เเม็คโคร – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 04 Dec 2021 08:56:09 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเเผน “แม็คโคร x โลตัส” เเท็กทีมเจาะตลาดอาเซียน ลุยค้าปลีก-ค้าส่ง ควบโมเดล O2O https://positioningmag.com/1365379 Fri, 03 Dec 2021 15:19:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365379 หลังจาก ‘กลุ่มซีพี’ ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ด้วยการโยกกิจการกลุ่มโลตัส (Lotus’s)
ในไทยและมาเลเซีย มูลค่ารวม 217,949 ล้านบาท ไปอยู่ภายใต้กลุ่มแม็คโคร (Makro) ผนึกกำลังขยายธุรกิจไปในระดับภูมิภาค

ล่าสุดทาง บมจ.สยามแม็คโคร เสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO)
ที่ 43.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมไม่เกิน 62,205 ล้านบาท (รวมมูลค่าของหุ้นส่วนเกิน) โดยทั้งห้ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO CPALL และ CPF ที่ได้รับสิทธิ และนักลงทุนรายย่อยสามารถจองซื้อระหว่างวันที่ 4 – 9 ธันวาคมนี้ (อ่านรายละเอียดการจอง ที่นี่)

วันนี้ ทางทีมผู้บริหารทั้งฝั่งแม็คโครเเละโลตัส เเถลงถึง กลยุทธ์หลังระดมทุนครั้งใหญ่ เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงิน ชำระเงินกู้จากสถาบันการเงินบางส่วน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ พร้อมเผยทิศทางธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกที่จะขยายไปในอาเซียน เเละการพัฒนาเทคโนโลยี เเพลตฟอร์ม O2O รองรับผู้บริโภคยุคใหม่ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายออนไลน์เป็น 15-20% ภายใน 3 ปี

ปักธงอาเซียน ผสมโมเดล O2O

สุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAKRO กล่าวว่า ตอนนี้แม็คโครและกลุ่มโลตัส มีฐานลูกค้าร่วมกันขนาดใหญ่ สเต็ปต่อไปจะเป็นการร่วมมือกันวางยุทธศาสตร์ที่มุ่งสร้างการเติบโตไปสู่ ‘ระดับภูมิภาค’ ขยายไปในทุกช่องทางทั้งการค้าส่งแบบ B2B (Business to Business) และค้าปลีกแบบ B2C (Business to Consumer)
โดยต่อยอดศักยภาพจากฐานธุรกิจในประเทศไทย ไปยังภูมิภาคเอเชียใต้และภูมิภาคอาเซียน

สำหรับรูปแบบธุรกิจจะเน้นไปที่ 3 กลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ คือ Wholesale ธุรกิจเเบบค้าส่ง นำโดยกลุ่มเเม็คโครในประเทศไทย ที่ดำเนินธุรกิจมานาน กว่า 32 ปี กลุ่มที่สองคือ Retail ธุรกิจค้าปลีกในไทยเเละมาเลเซีย เน้นอาหารเเละสินค้าอุปโภคบริโภค นำโดยกลุ่มโลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ตเเละมินิซูเปอร์มาเก็ต เเละกลุ่มที่สาม คือ Malls ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในไทยเเละมาเลเซีย โดยเมื่อรวมกันเเล้วสามารถทำยอดขายในปีที่ผ่านมาได้ถึง 4.3 เเสนล้านบาท

ทิศทางต่อไป จะขยายสาขาไปในหลายรูปแบบ เเละนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ พัฒนาระบบนิเวศออนไลน์ของการค้าปลีกรูปแบบใหม่ “ก้าวสำคัญคือเราจะสร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ทั้งฝั่งลูกค้า คู่ค้า ผู้ประกอบการ SMEs ผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทยโดยจะพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O ผสมระหว่างช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (offline and online หรือ O2O) เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในยุคดิจิทัล”

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 กลุ่มเเม็คโคร มีศูนย์จำหน่ายสินค้ารวม 145 สาขา ประกอบด้วย สาขาในไทย 138 สาขา และต่างประเทศ 7 สาขา ได้แก่ กัมพูชา อินเดีย (ภายใต้แบรนด์ “LOTS Wholesale Solutions”) จีน และเมียนมา มีการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ Makroclick , Makro Application และ Makro Line Official Account

ส่วนกลุ่มโลตัส ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีร้านค้ารวม 2,164 แห่งทั่วประเทศไทย ประกอบด้วย ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 222 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 192 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต 1,750 แห่ง ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้า 199 แห่ง มีพื้นที่รวมประมาณ 720,000 ตารางเมตร (ไม่รวมศูนย์การค้าที่ลงทุนโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท (LPF) รวม 23 แห่ง)

“แผนการขยายสาขาของแม็คโคร จะเดินหน้าขยายเฉลี่ยปีละ 5 สาขา หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายจะเริ่มขยายสาขาในต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 4-6 สาขา โดยจะโฟกัสการทำตลาดในภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก”

