บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เปิดเผยว่า สหราชอาณาจักรจะบริจาควัคซีนโควิด-19 อีก 100 ล้านโดส เพื่อสมทบกับเเผนการของสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศว่าจะเเจกจ่ายวัคซีน Pfizer-BioNTech จำนวน 500 ล้านโดส ไปเมื่อเร็วๆ นี้
‘เอ็มมานูเอล มาครง’ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก็เตรียมจัดส่งวัคซีนช่วยเหลืออีก 30 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2021 นี้เช่นกัน
โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เเห่งสหรัฐฯ พร้อมกับ ‘อัลเบิร์ต บูร์ลา’ ซีอีโอของบริษัท Pfizer เเถลงร่วมกันเพื่อยืนยันว่า รัฐบาลจะเป็นผู้ซื้อวัคซีนของ Pfizer-BioNTech จำนวน 500 ล้านโดส ให้เเก่โครงการ COVAX “โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ” เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนอย่างน้อย 92 ประเทศ
สำหรับเเผนการจัดส่งจะทยอยส่ง 200 ล้านโดสแรกภายในปีนี้ ขณะที่เหลืออีก 300 ล้านโดส คาดว่าจะจัดส่งให้แล้วเสร็จภายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2022 โดยวัคซีนของ Pfizer ที่จะขายให้สหรัฐฯ ล็อตใหญ่นี้ เป็นส่วนหนึ่งใน
เเผนการจัดสรรวัคซีน 2 พันล้านโดสให้กับกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลาง ที่บริษัทเพิ่งประกาศเมื่อไม่นานมานี้
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาว เปิดเผยเอกสาร เเผนการเเบ่งปันวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 80 ล้านโดส ที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้คำมั่นไว้ โดยตั้งเป้าจะแจกจ่ายให้แล้วเสร็จ ‘เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้’ เเบ่งเป็นเฟสเเเรก 25 ล้านโดส ในจำนวนนี้ วัคซีนกว่า 75% จะถูกจัดสรรให้กับ COVAX (มีลิสต์รายชื่อประเทศไทยด้วย เเม้ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ) ขณะที่อีก 25% จะเตรียมสำรองไว้ให้ประเทศที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดหนัก จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือในทันที และประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ โดยตรง (คลิกอ่านต่อ : ที่นี่)
อย่างไรก็ตาม มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงแผนบริจาควัคซีนดังกล่าวว่ามีจำนวนน้อยเกินไป โดยองค์กรออกซ์แฟม ใช้คำเปรียบเปรยเหมือน ‘น้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร’ เพราะยังมีประชากรทั่วโลกเกือบ 4 พันล้านคนที่ต้องพึ่งพาโครงการ COVAX และปัจจุบันวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทุกยี่ห้อต้องฉีดให้ครบ 2 โดส
ทั้งนี้ ทวีป ‘แอฟริกา’ ยังเป็นโซนที่มีความคืบหน้าด้านการฉีดวัคซีนน้อยที่สุด ประมาณ 1.7% ของวัคซีนที่มีการฉีดทั่วโลกไปว่า 2.2 พันล้านโดส
]]>
โดย ‘เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์’ อยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของวัคซีนในโครงการ COVAX ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในกระจายวัคซีนให้แก่ประเทศยากจนกว่า 64 ประเทศ
ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อ ‘อินเดีย’ หนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลกต้องระงับการส่งออกวัคซีนของ แอสตราเซเนก้า (AstraZeneca) ซึ่งผลิตโดย Serum Institute of India (SII) เป็นการชั่วคราวจากความจำเป็นต้องเก็บสำรองวัคซีนไว้เพื่อใช้งานภายในประเทศ
