BNK48 – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 28 Sep 2022 13:44:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘iAM’ แตกค่ายเพลง ‘Independent Records’ ดันไอดอลสู่ ‘ตลาดแมส’ เพิ่มโอกาสทำเงิน https://positioningmag.com/1402169 Wed, 28 Sep 2022 09:32:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1402169 หากพูดถึงตลาด ไอดอล บ้านเรา แน่นอนว่าชื่อของ BNK48 ยังคงเป็นชื่อแรก ๆ ที่ใครหลายคนนึกถึง แต่แน่นอนว่าปัจจุบันกระแสอาจจะไม่อยู่ในจุดพีคเหมือนช่วง ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ ฟีเวอร์ อีกทั้งยังเจอกับช่วง COVID-19 มาเบรกไป 2 ปี ทำให้ บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ iAM ต้นสังกัดศิลปินวง BNK48 และ CGM48 ต้องหาทาง เปิดตลาดใหม่ โดยการคลอด ค่ายเพลง เพื่อต่อยอดศักยภาพน้อง ๆ ไอดอล เพื่อหาโอกาสสร้างรายได้และเพิ่มฐานแฟนคลับกลุ่มใหม่ ๆ

เจ็บหนักจากโควิด

ย้อนไปช่วง 5-6 ปีก่อนที่เป็นช่วงพีคของ BNK48 สามารถทำรายได้สูงสุดถึงปีละ 600-700 ล้านบาท เลยทีเดียว แต่หลังจากที่เจอกับการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้งานอีเวนต์ต่าง ๆ ไม่สามารถจัดได้ ทำให้รายได้ในปีที่ผ่านมาของบริษัทลดเหลือแค่ 190 ล้านบาท เท่านั้น

แน่นอนว่าบริษัทก็มีการปรับตัว ทั้งการเน้น ออนไลน์ มากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ การจัดกิจกรรม Virtual greeting แทนที่การจับมือ รวมถึงการทำเหรียญโทเคน, NFT เพื่อสร้าง BNKVerse โดยตั้งเป้าที่จะดันให้รายได้ 50% มาเป็น ออนไลน์ จากเดิมที่มีสัดส่วนราว 30% และลดสัดส่วนรายได้จากเมอร์ชันไดซ์ และ อีเวนต์ จาก 35% ให้เหลือ 25%

เปิดค่ายเพลงหวังให้แมสขึ้น

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าวงไอดอลนั้นเป็นตลาดที่นีช ซึ่งจุดแข็งก็คือความเหนียวแน่นของ Core Fanclub หรือเหล่า โอตะ แต่การจะทำให้ BNK48 แมสมากขึ้น จ๊อบซัง ณัฐพล บวรวัฒนะ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด จึงได้ฉีกไปทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ อย่างภาพยนตร์ ผ้าผีบอก ที่เพิ่งฉายไป และ ซีรีส์ ที่จะได้เห็นในปลายปีนี้

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาค่ายก็ได้ชิมลางลองทำเพลงจับฐานแฟนคลับต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่อย่างเพลง โดดดิด่ง ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ไทบ้านxBNK48 จากใจผู้สาวคนนี้ ซึ่งมียอดวิวใน YouTube กว่า 189,218,183 views หรือเพลง หมกกบ ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ผ้าผีบอก

ล่าสุด บริษัทจึงได้แตกค่ายเพลงภายใต้สังกัด iAM เป็นการขยายธุรกิจกลุ่มมิวสิกในชื่อ Independent Records (อินดิเพนเด้นท์ เรคคอร์ด) โดยจะดึงศิลปินจาก BNK48 +CGM48 ทั้ง 77 คน เพื่อทำเพลงให้สามารถเข้าถึงทุกเพศทุกวัยได้มากขึ้น เบื้องต้น ได้มีศิลปินเดี่ยวและเกิร์ลกรุ๊ปภายใต้ค่ายเพลงใหม่ ได้แก่

  • แก้ว-ณัฐรุจา ชุติวรรณโสภณ กับเพลง “อาการชัด”
  • เพลงประกอบภาพยนตร์ The Cheese Sisters Namneung x Noey โดยตาหวาน-อิสราภา ธวัชภักดี
  • eRa (อีล่า) เพลงอิสาน เน้นความสนุก
  • QRRA (คาร่า) สไตล์เพลงทีป็อป
  • INDY CAMP ซีซั่น 2 ต่อยอดจากความสำเร็จในซีซั่นที่ 1
  • Queenie (ควินนี่) ซึ่งแตกไลน์มาจากโปรเจกต์ชราไลน์

“จากนี้อะไรที่เป็นออริจินอลของเราเอง ที่ไม่ใช่ไอดอลสไตล์จะอยู่ภายใต้ค่ายเพลงนี้ เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราทำเพลงเองอย่าง โด่ดิด่ง เรายังโปรโมตผ่าน BNK48 พอมันเป็นภาพของ BNK48 คนภายนอกที่ไม่ใช่ Fanclub ก็อาจจะมี BIAS คิดว่าเป็นเพลง BNK48 ทำให้ไม่สามารถเสพต่อ แต่พอเราแยกค่ายออกมาการสื่อสารก็จะชัดเจนขึ้น”

ศิลปินเปิดกว้าง = โอกาสทำเงิน

ณัฐพล ย้ำว่า ธุรกิจไอดอลก็ไม่ต่างจากดนตรี แค่เปลี่ยนจากแนวเพลง ไอดอลสไตล์ มาเปิดกว้างมากกว่าขึ้น สามารถทำเพลงได้หลากหลายสไตล์ อาทิ เพลงป็อป, เพลงอีสาน ทำให้เปิดกว้างในการรับรู้ของแบรนด์ดิ้งและตัวน้อง ๆ สมาชิกมากขึ้น แต่สุดท้ายทั้ง 2 ส่วนก็จะมาสนับสนุนกันเองไม่ว่าจะทางไอดอลออกไปสู่ตลาดแมส หรือจากตลาดแมสมาสู่ไอดอล นอกจากจะเปิดกว้างด้านการแสดงศักยภาพแล้ว ในแง่การสร้างรายได้ก็ต้องยอมรับว่ามีมากขึ้น เพราะสามารถหา สปอนเซอร์ ได้หลากหลายสไตล์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ค่าย Independent Records พื้นที่ให้น้อง ๆ ทั้ง 77 คนได้แสดงศักยภาพในสายงานอื่นนอกจากการเป็นไอดอล แต่จะเป็นในลักษณะ ออดิชั่น ซึ่งเบื้องต้น ค่ายจะเน้นให้โอกาสน้อง ๆ ก่อน ยังไม่มีแผนปั้นศิลปินภายนอกอื่น ๆ แต่เป็นไปได้ที่จะมีการฟีดเจอร์ริ่งกับศิลปินต่างค่าย เพราะต้องยอมรับว่าการเป็น BNK48 มันมีข้อจำกัดอยู่

