โดยสื่อรายดังกล่าวรายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรปและที่อื่น ๆ กำลังทาบทามโดยตรงกับผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไล่ตั้งแต่ ชิ้นส่วนชาร์จรถยนต์ ชิ้นส่วนระบายความร้อนไปจนถึงระบบเบรก โดยผู้ผลิตเหล่านี้กดดันให้ผู้ผลิตจากจีนนั้นตั้งโรงงานในประเทศแถบอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนามหรืออินโดนีเซีย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต้องบีบให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในจีนต้องออกมาตั้งโรงงานนอกจีน เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิดเป็นเวลา 3 ปีที่ผ่านมาส่งผลต่อ Supply Chain หยุดชะงักอย่างมากทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มระมัดระวังที่จะพึ่งพาโรงงานประเทศจีนมากเกินไป
อย่างไรก็ดีผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเองก็ไม่ต้องการที่จะทิ้งผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในจีนเนื่องจากความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน รวมถึงประสบการณ์ในการผลิตที่มีมาหลายสิบปี
ในช่วงที่ผ่านมาความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเริ่มทำให้ผู้ผลิตที่พึ่งพาโรงงานในประเทศจีนนั้นเริ่มหาลู่ทางกระจายการผลิตนอกประเทศจีนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Apple ที่มีการย้ายกำลังการผลิตออกมาไม่ว่าจะเป็นในเวียดนาม หรือแม้แต่อินเดีย
Ben Simpfendorfer พาร์ตเนอร์ของบริษัทที่ปรึกษาอย่าง Oliver Wyman ได้ให้ความเห็นว่า บริษัทต่างๆ กำลังเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยต้นทุน ไปสู่กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยความยืดหยุ่นด้วยการเพิ่มโรงงานเพิ่มเติมหรือกระจายการผลิตไปในส่วนอื่นๆ ของโลก ซึ่งผลจากการแพร่ระบาดของโควิดรวมถึงความตึงเครียดทางการค้าส่งผลทำให้เกิดความเปราะบางของ Supply Chain นั้นส่งผลให้ผู้ผลิตเหล่านี้ต้องปรับตัว
]]>กู๊ดเยียร์เผยว่า บริษัทจะนำขี้เถ้าที่เหลื
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ศูนย์ Innovation Center ของบริษัทได้ทดสอบแล้วว่า ซิลิกาจากขี้เถ้าแกลบให้ผลดีต่
โจเซฟ เซคอสกี้ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ฝ่
จากข้อมูลขององค์
สำหรับซิลิกา จะมีการใช้ผสมกั
“ในด้านนวัตกรรม กู๊ดเยียร์มุ่งเน้นในการทำให้
เกี่ยวกับกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย
บริษัท กู๊ดเยียร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี 2511 และเริ่มต้นผลิตยางในปี 2512 กู๊ดเยียร์นำบริษัทเข้าจดทะเบี
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกั
บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดยางรถยนต์ โดยล่าสุด ได้เพิ่มขนาดยาง “ECOPIA EP150” ยางสำหรับรถยนต์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เพื่อตอบสนองกระแสความต้องการของตลาดผู้บริโภคทั่วไป หลังจากประสบความสำเร็จได้รับความไว้วางใจจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ เลือกให้เป็นยางมาตรฐานประกอบรถยนต์ ด้วยความโดดเด่นด้านสมรรถนะการขับขี่ปลอดภัยยิ่งกว่า อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และ ประหยัดน้ำมันมากกว่า ตอบโจทย์ความคุ้มค่าด้านการใช้งานและการดูแลสิ่งแวดล้อม
มร. โทมิโอะ ฟุกุสุมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กระแสตอบรับหลังจากแนะนำผลิตภัณฑ์ยาง ECOPIA ในปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริโภค และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำยางรถยนต์ ECOPIA EP150 ซึ่งเดิมได้รับความไว้วางใจเลือกให้เป็นยางประกอบรถยนต์จากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ อาทิ โตโยต้า, มิตซูบิชิ,นิสสัน และซูซูกิ โดยเพิ่มขนาดยาง ECOPIA EP150 สู่ผู้บริโภคในตลาดทดแทน พร้อมมั่นใจว่า สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ยางรถยนต์ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยางกลุ่ม ECOPIA ทั้ง ECOPIA EP200 และ ECOPIA EP850 ที่ได้แนะนำไปก่อนหน้านี้
