asia.nikkei.com/Business/Automobiles/Honda-and-Nissan-to-begin-merger-talks-amid-EV-competition

]]>
1504033
มองอนาคต ‘Tesla’ ภายในปี 2029 รายได้หลักจะไม่ได้มาจากการขาย ‘รถอีวี’ แต่เป็น ‘ซอฟต์แวร์’ https://positioningmag.com/1495845 Mon, 28 Oct 2024 07:59:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495845 แม้ภาพในปัจจุบันของ เทสลา (Tesla) ที่คนภายนอกมองจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถอีวี แต่ในมุมของนักลงทุน มองว่าอีกไม่กี่ปี รายได้หลักของบริษัทจะไม่ได้มาจากการขายรถ แต่เป็น ซอฟต์แวร์เอไอการขับขี่อัตโนมัติ

แม้ปัจจุบันรายได้ประมาณ 79% ของ Tesla มาจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แต่ Ark Investment Management ที่ลงทุนในหุ้นของ Tesla กลับประเมินว่า ภายในปี 2029 สัดส่วนรายได้ 86% ของ Tesla จะมาจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากการขายรถอีวี ซึ่งก็คือ ซอฟต์แวร์ระบบการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving: FSD) ของบริษัท

โดย Cathie Wood หัวหน้าของ Ark Investment Management มองว่า ยอดขายรถอีวีของ Tela กำลังชะลอตัว โดยในปี 2023 มียอดจัดส่ง 1.8 ล้านคัน แต่ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 กลับมียอดจัดส่งเพียง 1.29 ล้านคัน ซึ่งลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวรุ่น Model S ในปี 2011 แม้ว่าบริษัทจะลดราคาลงอย่างมาก เพื่อกระตุ้นตลาดแล้วก็ตาม

โดย Wood มองว่า ความต้องการในตลาดรถอีวีกําลังลดลง เนื่องจากท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลําบาก ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะรัดเข็มขัด อีกทั้งยังคงเลือกใช้รถยนต์สันดาปที่มีราคาถูกกว่า และมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่า 

นอกจากนี้ Tesla ยังต้องเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก ค่ายรถจีน ที่มีราคาถูกกว่า แม้ว่า Elon Musk ซีอีโอของ Tesla มีแผนจะสร้างรุ่นราคาประหยัดมาสู้ก็ตาม โดยคาดว่าจะเข้าสู่การผลิตในปี 2025 และขายในราคา 25,000 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายแล้ว Musk ก็สั่งพับโครงการนี้ไป พร้อมกับประกาศว่า อนาคตของบริษัทอยู่ที่ ยานพาหนะอัตโนมัติ แทน 

โดยบริษัทได้เปิดตัว Cybercab เมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นรถโรโบแท็กซี่ที่ขับขี่ด้วยตัวเองโดยไม่มีพวงมาลัยหรือคันเร่ง ซึ่ง Cybercab จะทํางานบนซอฟต์แวร์ FSD ของ Tesla ซึ่งบริษัทได้พัฒนามาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ได้รับการอนุมัติสําหรับการใช้งานในสหรัฐอเมริกา และคนขับที่เป็นมนุษย์ต้องพร้อมที่จะรับช่วงต่อตลอดเวลา แต่จากข้อมูลที่รวบรวมจากการทดสอบเบต้า เป็นไปได้ว่า Cybercab ปลอดภัยกว่ารถยนต์ทั่วไปบนท้องถนนอยู่แล้ว