“ตอนนี้เราให้ความสำคัญกับการเปิดพื้นที่ให้น้อง ๆ แสดงศักยภาพมากกว่าที่จะไปดึงคนนั้นคนนี้มาเป็นศิลปิน แต่ถ้าจะมีฟีจเจอรริ่งกันอันนี้ไม่ติดเลยมีโอกาสแน่เลย”

ตั้งเป้าโกย 100 ล้าน ใน 3 ปี

สำหรับงบการตลาดของเครือวางไว้ที่ 100 ล้านบาท สำหรับใช้ตั้งแต่ปลายปี 2565 จนถึงปี 2567 โดยจะเน้นสร้างการรับรู้ผ่านสังคมออนไลน์ครบทุกแพลตฟอร์มชั้นนำ และออนกราวด์ เช่น กิจกรรมโรดโชว์ หรือคอนเสิร์ต รวมถึงใช้พันธมิตรสื่ออย่าง แพลนบีมีเดีย เพื่อกระจายการรับรู้ โดยภายในปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 440 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนรายได้จากฝั่งของ Independent Records คาดว่าภายใน 3 ปี จะมีรายได้ 100 ล้านบาท

“ต้องยอมรับว่าการแข่งขันในธุรกิจไอดอลและธุรกิจเพลงสูงอยู่แล้ว และยิ่งครึ่งปีหลังจากนี้การแข่งขันยิ่งสูงเพราะทุกอย่างมันอั้นมาจาก 2 ปีที่แล้ว แต่เราเชื่อว่าเราได้เปรียบตรงฐานแฟนคลับที่แข็งแรง ส่วนน้อง ๆ ก็ต้องแสดงความสามารถให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เพราะตลาดมันกว้างกว่าแค่ไอดอลแล้ว”

ณัฐพลย้ำว่า แม้ว่าตลาดไอดอลจะไม่ฟีเวอร์เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ แต่พลังของ โอตะ ยังพร้อมให้การสนับสนุน แม้ว่าเศรษฐกิจจะทำให้กำลังซื้อลดลงก็ตาม ขณะที่งานอีเวนต์ต่าง ๆ ก็ยังไม่กลับมา 100% เหมือนก่อน ยังฟื้นเพียงแค่ 60-70% เท่านั้น แต่เชื่อว่าปีหน้าจะยิ่งแข่งขันสูงแน่นอน เพราะตลาดต้องการสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะตลาดไอดอลหรือตลาดเพลง

]]>
1402169
รู้จัก ‘บุญจิรา’ ผู้รับไม้ต่อจาก ‘ต้อม จิรัฐ’ บริหาร BNK48 ในยุคไอดอลเริ่มซา https://positioningmag.com/1294480 Fri, 28 Aug 2020 11:06:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1294480 เป็นเวลากว่า 3 ปีที่ ‘BNK48’ ได้ก่อตั้งขึ้นในไทยโดยบริษัท ‘BNK48 Office’ ที่ปัจจุบันบริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘Independent Artist Management’ จำกัด หรือ ‘iAM’ เพื่อขยายธุรกิจจากเดิมจากที่มีแค่วง BNK48 และในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้มี ‘ดราม่า เธียเตอร์’ ดราม่าใหญ่ที่ส่งผลให้ ‘ต้อม จิรัฐ บวรวัฒนะ’ และ ‘ณัฐพล บวรวัฒนะ’ หรือ ‘จ๊อบซัง’ 2 ผู้ปลุกปั้น BNK48 ได้ออกมาประกาศถอนตัวออกจากการบริหารงาน 48 Group และจากนั้นไม่นาน ทั่วโลกรวมถึงไทยก็ได้เผชิญกับวิกฤติ ‘COVID-19’ ซึ่งทำให้ข่าวคราวของ BNK48 หายหน้าไป จนล่าสุด iAM ก็คว้า คุณบุญจิรา ธีระมโน ที่เคยผ่านงานจาก ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค ไทยแลนด์ และ BEC World มาดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด พร้อมกับโจทย์ ต่อยอดความสำเร็จเดิมของ BNK48 และสร้างรายได้ใหม่ให้กับบริษัท

ผุดกลยุทธ์ ‘3-Os’ รักษาโอตะเก่าและเพิ่มโอตะใหม่

ไม่ใช่แค่เผชิญกับวิกฤติ COVID-19 แต่ก่อนหน้านี้ ลาดไอดอล’ ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากทั้งทางตรงจากวงไอดอลต่าง ๆ รวมถึงทางอ้อมอย่างเหล่าอินฟูลเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย ขณะที่ BNK48 ก็ไม่ได้อยู่ในจุดพีคเหมือนช่วง ‘คุกกี้เสี่ยงทายฟีเวอร์’ แล้ว ซึ่งคุณบุญจิราได้ระบุว่า จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษา Core Fanclub หรือเหล่า ‘โอตะ’ รวมถึงทำให้ BNK48 แมสมากขึ้น ไม่ใช่นีชเหมือนที่เคย เพราะอย่างที่รู้ว่านี่คือ ธุรกิจ Fan Base ดังนั้น หัวใจสำคัญคือการ มัดใจและเพิ่มจำนวนโอตะให้ได้

โดยในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะใช้กลยุทธ์ ‘3-Os’ ได้แก่ 1.Online โดยมีการทำ Online Content สร้าง Exposure และ Awareness ผ่านทุกช่องทาง Social Media และ Digital Platform อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทำ Exclusive Content ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน iAM48 รวมถึงการนำออฟไลน์อีเวนต์มาถ่ายทอดสดทางออนไลน์ และมีกิจกรรมอย่าง ‘Vitual greeting’ ที่ใช้แทนการจับมือในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา

2.ONGROUND โดยครึ่งปีหลังนี้ จะมี 2 BIG EVENT ใหญ่ ได้แก่ ‘BNK48 JANKEN TOURNAMENT 2020 – SENBATSU OF DESTINY’ หรือ งานเป่ายิ้งฉุบ ที่นับเป็นการจัดงาน JANKEN ครั้งแรกในไทย ส่วนงาน Signature อย่าง ‘Sport Day’ และ ‘งานจับมือ’ จะยังมีขึ้นแน่นอน นอกจากอีเวนต์ใหญ่แล้ว ยังมีกิจกรรมย่อยทุกสัปดาห์ อาทิ การแสดง Theatre ที่ต้องมีงานถี่ขนาดนี้ก็เพื่อ รักษาความสัมพันธ์ของแฟนคลับ นอกจากนี้ ยังมีโรดโชว์และสคูลทัวร์ในต่างจังหวัดเพื่อขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงในทุกช่วงอายุ

