กระทรวงกลาโหมของลิทัวเนียได้เปิดเผยว่า โทรศัพท์รุ่น Mi 10T 5G แฟล็กชิปของ ‘เสียวหมี่’ (Xiaomi) ยักษ์ใหญ่ด้านสมาร์ทโฟนของจีนที่จำหน่ายในยุโรป มีความสามารถในตัวในการตรวจจับและเซ็นเซอร์ข้อความต่าง ๆ เช่น “Free Tibet”, “Long live Taiwan independence” ซึ่งเป็นการสนับสนุนอิสรภาพของทิเบตและไต้หวัน ตลอดจนคำว่า “democracy movement” หรือขบวนการประชาธิปไตย

โดย Margiris Abukevicius รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของลิทัวเนียได้ให้คำแนะนำว่า อย่าซื้อโทรศัพท์จีนเครื่องใหม่ และ กำจัดโทรศัพท์ที่ซื้อไปแล้วโดยเร็วที่สุด

ความสัมพันธ์ระหว่างลิทัวเนียและจีนเริ่มเสื่อมลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเมื่อเดือนที่ผ่านมา จีนเรียกร้องให้ลิทัวเนียถอนเอกอัครราชทูตในกรุงปักกิ่ง และกล่าวว่าจะ เรียกคืนทูตของตนไปยังวิลนีอุส และจะเรียกคืนทูตจีนประจำกรุงวิลนีอุสด้วย หลังจากที่ไต้หวันประกาศว่าจะเปิดสำนักงานผู้แทนในลิทัวเนีย โดยใช้ชื่อว่า ‘สำนักงานผู้แทนไต้หวัน’ ซึ่งตามปกติแล้วการตั้งสำนักงานของไต้หวันในยุโรปและสหรัฐฯ จะใช้ชื่อว่า ‘ไทเป’

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอิงกริดา ซิโมนีเต ของลิทัวเนียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเน้นย้ำถึงการสนับสนุนประเทศลิทัวเนียหากโดนจีนกดดัน

รายงานของ National Cyber ​​Center ยังระบุด้วยว่าโทรศัพท์ Xiaomi กำลังส่งข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ที่เข้ารหัสไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสิงคโปร์ ส่วน Huawei ของจีนพบข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยในโทรศัพท์ P40 5G แต่ไม่พบในโทรศัพท์ของ OnePlus และผู้ผลิตรายอื่นในจีน

อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของ Huawei ยืนยันกับ BNS News ว่าโทรศัพท์ของแบรนด์ไม่ส่งข้อมูลของผู้ใช้สู่ภายนอก ขณะที่เสียวหมี่ยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล

“สิ่งนี้สำคัญไม่เพียงแต่ในลิทัวเนียแต่กับทุกประเทศที่ใช้อุปกรณ์ Xiaomi”

Source

‘เสียวหมี่’ ก็ไม่รอด! ถูกฝ่ายบริหารทรัมป์ ‘Blacklist’ ข้อหาเกี่ยวข้องกับทหารคอมมิวนิสต์จีน

ก่อนหน้าที่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ได้เพิ่ม ‘เสียวหมี่’ เข้าไปในรายชื่อบริษัทที่อ้างว่ามีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน โดยธุรกิจที่อยู่ในรายชื่ออยู่จะมีข้อจำกัดที่รุนแรง รวมถึงการห้ามการลงทุนของชาวอเมริกัน แต่ล่าสุด ได้ถูกเพิกถอนโดยผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งตัดสินว่าขาด ‘หลักฐานสำคัญ’ ที่อ้างว่าเสียวหมี่มีเจ้าของหรือถูกควบคุมโดยกองทัพของจีน

หลังจากที่คำสั่งออกมาหุ้นของ เสียวหมี่ พุ่งสูงถึง 12% ในวันจันทร์ที่ฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เกิดข่าวว่ากระทรวงกลาโหมได้ขึ้นบัญชีดำกับเสียวหมี่ ทำให้หุ้นของบริษัทลดลง 10% ในเวลานั้น โดยเสียวหมี่ได้กล่าวว่า “พอใจ” กับการตัดสินใจระงับคำสั่งห้ามชั่วคราว และจะยังคงผลักดันให้ศาลถอดตัวเองออกจากรายชื่อกระทรวงกลาโหมอย่างถาวร

“เราเชื่อว่าการที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าเสียวหมี่เป็นบริษัทของกองทัพและพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นการทำตามอำเภอใจของสหรัฐฯ ซึ่งศาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย”

อย่างไรก็ตาม บริษัทจีนอื่น ๆ ยังคงประสบกับปัญหาที่ถูกขึ้นบัญชีดำในยุคของทรัมป์ โดยตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้ประกาศเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่าจะเพิกถอน CNOOC บริษัทน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของจีน เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งห้ามการลงทุนของอเมริกัน เป็นต้น

Source