โดย SII ได้ผลิตวัคซีนส่งให้กับ COVAX แล้วประมาณ 17.7 ล้านโดส จากกำหนดเดิมที่ต้องส่งมอบวัคซีนจำนวน 90 ล้านโดสให้กับ COVAX ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน
ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าอินเดียจะนำมอบวัคซีนส่วนนี้มาใช้ในประเทศเป็นจำนวนเท่าใด เเละไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาในการควบคุมการส่งออก
UNICEF ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านการจัดจำหน่ายของ COVAX เปิดเผยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า อินเดียอาจจะกลับมาส่งมอบวัคซีนไปต่างประเทศได้อีกครั้งภายในเดือนพฤษภาคม
ยังคงมีอีกหลายชาติที่จำเป็นต้องพึ่งพาโครงการกระจายวัคซีนนี้ โดย ’เกาหลีใต้’ เพิ่งจะได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพียง 432,000 โดสจากทั้งหมด 690,000 โดส โดยจะได้รับวัคซีนที่เหลือล่าช้าจากกำหนดเดิมไปเป็นสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายน
ด้านประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เต ของฟิลิปปินส์ ประกาศปลดล็อกข้อจำกัดในการนำเข้าวัคซีนของเอกชน โดยอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ สามารถนำเข้าวัคซีนเพื่อนำมาใช้สำหรับพนักงานของตนเอง นอกเหนือจากที่รัฐจะจัดหาให้ เพื่อต่อสู้กับโรคระบาดในประเทศที่กลับมาอีกครั้ง
ส่วนทางการเวียดนาม ได้ขอให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ หลังจากถูกปรับลดวัคซีนจากโครงการ COVAX ลงกว่า 40% เหลือ 811,200 โดส และคาดว่าจะได้รับวัคซีนล่าช้าออกไปอีกหลายสัปดาห์
ด้านเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียเผยกับ Reuters ว่า รัฐบาลอาจจะได้รับวัคซีนจำนวนกว่า 10.3 ล้านโดสจากโครงการ COVAX ล่าช้าออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคม
ก่อนจะเจอปัญหานี้ นักวิเคราะห์มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘อินเดีย’ มีเเนวโน้มจะขึ้นตัวท็อปในการผลิตวัคซีน COVID-19 ของโลก ทั้งในด้านการคิดค้นวัคซีนและผลิตเอง หรือเป็นโรงงานรับจ้างผลิตให้กับต่างชาติ
โดย ‘อินเดีย’ กำลังจะเป็นผู้ผลิตวัคซีน รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ โดยจะมีกำลังผลิตที่สูงมาก ครอบคลุมทั้งประชากรในประเทศ 1.3 พันล้านคน เเละยังส่งต่อไปยังประเทศกำลังพัฒนา ผ่านโครงการ ‘วัคซีนไมตรี’ (VaccineMaitr) เป็นของขวัญเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
นับเป็น ‘การทูตเเบบใหม่’ เพื่อยกระดับบทบาทในเวทีโลก ไปพร้อมๆ กับการ ‘ต่อต้านจีน’ ที่กำลังขยายอิทธิพลในเอเชียใต้ ต้องลุ้นว่าอินเดียจะกลับมาส่งมอบวัคซีนไปต่างประเทศอีกครั้งได้อย่างเร็วที่สุดเมื่อใด
ขณะเดียวกัน ‘จีน’ เเละ ‘รัสเซีย’ ก็กำลังจะเข้ามาคว้าโอกาสนี้ โดยฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย พึ่งพาวัคซีนจาก Sinovac ของจีนจำนวนมากเพื่อการขับเคลื่อนการกระจายวัคซีน เเละเพิ่งอนุมัติใช้วัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย ซึ่งฟิลิปปินส์คาดว่าจะได้รับ Sputnik V ล็อตแรกภายในเดือนเมษายนนี้
โดยรัฐบาลจีนประกาศว่า จะส่งความช่วยเหลือด้านวัคซีน COVID-19 ให้แก่ 80 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศอีก 3 แห่ง รวมถึงส่งออกวัคซีนไปยังกว่า 40 ประเทศ
]]>