3.OUT-OF-HOME MEDIA บริษัทมี PLAN B เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งช่วยในการประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศผ่านทางจอ Screen LED ทั่วประเทศ รวมไปถึงจอประชาสัมพันธ์ในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่มีจอครอบคลุมมากกว่า 1,000 สาขา

“เรามีการเปลี่ยนแปลงภายในในช่วงที่น้อง ๆ กำลังอยู่จุดพีค ดังนั้น ความท้าทายของเราคือ จะต่อยอดความสำเร็จของ BNK48 อย่างไร จะสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับแฟนคลับและลูกค้าอย่างไร และมากไปกว่านั้น ต้องต่อยอดให้น้องไม่ใช่แค่เป็นศิลปินที่มีแฟนคลับเฉพาะกลุ่ม แต่ต้องดันน้องไปสู่แมสมากขึ้นในปีหน้า”

เดินหน้าหาพันธมิตร สร้างเม็ดเงินใหม่เข้าบริษัท

ที่ผ่านมา BNK48 ได้จับมือพันธมิตรหลากหลายเพื่อเข้าสู่สายแมสมากขึ้น อาทิ มีซีรีส์หรือภาพยนตร์ แต่ไม่ใช่แค่ในประเทศ ทางบริษัทกำลังวางแผนที่จะเจาะตลาดต่างประเทศ โดยได้ร่วมกับ ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ป (UMG) ในการปั้น ‘T-Pop’ เพื่อเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ ‘LYRA’ (ไลร่า) ที่ประกอบด้วยสมาชิก 6 คนจาก BNK48 และในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าจะได้เห็นการร่วมมือกันมากขึ้นกับ Strategic Partnership รายใหม่ ๆ ในรูปแบบการ Collaborate โดยมั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น

“ธุรกิจไอดอลตอนนี้มีคู่แข่งเยอะ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เราเชื่อว่าจะทำให้ตลาดโตขึ้น ซึ่งในอนาคตอาจเกิดการทำ Collaboration ระหว่างค่ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตอนนี้ไม่ได้มีข้อจัดกัดของค่ายแล้ว ไอดอลสามารถไปได้หลายมิติ ไม่จำกัดว่า BNK48 จะต้อง Collaboration กับ iAM แต่ข้ามค่ายได้”

มั่นใจรายได้เท่าปีที่ผ่านมาแม้เจอ COVID-19

แม้ว่าบริษัทจะไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขฐานแฟนคลับและรายได้ในปัจจุบันได้ แต่ยืนยันว่าทั้งรายได้และฐานแฟนคลับไม่ได้ลดลง ปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทมาจากอัลบั้มและการขายสินค้า รองลงมาเป็นงาน Event สุดท้าย สปอนเซอร์ชิพและพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งในส่วนงานจำหน่ายอัลบั้มและขายสินค้ายังคงทำได้ดี โดยเปลี่ยนรูปแบบจากงานจับมือมาเป็น Vitual Greeting

และในส่วนของพรีเซ็นเตอร์เดิมยังคงแข็งแรง อาทิ แกร็บ, เซเว่น อีเลฟเว่น และที่เปิดตัวล่าสุด คือ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ส่วนพรีเซ็นเตอร์ใหม่ ๆ กำลังอยู่ในช่วงเจรจา คาดว่าปีหน้าจะได้เห็น ซึ่งจะเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ ต่างจากที่เคยมี

“หลายคนบอกว่าไอดอลอยู่ในช่วงขาลง แต่เรายังเห็นศักยภาพและโอกาสของน้อง ๆ  BNK48 รวมถึงยูนิตอื่น ๆ และหนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้เราดำเนินธุรกิจต่อได้คือ ฐานแฟนคลับที่ยังแอคทีฟในทุกช่องทาง โดยจากนี้เราจะใช้ทุกกลยุทธ์ ทุกพาร์ตเนอร์ และคิดคอนเทนต์ใหม่ ๆ เพื่อตามเทรนด์ใหม่ ๆ ให้อยู่ในกระแส รวมถึงการบุกชิงพื้นที่สื่อแบบ 360 องศา เพื่อยอดธุรกิจและทำรายได้ นี่คือเป้าที่จะทำให้ได้มากที่สุด

]]>
1294480
เปลี่ยนบ้างก็ได้! ‘แกร็บ’ จัด ‘100 เมนูเอ็กซ์คลูซีฟ’ สู้ศึกฟู้ดเดลิเวอรี่ https://positioningmag.com/1294094 Tue, 25 Aug 2020 14:13:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1294094 จากวิกฤติ COVID-19 ส่งผลให้ตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่เติบโตอย่างมาก ส่งผลให้ใคร ๆ ก็อยากตบเท้าเข้ามาชิงส่วนแบ่งจากเค้กมูลค่า 35,000 ล้านบาทก้อนนี้ ดังนั้น จากที่มีคู่แข่งจากฝั่งบริษัทเทคโนโลยีด้วยกันเองอย่างฟู้ด แพนด้า, ไลน์แมน, โกเจ็ก (เก็ทเดิม) แต่กลายเป็นว่า ‘ธนาคาร’ กลับเข้ามาเล่นในตลาดนี้ด้วย เช่น โรบินฮู้ด (Robinhood) จากกลุ่มเอสซีบี หรืออีทเทเบิล (Eatable) จากบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป จำกัด ในเครือกสิกรไทย คำถามคือ ‘แกร็บฟู้ด’ (Grab Food) จะทำอย่างไรในเกมนี้

COVID-19 ดันยอดโตกระโดด

ปัจจุบันแกร็บมียอดดาวน์โหลดกว่า 14 ล้านดาวน์โหลด โดยในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา ธุรกิจส่งคนยอดหายถึง 90% แต่ในส่วนของแกร็บฟู้ดมีผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ผลประกอบการเติบโตเท่าตัว ยอดออเดอร์โต 30% ส่วนพาร์ตเนอร์ผู้ขับเติบโต 40,000 ราย รวมทั้งหมดกว่า 1 แสนราย ขณะที่การเติบโตของร้านอาหารรายใหม่อยู่ที่ 2.5 เท่า รวมทั้งหมดที่ 80,000 ร้าน ส่วนมูลค่าคำสั่งซื้ออยู่ที่ประมาณ 100-200 บาท

