เอ็มเค – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Nov 2025 06:59:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘โบนัส สุกี้’ – ‘ลัคกี้ สุกี้’ เปิดเกมรุกเขย่าบัลลังก์ผู้นำบุฟเฟ่ต์สุกี้ https://positioningmag.com/1547545 Tue, 18 Nov 2025 11:09:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547545 แม้ภาพรวมตลาดธุรกิจร้านอาหารจะดูซบเซา จากความท้าทายในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ สภาพการแข่งขันที่ดุเดือด และต้นทุนพุ่งสูงขึ้น ทว่า ‘ตลาดสุกี้’ ที่ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาทกลับมีความร้อนแรง โดยเฉพาะเซ็กเม้นต์ Budget Buffet ราคาต่ำกว่า 300 บาทลงมา

ล่าสุด ‘ศึกบุฟเฟ่ต์สุกี้’ ระลอกใหม่ปะทุ โดยพี่ใหญ่ MK ประกาศส่ง ‘โบนัส สุกี้’ ลุยตลาดสุกี้ Budget Buffet เต็มกำลัง ซึ่งจากนี้จะขยาย 1-2 สาขาทุกสัปดาห์ และตั้งเป้าว่า ในปี 2569 มีสาขามากกว่า 70 สาขา สร้างรายได้กว่า 3,600 ล้านบาท เพื่อให้โบนัส สุกี้ เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต

การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ทาง MK จะใช้ศักยภาพของกรุ๊ปทั้งหมดที่มี อาทิ เครือข่ายร้านอาหารกว่า 600 สาขาในเครือ, ซัพพลายเออร์มากกว่า 1,000 ราย, คลังสินค้าและครัวกลางรองรับได้ 1,000 สาขา, ระบบโลจิสติกส์พร้อมรถขนส่งกว่า 500 คัน ส่งของได้ทุกวันทั่วไทย ที่ขาดไม่ได้ คือ ‘ราคาเข้าถึงง่าย’ มาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ

‘ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า MK ให้ความสนใจและศึกษาตลาดบุฟเฟ่ต์มานานพอสมควร เนื่องจากมีการเติบโตน่าสนใจ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือ ต้องการมากกว่าแค่ความคุ้มค่า

นั่นจึงเป็นที่มาของ ‘โบนัส สุกี้’ แบรนด์ใหม่ในเซ็กเม้นท์ Budget Buffet ที่จะมาเสริมพอร์ตสุกี้ของ MK ให้แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งนอกจากความคุ้มค่าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความหลากหลาย และประสบการณ์ที่ดีในมื้ออาหาร

สำหรับโบนัส สุกี้ จะเน้นสร้างความแตกต่างและขับเคลื่อนการเติบโต ภายใต้กลยุทธ์ 6 Extra Bonus ประกอบด้วย

Product : การมีเมนูมากกว่า 60 รายการ และมีมากกว่าแค่สุกี้ ทั้งติ่มซำ ของทานเล่น น้ำจิ้ม และเมนูซิกเนเจอร์ เช่น หมูนุ่มหมักไข่โบนัส โรลปูอัดโบนัส พร้อมไฮไลต์เครื่องดื่มสลัชชีชาไทย

Price : ราคาเข้าถึงง่าย 219 บาท ทานได้ 2 ชั่วโมง 15 นาที และจะมีการทำโปรโมชันต่อเนื่องทุกเดือน

People : จะใช้ศักยภาพของเอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ปในเรื่องการเทรนนิ่งพนักงาน เพื่อให้บริการและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามาเป็นจุดแข็ง รวมถึงจะจ้างงานคนในท้องถิ่นตามการขยายตัวของแบรนด์

Promotion Bonus : ให้โบนัสลูกค้ากับเมนูพิเศษที่แจกฟรีทุกโต๊ะ วันละสองรอบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ชั่วโมงโบนัส’

Place : ร้านมีขนาดใหญ่ประมาณ 500 ตร.ม. บาร์อลังการ และสะอาด โดยเริ่มต้นจะโฟกัสเปิดในทำเลทั้งหัวเมืองใหญ่และเมืองรองที่เป็นพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีศักยภาพในการเติบโต

Process : ความพร้อมทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน มาตรฐาน MK Group ระบบการจัดการที่สาขา จัดเก็บสินค้าอย่างมีระบบ สดใหม่ สามารถเสิร์ฟได้รวดเร็ว ระบบหลังบ้านที่รองรับการขยายได้แบบไม่สะดุด

ทั้งสองเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี และจุดแข็งที่มีทั้งหมด จะทำให้โบนัสสุกี้เติบโตเร็วแบบก้าวกระโดด เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และคาดหวังจะเป็นผู้นำของตลาดนี้ในอนาคต

ทำไมทั้งคู่ถึงเชื่อมั่นแบบนั้น?

ส่วนหนึ่งเห็นจากการเปิดมา 4 เดือนแรก มีลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำแล้วกว่า 25% และทานซ้ำสูงสุด 37 ครั้งภายใน 4 เดือน ขณะที่ผลสำรวจความพึงพอใจลูกค้าพบว่า กว่า 95% ประทับใจ ทั้งการบริการ พนักงาน และความคุ้มค่า

สำหรับแผนขยายสาขา ในปี 2568 จะเปิดให้ครบ 16 สาขา และในปี 2569 จะขยายมากกว่า 70 สาขา มียอดขายรวมกว่า 3,600 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มเป็น 100 สาขาทั่วประเทศในปี 2570

พอใจผลประกอบการไม่หวั่นกำไรลด

แม้การทำศึกบุฟเฟ่ต์ที่มี ‘สงครามราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักจะฉุดให้กำไรไตรมาส 3 ปี 2568 ของ MK ลดลง แต่ทางธีร์บอกว่า รู้สึกพอใจกับผลประกอบการดังกล่าว โดยเฉพาะการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น 5%

พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ทำให้กำไรลดลง โดยเขาบอกว่า หลัก ๆ มาจากสภาพเศรษฐกิจ และ Fixed cost ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น เช่น ค่าแรง ค่าเช่าพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งจากนี้ต้องมาดูว่า จะหาวิธีควบคุมและบริหารจัดการให้ดีขึ้นได้อย่างไร