ตามรายงานความปลอดภัยของยานพาหนะรายไตรมาสล่าสุดของ Tesla พบว่า เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง ทุก ๆ 7 ล้านไมล์ เมื่อเทียบกับการเกิดอุบัติเหตุทุก ๆ 7 แสนไมล์โดยเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกา หรืออาจแปลได้ว่า FSD นั้นปลอดภัยกว่ายานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ถึง 10 เท่า และตามสถิติ ซอฟต์แวร์จะยิ่งเก่งขึ้น เนื่องจากโมเดล AI ที่ใช้อ้างอิงนั้นเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบัน Tesla กําลังสร้างกลุ่มชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) 50,000 ชิ้นจาก Nvidia เพื่อฝึก FSD ต่อไป โดยบริษัทกําลังจะลงทุนมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล AI ในปีนี้ ด้วยเหตุนี้ Musk จึงคาดหวังว่าซอฟต์แวร์จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกํากับดูแลสําหรับการใช้งานรถอัตโนมัติในที่สุด และอาจจําหน่ายในเท็กซัสในปีหน้า และอาจเป็นแคลิฟอร์เนีย ดังนั้น Tesla หมายมั่นปั้นมือกับระบบ FSD มาก และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จาก 3 วิธี ได้แก่

  1. ขายซอฟต์แวร์ให้กับผู้ที่ซื้อรถของเทสลา
  2. การออกใบอนุญาตซอฟต์แวร์ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นโดยมีค่าธรรมเนียม
  3. ผ่านเครือข่ายการเรียกรถที่เทสลาสร้างขึ้นเอง ซึ่งจะช่วยให้ Cybercabs สามารถขนส่งผู้โดยสารได้ตลอดเวลา (เช่น Uber ยกเว้นไม่มีคนขับโดยสิ้นเชิง)

ทั้งนี้ ธุรกิจซอฟต์แวร์มักจะมีอัตรากําไรขั้นต้น 80% หรือมากกว่า ซึ่งสูงกว่าอัตรากําไรขั้นต้นปัจจุบันของ Tesla ที่ 19.8% ในพอร์ตโฟลิโอธุรกิจฮาร์ดแวร์ในปัจจุบัน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ FSD มีโอกาสจะขึ้นมาเป็นรายได้หลักของบริษัทในอนาคต

โดยแบบจําลองทางการเงินของ Ark ชี้ให้เห็นว่า Tesla จะสร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2029 โดย FSD และ Cybercab คิดเป็นสัดส่วน 63% อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตรากําไรที่สูง Ark เชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะคิดเป็น 86% ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ 4.40 แสนล้านดอลลาร์ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจําหน่าย (EBITDA)

Source

]]>
1495845
รถจีนพ่นพิษหนัก! ทำกำไร ‘เทสลา’ Q2 ลดฮวบ 45% แถมส่วนแบ่งตลาดใน ‘สหรัฐฯ’ ยังลดต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1484149 Thu, 25 Jul 2024 11:17:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484149 ดูเหมือนผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2024 ของ เทสลา (Tesla) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการนํารถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ผู้ขับขี่ชาวอเมริกัน ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อตลาดรถอีวีที่เติบโตเต็มที่ ส่งผลให้ความสนใจของผู้บริโภคก็ชะลอตัวลง

ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2024 ของ เทสลา อยู่ที่ 25,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.23 แสนล้านบาท) ซึ่งถือว่าเติบโตเล็กน้อยที่ 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะ รายได้จากการขายรถยนต์ จะอยู่ที่ 19,878 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.19 แสนล้านบาท) ลดลง -7% 

ในขณะที่ กำไร ของบริษัทยังลดลงมากถึง -45.32% เหลือเพียง 1,478 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.35 หมื่นล้านบาท) โดยบริษัทสามารถส่งมอบรถได้เพียง 443,956 คัน ลดลง -5% ขณะที่ การผลิตลดลง -14% เหลือเพียง 410,831 คันเท่านั้น บ่งชี้ให้เห็นว่ารถของบริษัทเป็นที่ต้องการน้อยลง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้และกำไรของเทสลาหนีไม่พ้น การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ทั้งจากผู้เล่นจาก โดย อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอ ยอมรับว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ผลิตโดยแบรนด์อื่นมี ราคาถูก ทำให้ให้เทสลา ขายรถได้ยากขึ้น รวมไปถึงการเติบโตของตลาดที่ชะลอตัวลง เนื่องจาก ความสนใจของผู้บริโภคต่อรถอีวีลดน้อยลง