แน่นอนว่าหลังจากที่มีการคลายล็อกดาวน์จะส่งผลให้การเติบโตของแกร็บฟู้ดลดลง แต่พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยกินอาหาร 7 ครั้งต่อวัน อีกทั้งการเข้าถึงของสมาร์ทโฟนในไทยยังสูงถึง 80% อีกทั้งพื้นที่การให้บริการแล้วยังครอบคลุมแค่ 35 เมืองใน 33 จังหวัด ซึ่งแปลว่าโอกาสเติบโตยังมีอีกมาก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครเก็บข้อมูลชัดเจนว่าผู้เล่นแต่ละรายมีส่วนแบ่งตลาดมากน้อยแค่ไหน แต่มีข้อมูลการใช้งานเป็นประจำ หรือ Most Often Used Brand ของ Kantar ที่ใช้แทนการชี้วัดมาร์เก็ตแชร์ระบุว่าแกร็บมีอยู่ที่ 56%

“แกร็บอยู่ในไทย 2 ปี เราขึ้นเบอร์ 1 ในเวลา 1 ปีนิด ๆ เท่านั้น และการที่คู่แข่งมีจำนวนมากขึ้น ก็ยิ่งดีกับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เพราะบิสซิเนสโมเดลของผู้เล่นแต่ละรายแตกต่างกัน แต่เรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มเราสมดุลสุด ทั้งร้านค้า, ผู้ขับ และลูกค้า” นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าว

ส่งแคมเปญใหญ่เน้นเมนูหลากหลาย เพิ่มผู้ใช้ทิ้งห่างคู่แข่ง

ที่ผ่านมา แกร็บทำการสำรวจพฤติกรรมลูกค้าพบว่า ความหลากหลายของอาหาร เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญที่สุด รองลงมาเป็นเรื่อง ราคาและโปรโมชั่น ดังนั้น จึงเกิดเป็นแคมเปญ “Free Your Hunger เลิกกินตามใคร กดสั่งตามใจ” แคมเปญใหญ่สุดของปีนี้ โดยได้ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับชื่อดัง มาช่วยสร้างหนังสั้นที่แสดงโดย BNK48 พร้อมทั้งใช้การสื่อสารแบบครบทุกช่องทางการสื่อสาร ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

นอกจากนี้ ยังมีดีลและโปรโมชั่นกว่า 30,000 ดีล ทั้งส่งฟรี 3 กิโลเมตรแรก, ลด 50% และซื้อ 1 แถม 1 อีกทั้งยังมีเมนู Signature Menu กว่า 100 เมนู จากปีที่ผ่านมามี 30 เมนู ทิ้งห่างคู่เเข่งรายอื่น ๆ อย่าง LINE MAN ที่มีแค่ 17 เมนู รวมถึงการทำโปรโมชั่นร่วมกับธนาคารและผู้ให้บริการด้านการชำระเงินดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารซิตี้แบงก์ เป็นต้น โดยแคมเปญดังกล่าวมีระยะเวลาการจัดยาวที่สุดตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2563 ถึง 4 ตุลาคม 2563

“ปกติเราจะมีแคมเปญทุกเดือน และมีแคมเปญใหญ่ 1-2 ครั้ง แต่ครั้งนี้เรามั่นใจว่าใหญ่สุดของปีและในอุตสาหกรรม  หากเทียบกับความครอบคลุมของดีลและจำนวนร้านอาหาร”

ทั้งนี้ เป้าหมายของแคมเปญดังกล่าว คือ ร้านค้าต้องมียอดขายโตขึ้น 2 เท่า ผู้ใช้ใหม่โดยเฉพาะในกลุ่ม 20-39 ปีเติบโต 1 เท่า และมี Most Often Used Brand 60% นอกจากนี้ แกร็บได้เตรียมเพิ่ม ‘คลาวด์คิทเช่น’ จาก 3 แห่ง ได้แก่ สาขาสามย่าน สาขาถนนวิภาวดี 64 และสาขาทองหล่อ เป็น 6 แห่งภายในสิ้นปีนี้

กำไรยังไม่เน้น เน้นสร้างสมดุล

ความท้าทายของแกร็บในปัจจุบัน คือ การสร้างสมดุลระหว่างแกร็บ, พาร์ตเนอร์คนขับ, ร้านอาหาร ผู้บริโภคให้พอใจทั้งหมด เรื่องรายได้และกำไรยังไม่คิด เพราะแม้ว่าในส่วนของการส่งอาหารและส่งของ (แกร็บมาร์ท) จะเติบโต แต่ยังไม่สามารถครอบคลุมในส่วนของส่งคน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้เต็มที่ เพราะลูกค้ากลุ่มต่างชาติที่คิดเป็น 20-30% ของลูกค้าแกร็บยังไม่กลับมา

“ที่ผ่านมา มีประเด็นที่พาร์ตเนอร์คนขับแกร็บได้รวมตัวประท้วง เรามีการส่งจดหมายชี้แจงแล้ว เรามีการเปิดรับฟังทุก ๆ เดือน เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยกัน อีกทั้งยังมีขาของร้านอาหารและผู้บริโภคอีก ดังนั้นโจทย์ของเราไม่ใช่กำไร แต่เป็นการรักษาสมดุล”

]]>
1294094
สรุปดราม่าโรงละคร BNK48 หลัง iAM ให้ The BROTHERs ยืมใช้ โอตะขู่ถึงขั้นเทโหวต! https://positioningmag.com/1264743 Mon, 17 Feb 2020 17:36:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1264743 แฟนคลับสุดปรี๊ด หลังไอดอลชายในเครือ The BROTHERs โผล่ใช้โรงละคร BNK48 เป็นแคมป์ซ้อม ทั้งที่จ่าย 20 ล้านช่วยสร้างเพื่อให้สาวๆ ใช้เท่านั้น 

โรงละคร 20 ล้าน จากการระดมทุนของแฟนคลับ!

กลายเป็นดราม่าร้อนฉ่าสำหรับบริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (iAM) ต้นสังกัดของวงไอดอลสาว BNK48 หลังจากสัปดาห์ที่แล้วเจอปมปัญหาการสิ้นสุดสัญญาของสมาชิก 3 คน ล่าสุดก็เกิดเรื่องขึ้นอีก หลังจากแฟนเพจ The BROTHERs TH วงไอดอลชายที่ iAM ร่วมมือกับติ๊กเจษฎาภรณ์ ผลดีพระเอกระดับตำนาน ได้เปิดเผยคลิปสั้นโปรโมตรายการเมื่อ 16 ..