สำหรับการประเมินภาพปีหน้า ธีร์มองว่า การแข่งขันจะสูงขึ้น และสงครามราคาเหมือนในปีนี้ก็จะยังมีให้เห็น ส่วนการมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นผู้เล่นรายเดิมในตลาด ทั้งคู่มองเชิงบวก คือ เมื่อมีผู้เล่นใหม่เข้ามา ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดยิ่งเติบโตมากขึ้น

“ถ้าถามว่า มองการแข่งขันตอนนี้อย่างไร เรามองการแข่งขันมีทุกยุค สำหรับผมการแข่งขันเป็นสิ่งสวยงาม เป็นความสนุก และแต่ละรายมีทางของตัวเอง เราเองก็จะชนะด้วยข้อดีและจุดเด่นของเราที่จะนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขันของเรา นอกจากโบนัส สุกี้แล้ว ทาง MK ยังจะสานต่อบุฟเฟ่ต์คุ้มคุ้ม 299 บาท ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไร ขอรอดูผลตอบรับเมื่อจบปี 2568 อีกครั้ง”

ลัคกี้ สุกี้ ผนึกกำลัง CRG ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้

ด้านบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ และ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ หลังจาก CRG เข้ามาร่วมทุน 40% ก็เตรียมเร่งสปีดในการขยายสาขาเต็มกำลัง

‘ณัฐ วงศ์พานิช’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมทุนกับมิราเคิล แพลนเนท คือ การจับมือกันของสององค์กรที่มีความแข็งแกร่ง เพื่อนำศักยภาพที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่ายมาผนึกกัน ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯ เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจร้านสุกี้ในรูปแบบบุฟเฟต์มีโอกาสขยายได้อีกมาก และเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์ ลัคกี้ สุกี้ และ ลัคกี้ บาร์บีคิว ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือครั้งนี้ จะนำความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารจัดการด้านธุรกิจอาหาร เทคโนโลยี และเครือข่ายพันธมิตรทางการค้าในปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนให้มิราเคิล แพลนเนท มีการเติบโตทั้งด้านผลการดำเนินงาน และการขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว ตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับแผนการขยายธุรกิจ จะมีขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ปีละ 20 – 25 สาขา เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง และมีจำนวนสาขา 100 – 120 สาขาทั่วประเทศ

ขณะที่ ‘รสรินทร์ ติยะวราพรรณ’ กรรมการบริหาร มิราเคิล แพลนเนท เผยถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจกับ CRG ว่า มาจากความเชื่อมั่นในศักยภาพ และความเป็นมืออาชีพขององค์กร ที่มีความเข้าใจเชิงลึกในธุรกิจร้านอาหาร ทั้งด้านการวางกลยุทธ์ การมองภาพระยะยาว และระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลงานและความสำเร็จที่ CRG สร้างร่วมกับพันธมิตรหลายรายมาแล้ว

“สิ่งที่เรามองหาไม่ใช่เพียงการขยายสาขา แต่คือการสร้างรากฐานธุรกิจที่แข็งแรง และมาตรฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวในระยะยาว ซึ่ง CRG และ มิราเคิล แพลนเนท มีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับธุรกิจอาหารไทยให้แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าให้ ลัคกี้ สุกี้ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้ และบาร์บีคิวของไทยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า”

ตี๋น้อยเตรียมจัดโปรฯฉ่ำ-เปิดสาขาต่อเนื่อง

ขณะที่ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ผู้นำและผู้บุกเบิกตลาดบุฟเฟ่ต์สุกี้ แม้การประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 จะทำกำไรไป 221 ล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบการเติบโตกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ยังเดินหน้าทำตามแผนธุรกิจเดิม โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ไว้ 9,000 ล้านบาท

การสร้างรายได้ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ‘เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ ซีอีโอ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย หลัก ๆ มาจาก ‘การขยายสาขาใหม่’ ซึ่งปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยมี 86 สาขา และ Teenoi BBQ 4 สาขา

ขณะที่ในปี 2569 ตั้งเป้าจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 32 สาขา เป็นจำนวนสูงที่สุดเท่าที่ทำมา พร้อมกับประกาศจัดโปรฯ ต่อแบบฉ่ำ ๆ ไม่หยุดพัก ส่วนรูปแบบจะออกมาเป็นอย่างไรขอให้ติดตาม

ความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายหลักแถมเป็นรายใหญ่ทั้งสามรายแบบไม่มีใครยอมใคร สะท้อนให้เห็นว่า พร้อมสู้กับศึกครั้งนี้ จึงทำให้น่าจับตามองเป็นอย่างมากว่า ศึกบุฟเฟ่ต์สุกี้จะไปจบลงตรงไหน?   

]]>
1547545
‘ศึกบุฟเฟ่ต์’ ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร? เพราะแม้ MK-สุกี้ตี๋น้อย ยอดขายจะโต แต่กำไรตกทั้งคู่ https://positioningmag.com/1546993 Thu, 13 Nov 2025 12:04:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546993 น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เมื่อ ‘ศึกบุฟเฟ่ต์’ ในตลาดสุกี้ที่ใช้ ‘สงครามราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อแย่งชิงลูกค้าและกระตุ้นยอดขายได้เริ่มเห็นผลกระทบแล้วระหว่าง Volume Vs. Margin สะท้อนจากผลประกอบการของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการทั้ง ‘MK’ และ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ที่แม้ยอดขายจะเติบโต ทว่ากำไรกลับลดลง

 

MK กำไรหายกว่า 32%

 

‘บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)’ ได้เปิดเผยถึงผลประกอบช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 ว่า มีรายได้รวม 3,884 ล้านบาท เติบโต 5.5% ซึ่งสัดส่วนรายได้ 72% มาจาก MK Restaurants ที่มีบุฟเฟ่ต์ 299 บาท เป็นตัวผลักดันสำคัญของการเติบโต

