AMD – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 25 Mar 2024 02:53:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จีนเริ่มแบนชิป Intel และ AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาล หันมาสนับสนุนและพัฒนาชิปเป็นของตัวเอง https://positioningmag.com/1467429 Mon, 25 Mar 2024 01:43:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467429 รัฐบาลจีนได้เริ่มแบนชิป Intel และ AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลแล้ว ขณะที่รัฐวิสาหกิจของจีนนั้นจะมีการเปลี่ยนผ่านให้แล้วเสร็จภายในปี 2027 ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการพึ่งพาเทคโนโลยีการผลิตชิปในประเทศ

Financial Times ได้รายงานข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่ารัฐบาลจีนได้ห้ามใช้ชิปของ Intel รวมถึง AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ของรัฐบาล และจะมีการสนับสนุนให้ใช้ชิปที่ผลิตภายในประเทศจีนรวมถึงระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเองมากขึ้น

สำหรับกฎการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือแม้แต่เซิร์ฟเวอร์ของรัฐบาล จะต้องเข้าเกณฑ์ที่รัฐบาลจีนกำหนดว่าหน่วยประมวลผลดังกล่าวจะต้อง “ปลอดภัยและเชื่อถือได้” โดยชิปประมวลผลที่รัฐบาลได้ไฟเขียว 18 ผู้ผลิต เช่น Huawei หรือ Phytium ซึ่งผู้ผลิตรายชื่อดังกล่าวส่วนใหญ่รัฐบาลจีนได้ให้การอุดหนุนอยู่แล้ว

นอกจากการห้ามใช้ชิป Intel และ AMD ภายในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลแล้ว จีนยังเตรียมที่จะยกเลิกการใช้ปฏิบัติการ Microsoft Windows รวมถึงซอฟต์แวร์ด้านฐานข้อมูลก็คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ซอฟต์แวร์ในประเทศเพิ่มมากขึ้น

แผนการดังกล่าวนั้นตามหลังมาจากแนวทางดังกล่าวซึ่งเปิดเผยในเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา

ผลกระทบต่อบริษัทต่างๆ นั้นแตกต่างกันไป โดย Intel นั้นจะได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องรายได้จากประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนมากถึง 27% ขณะที่ AMD มีสัดส่วนรายได้จากประเทศจีนราวๆ 15% ขณะที่ Microsoft ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขดังกล่าว แต่ผู้บริหารของบริษัทได้เคยกล่าวกับสภาคองเกรสว่ารายได้จากประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนราวๆ 1.5% จากรายได้ทั้งหมด

ไม่ใช่แค่หน่วยงานรัฐบาลที่ได้รับคำสั่งดังกล่าวเช่นกัน แต่รัฐวิสาหกิจเองก็ต้องทำตามแผนดังกล่าว โดยคาดว่าในส่วนของรัฐวิสาหกิจจะต้องมีการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในปี 2027 และต้องมีการแจ้งความคืบหน้าในการเปลี่ยนระบบไอทีในทุกไตรมาสด้วย

ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้พยายามในการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีภายในประเทศให้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา เช่น กรณีการผลิตโทรศัพท์มือถือรุ่น Mate 60 Pro ของ Huawei เป็นต้น

การผลิตชิปให้มีเทคโนโลยีล้ำหน้านั้นถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ทั้งไม่ว่าจะเป็นการใช้โดยประชาชน หรือแม้แต่การใช้ในเทคโนโลยีการทหาร

นโยบายล่าสุดของจีนแสดงให้เห็นถึงก้าวสำคัญในการที่จะทยอยใช้เทคโนโลยีทดแทนภายในประเทศ จากเดิมที่พึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มมากขึ้น