โดยพบว่ามีภาพการใช้โรงละคร หรือ เธียเตอร์ ของ BNK48 ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ เป็นสถานที่ฝึกซ้อม ขณะที่ในรายการ The Brothers School of Gentlemen ตอน The Prelude EP.1 ในแอปพลิเคชั่น LINE TV ก็พบว่า เธียเตอร์ ของ BNK48 ได้ถูกใช้เป็นแคมป์สำหรับการเวิร์คช็อปของรายการดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบภาพจ๊อบซังณฐพล บวรวัฒนะผู้จัดการวง BNK48 มาชมการเวิร์คช็อป และคณะครูจาก BNK48 มาฝึกซ้อมให้กับสมาชิกที่ผ่านการคัดเลือกด้วย

Photo : Shutterstock

ประเด็นนี้ทำให้แฟนคลับ BNK48 ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งจนเกิดแฮชแท็ก #IAM48 ติดเทรนด์ประเทศไทยตั้งแต่กลางดึกของวันที่ 16 ก.พ. จนถึงวันที่ 17 .. ที่ผ่านมา

เนื่องจากโรงละครดังกล่าวถูกสร้างโดยใช้งบประมาณส่วนหนึ่งมาจากการขายบัตรสมาชิกผู้ก่อตั้งวง (Founder Member) ในราคา 20,000 บาท จำนวน 1,000 ใบ เป็นเงิน 20,000,000 บาท และบัตร BNK48 Campus Card ราคา 600 บาท จำนวน 20,000 ใบ เป็นเงิน 12,000,000 บาท

ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้สมาชิก BNK48 ทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ ซ้อม, แสดง และใช้ประกาศหรือแสดงเพื่อจบการศึกษา (ลาออกจากวง) นอกจากนี้ตามธรรมเนียมของวงในตระกูล 48 ของญี่ปุ่น โรงละครจะถูกยกให้เป็นสถานที่พิเศษสำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจนได้เป็นสมาชิกของวงเท่านั้น และยังไม่ปรากฏว่ามีวงอื่นๆ แม้กระทั่งวงในตระกูล 48 ด้วยกันได้ใช้โรงละครขอทำกิจกรรมส่วนตัวของวง มีเพียงอนุญาตให้สมาชิกวงอื่นได้แสดงร่วมกับวงเจ้าของโรงละครเท่านั้น

โดยแฟนคลับบางส่วนมองว่าโรงละครควรจะเป็นสถานที่เฉพาะของ BNK48 เท่านั้น และหลายๆ กลุ่มได้ประกาศงดการสนับสนุนกิจกรรมลงคะแนนเพื่อคัดเลือกสมาชิกในซิงเกิลที่ 9 (BNK48 9th Senbatsu general election) หรือเลือกตั้ง BNK48 ครั้งที่ 2 ที่เพิ่งประกาศผลด่วนไปเมื่อวันที่ 14 ..ที่ผ่านมา

ยืนยัน… ให้ยืมแค่วันเดียว

ล่าสุด “จ๊อบซัง ณฐพล” ได้ออกมาชี้แจงผ่านทางแฟนเพจ BNK48Shihainin ในฐานะ 1 ในผู้บริหาร iAM ระบุว่า คณะผู้บริหารรู้สึกเสียใจและขอโทษในการให้ The BROTHERs ใช้ถ่ายทำ ยอมรับว่ากังวลและเสียใจจริงๆ โดยในการใช้พื้นที่ของ The BROTHERs แค่วันเดียว เมื่อ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อถ่ายทำรายการโดยให้ใช้ในพื้นที่ด้านล่างและในส่วนของออฟฟิศเท่านั้น ห้ามพื้นที่ใช้บนเวที , พื้นที่ส่วนตัว และห้องน้

ทั้งนี้ตนเสียใจที่ไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน แต่ยืนยันทั้ง 2 วงไม่ได้ใช้พื้นที่เดียวกัน ขณะที่ BNK48 ดิจิทัลสตูดิโอ หรือ ตู้ปลา ที่ศูนย์การค้า MBK Center ไม่ได้ให้ The BROTHERs มาใช้ ส่วนพื้นที่ออฟฟิศ iAM ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวก็จะไม่ให้มาทับซ้อน หรือใช้เวลาเดียวกัน โดยยืนยันว่า บนเวทีเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไป ส่วน The BROTHERs จะใช้สถานที่ใดคงจะแจ้งเร็วๆ นี้ แต่เป็นพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวกับ BNK48

โปรเจกต์ปั้นไอดอลชาย

ทั้งนี้ The BROTHERs เป็นโปรเจกต์สร้างไอดอลชายของ บริษัท ดรีมเมอร์ส โซไซตี้ เมเนจเมนท์ จำกัด (Dreamers Society Management) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง iAM และติ๊ก เจษฎาภรณ์จัดทำรายการเชิงเรียลลิตี้ เพื่อเฟ้นหา 20 ไอดอลชายที่เป็นสุภาพบุรุษแห่งชาติ โดยมีติ๊ก เจษฎาภรณ์” , “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” , “มาริโอ้ เมาเร่อและนิชคุณ หรเวชกุลเป็นผู้คอยให้คำแนะนำ หรือ BROACH ซึ่งล่าสุดได้ทำการคัดเลือกเหลือ 40 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 3,500 คน เพื่มร่วมรายการดังกล่าวที่จะออกฉายทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3

ขณะที่โรงละครของ BNK48 หรือ BNK48 เธียเตอร์ เป็นส่วนหนึ่งของ BNK48 The Campus เปิดตัวเมื่อ 26 เม.. 2561 โดยต้อมจิรัฐ บวรวัฒนะประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บีเอ็นเค โฟร์ตี้เอท ออฟฟิศ จำกัด ณ ขณะนั้นให้สัมภาษณ์ว่า จะใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อม ทำการแสดง และพบปะแฟนคลับ นำเสนอผลงานใหม่ๆ ของ BNK48 แคมปัสแห่งนี้เหมือนเป็นบ้าน และสถานศึกษา

Source

]]>
1264743
เปิดใจ “จิรัฐ บวรวัฒนะ” ในวันที่ใครๆ บอกว่า กระแส BNK48 ไม่ปังแล้ว https://positioningmag.com/1254894 Tue, 26 Nov 2019 14:39:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254894 ผู้บริหาร BNK48 เปิดใจธุรกิจนี้ไม่ใช่ธุรกิจเพลง ไม่ได้อยู่ได้ด้วยกระแส แต่อยู่ได้ด้วยฐานแฟนๆ พร้อมแผนธุรกิจเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น iAM ลุยปั้นไอดอลชาย ส่วน BNK48 ยังคงเดินหน้าสร้างคอนเทนต์หลากหลาย สร้างพื้นที่ให้น้องๆ

