เศรษฐีพันล้าน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 08 Sep 2023 08:25:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จำนวน ‘เศรษฐีพันล้าน’ ทั่วโลกลดลง 8% กว่าครึ่งเป็น ‘เศรษฐีจีน’ หลังเจอพิษศก. ทำความมั่งคั่งหด https://positioningmag.com/1424752 Fri, 24 Mar 2023 08:23:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424752 จำนวนของมหาเศรษฐีโลกลดลงกว่า 400 คน และกว่าครึ่งเป็นการหายไปของ มหาเศรษฐีจีน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลของจีนที่เริ่มหันมาลงดาบเหล่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกที่ส่งผลกระทบ ทำให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีลดลงจนไม่ติดอันดับลิสต์มหาเศรษฐีโลก

จากการจัดอันดับ มหาเศรษฐีโลกที่มีทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป (ราว 3.4 หมื่นล้านบาท) ในปี 2566 พบว่ามีมหาเศรษฐีที่หลุดจากลิสต์ถึง 445 คน และในจำนวนนี้ เป็นมหาเศรษฐีจีนถึง 229 คน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเหล่านี้ลดลงเป็นผลมาจากการคุมเข้มทางการเงินทั่วโลก การหยุดชะงักของ COVID-19 และการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของรัฐบาล

“จำนวนมหาเศรษฐีในโลกลดลง 8% ขณะที่ความมั่งคั่งรวมลดลง 10% โดยจำนวนมหาเศรษฐีในปีนี้ลดลงเหลือ 3,112 คน จากจำนวน 3,381 คนนปีที่ผ่านมา” Rupert Hoogewerf ผู้ก่อตั้งและประธาน Hurun Report กล่าว

ชื่อมหาเศรษฐีเด่น ๆ ที่หลุดจากลิสต์มหาเศรษฐีโลก อาทิ Sam Bankman-Fried ซึ่งสูญเสียทรัพย์สมบัติมูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์หลังจากการล่มสลายของการแลกเปลี่ยน crypto FTX หรือ แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน ก็ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 52 จากอันดับ 34 ในปีก่อนหน้า

“การขึ้นอัตราดอกเบี้ย การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ฟองสบู่บริษัทเทคโนโลยี และผลกระทบต่อเนื่องของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทั้งหมดนี้รวมกันสร้างความเสียหายต่อตลาดหุ้น โดยดัชนี S&P 500 (SPX ) ดิ่งลงมากกว่า 14% ขณะที่ในประเทศจีน ดัชนี Shanghai Composite (SSEC) ร่วงลงเกือบ 11%”

ในขณะเดียวกัน เงินหยวนของประเทศก็สูญเสียมูลค่าประมาณ 8% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ที่พุ่งสูงขึ้นในปี 2565 ซึ่งเป็นการลดลงประจำปีที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว

ทั้งนี้ จีนในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ปัจจุบันมีมหาเศรษฐีราว 969 คน มากกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีประมาณ 691 คน

Source

]]>
1424752
COVID-19 ทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งถ่างออกทั่วโลก “คนรวย” เพิ่มจำนวน “คนจน” ก็เช่นกัน https://positioningmag.com/1386234 Mon, 23 May 2022 08:41:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1386234 Oxfam รายงานว่า “คนรวย” ทั่วโลกเพิ่มจำนวนขึ้น 573 คนหลัง COVID-19 โดยกลุ่มมหาเศรษฐีมีสินทรัพย์รวมกันกว่า 12.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 14% ของจีดีพีโลก ขณะที่คน 263 ล้านคนเสี่ยงที่จะเข้าสู่ระดับ “ยากจนสุดขีด” ภายในปีนี้ แนะเก็บ “ภาษี” เศรษฐีเพิ่มและนำไปช่วยบรรเทาค่าครองชีพคนจน

วันแรกของการประชุม World Economic Forum ที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ องค์กรไม่แสวงหากำไร “Oxfam” รายงานสถิติพบว่า หลังจากโลกเผชิญโรคระบาด COVID-19 ทุกๆ 30 ชั่วโมงจะมี “มหาเศรษฐีพันล้าน” เพิ่มขึ้น 1 คน ในขณะที่มี “คนจน” เกือบ 1 ล้านคนเสี่ยงเข้าสู่ภาวะยากจนสุดขีดในช่วงเวลาเดียวกัน