]]>
1467429
แพงไปไม่ซื้อ! Meta, Microsoft และ OpenAI เตรียมเปลี่ยนใช้ชิปเอไอจาก ‘AMD’ หลังสู้ราคา ‘Nvidia’ ไม่ไหว https://positioningmag.com/1454651 Thu, 07 Dec 2023 06:16:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454651 ในยุค Generative AI แบบนี้ ทำให้ความต้องการชิปสำหรับการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์พุ่งขึ้นมหาศาล ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิปได้อานิสงส์นี้ไปเต็ม ๆ และหนึ่งในแบรนด์ที่เติบโตจากเทรนด์ดังกล่าวก็คือ Nvidia บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) และปัญญาประดิษฐ์

การจะสร้างและพัฒนาโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ เช่น ChatGPT ส่วนสำคัญก็คือ ชิป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาชิปของ Nvidia ที่ถือเป็นผู้นำของตลาดชิปสำหรับใช้ในการพัฒนาเอไอมีราคาแพง ทำให้ Meta, OpenAI และ Microsoft ประกาศว่าพวกเขาจะ ใช้ชิป AI ใหม่ล่าสุดของ AMD นั่นคือ Instinct MI300X ซึ่งเป็นชิป high-end ตัวล่าสุด ซึ่งจะชนกับ H100 ของ Nvidia

ที่น่าสนใจคือ Omdia บริษัทติดตามตลาด เชื่อว่า Meta และ Microsoft เป็นผู้ซื้อ GPU H100 ของ Nvidia รายใหญ่ที่สุด พวกเขาจัดหา GPU H100 มากถึง 150,000 ตัว ซึ่งมากกว่าจํานวนโปรเซสเซอร์ H100 ที่ซื้อโดย Google, Amazon, Oracle และ Tencent (ตัวละ 50,000 ตัว)

โดย AMD จะเริ่มจัดส่งชิป MI300X ในต้นปีหน้า และด้วยราคาที่ถูกลงอาจช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาโมเดล AI รวมถึงสร้างแรงกดดันด้านการแข่งขันต่อการเติบโตของยอดขายชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของบริษัท Nvidia

AMD กล่าวว่า MI300X ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ โดยชิป MI300X เป็นชิปเร่งความเร็วสถาปัตยกรรม CDNA 3 เพิ่มหน่วยประมวลผล 40% ขยายแบนวิดท์หน่วยความจำ 1.7 เท่า ใส่แรม HBM3 192GB สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้น รองรับข้อมูลแบบ FP8 หน่วยความจำที่สูงขึ้นทำให้สามารถรันโมเดล LLaMA-2 70B ได้ในชิปเดียว  

ทั้งนี้ AMD เคยคาดการณ์ว่าชิป MI300X จะมียอดขายประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และหลังจากเปิดตัวชิปดังกล่าวหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 1.9% ทั้งนี้ รายได้ใน Q3/2023 ของ AMD อยู่ที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 4% โดย Lisa Su ซีอีโอของ AMD คาดการณ์ว่า ตลาดสําหรับชิป AI จะมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2027 และหวังว่า AMD จะครองส่วนแบ่งใหญ่ของตลาดนั้น

Source

]]>
1454651
‘AMD’ เล็งผลิตชิปเอไอสำหรับ ‘จีน’ โดยเฉพาะ ตัดปัญหาการกีดกันจากสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1439696 Thu, 03 Aug 2023 05:08:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439696 หลังจากที่ รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนจะจำกัดการส่งออกชิปที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลด้านเอไอไปจีน เนื่องจากกังวลว่าเทคโนโลยีดังกล่าวอาจเพิ่มความสามารถให้กับคู่แข่ง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว AMD หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตชิปเองก็มองเห็นโอกาสในการ พัฒนาชิปปัญญาประดิษฐ์สำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ โดย Lisa Su ซีอีโอของ AMD กล่าวว่า บริษัทต้องการที่จะปฏิบัติตามการควบคุมการส่งออกของสหรัฐอย่างเต็มที่ แต่ จีนก็ถือเป็นตลาดที่สำคัญ

“แน่นอน แผนของเราคือต้องปฏิบัติตามการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ อย่างครบถ้วน แต่เราเชื่อว่ามีโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าของเราในจีนที่กำลังมองหาโซลูชันเอไอ”

การเจาะตลาดจีนถือเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญของ AMD ที่จะก้าวให้ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia และ Intel โดยอาวุธสำคัญในการเจาะตลาดจีนก็คือ ชิป Accelerator ของบริษัทซึ่งเป็นเซมิคอนดักเตอร์ชนิดหนึ่งที่จำเป็นในการฝึกอบรมข้อมูลจำนวนมหาศาลสำหรับแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์

โดย AMD กำลังเตรียมพร้อมที่จะเพิ่มการผลิตชิป MI300 ซึ่งวางตำแหน่งเป็นคู่แข่งกับ H100 หน่วยประมวลผลกราฟิกของ Nvidia ที่ใช้สำหรับการฝึกอบรมเอไอ ซึ่งปัจจุบัน Nvidia เป็นผู้ครองตลาดดังกล่าว โดยคาดว่าชิป MI300 ของ AMD จะออกสู่ตลาดในช่วง Q4/2023

ย้อนไปช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ห้ามไม่ให้ Nvidia ขายชิป A100 และ H100 ให้กับประเทศจีน ทำให้ Nvidia จำเป็นต้องผลิตชิปที่ปรับแต่งตามข้อกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับการควบคุมการส่งออก เช่นเดียวกันกับ Intel ที่ผลิตชิป Gaudi 2 AI รุ่นดัดแปลงสำหรับตลาดจีนด้วย เนื่องจากตลาดจีนยังคงเป็นตลาดที่มีกำไรสำหรับผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเอไอ ซึ่งมีทางเลือกในการซื้อไม่มากนัก

ทั้งนี้ AMD ยังเห็นการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังถึง 50% โดยจะมาจากธุรกิจ Data Center ที่ต้องการชิปเอไอไว้ประมวลผล สำหรับรายได้จากธุรกิจศูนย์ข้อมูลของ AMD ในช่วง Q2/2023 ลดลง 11% เป็น 1.32 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายรับจากธุรกิจลูกค้าองค์กรลดลง 54% เป็น 998 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีที่แล้ว

Source

]]>
1439696
‘AMD’ ก็ไม่รอด! รายได้ลดลง 9% เหตุยอดขายพีซีหดตัวหนัก https://positioningmag.com/1429373 Wed, 03 May 2023 05:39:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429373 หลังจากที่ อินเทล (Intel) บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี ซึ่งเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ล่าสุดคู่แข่งอย่าง เอเอ็มดี (AMD) ก็ไม่ต่างกัน

เอเอ็มดี รายงานผลประกอบการไตรมาสแรก โดยมีรายรับ 5.3 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 9% โดยผลขาดทุนสุทธิของบริษัทพุ่งไปที่ 139 ล้านดอลลาร์ โดยไม่รวมการขาดทุนบางส่วนจากการลงทุนและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ ส่งผลให้หุ้นลดลง 6% ในการซื้อขายระยะยาวในวันอังคาร

รายได้จากกลุ่มพีซีลดลงมากถึง 65% โดยมีรายได้ 739 ล้านดอลลาร์ จากยอดขาย 2.1 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อน ขณะที่กลุ่ม Data Center รายได้อยู่ที่ 1,295 ล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนกลุ่ม Gaming รายได้ 1,757 ล้านดอลลาร์ ลดลง 6% ขณะที่กลุ่ม Embedded ยังเติบโตสูงถึง 163% มีรายได้ 1,562 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม Lisa Su CEO ของ AMD ยังเชื่อว่า การเติบโตของตลาดพีซีและเซิร์ฟเวอร์จะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากที่ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา อุตสาหกรรมพีซีกำลังตกต่ำอย่างหนัก โดยยอดจัดส่งลดลง 30%

“เราเชื่อว่าไตรมาสแรกเป็นจุดต่ำสุดสำหรับธุรกิจพีซีของเรา”