การเดินทาง 2 ปีของ BNK48

เมื่อปีที่ผ่านมาคำว่า BNK48 ได้เข้าไปอยู่ในกระแสหลักอย่างเต็มตัว เกิดปรากฏการณ์ “คุกกี้ฟีเวอร์” ทั่วประเทศไทย ทำให้ธุรกิจไอดอลแฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่นอย่าง BNK48 ประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้างรายได้ และชื่อเสียงเป็นกอบเป็นกำ รวมถึงกวาดงานพรีเซ็นเตอร์อีกหลาย 10 แบรนด์

BNK48 ได้เริ่มเดบิวท์ซิงเกิลแรกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2017 ในตอนนั้นธุรกิจนี้ถือว่าเป็นโมเดลธุรกิจที่คอ่นข้างใหม่มากในประเทศไทย เรียกง่ายๆ ว่า “ธุรกิจไอดอล” รายได้จะมาจากการสนับสนุนของแฟนๆ ในการซื้อซีดี ของที่ระลึกต่างๆ ไปจนถึงงานอีเวนต์ และต่อยอดในการทำคอนเทนต์อื่นๆ

ปัจจุบัน BNK48 มีผลงานเพลง 7 ซิงเกิล โดยที่ซิงเกิลแรกของ BNK48 ขายแผ่นซีดีได้จำนวนหมื่นกว่าแผ่น มาถึงซิงเกิลคุกกี้เสี่ยงทายขายได้ 30,000 กว่าแผ่น และซิงเกิล Jabaja ขายได้ถึง 170,000 แผ่น

นอกจากการขายซีดีแล้ว ในช่วง 2 ปีที่ผานมาได้มีการทำกิจกรรมโดยตลอด หลายคนจะคุ้นเคยกันอย่างดีกับ “งานจับมือ” ที่มีทุกซิงเกิล รวมไปถึงงานเลือกตั้ง, คอนเสิร์ต, แฟนมีต, ถ่ายรูปทูช็อต และโรดโชว์ที่ออกไปตามหัวเมืองต่างๆ

รวมไปถึงการทำคอนเทนต์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานเพลง ที่จะช่วยเสริมฐานของ BNK48 ให้แข็งขึ้น เช่น ภาพยนตร์ และซีรีส์ ได้แก่ Girl Don’t Cry, กระสือสยาม, ไทบ้านเดอะซีรีส์, Real Me, Where We Belong โดยที่ในปีหน้ามีแผนที่เปิดตัวภาพยนตร์อีก 4 เรื่อง และมีรายการทีวี ออนไลน์ที่ทำร่วมกับบี้ เดอะสกา

ความสำเร็จของ BNK48 ในช่วงปีที่ผ่านมายังสามารถดึงดูดได้อีกด้วย โดยที่ PlanB ยักษ์ใหญ่ในตลาดสื่อนอกบ้านยังขอร่วมจอย ทำให้ตอนนี้มีสัดส่วนการถือหุ้นแบ่งเป็น กลุ่มของจิรัฐ บวรวัฒนะ 55% AKB (ญี่ปุ่น) 35% และ PlanB 10%

กระแสไม่สำคัญเท่าฐานแฟนๆ

BNK48 ได้เดินทางมาได้ 2 ปีกว่าๆ แล้ว หลายคนมองว่าช่วงนี้กระแสของ BNK48 ดรอปลงไป ไม่มีเพลงฮิตติดหูเหมือนตอนเพลงคุกกี้เสี่ยงทายเลย หรือชื่อของ BNK48 ไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก ไม่ได้มีพรีเซนเตอร์แบรนด์ใหม่ๆ

ทาง Positioning ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “จิรัฐ บวรวัฒนะ” ระธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท Independent Artist Management จำกัด หรือ iAM ถึงประเด็นดังกล่าว โดยที่จิรัฐตอบอย่างมั่นใจว่า “ธุรกิจนี้ไม่ใช่ธุรกิจเพลง อยู่ได้ด้วยแฟนเบจ เพลงไม่ฮิตก็ต้องอยู่ให้ได้”

“ต้องยอมรับว่าถ้าเป็นธุรกิจเพลงกระแสย่อมมีขึ้นและลง แต่ BNK48 ไม่ได้วางจุดยืนอยู่ในอุตสาหกรรมเพลงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ Business Model ของเราเป็นแฟนเบจ เมเนจเมนต์ (หรือการบริหารแฟนๆ เหล่าโอตะนั่นเอง) ซึ่งสิ่งที่สำคัญกว่ากระแสคือ ความยั่งยืนในสังคม และแฟนๆ ที่สนับสนุนเรา”

จิรัฐยังเสริมอีกว่า ธุรกิจนี้อยู่ได้ด้วยแฟนๆ จริงๆ เป็นคนที่เลือกที่จะอยู่กับเรา เป็นคนที่เปย์น้องๆ ยกตัวอย่างที่ญี่ปุ่นทำธุรกิจอยู่มา 15 ปี มีเพลงฮิตหลายเพลง แต่ก็มีเพลงที่เงียบๆ แต่ก็มีรายได้อย่างต่อเนื่อง ที่ไทยก็ต้องทำให้ได้

สำหรับประเด็นที่ว่ากระแสที่ลดลง กระทบต่อการทำงาน หรือรายได้หรือไม่ จิรัฐบอกว่า กระตอนเพลงคุกกี้เสี่ยงทายเป็นปรากฏการณ์จริงๆ เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้คนรู้จักเยอะขึ้น เพลงฮิตเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่มีเพลงฮิตก็ต้องอยู่ให้ได้ วิธีการคือต้องสร้างความยั่งยืนด้วยคอนเทนต์อื่นๆ พยายามทำให้ Ecosystem สมบูรณ์แบบ มีการลงทุนด้านคอนเทนต์อื่นๆ ต่อเนื่อง ทำให้ BNK48 ไม่หยุดนิ่ง

นอกจากนี้สิ่งที่จิรัฐได้เรียนรู้จากกระแสของ BNK48 เมื่อปีก่อนนั้น “ทำให้เห็นว่ากระแสนั้นคนสนใจแค่คุกกี้เสี่ยงทาย สนใจแต่น้องๆ แต่ไม่ได้สนับสนุนเงิน แต่สำคัญกว่าคือมีแฟนๆ ที่สนับสนุนธุรกิจในการซื้อของต่างๆ”