นอกจากนี้ บริษัทยัง ลดราคาสินค้า ในบางช่วง ซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไร แม้ว่าบริษัทจะเลิกจ้างพนักงานกว่า 1.4 หมื่นคนทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนแล้วก็ตาม โดยรวมแล้ว ในช่วงครึ่งปีแรก เทสลามียอดขายรถประมาณ 831,000 คันทั่วโลก ซึ่งยังห่างจากเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ 1.8 ล้านคัน

แต่ที่น่าสนใจคือ ส่วนแบ่งการขายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาในสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ลดลงเหลือต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก โดยทาง The New York Times มองว่า เป็นผลมาจากการสนับสนุนการเมืองฝ่ายขวา หรือ โดนัล ทรัมป์ ส่งผลยอดให้จดทะเบียนใน รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนการเมืองฝั่งซ้าย ลดลง -24% 

Source

]]>
1484149
‘เทสลา’ สั่งยุบแผนก ‘Supercharger’ พร้อมลอยแพทีม 500 คน หลังกำไรไตรมาสแรกลดเหลือครึ่งเดียว https://positioningmag.com/1471739 Wed, 01 May 2024 06:58:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471739 เพราะการแข่งขันในตลาดที่ทวีความรุนแรง ทำให้ เทสลา (Tesa) ทำทุกวิถีทางเพื่อลดต้นทุนบริษัทให้ได้มากที่สุด และหนึ่งในนั้นก็คือ การลดจำนวนพนักงาน โดยล่าสุด บริษัทได้ปิดแผนก Supercharger และ แผนกนโยบายสาธารณะ

มีการเปิดเผยว่า อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ส่งอีเมลถึงผู้จัดการเทสลา เพื่อประกาศการลาออกของ 2 ผู้บริหารหลัก ได้แก่ รีเบคก้า ตินุค (Rebecca Tinucci) ผู้อำนวยการอาวุโสของฝ่ายอีวีชาร์จจิง และ ดาเนียล โฮ (Daniel Ho) ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการยานพาหนะ 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ยุบแผนก Supercharger ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 500 คนในทีม และพนักงานอื่น ๆ ที่ทำงานตรงกับโฮจะต้องถูกให้ออกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังยุบทีมนโยบายสาธารณะอีกด้วย ซึ่งแหล่งข่าวพนักงานปัจจุบันและอดีตได้เปิดเผยกับ CNBC ว่า เทสลาเริ่มเลิกจ้างพนักงานบางส่วนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม และเริ่มเลิกจ้างมากขึ้นในเดือนนี้

สำหรับการเลิกจ้างงานที่กําลังดําเนินอยู่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดต้นทุนครั้งใหญ่ หลังจากที่รายได้บริษัท Q1/2024 ลดลง 9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีนับตั้งแต่ปี 2012 ขณะที่ กำไรลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากเทสลาลดราคารถยนต์และออกมาตรการเพื่อกระตุ้นความต้องการ

โดยหลังจากที่มีข่าวว่าเทสลาปรับลดพนักงานในครั้งนี้ ส่งผลให้หุ้นเทสลาร่วงลงเกือบ 6%  และนับตั้งแต่ต้นปี มูลค่าหุ้นของเทสลาลดลงถึง 26% จนถึงปัจจุบัน

Source

]]>
1471739
Tesla ปลดพนักงานมากกว่า 10% ขององค์กร Elon Musk ชี้ทำเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและความคล่องตัว https://positioningmag.com/1470133 Mon, 15 Apr 2024 14:55:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470133 เทสลา (Tesla) ได้ประกาศปลดพนักงานมากกว่า 10% ขององค์กร โดยให้เหตุผลเนื่องจากลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและความคล่องตัว ขณะเดียวกันสถานการณ์ดังกล่าวยังชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาของความยากลำบากของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกนั้นกำลังกลับมาอีกครั้ง