Source

]]>
1429373
AMD คัมแบ็ก ส่ง Ryzen บุกตลาดซีพียูโน้ตบุ๊ก ประเดิมจับ 3 กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย https://positioningmag.com/1144514 Fri, 27 Oct 2017 07:28:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1144514 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการที่อินเทล (Intel) ถือเป็นผู้นำในตลาดหน่วยประมวลผลสำหรับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นในตลาดเดสก์ท็อป และโน้ตบุ๊ก แบบเบ็ดเสร็จ เนื่องจากคู่แข่งคนสำคัญอย่างเอเอ็มดี (AMD) กำลังอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างบริษัท ทำให้ไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแล้วทำให้เกิดการแข่งขันเท่าที่ควร

จนในที่สุด เมื่อ AMD มีการปรับโครงสร้างองค์กรแล้วเสร็จ และกลับเข้ามาสู่ตลาดอีกครั้งจากหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อรหัสอย่าง Ryzen โดยเริ่มจากในตลาดที่ถนัดก่อนอย่างคอมพ์ประกอบ ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา AMD มีส่วนแบ่งในตลาดนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อกลับมาทั้งที AMD เลยเลือกที่จะชนกับคู่แข่งตลอดกาลอย่างอินเทล ด้วยการออกซีพียูบนสถาปัตยกรรม ‘Zen’ มาจับ 3 ระดับเหมือนกัน ด้วยการใช้ Ryzen 3 ชนกับ Core i3 ไล่มาเป็น Ryzen 5 ชนกับ Core i5 และ Ryzen 7 อัดกับ Core i7 ตัวแรง แต่ไม่หยุดแค่นั้น AMD ยังเพิ่มอีกรุ่นมาสำหรับคอเกมเมอร์ที่ต้องการซีพียูตัวแรงด้วย Ryzen Threadripper มาปิดจ็อบในตลาดบน

ปีเตอร์ แชมเบอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายสินค้าสำหรับผู้บริโภค ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประเทศญี่ปุ่น บริษัท เอเอ็มดี ฟาร์อีสต์ จำกัด ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า นับตั้งแต่ Ryzen 7 เปิดตัวสู่ตลาดในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สถิติการค้นหาข้อมูลซีพียูของ AMD มีการพูดถึงบนโลกออนไลน์เพิ่มขึ้น สูงกว่าการค้นหาข้อมูลซีพียูของคู่แข่งหลายเท่าตัว และมีช่วงเวลาที่มีการค้นหาข้อมูลต่อเนื่อง เมื่อมีการเปิดตัว Ryzen 5 ในเดือนเมษายน และ Ryzen Threadripper ในเดือนกรกฏาคม

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มตอบรับการกลับมาของ AMD แล้วในตลาดพีซี เพราะถือเป็นการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง ในทุกระดับราคาที่ผู้บริโภคต้องการ ด้วยการออกไลน์ซีพียูออกมาเพื่อจับในทุกกลุ่มผู้ใช้งาน บนฐานที่สำคัญคือมีประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่งในรุ่นเดียวกัน

ทำให้ในเวลานี้ AMD ขาดเพียงอย่างเดียวคือเวลา ที่รอให้ถึงเวลาที่ผู้บริโภคต้องการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ เพราะปัจจุบันไลฟ์ไซเคิลของผู้ใช้งานพีซี จะอยู่ที่ราว 5-6 ปี สำหรับการใช้งานทั่วๆไป ดังนั้นเมื่อAMD มั่นใจในประสิทธิภาพแล้ว ที่เหลือคือรอให้ผู้บริโภคถึงเวลาเปลี่ยนมาใช้งานเท่านั้น

เมื่อในตลาดเดสก์ท็อปเริ่มให้การตอบรับแล้ว AMD ก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะมองว่าในยุคนี้ อีกตลาดพีซีที่ทิ้งไม่ได้เลยคือตลาดโน้ตบุ๊ก โดยเฉพาะในกลุ่มโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง รวมถึงโน้ตบุ๊กขนาดบางเบา รวมถึงโน้ตบุ๊กแบบ 2-1 ทั้งหลาย ที่ AMD ไม่เคยลงมาจับในตลาดนี้เลย