ECOPIA EP150 เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ออกแบบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยลดความต้านทานการหมุนของยาง และ ช่วยประหยัดน้ำมัน พร้อมยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัย และ อายุการใช้งานที่ยาวนาน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาและผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดจากบริดจสโตนได้อย่างลงตัว ตอบสนองความต้องการที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น ทั้งด้านการใช้งานและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
ผลการทดสอบจากสมาคมเทคโนโลยีแห่งประเทศญี่ปุ่นพบว่า
ผลิตภัณฑ์ยาง |
ประหยัดน้ำมัน |
อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนด์ไดออกไซด์ |
ECOPIA EP150 |
มากกว่า 2.5%* |
ต่ำกว่า 7.1 %* |
สำหรับยางเพื่อสิ่งแวดล้อม ECOPIA EP150 มีให้เลือก 14 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 13 -16 นิ้ว โดยจำหน่ายที่ศูนย์บริการ ค็อกพิท, ออโต้บอย, แอค และผู้แทนจำหน่ายยางบริดจสโตนทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ติดต่อแผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทร 0-2636-1555 (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) หรือ 1800-259-537 (ต่างจังหวัดโทรฟรี)
*เปรียบเทียบกับยาง B250 ขนาด 195/65R15 รถยนต์ที่ใช้ในการทดสอบ TOYOTA Premio.
ที่มา : สมาคมเทคโนโลยีการขนส่งทางรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ Japan Automobile transport Technology Association [JATA]
เกี่ยวกับยางบริดจสโตน ECOPIA
ผลิตภัณฑ์ยางบริดจสโตน ECOPIA ยางมาตรฐานใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นยางที่ผสานคุณสมบัติอันโดดเด่นเอาไว้ด้วยกันอย่าง ลงตัว ทั้งประหยัดน้ำมันและการขับขี่ที่ปลอดภัย และอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยส่วนผสมพิเศษ ECOPIA COMPOUND ช่วยลดความต้านทานการหมุนของยาง ทำให้สามารถขับเคลื่อนในระยะทางที่ไกลกว่าโดยใช้ปริมาณพลังงานเท่าเดิม จึงช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ในขณะเดียวกัน ECOPIA ยังมีประสิทธิภาพเยี่ยม การขับขี่ที่ปลอดภัย สามารถควบคุมการขับขี่ และเบรกในสภาพถนนเปียกได้ดี เมื่อเทียบกับยางอื่นๆ
บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี
เทศกาลสงกรานต์เป็นช่
มร. ฟินบาร์ โอคอนเนอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เทศกาลสงกรานต์ควรจะเป็นช่
นอกจากนี้ การเปิดให้บริการตรวจเช็
“ความปลอดภัยในการขับขี่เป็นสิ่
ทั้งนี้ ผู้ขับขี่สามารถนำรถเข้ารับบริ
ข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบ
“กู๊ดเยียร์จะไม่รับผิดชอบต่
สามมิตร กรีนพาวเวอร์ ชูธงผู้นำนวัตกรรมรถกระบะซีเอ็นจีแบรนด์ไทยมาตรฐานระดับโลก ยกระดับการคิดค้นยนตรกรรมทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค ด้วยการเปิดตัว “กระบะเอราวัณ ดีเซล ซีเอ็นจี” น้องใหม่สายพันธุ์แกร่งที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “แรง ทน คุ้มค่า” ตอกย้ำมาตรฐานเหนือระดับกับเทคโนโลยีชุดอุปกรณ์ PTT Diesel CNG ซึ่งเป็นระบบการเผาไหม้ล่าสุด DF-PCCI เป็นระบบเชื้อเพลิงที่สมบูรณ์แบบที่สุด เผยโฉมตัวจริงครั้งแรกของโลกในงาน Motor Expo 2013 พร้อมจัดข้อเสนอสุดพิเศษมอบโปรโมชั่นแรงแห่งปี ตั้งแต่วันนี้ -10 ธ.ค. นี้ ที่เมืองทองธานีแห่งนี้