โดยหลังได้รับเงินทุนจากการระดมทุนครั้งนี้ สัดส่วนการนำไปใช้จะเเบ่งเป็นครึ่งหนึ่งจะนำไปขยายธุรกิจเเละใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเเละอีกครึ่งหนึ่งจะนำไปชำระเงินกู้

ที่มา : Facebook แม็คโคร คู่คิดธุรกิจคุณ

โลตัสยุคใหม่ คีพสไตล์ SMART

ด้านแบรนด์ Lotus’s กำลังอยู่ในช่วงที่มีการ ‘ปรับภาพลักษณ์ใหม่’ รีเเบรนด์ให้ทันสมัยเเละถูกใจลูกค้ามากขึ้น
ด้วยการวางโพสิชันนิ่งเป็น “SMART Retailer” สมาร์ทในการช้อปปิ้งเเละการจับจ่ายใช้สอย

สมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย เล่าว่า โลตัสมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งผ่านช่องทางที่หลากหลาย หรือ Omni-channel ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเเบบเฉพาะบุคคล รองรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการจะใช้เป็นช่องทางเติบโตไปด้วยกัน

การเปิดสาขา ‘Lotus’s Go Fresh’ ซึ่งเป็นมินิซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่มีสินค้าหลากหลาย
ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ของใช้ในบ้าน เครื่องดื่มเเละสินค้าต่างๆ ก็เป็นเเนวทางหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ไปพร้อมๆ ด้วยศูนย์การค้าของบริษัท ทั้งในไทยเเละมาเลเซีย
ให้เป็น Smart Community Hubs มีพื้นที่ให้เช่าเพื่อทำธุรกิจมากกว่า 1 ล้านตรม. (เเบ่งเป็นในประเทศไทยราว 7 เเสนตรม.) โดยมีการปรับให้ร้านเข้าใกล้ชุมชนมากขึ้น อย่างโซนบางใหญ่จะเป็น Family Mall โซนลาดกระบังจะเป็นเเนว Service Mall เป็นต้น

ผู้บริหารโลตัส มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจะค่อยๆ ทยอยฟื้นตัว หลังจากเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งจะส่งผลต่อการบริโภค เเละการเติบโตของกลุ่มโลตัส ซึ่งอัตราการเช่าพื้นที่ภายในศูนย์การค้าก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ คาดว่าจะกลับมาเต็มในระดับที่เคยได้ก่อนโควิดตั้งเเต่ช่วงกลางปีหน้าเป็นต้นไป

ทั้งนี้ โลตัสมีเเผนจะเดินหน้าเปิดสาขาในมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้ามีแผนขยายสาขาเฉลี่ย 10 สาขาต่อปี จากปัจจุบันที่มีสาขาอยู่ทั้งสิ้น 60 สาขา ส่วนประเทศอื่นๆ ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา ซึ่งจะเน้นการลงทุนทั้งออฟไลน์บวกออนไลน์ไปด้วยกัน

Photo : Shutterstock

ตั้งเป้ายอดขายออนไลน์ 20% ใน 3 ปี

ด้าน ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัสส์ เอเชีย-แปซิฟิก (ยกเว้นประเทศจีน) ให้ข้อมูลว่า ธุรกิจออนไลน์ของเเม็คโครเเละโสตัสกำลังจะพัฒนานั้น ล้วนมาจากความเเข็งเเกร่งของฐาน ‘ออฟไลน์’ ที่มีอยู่เดิม คือใช้กำลังสาขาเเละซัพพลายเชน ผสานธุรกิจทางด้าน B2B และ B2C เข้าด้วยกัน จุดเเข็งคือตอนนี้กว่า 100 สาขาของเเม็คโครกลายเป็นจุดที่ส่งสินค้าออนไลน์ให้ลูกค้า ซึ่งจะได้รับของในเวลาอันสั้นตามเวลาที่จองไว้

โดยธุรกิจออนไลน์ของบริษัทในช่วง 9 เดือนเเรกของปีมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มขึ้นถึง 60% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่เเล้ว โดยในส่วนของเเม็คโครมียอดขายออนไลน์ขยับจาก 1.22 หมื่นล้านบาท มาเป็น 1.83 หมื่นล้านบาท ขณะที่โลตัสทำยอดขายออนไลน์ได้ถึง 3.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่เเล้วที่ 1.5 พันล้านบาท