ยอมรับว่ากระแสตก แต่ธุรกิจนี้ไม่ใช่กระแส

ปัจจุบัน BNK48 ยังคงมีผลงานเพลงออกมาอย่างตอ่เนื่อง และยังคงเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ต่างๆ 7 แบรนด์ ได้แก่ โตโยต้า, Exit, 12+, มิรินด้า, โออิชิ, แกร็บ และธนาคารออมสิน จากแต่ก่อนมี 10 กว่าแบรนด์ ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะหลายๆ แบรนด์ย่อมเลือกที่จะใช้งบลงทุนตอนที่ BNK48 มีกระแสสูงที่สุด แต่จิรัฐบอกว่าแบรนด์ที่ยังให้เป็นพรีเซนเตอร์อยู่ก็ยังคงมีการใช้งบเพิ่มขึ้น มีทั้งกิจกรรมโรดโชว์ต่างๆ

ถ้าถามว่าการบริหาร BNK48 ตอนนี้ มีความท้าทายอะไรบ้าง จิรัฐบอกว่าตอนนี้มีความท้าทายรอบตัว เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าในระยะยาว ถ้ามีอะไรมากระทบก็ต้องบริหารภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ ถ้าหยุดนิ่งถือว่าถอยหลัง

“แต่ความยากที่สุดของธุรกิจนี้คือ ‘ความคิด’ ของคนที่ไม่เชื่อในระบบนี้ และคนที่คิดว่าไม่มีกระแสแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่า BNK48 ไม่มีกระแสแล้ว ก็ต้องยอมรับว่ากระแสตกจริงๆ แต่ธุรกิจเราไม่ใช่กระแสเท่านั้นเอง” 

พลิกโฉม BNK48 Office สู่ iAM

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ BNK48 ในปีนี้นั่นคือการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก BNK48 Office เป็นบริษัท Independent Artist Management จำกัด หรือ iAM เท่ากับว่าจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่คอนเทนต์ของ BNK48 อีกต่อไป

โดยที่ iAM จะเน้นการลงทุน และบริหารศิลปิน นักร้อง รวมไปถึง Influencer ที่หลากหลาย แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. ธุรกิจ Idol Management ภายใต้ AKB48 Model ยังคงสร้างผลงานให้กับ BNK48 และสร้างรุ่นใหม่ต่อๆไป รวมถึงการขยายฐานสู่ระดับภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ มีการปั้นวงน้องในจังหวัดต่างๆ ล่าสุดเปิดตัว CGM 48 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละภูมิภาคมากขึ้น
  2. ธุรกิจ Idol Management ศิลปินชาย ผ่านการร่วมลงทุนในบริษัท Dream Society Management จำกัด หรือ DMS ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่าง iAM 60% และ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี” 40% โดย DMS จะใช้ Business Model จากความสำเร็จของ BNK48 มาปรับเพื่อสร้างความแตกต่าง เพื่อปฏิวัติวงการไอดอลชายไทย
  3. ธุรกิจ Talent Management บริหาร ศิลปิน นักร้องนักแสดง และ Influencer เพื่อเพิ่มความหลากหลายของคอนเทนต์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกอายุ เพศ และวัย โดยอยู่ระหว่างการเจรจาหาศิลปินที่มีความโดดเด่นน่าสนใจทั้งจากภายในและต่างประเทศ

แตกไลน์สู่ไอดอลชาย-Influencer

หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการปั้นไอดอลหญิงผ่าน BNK48 มาแล้ว iAM เตรียมปั้นไอดอลชายผ่าน Dream Society Management ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ซึ่งจิรัฐบอกว่ามีความคิดอยากทำธุรกิจไอดอลบอยอยู่แล้ว เลยได้พูดคุยกับติ๊ก เจษฎาภรณ์ มองว่าติ๊กมีประสบการณ์ในวงการบันเทิงมานาน ได้รับการยอมรับ ไม่มีข่าวเสียหาย

รูปแบบของการปั้นไอดอลชายจึงออกมาเป็นรายการ “The Brothers” School of gentlemen เป็นรายการกึ่งเรียลลิตี้ทีให้คนในวงการอย่างติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี, มาริโอ้ เมาเร่อ, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และนิชคุณ หรเวชกุลมาเป็นเมนเทอร์ในการพัฒนา ซึ่งจะเปิดตัว The Brothers ในเดือนพฤศจิกายน

สร้างพื้นที่ให้น้องๆ ขยายคอนเทนต์หลากหลาย

ปัจจุบัน BNK48 มีสมาชิกทั้ง 2 รุ่นรวม 40-50 คน และมีวงน้องสาว CGM48 ที่เชียงใหม่อีก 25 คน สำหรับก้าวต่อไปของ BNK48 คงไม่ใช่แค่การหาเซ็มบัตสึ 16 คนเพื่อออกซิงเกิลเพียงอย่างเดียว แม้จะใช้ฟอร์แมตเป็นหลักก็ตาม แต่จะมีการสร้าง “ยูนิตย่อย” ทำให้ BNK48 เป็นแพลตฟอร์ม ตอนนี้เริ่มเดบิวท์ยูนิต minigumo มีสมาชิกได้แก่ จ๋า มิวสิค และไข่มุก

“ตอนนี้เราไม่จำกัดในการทำแค่ไอดอล แต่ต้องขยายไปคอนเทนต์อื่นๆ ต้องเอาน้องๆ ในทีมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้ได้ ให้น้องมีพื้นที่ยืนชัดเจน มีตัวตนที่ชัดเจน การทำคอนเทนต์จึงสำคัญต้องเพิ่มศักยภาพ ต้องเพิ่มยูนิตย่อยให้มากขึ้น น้องจะมีพื้นที่ของตัวเอง”

สำหรับในเรื่องของรายได้นั้น ในปี 2018 BNK48 Office มีรายได้ 680 ล้านบาท ในปีนี้มองว่ารายได้จะพอๆ กัน และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัท และชื่อบริษัท ทำให้มีการโฟกัสธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น มีการตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ สัดส่วนรายได้ระหว่างธุรกิจ 48 (BNK48) จะอยู่ที่ 50% และธุรกิจ Non-48 (Influencer อื่นๆ) อีก 50%.