ผสานซีพียูเข้ากับกราฟิกการ์ด

โจ มาครี รองประธานบริษัท หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ AMD ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา AMD จะมีจุดเด่นในแง่ของการมีหน่วยประมวลผลหลายแกน (มัลติคอร์) ที่ประมวลผลพร้อมกันได้ดีกว่า ประกอบกับด้วยการมีเทคโนโลยีของผู้ผลิตกราฟิกการ์ดชื่อดังในอดีตอย่างเอทีไอ (ATI) ที่ AMD เข้าไปซื้อกิจการตั้งแต่ปี 2006

จนล่าสุดในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวกราฟิกการ์ดภายใต้ชื่อ Radeon RX Vega ออกสู่ตลาด ทำให้ปัจจุบัน AMD จะมีเทคโนโลยีทั้งในส่วนของซีพียู และกราฟิกการ์ด ในระดับพรีเมียม ที่ผลิตและจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด

ดังนั้น เมื่อต้องการเข้ามาลุยในตลาดโน้ตบุ๊กแบบเต็มตัว AMD เลยตัดสินใจนำทั้ง Zen และ Vega มาใช้งานร่วมกัน เพื่อที่จะเป็น ‘ผู้นำหน่วยประมวลผลที่เร็วที่สุดในโลก สำหรับโน้ตบุ๊กแบบบางเบา’

ประสิทธิภาพเท่าเดสก์ท็อปบนโน้ตบุ๊กบางเบา

โดยในช่วงแรก AMD จะมีการออกหน่วยประมวลผลสำหรับโน้ตบุ๊กใน 2 รุ่นด้วยกันคือ Ryzen 7 รุ่นรหัส 2700U ที่มากับหน่วยประมวลผล 4 แกน (Core) ที่ให้ความเร็ว 3.8 GHz / 2.2 GHz และ Ryzen 5 2500U ที่เป็น 4 แกน ให้ความเร็ว 3.6 GHz / 2.1 GHz

เบื้องต้น AMD ได้มีการทดสอบด้วยการนำหน่วยประมวลผล Ryzen 7 2700U เทียบกับหน่วยประมวลผลสำหรับเดสก์ท็อปของ AMD รุ่นปีที่ผ่านมา (7th Gen APU) พบว่า ประสิทธิภาพในการประมวลผลเพิ่มขึ้นถึง 200% ประสิทธิภาพกราฟิกสูงขึ้น 128% และกินไฟน้อยลง 58%

ในขณะเดียวกัน ยังได้มีการนำไปเทียบกับการประมวลผลของซีพียูเดสก์ท็อปของคู่แข่งอย่าง Intel Core i5 7600K ในการประมวลผลแบบมัลติคอร์ Ryzen จะทำคะแนนในผลทดสอบอย่าง Cinebench ได้สูงกว่าที่ 707 เทียบกับ 662 คะแนน บนฐานของการใช้ไฟ 15 วัตต์ เทียบกับ 91 วัตต์

ขณะที่เมื่อเทียบกับหน่วยประมวลผลสำหรับโน้ตบุ๊กของคู่แข่งอย่าง Intel Core i7 8550U Ryzen จะชนะในเกือบทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดพลังงาน การประมวลผลกราฟิก การปกป้องข้อมูล การสร้างคอนเทนต์ การเพิ่มโปรดักทิวิตี้ เพียงแต่จะแพ้ในเรื่องของการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกบางส่วนเท่านั้น

ตัวเลือกแรกสำหรับเกมเมอร์ นักพัฒนา และนักโอเวอร์คล็อก

ในส่วนของเป้าหมายหลักในการกลับมาแข่งขันในตลาดนี้ในช่วงแรกคือ ต้องการเป็นซีพียูที่ผู้บริโภคใน 3 กลุ่มเลือกใช้งานเป็นตัวเลือกแรก ไล่จากกลุ่มเกมเมอร์ ถัดมาคือกลุ่มนักพัฒนา หรือผู้สร้างคอนเทนต์ทั้งหลาย และสุดท้ายคือกลุ่มของผู้ใช้งานมืออาชีพ ที่ชื่นชอบการโอเวอร์คล็อกเครื่องให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น