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาดูกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 3 กลับพบว่า MK ทำกำไรสุทธิลดลง โดยทำไปได้ 226 ล้านบาท ลดลง -33.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า แม้โปรโมชั่นบุฟเฟต์ จะสามารถดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้สำเร็จ แต่ก็ฉุด ‘กำไรขั้นต้น’ ให้ลดลง

 

เนื่องจาก ‘อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของ MK ลดลงจาก 67.8% ในไตรมาส 3 ปี 2567 มาเหลือ 63.9% ในไตรมาส 3 ปี 2568

 

ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรก ปี 2568 MK มีรายได้จากการขายและบริการ 11,218 ล้านบาท ลดลง -4% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 735 ล้านบาท ลดลง -32.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เคยทำได้ 1,088 ล้านบาท และยอดขายสาขาเดิมลดลง -4.1%

 

เหตุผลที่ทำให้การเติบโตลดลง ก็เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนตัวลง และช่วงเดือน ม.ค.- พ.ค. 2568 ยังไม่ได้ทำโปรโมชันบุฟเฟต์ ทำให้ยอดขายสาขาเดิมลดลงเป็นอย่างมาก

 

แม้ทิศทางของกำไรสุทธิจะลดลง แต่ทาง MK ยังมองช่วงปลายปีนี้ คือ ‘โอกาสสำคัญ’ ในการเร่งยอดขาย โดยเตรียมออกแคมเปญ MK คุ้มเกินคุ้ม 299 บาท ที่จะเพิ่มโปรโมชั่นใหม่และขยายสาขาโบนัส สุกี้เพิ่มเติม เพื่อรักษาการเติบโตของธุรกิจบุฟเฟ่ต์ให้ทะลุเป้าหมาย

 

ซึ่งต้องติดตามว่า จะออกมาในรูปแบบใด

 

พี่เฟิร์นจะโดนตัดเงินเดือนไหม? หลังบริหาร ‘สุกี้ตี๋น้อย กำไรลดลง

 

สำหรับ ‘บริษัท บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด’ ที่มี ‘เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ เป็นผู้ก่อตั้ง และปัจจุบันเป็นเจ้าของ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ที่ตอนนี้มีสาขา 86 แห่ง, ‘ตี๋น้อย บาร์บีคิว’ 7 แห่ง และ ‘ตี๋น้อย โกลด์’ 1 สาขา รวมทั้งหมด 96 สาขา ได้เปิดกำไรสุทธิช่วง 9 เดือนของปีนี้ว่า ทำได้ 803 ล้านบาท ลดลง 9.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

แต่หากแยกเป็นรายไตรมาส และเทียบการเติบโตกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า

 

ไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท ลดลง 2.1%

ไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท ลดลง 6.7%

ไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท ลดลง 21%

 

จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ช่วงไตรมาส 3 ที่สงครามบุฟเฟ่ต์ได้ปะทุขึ้น ทำให้กำไรสุทธิของบริษัท บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ฯ ลดลงสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา

 

หลังจากผลประกอบการดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ทางเพจสุกี้ตี่น้อยได้โพสต์ว่า ‘พี่เฟิร์น! บริหารทำกำไรลดลงมากกว่า 30% ควรตัดเงินเดือนดีไหม’ พร้อมถามแฟนเพจคิดเห็นอย่างไร? และโชว์สถิติ 9 เดือนแรกลูกค้ามากิน ปี 2567 และ ปี 2568 ว่า

 

9 เดือน แรกปี 67 ลูกค้ามากิน จำนวน 19,640,281 หัว มีจำนวน 74 สาขา

9 เดือนแรก ปี 68 ลูกค้ามากินจำนวน 27,654,654 หัว มีจำนวน 96 สาขา

 

โดยหมายเหตุให้เห็นว่า ที่ใช้คำว่า ‘หัว’ นับจำนวนคนมากินสุกี้ตี๋น้อย เพราะคน 1 คน อาจมากินหลายครั้ง พร้อมแจกฟรีลด 50% และไตรมาส 4 ขอจัดโปรฯฉ่ำ ๆ ต่อ

 

นอกจากนี้ เพจสุกี้ตี๋น้อยยังด้โพสต์บทสัมภาษณ์ของเฟิร์น-นัทธมน ในปี 2563 ที่ว่า ‘อย่ามองกำไรสำคัญที่สุดเราต้องให้ลูกค้าก่อน แล้วทุกอย่างจะคืนกลับมา’

 

เหมือนจะย้ำให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตของสุกี้ตี๋น้อยที่ให้ความสำคัญกับ ‘ลูกค้า’ มากกว่าคำนึงถึงตัวเลข ‘ผลกำไร’

 

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของสองยักษ์ใหญ่ในวงการสุกี้ทั้ง MK และ สุกี้ตี๋น้อย ก็สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของไทยและการแข่งขันธุรกิจในธุรกิจร้านอาหารที่ยังร้อนแรงไม่หยุด ศึกบุฟเฟ่ต์ที่มี ‘สงครามราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญก็ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการเช่นเดียวกัน

]]>
1546993
สรุปศึกระหว่าง ‘MK’ Vs ‘ตี๋น้อย’ จากภาพสงครามราคา สู่การเปิดตัว ‘BONUS SUKI’ Fighting Brand ของ MK https://positioningmag.com/1529944 Mon, 14 Jul 2025 09:31:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529944 ถ้าใน Netflix มีซีรีส์ สงครามส่งด่วน แต่ในโลกความจริง ณ ตอนนี้ก็มี สงครามหม้อเดือด ระหว่างพี่ใหญ่ MK และน้องใหม่ไฟแรงเฟร่ออย่าง สุกี้ตี๋น้อย ที่กำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือด โดย Positioning จะสรุปเรื่องราวที่ใครก็คิดว่าเป็นสงครามราคา แต่แท้จริงแล้วเป็นการทดลอง ที่นำไปสู่ Fighting Brand ของ MK