หรือเท่ากับมีคนรวยเพิ่มขึ้น 573 คนนับตั้งแต่เกิด COVID-19 (ข้อมูลเก็บสถิติเมื่อเดือนมีนาคม 2022) ขณะที่มีคน 263 ล้านคนกำลังจะยากจนสุดขีด

ณ เดือนมีนาคม 2021 (หลังผ่านโรคระบาดมาแล้ว 1 ปี) มหาเศรษฐีทั่วโลกมีสินทรัพย์รวมกันกว่า 12.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 14% ของจีดีพีโลก

สาเหตุเป็นเพราะเศรษฐกิจตกต่ำหลังจากเผชิญโรคระบาด ซ้ำร้ายยังมีสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้ราคาอาหารพุ่งสูง ความเหลื่อมล้ำยิ่งถ่างออก

Photo : Shutterstock

กาเบรียลล่า บูเชอร์ ผู้อำนวยการบริหาร Oxfam International กล่าวว่า เศรษฐีทั่วโลกมารวมกันที่ดาวอสเพื่อ “เฉลิมฉลองให้กับสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ของตนเอง”

“โรคระบาด และราคาพลังงาน-อาหารที่พุ่งสูงขึ้นกลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์สำหรับพวกเขา” บูเชอร์กล่าว “ขณะที่หลายทศวรรษแห่งความพยายามที่จะกำจัดความยากจนสุดขีดกลับเดินถอยหลัง และกำลังเผชิญค่าครองชีพที่พุ่งสูงจนแทบเป็นไปไม่ได้แม้เพียงแค่จะมีชีวิตรอด”

 

บุญหล่นทับจากโรคระบาด

Oxfam กล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์มากที่สุดคือกลุ่มอาหาร พลังงาน และยา มหาเศรษฐีในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 4.53 แสนล้านเหรียญในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา หรือเท่ากับมีสินทรัพย์เพิ่ม 1 พันล้านเหรียญทุกๆ 2 วัน

ตัวอย่างเช่น Cargill ยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอาหาร เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ควบคุมตลาดเกษตรกรรมทั่วโลกมากกว่า 70% บริษัทนี้ยังบริหารโดยครอบครัว Cargill สามารถทำกำไรสุทธิเกือบ 5 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว เป็นกำไรที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ ทำให้ครอบครัว Cargill มีมหาเศรษฐีพันแล้วถึง 12 คน เพิ่มจากจำนวน 8 คนเมื่อก่อนเกิดโรคระบาด

Cargill Food

ส่วนอุตสาหกรรมยา มีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น 40 คน เพราะเป็นผู้ควบคุมผูกขาดการผลิตวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อจากบริษัทของตัวเอง

เพื่อป้องกันไม่ให้ความเหลื่อมล้ำมากไปกว่านี้ Oxfam แนะนำให้รัฐบาลแต่ละประเทศเก็บภาษีเพิ่มจากกำไรที่ได้เพิ่มพิเศษเพราะโรคระบาด และนำไปช่วยเหลือคนจนที่ต้องประสบปัญหาค่าครองชีพสูงทั้งจากค่าพลังงานและอาหาร

 

จุดจบการทำกำไรจากวิกฤต?

องค์กรไม่แสวงหากำไรรายนี้ยังแนะให้รัฐบาล “หยุดการทำกำไรจากวิกฤต” โดยให้เก็บภาษีกำไรส่วนเกินที่ได้มาเพราะวิกฤต COVID-19 เป็นการชั่วคราว โดยเน้นเก็บกับองค์กรขนาดใหญ่ทุกอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์

ส่วนกรณีมหาเศรษฐี ผู้กุมอำนาจผูกขาดคลาด และกลุ่มคนรวยที่ปล่อยคาร์บอนสูง แนะนำให้เก็ฐภาษีเพิ่มแบบถาวร

องค์กรระบุว่าการเก็บภาษีคนรวยโดยเริ่มต้นเพียง 2% สำหรับกลุ่มเศรษฐีร้อยล้าน (สินทรัพย์ประมาณ 3 พันล้านบาท) และ 5% สำหรับกลุ่มเศรษฐีพันล้าน (สินทรัพย์ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) จะทำให้โลกนี้เก็บภาษีคนรวยเพิ่มได้ 2.52 ล้านล้านเหรียญต่อปี

เมื่อนำภาษีไปช่วยคนจน จะทำให้คน 2.3 พันล้านคนทั่วโลกพ้นขีดความยากจน สามารถแจกจ่ายวัคซีนได้เพียงพอแก่คนทั้งโลก และสร้างระบบสาธารณสุขให้กับคนที่อาศัยในประเทศยากจนและประเทศระดับกลางล่างได้ทั้งหมด