นายสุรยุทธิ์ โพธิ์ศิริสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามมิตร กรีนพาวเวอร์ จำกัด (SGP) ผู้ผลิตและจำหน่ายรถกระบะซีเอ็นจีแบรนด์ไทยมาตรฐานระดับโลก เปิดเผยว่า สามมิตร กรีนพาวเวอร์ มีความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบายด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานที่มีคุณภาพ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมรถยนต์ทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากได้ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาชุดอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติแบบเชื้อเพลิงร่วมสำหรับรถยนต์ดีเซล (PTT Diesel CNG) ซึ่งเป็นกระบวนการเผาไหม้แบบใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกับน้ำมันดีเซลในระบบเชื้อเพลิงร่วมสำหรับรถยนต์ดีเซล(Dual Fuel – Premixed Charge Compression Ignition : DF-PCCI) โดยทางสามมิตร กรีนพาวเวอร์ได้นำชุดอุปกรณ์ PTT Diesel CNG มาติดตั้งในรถกระบะซีเอ็นจี ภายใต้การควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อทดสอบสมรรถนะการใช้งานจริง จนกระทั่งสามารถนำร่องขยายผลสู่สายการผลิตเชิงพาณิชย์ให้กับผู้บริโภคได้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
“จากผลตอบรับที่ดีในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มียอดสั่งจองล่วงหน้ากว่า 100 คัน ถือเป็นความสำเร็จที่ทำให้เราต้องเร่งวางแผนการพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดยขณะนี้ เรามีความพร้อมอย่างยิ่งในการนำเสนอรถรุ่นใหม่ล่าสุด “กระบะเอราวัณ ดีเซล ซีเอ็นจี” อีกหนึ่งความภาคภูมิใจในตระกูลสายพันธุ์แกร่ง ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ “แรง ทน คุ้มค่า” และชุดอุปกรณ์ PTT Diesel CNG ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี ปตท. ซึ่งเราได้นำรถตัวจริงมาเปิดตัวเป็นครั้งแรก ในงาน Motor Expo 2013 เพื่อเสนอเป็นทางเลือกใหม่ที่ให้ความคุ้มค่าสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะความแรงของเครื่องยนต์ดีเซล” นายสุรยุทธิ์ กล่าว
ความโดดเด่นของ “กระบะเอราวัณ ดีเซล ซีเอ็นจี” อยู่ที่การตอกย้ำความมั่นใจในคุณภาพ ด้วยมาตรฐานการผลิต การออกแบบ และการทดสอบทั้งระบบโดยผู้ผลิตรายเดียวในประเทศไทยที่ได้มาตรฐานสากล ISO 15501-1/2 หรือ มอก.2333-1/2 สามารถตอบโจทย์ความ “แรง” ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2,494 ซีซี ดีโฟร์ดี คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น 16 วาล์ว 144 แรงม้า สมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถยนต์ดีเซล 100% “ทน” ด้วยการประกอบชุดอุปกรณ์ PTT Diesel CNG ในส่วนของ ECU CONTROL ทั้งเครื่องยนต์และระบบการจ่ายก๊าซและน้ำมัน จึงควบคุมอัตราการจ่ายเชื้อเพลิงในปริมาณที่เหมาะสมกันตลอดเวลา (FULL CONTROL) ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ เครื่องยนต์ไม่ร้อนเกินไป ส่งผลให้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ มีความทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน “คุ้มค่า” ด้วยการติดตั้งถังบรรจุก๊าซซีเอ็นจี 3 ถัง 2 ระบบ ประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าระบบซีเอ็นจีทั่วไปถึง 0.2 บาทต่อกิโลเมตร ทำให้สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 500 กิโลเมตรต่อการเติมก๊าซ 1 ครั้ง ทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลได้สูงถึง 70% และยังลดอัตราการปล่อยมลพิษในไอเสียน้อยกว่าเทคโนโลยีระบบเชื้อเพลิงร่วมทั่วไป
นายสุรยุทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้เรายังมีฟังก์ชั่น “ออฟโรด” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่เพิ่มเข้ามาให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบการใช้รถแบบผจญภัย สำหรับราคาของกระบะเอราวัณ ดีเซล ซีเอ็น เริ่มต้นที่ 740,000 บาท และในโอกาสงาน Motor Expo 2013 เราจึงมอบโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน ให้ลูกค้าสามารถเลือกผ่อนสบายดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน หรือ ดาวน์เริ่มต้นเพียง 29,900 บาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
สำหรับผู้สนใจสามารถร่วมพิสูจน์สมรรถนะของ “กระบะเอราวัณ ดีเซล ซีเอ็นจี” นวัตกรรมรถยนต์คุณภาพสูง มาตรฐานความปลอดภัย คุ้มค่าจากสามมิตร กรีนพาวเวอร์ ได้ที่บูธ B02 วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 12.00 – 22.00 น. ส่วนวันเสาร์ – วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดตั้งแต่เวลา 11.00 – 22.00 น. สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sgp.co.th
บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดย มร. ฟินบาร์ โอคอนเนอร์ กรรมการผู้จัดการ รับมอบรางวัล CSR-DIW Award 2013 มาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่อสังคม (Standard of Corporate Social Responsibility, Department of Industrial Works: CSR-DIW) ประจำปี 2556 ภายใต้โครงการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างมีส่วนร่วมของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะองค์กรที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมที่สามารถสร้างผลกระทบในด้านดีได้อย่างชัดเจน เมื่อเร็วๆนี้ ณ ห้องประชุมแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
รางวัล CSR-DIW จัดขึ้นโดยกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมสถานประกอบการอุตสาหกรรมที่ดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีเกณฑ์พิจารณาในมิติต่างๆ ได้แก่ การจัดองค์กรอย่างมีธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน การปฏิบัติด้านแรงงาน การดำเนินงานอย่างเป็นธรรมต่อผู้บริโภค การจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงงาน และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนใกล้เคียงได้อย่างยั่งยืน สำหรับกู๊ดเยียร์มีโรงงานตั้งอยู่ที่ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานในประเทศไทย 45 ปี ไม่เคยพบข้อร้องเรียนจากชุมชนรายรอบ พร้อมทั้งดำเนินกิจกรรมสนับสนุนชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการพัฒนาภาษาอังกฤษ “หงสกุลโกอินเตอร์ไป AEC” โครงการมอบถังขยะเพื่อสนับสนุนชุมชนในการรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ ฮอนด้า บริโอ้ และ บริโอ้ อเมซ ใหม่ ภายในสีดำ (Black Interior) เพิ่มความเข้มสไตล์สปอร์ตด้วยภายในห้องโดยสารโทนสีเทาดำ เบาะนั่งสีดำ แผงครอบวิทยุและมาตรวัดสีดำ แผงครอบพนักเท้าแขนข้างประตูสีดำ และมือจับประตูด้านในสีเมทัลลิก เพิ่มความโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น
บริโอ้ และบริโอ้ อเมซ ยนตรกรรมอีโค คาร์ ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ SOHC i-VTEC ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว 90 แรงม้า ให้การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมถึง 20 กิโลเมตร/ลิตร เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานมลพิษระดับ EURO4 ระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งระบบเกียร์ธรรมดา (5MT) และระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT นอกจากนี้ยังมีระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ถุงลมอัจฉริยะด้านคนขับแบบ i-SRS และผู้โดยสารด้านหน้า SRS เทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน เพื่อปกป้องผู้โดยสารจากการชนด้านหน้าและด้านข้างของตัวรถตามมาตรฐาน UNECE ในทุกรุ่น