สงครามปะทุเมื่อพี่ใหญ่ทำบุฟเฟต์

ต้องยอมรับว่าการตลาดของ MK นับตั้งแต่การประกาศรีแบรนด์ในช่วงต้นปี สามารถสร้างกระแสให้กับแบรนด์ได้ชัด ไม่ว่าจะชื่อที่เปลี่ยนเป็น Mongkol Restaurants, การออกบะหมี่หยกจานใหญ่, ออกเมนูสุกี้ผัดแห้ง โดยใช้หม้อแดงที่คุ้นเคย 

แต่แคมเปญที่สร้างความฮือฮาให้ก็คือ โปรฯ บุฟเฟต์ ในราคา 299 บาท ทานได้ 20 เมนู เฉพาะในสาขาบิ๊กซี และโลตัส โดยเริ่มตั้งแต่ 9-30 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยหลังจากที่ MK ออกแคมเปญ ทาง สุกี้ตี๋น้อย ก็ต้อนรับพี่ใหญ่ในตลาดบุฟเฟต์ด้วยการ ลดราคาเหลือ 199 บาท จากปกติ 219 บาท (ไม่รวมน้ำรีฟิล และ Vat 7%) รวมถึงมีโปรอื่น ๆ ตามมาอีกอย่างฟรีเครื่องดื่มรีฟิล ตั้งแต่วันที่ 16-30 มิ.ย. 68 เวลา 11.00 – 17.00 น.

 

แน่นอนว่า MK ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการทำบุฟเฟต์ ทำให้ช่วงเริ่มต้นนั้นแบรนด์ต้องเจอกับ ดราม่า โดยเฉพาะเรื่อง วัตถุดิบไม่เพียงพอ และ พนักงานบางคนยังงงกับการบริหารจัดการ แต่ถึงจะมีดราม่า MK ก็สามารถทำยอดขายกว่า 20 ล้านคอนโด สร้างสถิติใหม่ ดันยอดขายโตกว่า 42% เพียง 22 วัน และลูกค้าสมาชิก MK กลับมาใช้บริการมากกว่าปกติถึง 100% จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ MK ขยายโปรฯ อีก 1 เดือน ทันที อีกทั้งยังขยายครบทุกสาขา

MK คุ้มมั้ย? กับบทเรียนสงครามราคา แม้มีดราม่า แต่ได้กลับมาพร้อมไวรัล

ในฝั่งของ สุกี้ตี๋น้อยองก็ขยายเวลาโปรฯ 199 บาท เพิ่มอีก 5 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 – 5 กรกฎาคม แต่ที่เป็นไวรัลจริง ๆ ก็คือ แคมเปญที่อนุญาตให้ ลูกค้าพกน้ำจิ้มมาเอง ระหว่างวันที่ 1-4 กรกฎาคม 2568 นี้ จากปกติเป็นข้อห้ามของทางร้าน ซึ่งแม้จะเป็นแคมเปญสั้น ๆ แต่ก็ช่วยสร้างไวรัลโดยที่ไม่ต้องใช้งบการตลาด แถมยังได้ทั้งอินไซต์ความชอบของลูกค้า แถมยังลดต้นทุนน้ำจิ้มของตัวเองได้อีก

ร้านสุกี้ตี๋น้อย (ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สุกี้ตี๋น้อย)

จากสงครามราคา สู่การซุ่มปั้นแบรนด์ใหม่ของ MK

อย่างไรก็ตาม ในมุมผู้บริโภคอาจจะเห็นการแข่งขันของทั้ง 2 แบรนด์เป็นเพียงเรื่องของ สงครามราคา แต่ในมุมนักการตลาดก็มีการวิเคราะห์ว่า MK อาจจะกำลัง ทดลอง ทำอะไรบางอย่าง และในที่สุด ก็มีคนตาดีเห็นแบรนด์บุฟเฟต์สุกี้น้องใหม่ที่โรบินสันไลฟ์สไตล์สระบุรี ชื่อ โบนัส สุกี้ (BONUS SUKI) ซึ่งเปิดวันแรกไปเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยราคาอยู่ที่ 219 บาท/คน โดยราคานี้ไม่รวมเครื่องดื่มรีฟิล 39 บาท และ Vat 7% (เท่ากับจะมีราคา Net อยู่ที่ 276 บาท เท่ากับสุกี้ตี๋น้อยและลัคกี้ สุกี้) 

โดยแบรนด์โบนัส สุกี้ อยู่ภายใต้ บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ เอ็มเค เรสสเตอรองต์ กรุ๊ป มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาท และมีแผนเพิ่มทุนเป็น 200 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า โบนัส สุกี้ คือ Fighting brand ของ MK เพื่อเอามาสู้กับผู้เล่นใหม่ ๆ มาเขย่าบัลลังก์ผู้นำตลาดสุกี้ของ MK 

แน่นอนว่าหลังจากที่ MK ความแตกเรื่อง โบนัส สุกี้ ทาง สุกี้ตี๋น้อย ก็ต้องงัดโปรโมชั่นมาสู้ โดย ลด 50% ใน 10 สาขา ระหว่างวันที่ 17-18 กรกฎาคม ในช่วงเวลา 00.01-05.00 น. เท่านั้น รวมราคา 117 บาท Net เครื่องดื่ม  รีฟิล ฟรี!  อีกทั้งยังต่ออายุโปรโมชั่นฟรีเครื่องดื่มรีฟิล และให้พกน้ำจิ้มมาทานที่ร้านได้ถึงสิ้นเดือน 31 กรกฎาคม

เชื่อว่าจากนี้ตลาดสุกี้จะเดือดยิ่งกว่าหม้อต้มสุกี้เสียอีก เพราะแต้มต่อของ MK ก็คือ จำนวนสาขาที่มากถึง 423 สาขา เฉพาะสาขาในโลตัสและบิ๊กซีที่เคยประเดิมทำโปรฯ ก็มีในมากกว่า 200 สาขา แล้ว ดังนั้น MK พร้อมที่จะเปลี่ยนบางโลเคชั่นให้กลายเป็นโบนัส สุกี้ ได้ไม่ยาก คงต้องรอดูกันว่าเมื่อพี่ใหญ่ลงมาลุยตลาดบุฟเฟต์เต็มตัว บรรดาคลื่นลูกใหม่ไฟแรงในตลาดจะแก้เกมอย่างไร