เมื่อถามถึงระยะเวลาที่ AMD จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ผู้บริหาร AMD ยอมรับว่าต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาคู่แข่งมีการสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคได้ในทุกกลุ่มผู้ใช้งาน การที่ AMD จะกลับมาและแซงขึ้นเป็นผู้นำจึงต้องการเวลาให้ผู้บริโภคได้ลองใช้ และรับรู้ว่าดีกว่าจริง

‘สิ่งที่ AMD ต้องทำคือการสื่อสารไปยังผู้บริโภคในเรื่องที่ง่ายที่สุดคือการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผล ผ่านผลการทดสอบที่เป็นกลางที่จะแสดงให้เห็นว่า AMD มีหน่วยประมวลผลที่กินไฟน้อยกว่า แต่ให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าอินเทล’

‘ไทย’ สำคัญมากสำหรับ AMD

นอกเหนือจากการเปิดตัวซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊กแล้ว อีกจุดที่น่าสนใจคือการที่ AMD ให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ที่ผู้บริหารมีการโรดโชว์ผลิตภัณฑ์ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา เพราะในการทัวร์เอเชียคราวนี้ AMD เลือกมาไทยเป็นประเทศแรก ตามด้วยญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

เหตุผลสำคัญคือเรื่องการเติบโตของตลาดพีซีในประเทศไทยที่ถือว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงมากในตลาดกลางและบน โดยเฉพาะในตลาดเกมมิ่ง ที่ในช่วงปีที่ผ่านมาเกมมิ่งบนโน้ตบุ๊กเติบโตถึง 83% และบนเดสก์ท็อปเติบโตถึง 377% จากทั้งคอมพ์ประกอบ และคอมพ์ชุดที่แบรนด์ทำออกมาเพื่อตลาดเกมโดยเฉพาะ

ขณะเดียวกันยังมีข้อมูลที่น่าสนใจของตลาดโน้ตบุ๊กในแง่ของขนาดจอ คือพบว่าโน้ตบุ๊กที่มีขนาดหน้าจอต่ำกว่า 14 นิ้ว มียอดขายลดลงถึง 22% ในช่วงปีที่ผ่านมา กลับกันโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 15-17 นิ้ว กลับเติบโตถึง 31% เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้ช่วงระดับราคาของโน้ตบุ๊กที่มีการเติบโตปรับจากเดิมราว 15,000 – 17,000 บาท ขึ้นมาอยู่ที่ 20,000 – 32,000 บาท

คุมจากระดับภูมิภาค

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องการปรับโครงสร้างในการบริหารของทั้งอินเทล และ AMD ในปัจจุบัน ที่มีการย้ายผู้บริหารระดับสูงไปนั่งแท่นควบคุมในระดับภูมิภาคอยู่ที่สิงคโปร์แทน ทำให้ปัจจุบันทั้ง AMD และอินเทล จะมีเพียงฝ่ายขาย และฝ่ายผลิตภัณฑ์เท่านั้นที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย

แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า เนื่องจากการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป การที่มีสำนักงานในประเทศไทยจะเข้ามาช่วยในแง่ของการซัปพอร์ตลูกค้ามากกว่า เพราะจริงๆ แล้วการแข่งขันต่างๆจะย้ายขึ้นไปแข่งกันในระดับภูมิภาค

เริ่มจากการเข้าไปคุยกับแบรนด์ผู้ผลิตต่างๆ ให้เลือกนำซีพียูไปใช้งาน ซึ่งปัจจุบันถ้าเทียบกันในตลาดโน้ตบุ๊กที่มีกว่า 300 รุ่นย่อย จะมีเครื่องที่ใช้หน่วยประมวลผลของ AMD ประมาณ 10% เท่านั้น ดังนั้นสิ่งแรกที่ AMD ต้องทำคือการเพิ่มจำนวนรุ่นให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000108934

]]>
1144514