Electrek เว็บไซต์ข่าวที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวหลายแห่ง รวมถึงอีเมลภายในองค์กร ได้ชี้ว่า Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศปลดพนักงานเป็นจำนวนมากกว่า 10% ขององค์กร เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพองค์กร

เว็บไซต์ดังกล่าวได้อ้างอิงจดหมายที่ Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ Tesla ได้ส่งให้กับพนักงาน โดยชี้ว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายโรงงานขนาดใหญ่ไปทั่วโลก และเนื่องด้วยการเติบโตดังกล่าวทำให้มีหน้าที่ตำแหน่งงานที่ซ้ำซ้อน

ขณะเดียวกัน CEO รายดังกล่าวยังชี้ว่า การที่บริษัทต้องการจะเติบโตในก้าวต่อไปก็จะต้องมีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ทำให้หลังจากมีการพิจารณาบริษัทได้ตัดสินใจที่จะปลดพนักงานมากกว่า 10% แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ เนื่องจากทำให้บริษัทมีความคล่องตัว มีนวัตกรรม และกระหายต่อการเติบโตในรอบต่อไป

Elon Musk เองยังได้กล่าวลากับพนักงานที่ถูกปลดด้วยความขอบคุณในการทำงานหนักและมีส่วนร่วมมากมายในภารกิจของบริษัท ขณะเดียวกันเขาได้กล่าวกับพนักงานที่ยังอยู่กับบริษัทต่อว่ายังมีภารกิจมากมายรออยู่

สำหรับพนักงานที่โดนปลดนั้นคาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า 10% ของทั้งองค์กร ซึ่งคาดว่าจะอยู่มากกว่า 14,000 ราย

ข่าวการปลดพนักงานดังกล่าวนตามหลังมาจากยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทนั้นทำได้ต่ำกว่าที่คาด และในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาบริษัทต้องงัดกลยุทธ์ในการลดราคาเพื่อที่จะต่อสู้กับคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน หรือแม้แต่ผู้ผลิตหลายรายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

สถานการณ์ของ Tesla และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายรายทั่วโลกในเวลานี้ถือว่าไม่สู้ดีมากนัก เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และยังรวมถึงการแข่งขันอย่างดุเดือด จนทำให้ท้ายที่สุดบริษัทรายใหญ่จากสหรัฐอเมริการายนี้ต้องงัดมาตรการในการลดค่าใช้จ่ายด้วยการปลดพนักงานออกมา

]]>
1470133
ถึงเวลาสู้ศัตรูคนเดียวกัน! ‘ฮอนด้า’ ผนึก ‘นิสสัน’ พัฒนารถอีวีเพื่อสู้กับ ‘ค่ายจีน’ https://positioningmag.com/1466580 Mon, 18 Mar 2024 03:58:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466580 หากเป็นรถยนต์สันดาป ผู้ที่ครองตลาดก็จะเป็น ค่ายรถญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นตลาดรถอีวี ค่ายจีน ได้กลายเป็นผู้นำของตลาดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่แบรนด์สุดแข็งอย่าง Tesla ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับค่ายจีน ดังนั้น แบรนด์ญี่ปุ่นจึงต้องเลิกสู้กันเอง หันมาจับมือกันเพื่อสู้ค่ายจีน

ในอดีตค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอาจจะต้องแข่งกับค่ายรถจากฝั่งยุโรปและแข่งขันกันเอง แต่ตอนนี้ทุกค่ายคงตระหนักได้ว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในตลาดก็คือ ค่ายรถอีวีจีน ทำให้ นิสสัน (Nissan) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบไม่ผูกมัด (Memorandum of Understanding – MoU) กับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถยนต์คู่แข่ง เพื่อร่วมมือกันในการผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ในแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ยานยนต์

โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทประหยัดต้นทุนในการผลิต เพราะทำให้มี Economy of scale ที่มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันกับค่ายรถอีวีจากจีน โดยเฉพาะ บีวายดี (BYD) จากจีนที่เพิ่งบุกตลาดประเทศญี่ปุ่น รวมถึง เทสลา (Tesla) ด้วย

“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวมากและกำลังบุกเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง เราไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ตราบใดที่เรายึดมั่นในแนวคิดและแนวทางแบบดั้งเดิม” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าว

อย่างไรก็ตาม นิสสันและฮอนด้า ยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน แต่ก็เปิดรับความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงยัง เปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีอยู่หากมีโอกาสเกิดขึ้น

“เราถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้เร็ว เพื่อที่ภายในปี 2030 เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้”

ทั้งนี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงเป็น 100% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2040 ส่วนนิสสันถือเป็นผู้บุกเบิกด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยรุ่น Leaf

ที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องแข่งขันกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยนิสสันเตรียมลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% เหลือ 1.6 ล้านคัน/ปี ส่วนฮอนด้านั้นจะลดกำลังการผลิตราว 20% เหลือ 1.2 ล้านคันต่อปี

Source

]]>
1466580
ลือ! ‘Tesla’ เตรียมเปิดตัวรถครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ช่วงกลางปี 2025 ชื่อรหัส ‘Redwood’ แถมมีราคาถูกลง https://positioningmag.com/1460048 Wed, 24 Jan 2024 06:01:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460048 หลังจากที่เสียตำแหน่งแชมป์ รถอีวี ให้กับ BYD ในช่วงไตรมาส 4/2023 ที่ผ่านมา เทสล่า (Tesla) ก็เริ่มเคลื่อนไหวโดยมีข่าวลือจากซัพพลายเออร์ของบริษัทว่าต้องการเริ่มผลิตรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ในช่วงกลางปี 2025

แหล่งข่าว 4 รายให้ข้อมูลกับ Reuters ว่า เทสล่า (Tesla) ได้แจ้งกับซัพพลายเออร์ว่า ต้องการเริ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับตลาดแมสใหม่ที่มีชื่อรหัสว่า Redwood ในช่วงกลางปี ​​2025 โดยแหล่งข่าว 2 คน อธิบายว่า รถไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้จะเป็นรถครอสโอเวอร์ โดยบริษัทได้ขอใบเสนอราคาไปยังซัพพลายเออร์ตั้งแต่ปีที่แล้ว และคาดการณ์การผลิตที่ 10,000 คัน/สัปดาห์

ที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอของเทสล่า ได้กระตุ้นความต้องการของแฟน ๆ และนักลงทุนมาเป็นเวลานานสำหรับรถไฟฟ้าราคาไม่แพง โดยมัสก์เคยสัญญาว่าจะผลิตรถไฟฟ้าราคา 25,000 ดอลลาร์ (ราว 8.7 แสนบาท) ในปี 2020 อย่างไรก็ตาม รถไฟฟ้าที่ถูกสุดของเทสล่าคือรุ่น Model 3 ซีดาน ซึ่งปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นที่ 38,990 ดอลลาร์ (ราว 1.3 ล้านบาท) ในสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ เขาและผู้บริหารของเทสล่าคนอื่น ๆ ได้วางแผนลดต้นทุนของรถยนต์เจเนอเรชันหน้าลงครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบุกรอบเวลาสำหรับการเปิดตัว อย่างไรก็ตาม เทสล่านั้นมักจะพลาดเป้าเกี่ยวกับราคาและวันเปิดตัวสินค้า และต้องใช้เวลาในการสร้างปริมาณ อาทิ การผลิต Cybertruck ที่มีความล่าช้าในการเปิดตัว แถมราคาเปิดตัวยังสูงกว่าที่วางไว้ 50% โดยเปิดตัวที่ 60,990 ดอลลาร์