“จะมีการเปิดปรับปรุงแอปพลิเคชันและเพิ่มบริการใหม่เข้ามาตั้งเเต่ช่วงไตรมาส 1/65 เป็นต้นไป เริ่มจากแอปพลิเคชันของ MAKRO ก่อน และตามมาด้วยการปรับปรุงแอปพลิเคชันโลตัส ‘รูปแบบใหม่’ ซึ่งจะมีทั้ง การขายของออนไลน์ เป็นดิจิทัลทัชพอยต์ของฐานลูกค้าทั้งหมดมาไว้ในที่เดียว เเละใช้สาขาของโลตัสที่มีอยู่ถึง 2 พันสาขา มาส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมง นอกจากนี้จะนำผู้ประกอบการ คู่ค้า ขึ้นมาขายบนเเพลตฟอร์มด้วยกัน ตามรูปแบบ B2B2C ecosystem ซึ่งจะได้เห็นในช่วงไตรมาส 2/65”

จากการส่งเสริมช่องทางการขายผ่านออนไลน์อย่างเต็มที่ครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากช่องทางออนไลน์ของทั้งเเม็คโครและโลตัสเป็น 15-20% ให้ได้ภายใน 3 ปีนี้ จากปัจจุบันของเเม็คโครที่อยู่ระดับ 11-12%

 

]]>
1365379
โควิดสะเทือนรายได้ ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’ หาย 3 หมื่นล้าน ฉุดกำไร CPALL ปี’63 วูบ 27.9% https://positioningmag.com/1320464 Mon, 22 Feb 2021 13:08:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320464 พิษโรคระบาดทำคนใช้จ่ายน้อย ปี 2563 รายได้ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น(7-Eleven) ลด 10% หายไป 3 หมื่นล้าน เหลือ 3 เเสนล้าน ฉุดกำไร CPALL ร่วง 27.9% ‘แม็คโครยังโตรายได้เพิ่ม วางเเผนปีนี้ทุ่มลงทุนร้านสะดวกซื้ออีก 1.2 หมื่นล้าน

วันนี้ (22 ..2564) เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานปี 2563 โดยบริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 546,590 ล้านบาท ลดลง 4.3% จากปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ 525,884 ล้านบาท ลดลง 4.5%

มีต้นทุนในการจัดจําหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหาร 107,858 ล้านบาท ลดลง 3.3% มีกําไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จํานวน 19,262 ล้านบาท ลดลง 28.0% จากปีก่อน และมีกําไรสุทธิ 16,102 ล้านบาท ลดลง 27.9%

ปัจจัยหลักๆ มาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง เเละมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยลดลง รวมไปถึงการมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการถือปฎิบัติตาม TFRS16

สำหรับธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น’ (7-Eleven) ในปี 2563 มีรายได้รวม 300,705 ล้านบาท ลดลง 33,356 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% มีกําไรขั้นต้นจํานวน 83,724 ล้านบาท ลดลง 10,103 ล้านบาท คิดเป็น 10.8% โดยมีสัดส่วนกําไรขั้นต้น 27.8% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ 28.1%

รายได้ของเซเว่น อีเลฟเว่นที่ลดลงดังกล่าว สาเหตุหลักๆ มาจากการขายสินค้าและบริการ ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทําให้การประหยัดต่อขนาดที่ศูนย์กระจายสินค้าลดลง รวมถึงสัดส่วนของรายได้จากการขายสินค้าที่มีอัตรากําไรขั้นต้นสูงลดลง

ยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิมในปี 2563 ลดลง 14.5% โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันเท่ากับ 70,851 บาท มียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณเท่ากับ 75 บาท ขณะที่จํานวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 949 คน

ด้านธุรกิจศูนย์จําหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชําระเงินสดและบริการตนเอง (ธุรกิจแม็คโคร) ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ จากการขายและบริการไว้ได้ในระดับหนึ่งจากการเติบโตของธุรกิจแม็คโครประเทศไทย และสาขาในประเทศอินเดียและกัมพูชา

โดยแม็คโคร มีกําไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนหักรายการระหว่างกัน 8,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากปีก่อน

ขณะที่ กลุ่มธุรกิจอื่นมีกําไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 4,543 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จากปีก่อน เพราะมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม

ในปี 2564 CPALL มีแผนจะลงทุนเปิดร้านสะดวกซื้อสาขาใหม่ อีกราว 700 สาขา คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 11,500 – 12,000 ล้านบาทเเบ่งเป็น

  • เปิดร้านสาขาใหม่ ลงทุนราว 3,800 – 4,000 ล้านบาท
  • ปรับปรุงร้านเดิม ลงทุนราว  2,400 – 2,500 ล้านบาท
  • โครงการใหม่, บริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า ลงทุนราว 4,000 – 4,100 ล้านบาท
  • สินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ ลงทุนราว 1,300 – 1,400 ล้านบาท

ขณะเดียวกันก็จะวางเเผนเพิ่มตู้จําหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) เเละช่องทางขายทางออนไลน์ อย่าง ALL Online ผ่าน 7-Eleven.TH Application ShopAt24 เเละเเอปพลิเคชัน 7-delivery เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

 

ที่มา : SET 

]]>
1320464