]]>
1529944
‘สงครามราคา’ คือ ทางรอดวิกฤตร้านอาหารจริงหรือ? https://positioningmag.com/1529915 Mon, 14 Jul 2025 06:54:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529915 ตอนนี้เราได้เห็นดีกรีความร้อนแรงของ ‘สงครามราคา’ ในธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสุกี้ จากสองยักษ์ใหญ่อย่าง ‘MK’ และ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ยังไม่รวมร้านอาหารอื่น ๆ ที่ทยอยงัดไม้นี้มาเป็นกลยุทธ์เรียกลูกค้าหลังต้องเผชิญปัญหายอดขายตกจากภาวะเศรษฐกิจจนหลายแห่งเสี่ยงต้องปิดตัว

คำถามคือ การเล่นสงครามราคา หรืออัดโปรฯ แรง ๆ ช่วยฝ่าวิกฤตที่ต้องเจออยู่จริงหรือไม่ ?

ภายในงานเสวนา ‘เสิร์ฟแผนรอด: สูตรลับร้านอาหารไทยฝ่าวิกฤต’ ที่ทาง ‘เคทีซี’ หรือ ‘บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)’ จัดขึ้น ทาง ‘สุรเวช เตลาน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด ผู้บริหารร้าน  Mo-Mo-Paradise ในไทย แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ว่า สงครามราคากำลังเป็นกระแสในช่วงนี้ และเป็นวิธีง่ายสุดในการสร้างยอดขาย แต่เมื่อทำแล้วได้ประโยชน์จริงหรือไม่ในระยะยาวจริง เป็นคำถามที่ต้องคิดดี ๆ เพราะแบรนด์ที่ทำสงครามราคาได้ ต้องสะสมบุญให้มากพอ

การสะสมบุญที่ว่า ได้แก่ ‘สายป่านเรื่องเงินทุนต้องยาว’ เพื่อให้สามารถเล่นสงครามราคาได้ในระยะเวลาหนึ่งแบบไม่กระทบ และ ‘ขนาดธุรกิจต้องได้’ เช่น จำนวนสาขาต้องมีมากพอ และโครงสร้างธุรกิจต้องเอื้ออำนวย ซึ่งสำหรับ Mo-Mo-Paradise แล้ว เขามองว่า ไม่เหมาะกับการลงมาเล่นสงครามราคา หรืออัดโปรฯ แรง ๆ จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และ Brand value ที่สร้างมาตั้งแต่แรก

“เราไม่เหมาะกับวิธีนี้ เพราะสะสมบุญมาไม่มากพอเท่าแบรนด์ใหญ่ 18 ปี เรามี 30 สาขา คือเราไม่ใหญ่ และหากเราลงเล่นสงครามราคา ในระยะยาวมันไม่คุ้มกัน ดังนั้น เวลาทำโปรโมชั่นเราไม่ได้อยากสร้างให้ลูกค้ารู้สึกว่า Mo-Mo-Paradise ต้องราคาถูกถึงจะมากิน แต่มาเพราะความคุ้มค่าบวกคุณภาพ เพื่อไม่ให้แบรนด์เสียราคา”

ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ ‘จักรกฤติ สายสมบูรณ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ Maguro Group ที่ยอมรับว่า ‘ราคา’ มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ซึ่งเห็นผลตอบรับชัดเจนเมื่อทำแล้ว ‘เวิร์กจริง’ เพราะตอนนี้เงินกระเป๋าของแต่ละคนน้อยลง การจ่ายแต่ละครั้งจึงต้องได้ดีลดีที่สุด โดยในระยะเวลาที่ทำจะเพิ่มยอดได้ประมาณ 30%

อย่างไรก็ตาม การเล่นสงครามราคา จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและแบรนด์ เพราะการลดราคาแรง ๆ หรืออัดโปรฯ บ่อย จะส่งผลต่อมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ และเกิดคำถามจากลูกค้าว่า ‘ลดราคา คุณค่าและคุณภาพลดลงด้วยหรือไม่?’ หรือ ‘ทำไมถึงขายราคาเดิมไม่ได้แล้ว?’

สิ่งที่ตามมา คือ ลูกค้าเดิมที่ปลุกปั้นและติดตามกันมาตั้งแต่เริ่มต้นอาจจะหายไป และได้ลูกค้าใหม่ที่ไม่มีลอยัลตี้เข้ามาแทน โดยลูกค้ากลุ่มนี้พร้อมจะสวิตช์แบรนด์ทันที เมื่อ ‘ที่ไหนมีโปรฯ ก็พร้อมจะเปลี่ยนไปที่นั้นทันที’ ซึ่งเป็น กลุ่มลูกค้าที่ไม่ยั่งยืน

สำหรับ Maguro Group เอง ด้วยจุดยืนและโครงสร้างของแบรนด์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อลดราคา หรือจัดโปรฯ ถี่ แม้จะมีบ้างตามสถานการณ์แต่จะมีไม่บ่อยนัก โดยทางออก จักรกฤติ ให้ความสำคัญกับการให้มากกว่า ‘ราคาถูก’ ด้วยการไปเจาะความต้องการของลูกค้าให้ลึกขึ้น ให้ลูกค้าจ่างเงินน้อยลง แต่ได้อาหาร ตลอดจนบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานดีเหมือนเดิม เช่น แบรนด์มากุโระ จะมีขนาดอาหารต่อจาน (Portion Size) ที่ค่อนข้างใหญ่ จึงมีการลดขนาดอาหารให้เหมาะกับการกินต่อคนมาในราคาถูกลงเป็นต้น

ทั้งสองผู้บริหารทิ้งท้ายว่า เราคงเห็นภาพของการเล่นสงครามราคาไปอีกสักระยะ แต่คงไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะแต่ละแบรนด์รู้ดีว่า ในระยะยางกลยุทธ์นี้ไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจและจะส่งกระทบในเรื่องรายได้อย่างแน่นอน