ทั้งนี้ อีลอน มัสก์ ได้กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า เขากังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงต่อความต้องการของ    ผู้บริโภคสำหรับสินค้าราคาแพง เช่น รถยนต์ ขณะที่เทสล่าจำเป็นต้องทำสงครามราคา โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เทส ล่าได้ลดราคาถึง 5 ครั้ง เพื่อแข่งขันกับค่ายรถยนต์ของจีนซึ่งทำราคาได้ดีกว่า

Source

]]>
1460048
เปิดปีไม่สวย! มูลค่า ‘เทสล่า’ หายเกือบ 1 แสนล้านเหรียญ หลังบริษัทปรับ ‘ลดราคารถ’ ลงอีกรอบ https://positioningmag.com/1458774 Mon, 15 Jan 2024 04:10:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458774 แม้ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา มูลค่าของ เทสล่า (Tesla) จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แต่เปิดปี 2024 เทสล่าก็ต้องเผชิญกับการเริ่มต้นปีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะบริษัทสูญเสียการประเมินมูลค่าตลาดมากกว่า 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสองสัปดาห์แรกของปีนี้ 

จริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่หากมูลค่าบริษัท เทสล่า จะลดลง เพราะเปิดปีมาบริษัทก็เจอข่าวเชิงลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การลดราคารถยนต์ที่ผลิตในจีนอีกครั้ง สัญญาณของต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัวของตลาดรถอีวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา

“ความกังวลหลักของนักลงทุนเกี่ยวกับเทสล่าคือ การเติบโตที่ซบเซา การลดราคาในประเทศจีนทําให้เกิดความกังวล เพราะมันเริ่มดูเหมือนว่าการแข่งขันสู่จุดต่ำสุดสําหรับอุตสาหกรรมอีวี เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง” เจฟฟรีย์ ออส บอร์น นักวิเคราะห์ของโคเวน กล่าว

เทสล่าได้ลดราคารถยนต์อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นปี 2023 เพื่อพยายามเพิ่มความต้องการ แต่ผลลัพธ์คือ การลดลงอย่างต่อเนื่องของ อัตรากําไร ในขณะที่ต้นทุนของบริษัทกำลังเพิ่มขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นของ ค่าแรง ของพนักงานฝ่ายผลิตที่โรงงานในสหรัฐฯ นอกจากนี้ เทสล่าต้องเปลี่ยนเส้นทางการจัดส่งชิ้นส่วนไปยังโรงงานในเบอร์ลินเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในทะเลแดง โดยเทสล่ากำลังจะระงับการผลิตส่วนใหญ่ที่โรงงานในเยอรมนีตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมถึง 11 กุมภาพันธ์

นอกจากนี้ แม้ว่ายอดขายของเทสล่าในช่วงไตรมาส 4/2023 จะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก็ตาม แต่ก็ถูก BYD แซงหน้าด้วยยอดขายกว่า 5.2 แสนคัน แม้ว่าในด้านรายได้และผลกําไรของ BYD จะยังแพ้เทสล่าก็ตาม แต่การพ่ายแพ้ดังกล่าวก็เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้กับเทสล่า เพราะ BYD ไม่ได้ขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเทสล่ายังคงเป็นผู้นําตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม คุณค่าที่แท้จริงของเทาล่าอาจเป็นการพึ่งพาอนาคตของเทคโนโลยี การขับขี่อัตโนมัติ ปัญหาเดียวคือ เทสล่าพัฒนาเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า เทคโนโลยีนี้ยังห่างไกลที่จะนำมาใช้ได้จริง และอาจต้องใช้เวลาอีก หลายสิบปี

“เทสล่ายังไม่สามารถส่งมอบการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่มันกลับอยู่ในการประเมินมูลค่าบริษัทแล้ว”

Source

]]>
1458774