บริโอ้ และบริโอ้ อเมซ โดดเด่นด้วยดีไซน์ล้ำสมัย ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย มาตรวัดดีไซน์สปอร์ต มาตรวัดแสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด Eco Indicator เครื่องเสียงแบบ 2 DIN พร้อมช่อง AUX สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง ช่องเชื่อมต่อ USB ให้ความสะดวกอย่างครบครัน และเพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยแผงครอบวิทยุและมาตรวัด ตลอดจนแผงครอบพนักเท้าแขนข้างประตูเป็นสีดำในทุกรุ่น และยังเพิ่มความเข้มสไตล์สปอร์ต ด้วยภายในห้องโดยสารโทนสีเทาดำ เบาะนั่งสีดำ และมือจับประตูด้านในสีเมทัลลิก ในบริโอ้ รุ่น V MT, V AT และ V Limited AT และบริโอ้ อเมซ รุ่น V MT และ V AT
บริโอ้ ใหม่ มีให้เลือก 5 รุ่น ได้แก่ รุ่น S MT ราคา 436,500 บาท รุ่น S AT ราคา 475,500 บาท รุ่น V MT ราคา 472,500 บาท รุ่น V AT ราคา 511,500 บาท และรุ่น V Limited AT ราคา 533,500 บาท โดยในรุ่น V MT รุ่น V AT และรุ่น V Limited AT มีห้องโดยสารโทนสีเทาดำ และเบาะนั่งสีดำ และมีสีภายนอกให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีขาวทาฟเฟต้า สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีแดงแรลลี่ สีฟ้าเซรูเลียน (เมทัลลิก) และสีเขียวเฟรชไลม์ (เมทัลลิก)
ส่วนบริโอ้ อเมซ ใหม่ มีให้เลือก 6 รุ่น ได้แก่ รุ่น S MT ราคา 454,000 บาท รุ่น S AT ราคา 493,000 บาท รุ่น V MT (Black Interior) ราคา 482,000 บาท รุ่น V MT (Beige Interior) ราคา 482,000 บาท รุ่น V AT (Black Interior) ราคา 521,000 บาท และรุ่น V AT (Beige Interior) ราคา 521,000 บาท และมีสีภายนอกให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีขาวทาฟเฟต้า สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีม่วงมารีน (มุก)
กู๊ดเยียร์ ผู้นำด้านเทคโนโลยียางรถยนต์ สนองนโยบายรถคันแรกและอีโคคาร์ของรัฐบาล ส่งยาง “กู๊ดเยียร์ ดูราพลัส” 7 ขนาดใหม่ ลงตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มผู้ใช้รถยนต์เล็ก ชูจุดแข็งวิ่งไกล 100,000 กิโลเมตร
มร. ฟินบาร์ โอคอนเนอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ยาง “กู๊ดเยียร์ ดูราพลัส” เป็นผลิตภัณฑ์รุ่นแรกในกลุ่มยางรถยนต์ขนาดเล็กและกลางที่กู๊ดเยียร์พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่คำนึงถึงความคุ้มค่าสูงสุดเป็นหลัก โดยมีจุดขายวิ่งได้ไกลกว่า 100,000 กิโลเมตรจากการทดสอบจริงในสภาพถนนของประเทศไทย ด้วยนวัตกรรม TredLife Technology 1″
“ด้วยความสำเร็จของดูราพลัส นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเป็นต้นมา ทั้งเสียงตอบรับในแง่บวกจากผู้ใช้และตัวแทนจัดจำหน่าย ประกอบกับความต้องการของตลาดทดแทนในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้นจากโครงการรถคันแรกและอีโคคาร์ของรัฐบาล รวมถึงแนวโน้มผู้บริโภคที่คำนึงถึงความคุ้มค่าสูงสุด กู๊ดเยียร์จึงได้เพิ่มขนาดยาง “กู๊ดเยียร์ ดูราพลัส” จากเดิม 11 ขนาดระหว่าง 12″ – 16″ เป็น 27 ขนาด ระหว่าง 12″ – 17″ เพื่อครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค โดยมี 7 ขนาดเป็นยางสำหรับรถยนต์เล็กโดยเฉพาะ อาทิ มิตซูบิชิ มิราจ นิสสัน มาร์ช ฮอนด้า บริโอ้ มาสด้า 2 และโตโยต้า วีออส เป็นต้น”