]]>
1529915
MK คุ้มมั้ย? กับบทเรียนสงครามราคา แม้มีดราม่า แต่ได้กลับมาพร้อมไวรัล https://positioningmag.com/1526580 Wed, 18 Jun 2025 09:25:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1526580 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่มีประเด็นอะไรร้อนแรงไปกว่า “สงครามราคา” ของสุกี้หม้อเดือด ที่ทำเอาร้อนแรงไปทั่วโซเชียล เป็นการฟาดฟันของพี่ใหญ่อย่าง MK และสุกี้ตี๋น้อย เมื่อ MK ได้ประกาศลงสนามบุฟเฟต์ในราคา 299 บาท ทานได้ 20 เมนู ในสาขาบิ๊กซี และโลตัส เริ่มตั้งแต่ 9-30 มิถุนายน

หลังจากนั้นสุกี้ตี๋น้อยประกาศราคา 199 บาท เพื่อเป็นการฉลองที่มียอดผู้ติดตามในเฟซบุ๊กครบ 1 ล้านราย จากปกติราคา 219 บาท (ยังไม่รวมน้ำรีฟิล และ Vat 7%) รวมไปถึงยังมีประกาศโปรอื่นๆ ตามมาอีกอย่างฟรีเครื่องดื่มรีฟิล ตั้งแต่วันที่ 16-30 มิ.ย. 68 เวลา 11.00 – 17.00 น.

เรียกได้ว่าเป็นศึกที่ไม่มีใครยอมใคร เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า MK ได้ครองตลาดสุกี้ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เป็นร้านอาหารที่เป็น Top of Mind ในอันดับต้นๆ สำหรับกลุ่มครอบครัวที่ต้องการไปทานอาหารนอกบ้าน พร้อมกับเคยมีไวรัลเพลง “กินอะไร กินอะไร กินอะไร ไปกินเอ็มเค” โด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง 

แต่เมื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การบุกตลาดของ “สุกี้ตี๋น้อย” และสุกี้ ชาบูในรูปแบบบุฟเฟต์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ MK เริ่มได้รับผลกระทบ เพราะผู้บริโภคมองหาเรื่องความคุ้มค่ามากขึ้น การทานแบบบุฟเฟต์จึงนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ในช่วงหลัง MK จึงมีการแก้เกมในหลายอย่าง ถึงแม้จะช้าไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เช่น การเริ่มขายน้ำจิ้ม สุกี้ภายในร้าน ละขยายสู่โมเดิร์นเทรด ร้านค้าข้างนอก การจัดชุดสุกี้พร้อมทานจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ รวมไปถึงการจำหน่ายอาหารพร้อมทาน บะหมี่เป็ดย่างต่างๆ เพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่กลุ่มอาหารพร้อมทานมากขึ้น

ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ MK ดูจะมีสีสันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีการประกาศรีแบรนด์ตั้งแต่ต้นปี ได้เห็นไวรัลบนโลกโซ เชียลมากมาย ทั้งการเปลี่ยนชื่อร้านเป็น Mongkol Restaurants (มงคล เรสโตรองต์) ในช่วงเทศกาลตรุษจีน, การออกบะหมี่หยกจานใหญ่, ออกเมนูสุกี้ผัดแห้ง โดยใช้หม้อแดงที่คุ้นเคย

และที่สร้างเสียงฮือฮาได้มากที่สุดก็คือออกโปรโมชั่นบุฟเฟต์ในราคาสุทธิ 299 บาท เฉพาะสาขาที่อยู่ในโลตัส, บิ๊กซี และคอมมูนิตี้ มอลล์อื่นๆ แม้จะไม่ใช่บุฟเฟต์ครบทุกเมนูแบบจัดเต็ม แต่หลายคนก็มองว่าเมนูเท่านี้ เทียบกับคุณภาพของ MK ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว เพราะถ้าเป็นบุฟเฟต์ในกลุ่มพรีเมียมจะมี MK Gold อยู่แล้ว จะมีราคาอยู่ที่ 545 บาท เรียกว่าการจัดโปรนี้เพื่อจับตลาดแมสโดยเฉพาะ

แต่เมื่อหลังจากที่มีการคิกออฟตัวแคมเปญจริงจัง ก็ได้ทั้งไวรัลกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งทั้งในแง่บวก และแง่ลบ มีดราม่าทั้งเรื่องวัตถุดิบไม่เพียงพอ บางคนไปทานแล้วหลายเมนูหมด ทำให้เกิดกระแสตีกลับว่าลงมาเล่นในสงครามราคา แต่มีความไม่พร้อม…

สิ่งที่ MK ได้รับกลับมานอกจากไวรัล และดราม่า ยังมียอดขายที่เติบโตขึ้น ซึ่ง MK รายงานว่าหลังจัดโปรบุฟเฟต์ 4 วัน สร้างยอดขายเติบโตขึ้น 49% ส่วนสาขาที่จัดโปรมียอดขายโตขึ้น 98% 

ถึงแม้ MK จะเป็นพี่ใหญ่ในวงการสุกี้ แต่เมื่อลงมาสนามบุฟเฟต์ (ระดับแมส) ถือว่าเป็นน้องใหม่จริงๆ แต่เพื่อที่จะจับใจคนรุ่นใหม่ ก็ต้องจัดโปรโมชั่นที่หวือหวา เพราะยุคนี้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น การจะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจ      ผู้บริโภคได้ในระยะยาว และอยู่กับคนทุกยุค จำเป็นต้องมีสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ 