Source

]]>
1386234
รู้จัก “คิชชิน อาร์เค” เศรษฐีพันล้านอายุน้อยที่สุดของสิงคโปร์ https://positioningmag.com/1294565 Sat, 29 Aug 2020 06:15:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1294565 คิชชิน อาร์เค เป็นลูกชายของ ราช กุมาร์ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์สิงคโปร์ จึงกลายมาเป็นเศรษฐีพันล้านอายุน้อยที่สุดของสิงคโปร์ จะว่า คิชชิน อาร์เค เกิดมาบนความโชคดีก็ได้ส่วนหนึ่ง

ทว่าเขาไม่ได้งอมืองอเท้า เอาแต่พึ่งพา “บุญเก่า” หากมีแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง ด้วยการต่อยอดธุรกิจอสังหาของบิดาในรูปแบบใหม่อย่างกล้าหาญและสง่างาม

อาจจะเรียกว่า คิชชิน อาร์เค นั้นมีพรสวรรค์ เขาสามารถขายบ้านของตัวเองได้ตั้งแต่อายุแค่ 18 ปี และก็เรียกตัวเองว่าเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของบิดามาตั้งแต่วันนั้น

คิชชิน เล่าว่า ด้วยความที่คลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาฯ กันผู้เป็นพ่อตั้งแต่อ้อนแต่ออก ทำให้เขาตัดสินใจซื้ออพาร์ตเมนต์ของตัวเองได้ตั้งแต่อายุ 12 ซึ่งเขาไม่ได้บอกว่าใช้เงินของพ่อ หรือเก็บเงินค่าขนมของตัวเองมาซื้อ เพียงบอกว่า พ่อเป็นคนให้คำแนะนำเรื่องการลงทุนในอสังหาฯ เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจการทำธุรกิจนี้

พออายุ 18 เขาก็ขายอพาร์ตเมนต์ที่ซื้อมาตอนอายุ 12 ปีนั้น เพื่อมาต่อยอดลงทุนธุรกิจของตัวเอง โดยก่อตั้ง อาร์บี แคปิทัล ขึ้นมา ด้วยการบริหารงานแตกต่างไปจากบริษัทของพ่อที่เน้นการซื้อมาขายไป แต่สำหรับมุมมองคนรุ่นใหม่ คิชชิน หันมาพัฒนาที่ดินแบบผสมผสาน เน้นให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ บนที่ดินผืนเดิมๆ เพื่อต่อยอดมูลค่าเพิ่มยิ่งกว่าเก่า ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเข้ากับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีพันล้านในวัยยังไม่ขึ้นเลข 4

เบื้องหลังการบริหารที่ประสบความสำเร็จของคิชชิน อยู่ที่แพสชั่นส่วนตัว ขณะที่เขาเฉลยว่า แต่ละวันต้องการพลังงานอย่างสูงในการขับเคลื่อนธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้เขาต้องดื่มกาแฟไม่ต่ำกว่าวันละ 8 แก้วเลยทีเดียว

คิชชิน อาร์เค ยังตอบแทนสู่สังคม ด้วยการก่อตั้ง มูลนิธิทิฟฟินแล็บส์ ร่วมกับเพื่อนๆ นักธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเป็นคลังอาหารสำหรับผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงวิกฤตการระบาดของโรค COVID-19 ที่ผ่านมา ในสิงคโปร์มีผู้ที่ต้องตกงาน และไม่มีอาหารการกินมากมาย มูลนิธิทิฟฟินแล็บส์ ได้เข้าไปร่วมกับร้านอาหารมากกว่า 2 หมื่นแห่ง ในการแจกจ่ายอาหารให้คนที่ขาดแคลน รวมทั้งจัดส่งอาหารให้กับบุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 1 หมื่นมื้ออาหารอีกด้วย

ปกติแล้ว คิชชิน เป็นหนุ่มหล่อที่ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว เขาไม่เล่นโซเชียลมีเดียส่วนตัวมากนัก แต่สื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียของบริษัทมากกว่า คิชชินมีแอคเคาน์อินสตาแกรม แต่ตั้งเป็นส่วนตัว รับเฉพาะเพื่อนสนิทมิตรสหายเท่านั้นที่จะเข้าสู่โลกของเขา ส่วนเฟซบุ๊คส่วนตัวก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ได้อัพเดตมาตั้งแต่มิถุนายน 2017 นู่นแน่ะ

Source

]]>
1294565