“กู๊ดเยียร์ ดูราพลัส” คือ นวัตกรรมยางยนต์ประหยัดน้ำมันจากกู๊ดเยียร์ ที่ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยี “TredLife Technology” ช่วยให้ยางใช้งานได้ระยะทางยาวไกลขึ้น โดยสามารถวิ่งได้ไกลถึง 100,000 กิโลเมตร และมีความคงทนนานกว่ายางคู่แข่งถึง 80%[1] นอกจากความคุ้มค่าและความทนทาน ที่ช่วยให้รถวิ่งได้ไกลมากขึ้นแล้ว ยางกู๊ดเยียร์ ดูราพลัสยังมีความโดดเด่นด้านสมรรถนะการควบคุม ความนุ่มนวล การเกาะถนน และการทรงตัว โดยตัวโครงสร้างชนิดเบาถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ทำให้ลดแรงต้านการหมุนจึงช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี ดอกยางลายสมมาตรทำให้ไหล่ยางมีเนื้อยางมากขึ้น จึงเพิ่มสมรรถนะการยึดเกาะถนนและการควบคุมการทรงตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ลวดลายบนไหล่ยางด้านนอกแบบปิด ยังช่วยเพิ่มความนุ่มนวลและลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารอีกด้วย
“กู๊ดเยียร์ ดูราพลัส” ขนาดใหม่! มีจำหน่ายแล้ววันนี้ในขนาด 165/65R14 165/70R14 175/65R14 175/70R14 185/55R15 185/60R15 และ 185/65R15 ราคาตั้งแต่ 1,900 – 2,300 บาท ที่ร้านกู๊ดเยียร์ ออโตแคร์ กู๊ดเยียร์ อีเกิ้ลสโตร์ กู๊ดเยียร์ เซอร์วิสเซ็นเตอร์ และตัวแทนจำหน่ายยางกู๊ดเยียร์ทั่วประเทศ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.goodyear.co.th, www.goodyear-autocare.com
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อกิจกรรมการแข่งขันทักษะพนักงาน ประจำปี 2556 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 ภายใต้แนวคิด ความภาคภูมิใจแห่งความสำเร็จ (Pride of Glory) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพพนักงาน สร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ และความภูมิใจในหน้าที่รับผิดชอบ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ แชมป์พนักงานช่าง 3 ประเภท จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันทักษะพนักงานฮอนด้าในระดับภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ในเดือนธันวาคม 2556 นี้ อีกด้วย
ภายในงานยังได้จัดพิธีมอบรางวัลโครงการยอดขายสะสมตลอดชีพ ให้กับที่ปรึกษาการขาย ที่ทุ่มเทความพยายามในการสร้างยอดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำเจตนารมณ์ของฮอนด้าในการมุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากร เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าทั้งในด้านการขายและบริการ โดยได้รับเกียรติจาก คุณนคร ศิลปอาชา (ซ้าย) อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขัน ณ ศูนย์ฝึกอบรม บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้าได้วางแผนขยายโชว์รูมและศูนย์บริการเพิ่มเป็น 200 แห่งภายในปี 2556 จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 175 แห่ง ควบคู่ไปกับการพัฒนาการบริการ และมาตรฐานการปฏิบัติงานให้กับพนักงานของผู้จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในทุกๆ ด้าน สำหรับการแข่งขันทักษะพนักงานฮอนด้า ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพพนักงาน ที่ฮอนด้าให้ความสำคัญมาโดยตลอด”
สำหรับการแข่งขันทักษะพนักงานฮอนด้าแบ่งออกเป็นทั้งหมด 9 ประเภท ในปีนี้มีพนักงานที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศทั้งสิ้น 110 คน จากผู้จำหน่าย 54 แห่ง ซึ่งคัดเลือกจาก 1,705 คนทั่วประเทศ และมีผู้ชนะเลิศในแต่ละประเภทดังนี้
ประเภท | ผู้ชนะเลิศ | ผู้จำหน่าย |
พนักงานช่างซ่อมทั่วไป | คุณทวิทย์ ชื่นบาน | บริษัท ฮอนด้าคาร์ส นครสวรรค์ จำกัด (เขาเขียว) |
พนักงานช่างซ่อมตัวถังและสี | คุณวันชัย อินทรประนุช คุณชาย วัสสา |
บริษัท ธัญบุรีฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด |
ที่ปรึกษาการบริการ | คุณภาณุพงศ์ ปึงตระกูล | บริษัท พระราม 3 ฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด (สาธุประดิษฐ์) |
พนักงานอะไหล่ | คุณสุชาติ นิลขาว | บริษัท สุวินทวงศ์ ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด |
ที่ปรึกษาการขาย | คุณพอชม ขำสุวรรณ | บริษัท ธนบุรีฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด |
พนักงานลูกค้าสัมพันธ์ | คุณกนกวรรณ นำวงศ์สวัสดิ์ | บริษัท พระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด (นราธิวาสราชนครินทร์) |
พนักงานช่างบริการตามระยะแบบคู่ | คุณสุรเชษฎ์ บุญด่านกลาง คุณเกียรติศักดิ์ รัศมี |
บริษัท สระบุรี ฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด |
ที่ปรึกษาการบริการซ่อมตัวถังและสี | คุณภาคิน ลิ้มรุ่งสิน | บริษัท พระราม 3 ฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด (บางคอแหลม) |
พนักงานตรวจสอบคุณภาพรถใหม่ | คุณอนนท์ อดุลย์จิตร | บริษัท พระประแดง ฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด |
การแข่งขันในปีนี้ ยังพิเศษกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ผู้ชนะเลิศและรองอันดับ 1 จากประเภทพนักงานช่างซ่อมทั่วไป ผู้ชนะเลิศจากประเภทพนักงานช่างซ่อมตัวถังและสี และผู้ชนะเลิศจากประเภทพนักงานช่างบริการตามระยะแบบคู่ รวมจำนวน 6 คน จะได้เป็นผู้แทนจากประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันทักษะพนักงานฮอนด้าในระดับภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียในเดือนธันวาคม 2556 เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพด้านการให้บริการของพนักงานศูนย์บริการฮอนด้าในประเทศไทย ร่วมกับพนักงานจากอีก 11 ประเทศ ในภูมิภาคนี้อีกด้วย
นายสรรเพชร นิลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา (มูลนิธิ EDF) ถ่ายภาพร่วมกับ นายชินอิจิ ซาโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด และ ดร.จรูญรัตน์ ส่งศรี ผู้อำนวยการสำนักงานประถมศึกษาบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ ในโอกาสรับมอบทุนการศึกษา 200 ทุน และจักรยานยืมเรียน 200 คัน คิดเป็นเงิน 2,450,000 บาท (สองล้านสี่แสนห้าหมื่นบาท) โครงการ บริดจสโตน ปันน้ำใจ ปั่นไปสู่ฝัน (Bridgestone Rides the Future) สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดหนองบัวลำภู
นายสรรเพชร นิลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิ EDF กล่าวว่า “มูลนิธิ EDF ขอขอบคุณ บริษัท ไทย บริดจสโตน จำกัด ที่เล็งเห็นคุณค่าการมีส่วนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย มูลนิธิได้ทำงานร่วมกันจัดกิจกรรมโครงการบริดจสโตน ปันน้ำใจ ปั่นไปสู่ฝัน (Bridgestone Rides the Future) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ปัจจุบันครอบคลุมเขตการศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด โดยมีนักเรียนได้รับทุนการศึกษาตลอดระยะเวลา 8 ปี จำนวน 2,000 ทุน และจักรยานยืมเรียนอีก 2,000 คัน คิดเป็นงบประมาณที่บริดจสโตน มอบให้กว่า 20,549,520 บาท (ยี่สิบล้านห้าแสนสี่หมื่นเก้าพันห้าร้อยยี่สิบบาท)”
สำหรับมูลนิธิ EDF เป็นมูลนิธิของคนไทยที่ร่วมทำงานพัฒนาการศึกษาและคุณภาพชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ชนบทห่างไกลมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 ที่ผ่านมามูลนิธิได้มอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนไทยครอบคลุมพื้นที่ 44 จังหวัด รวมทั้งขยายความช่วยเหลือไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย และในปี พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม “องค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทย” ประเภทองค์กรขนาดใหญ่ จัดโดยมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบันคีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ ผู้สนใจร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาให้นักเรียนยากจนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายรณรงค์ทุนการศึกษา มูลนิธิ EDF โทรศัพท์ 02 579 9209-11 อีเมล์ [email protected] หรือเว็บไซต์ www.edfthai.org