แม้โปรโมชั่นนี้จะได้รับเสียงสะท้อนเป็นดราม่า แต่ก็ถือว่า MK ได้พื้นที่สื่อ และได้รับความสนใจกลับคืนมา ทำให้เห็นได้ว่าผู้บริโภคยังเลือก MK อยู่ เพราะคุณภาพ และจุดเด่นที่เป็ดย่าง และน้ำจิ้ม แต่ด้วยราคาที่สูงจึงทำให้ต้องหันไปเลือกแบรนด์อื่นที่ราคาคุ้มค่ากว่า ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปว่า หลังจากหมดโปรโมชั่นนี้แล้ว MK จะมีการแก้เกมระยะยาวอย่างไร และจะมีบุฟเฟต์แบบถาวรหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1526580
จับตาการเปิด ‘น่านน้ำใหม่’ ของแบรนด์ เมื่อยุคนี้ ‘ใหญ่’ และ ‘เก๋า’ แค่ไหนก็ต้องปรับตัว https://positioningmag.com/1524310 Mon, 02 Jun 2025 09:28:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1524310 เพราะยุคนี้ไม่ว่าจะเป็น ‘แบรนด์ใหญ่’ หรือ ‘อยู่ในตลาดมานานแค่ไหน’ หากไม่รู้จักปรับตัวก็ยากที่จะอยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว เราจึงได้เห็นการเปิด ‘น้ำน่านใหม่’ ของหลายแบรนด์ ด้วยการขยายไลน์โปรดักต์สู่ตลาดใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งภาพเหล่านี้เห็นชัดเจนจาก THAIFEX – Anuga Asia 2025 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มใหญ่สุดของภูมิภาคเอเชียที่เพิ่งผ่านพ้นไป

 

เอ็มเค

 

นอกเหนือจากจะเพิ่มความหลากหลายของเมนู เพื่อดึงคนเข้าไปใช้บริการภายในร้านให้มากขึ้นแล้ว เช่นเปิดตัว ‘สุกี้ผัดแห้งเอ็มเค’ ที่ให้พนักงานไปเสิร์ฟและผัดให้กินถึงโต๊ะ เพื่อเจาะฐานลูกค้าใหม่ ๆ  ทางเอ็มเคยังหันมารุกตลาดน้ำจิ้มขวด และ Ready to Cook อย่างชุดสุกี้ ล่าสุดยังเปิดตัวสินค้าในกลุ่ม ‘อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน’ ได้แก่ ‘บะหมี่ผักโมโรเฮยะหมูแดง’, ‘ข้าวซี่โครงหมู’ และ ‘ข้าวเนื้อตุ๋น’ พร้อมกับน้ำจิ้มใหม่ 2 รสชาติอย่าง  ‘น้ำจิ้มสุกี้สูตรเผ็ด’ และ ‘น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้โบราณสูตรเผ็ด’ ซึ่งสินค้าใหม่ทั้งหมดมีแผนจะวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเร็ว ๆ นี้

FF

 

ด้านบริษัท แฟชั่นฟู้ด จำกัด เจ้าของขนมอบกรอบรสมะเขือเทศ และพริกหยวก ภายใต้แบรนด์ FF ที่เราคุ้นเคยมาเกือบ 40 ปี ก็ได้มีการขยายไลน์สินค้าสู่เส้นบะหมี่อบแห้ง ไม่ว่าจะเป็น โชกุนหยกบะหมี่อบแห้ง บะหมี่สไตล์เกาหลี รวมถึงเปิดตัวขนมอบกรอบแบบสติ๊กในหลากหลายรสชาติ อาทิ สติ๊กรสชีส สติ๊กรสสไปซี่ ฯลฯ เพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ที่ชอบรสชาติจัดจ้านและหยิบกินได้สะดวก

ไวไว

 

แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อาหาร ‘ไวไว’ ที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2515 มาในปีนี้ก็เปิดได้ออกโปรดักต์สำหรับขยายน้ำน่านใหม่ทางธุรกิจสู่ ตลาดผงปรุงรส ภายใต้แบรนด์ ‘รสเด็ด’ และมีการบุกตลาดซอสปรุงรส ภายใต้แบรนด์ ‘ไวไว’ มาในขวดพลาสติกพกพาง่ายและใช้สะดวก มีให้เลือกทั้ง ซอสหมักครบรส, ซอสผัดฉ่า, ซอสผัดกะเพรา และซอสผัดกะเพรา พร้อมกับรุกตลาดพรีเมียม กับการเปิดตัว ‘เส้นราเมนทำจากรำข้าว’ และ ‘ราเมนแป้งข้าว รสโชยุส้มจี๊ด’

ทิพย์สมัย

 

ทิพย์สมัย ผัดไทยประตูผี ร้านอาหารเจ้าของตำนานความอร่อย 86 ปี ได้ขยายตัวมาสู่ธุรกิจแปรรูป ทั้งอาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน ซอสปรุงรส และอาหารพร้อมทานแบบแช่แข็ง ภายใต้แบรนด์ ‘ทิพย์สมัย’ และล่าสุดแบรนด์ใหม่อย่าง ‘แบรนด์ไทย’ มาในคอนเซ็ปต์ Authentic Thai Taste to the World มีให้เลือกทั้งเมนูเส้น เมนูข้าว และของหวาน

 

เซ็ปเป้

 

สำหรับ ‘เซ็ปเป้’ ปีนี้มาในคอนเซ็ปต์ Mission to Mars มีการเปิดเซกเม้นท์สินค้าใหม่ในกลุ่มชา และขยายฐาน      ผู้บริโภค Mogu Mogu ซึ่งเป็น Snackable Drink ให้กว้างขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะตลาดสำคัญในเกาหลี อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส ละอังกฤษ

 

ลีกุมกี่

แบรนด์น้ำมันหอยแบรนด์แรกของโลก ก็มีกาขยับตัวด้วยเช่นกัน โดยมีการเปิดตัวแพ็กเกจใหม่มาในขวดพลาสติกใช้ง่าย พกพาง่าย

 

ฉั่วฮะเส็ง

 

เพื่อสร้างการเติบโตและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้นกว่าเดิม ‘ฉั่วฮะเส็ง’ แบรนด์น้ำพริกเผาอายุกว่า 75 ปี ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เป็น ‘น้ำพริกเผา ซิงเกิลเสิร์ฟ’ มีด้วยกัน 3 รสชาติหลัก ได้แก่ สูตรเผ็ด, ทรงเครื่อง และต้มยำ ซึ่งเตรียมวางขายในร้านสะดวกซื้อ รวมถึงออกแบรนด์ใหม่ ในชื่อ Taste Thai ซอสปรุงสำเร็จสำหรับส่งออกไปต่างประเทศ

 

]]>
1524310
ร้านสุกี้หนีตาย แตกไลน์สินค้าบุกเชล์ฟค้าปลีก เพิ่มรายได้ https://positioningmag.com/1517510 Sat, 05 Apr 2025 03:36:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517510
สมรภูมิ ตลาดสุกี้ มูลค่า 23,000-25,000 ล้านบาท (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ยังคงเผชิญความท้าทายด้านการแข่งขันดุเดือดอย่างต่อเนื่อง
จากในอดีตมี “เอ็มเค” ครองตลาดใหญ่สุด โดยเฉพาะในตลาดกลุ่มกลาง-บน (ราคาเฉลี่ย 400+ บาท/คน) สะท้อนจากรายได้ “หลักหมื่นล้านบาท” และกำไร “หลักพันล้านบาท”
แต่นับตั้งแต่ปี 2562-2564 มีแบรนด์สุกี้หน้าใหม่ถือกำเนิดขึ้น อาทิ ฮอตพอตแมน สุกี้ตี๋น้อย ลัคกี้สุกี้ โดยแบรนด์ใหม่เลือกตีตลาดแมสที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดที่เอ็มเคยังไม่เจาะ
และถือว่ามาได้ “ถูกจังหวะ” เพราะช่วงยุคโควิดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กำลังซื้อคนไทยลดลง ทำให้หาร้านอาหารราคาเข้าถึงง่าย โดยมองว่า “บุฟเฟต์” เป็นอาหารที่คุ้มค่า เพราะรับประทานได้ไม่จำกัด ทำให้จุดพลุแบรนด์สุกี้ตี๋น้อย ตามด้วยลัคกี้สุกี้ให้ติดตลาดมากขึ้น
สุกี้ตี๋น้อย
สุกี้ตี๋น้อย
สะท้อนจากผลประกอบการของสุกี้ตี๋น้อยที่ขยายตัวสูง ดังนี้
  • ปี 2562 มีรายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท (ปีฐาน)
  • ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท เติบโต 145% กำไร 140.3 ล้านบาท เติบโต 835%
  • ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท เติบโต 28% กำไร 148 ล้านบาท เติบโต 5.5%
  • ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท เติบโต 152% กำไร 591.5 ล้านบาท เติบโต 299%
  • ปี 2566 รายได้ 5,262.4 ล้านบาท เติบโต 32% กำไร 907.1 ล้านบาท เติบโต 53%
  • ปี 2567 รายได้ (ยังไม่ประกาศ) กำไรสุทธิ 1,169 ล้านบาท (อ้างอิงส่วนแบ่งกำไร JMART) เติบโต 28.9%
สวทางกับผลประกอบการของ เอ็มเค ที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนโควิด ดังนี้
  • ปี 2562 รายได้ 17,739 ล้านบาท โต 3% และกำไรสุทธิ 2,604 ล้านบาท โต 1%
  • ปี 2563 รายได้ 13,622 ล้านบาท ลดลง 23% และกำไรสุทธิ 907 ล้านบาท ลดลง 65%
  • ปี 2564 รายได้ 11,368 ล้านบาท ลดลง 17% และกำไรสุทธิ 131 ล้านบาท ลดลง 86%
  • ปี 2565 รายได้ 15,938 ล้านบาท โต 40% และกำไรสุทธิ 1,439 ล้านบาท โต 999%
  • ปี 2566 รายได้ 16,974 ล้านบาท โต 6% และกำไรสุทธิ 1,682 ล้านบาท โต 17%
  • ปี 2567 รายได้ 15,809 ล้านบาท ลดลง 7% และกำไรสุทธิ 1,442 ล้านบาท ลดลง 14%

จากการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้สุกี้แบรนด์เริ่มมองหาน่านน้ำรายได้ใหม่

โดย “เอ็มเค” ได้เจาะตลาดค้าปลีก ผ่านการส่ง “ชุดบะหมี่หยกลูกชิ้นรวมมิตร“ ราคา 69 บาท/ชุด วางขายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น และน้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มบ๊วย ราคา 65-119 บาท ขายในร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์นเทรด อาทิ บิ๊กซี แม็คโคร โลตัส
ล่าสุด “สุกี้ตี๋น้อย” ได้ส่งชุดผักสุกี้เข้าจำหน่าย ราคา 139 บาท ประเดิมวางขายในแม็คโครและโลตัสทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีการเปิดขายทางออนไลน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แพ็กเก็ตสินค้าสุกี้ตี๋น้อยและเอ็มเค ที่จัดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ/โมเดิร์นเทร
“แม้ปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยจะยังโตต่อเนื่อง แต่ถ้าเจาะลึกกำไรสุทธิต่อสาขาจะเห็นว่าลดลง โดยปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,169 ล้านบาท จาก 78 สาขา เท่ากับทำกำไร 14.9 ล้านบาท/สาขา จากปี 2566 ทำกำไรสุทธิ 913 ล้านบาท จาก 55 สาขา เท่ากับทำกำไร 16.6 ล้านบาท/สาขา“
ประกอบกับผู้เล่นสุกี้ตลาดแมสหน้าใหม่ก็เข้ามาชิงมาร์เก็ตแชร์ อย่าง ลัคกี้สุกี้ ก็ทำผลงานได้ดี สะท้อนจากผลประกอบการ 3 ปี ดังนี้
  • ปี 2565 รายได้ 79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.6 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท เติบโต 413% กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท เติบโต 1,635%
  • ปี 2567 รายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 148% กำไรสุทธิ N/A
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้แบรนด์สุกี้เริ่มวางจำหน่ายสินค้าตนเองบนเชลฟ์ค้าปลีกมากขึ้น และเทรนด์นี้คาดจะขยายตัว แม้จะไม่สร้างรายได้สูงเท่าหน้าร้าน แต่ก็เป็นช่องทางการเคลื่อนตัวหาผู้บริโภค พร้อมกับสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจในยุคที่ตลาดสุกี้หม้อร้อนเข้าสู่ภาวะเรดโอเชี่ยน!
]]>
1517510