]]>
1254894
BNK48 Office พลิกโฉมสู่ i AM แตกไลน์สู่ไอดอลชาย “ติ๊ก เจษฎาภรณ์” ก็ร่วมหุ้น https://positioningmag.com/1252763 Thu, 07 Nov 2019 06:25:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1252763 BNK48 Office ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Independent Artists Management หรือ i AM ลงทุน 3 ธุรกิจหลัก ไอดอลหญิง เพิ่มไอดอลชาย และ Influencer

โดยที่ 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย

  1. ธุรกิจ Idol Management ภายใต้แฟรนไชส์ AKB48 Model โดยที่ BNK48 จะยังคงมีผลงานต่อไป และมีรุ่นต่อๆ ไป รวมถึงมีการขยายสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ล่าสุดได้เปิดตัว CGM48 วงน้องที่จังหวัดเชียงใหม่

2. ธุรกิจ Idol Management ศิลปินชาย ผ่านการร่วมทุนในบริษัท Dream Society Management หรือ DMS มีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่าง i AM 60% และ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี” 40%

มีการนำโมเดล BNK48 มาต่อยอดความสำเร็จ ประเดิมรายการ The Brothers School of gentlemen ได้นำศิลปิน ดาราคนไทย 4 ท่าน ได้แก่ ติ๊ก เจษฎาภรณ์, มาริโอ้ เมาเร่อ, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และนิชคุณ หรเวชกุล มาพัฒนาไอดอลชายในประเทศไทย

3. ธุรกิจ Talent Management บริหารศิลปิน นักร้อง นักแสดง และ Influencer เพือ่เพิ่มความหลากหลายของคอนเทนต์ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้ากหมาย อยุ่ระหว่างการเจรจาหาศิลปินในสังกัดทั้งใน และต่างประเทศ

]]>
1252763
BNK48 Office ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “i AM” แตกไลน์จากไอดอลสู่ Influencer https://positioningmag.com/1252321 Tue, 05 Nov 2019 04:26:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1252321 BNK48 Office ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น Independent Artists Management หรือ “i AM” พร้อมร่อนจดหมายเชิญงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 .. นี้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องบอกว่า BNK48 ไอดอลแฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น สร้างกระแสบนโลกออนไลน์ รวมถึงออฟไลน์อยู่ไม่น้อย สร้างกระแส คุกกี้ฟีเวอร์ กันทั่วเมือง จนสามารถโกยงานพรีเซ็นเตอร์ และยังดึงดูดนักลงทุนได้เพิ่มอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง PlanB

BNK48 ได้บริหารงานโดย BNK48 Office บริษัทในเครือ บริษัท โรสอาร์ทิสท์ แมเนจเม้นท์ (RAM) ของโรส มีเดีย 

หลังจากได้บริหารงานมาสักพัก จนแตกวงน้องไป CGM48 ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้สมัครมากกว่า 4,000 คน และได้เปิดตัวผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 25 คนไปเรียบร้อย พร้อมด้วยการตอบรับอย่างล้นเหลือของแฟนๆ ที่จังหวัดเชียงใหม่

ล่าสุด BNK48 Office ได้ประกาศทิศทางใหม่ของบริษัท ในการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Independent Artists Management” หรือ i AM

ทิศทางใหม่นี้จะเป็นการลงทุนที่หลากหลาย และครบวงจรมากขึ้น แตกไลน์การลงทุนในศิลปิน นักร้อง นักแสดงรวมถึง Influencer ต่างๆ ไม่ได้หยุดแค่ไอดอล BNK48 หรือ CGM48

เรียกว่าเป็นการผ่าทางตันของ BNK48 Office เพราะในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นที่น่าจับตามองว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงขาลงของ BNK48 แล้วหรือยัง เพราะดูไม่ค่อยมีกระแสใดๆ บนโลกออนไลน์เท่าไหร่ แต่ยังมีกลุ่มแฟนคลับคอยสนับสนุนอยู่

ต้องรอติดตามงานแถลงข่าวในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ ว่าจะมีรายละเอียดอะไรบ้างถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

]]>
1252321
ไม่หวั่นไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปแข่งดุ! BNK48 เปิดตัววงน้องสาว “CGM48” เจาะฐานเชียงใหม่ ลงทุนกว่า 100 ล้าน สร้างทุกอย่างเหมือนกรุงเทพฯ https://positioningmag.com/1238563 Thu, 11 Jul 2019 00:55:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1238563 ในขณะที่ธุรกิจไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปมูลค่ากว่าล้านบาทของเมืองไทยก้าวเข้าสู่ Red Ocean อย่างสมบูรณ์ ในปีที่ผ่านมามีวงเปิดใหม่กว่า 30-40 วง แต่ก็ใช่ว่าทุกวงจะประสบความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เพราะหลายวงก็ออกมาปิดวงอย่างกะทันหัน ทำเอากลุ่มแฟนคลับต่างตกอกตกใจไปตามๆ กัน

แต่ในมุมมองของจิรัฐ บวรวัฒนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท BNK48 Office จำกัด ผู้ปลุกปั้นวง “BNK48” ซึ่งเป็นที่รู้จักจากกระแสเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย จนฮิตเมื่อ 2 ปีก่อน กลับมองว่า ในธุรกิจนี้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากรู้จักวางทิศทางดีๆ

เพราะอย่าง BNK48 ที่หลายคนมองว่าอยู่ในขาลงหรือเปล่า? ถ้าวัดด้วยกระแสเพลงที่อาจไม่เปรี้ยงเท่ากับคุกกี้เสี่ยงทาย จะเรียกว่าขาลงก็ไม่มีปัญหา แต่จริงๆ แล้วถ้ามองเข้าไปจะพบว่า ทางวงยังมีงานต่างๆ รวมไปถึงการเป็นพรีเซ็นเตอร์ซึ่งแต่ละงานต้องจ่ายเป็นตัวเลข 8 หลัก ซึ่งพยายามไม่ให้เกิน 10 แบรนด์ ด้วยไม่อยากสร้างความสับสนให้กับแฟนคลับ

ที่มา : Facebook BNK48

อีกทั้งวงเองก็มีแฟนคลับที่เป็นฐานเหนียวแน่นไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน ที่ช่วยสนับสนุนไอดอลทั้ง 2 รุ่น จำนวน 51 คน ทำให้จากที่วางไว้ว่าจะต้องขาดทุนอย่างน้อย 5 ปี กลับสามารถทำกำไรตั้งแต่ปีที่ 2 แม้ปีแรกจะขาดทุกจริงๆ กว่า 40-50 ล้านบาท โดยรายได้กว่า 50% มาจากสินค้าเมอร์แชนไดส์ อีก 25% ออนไลน์ สุดท้ายสปอนเซอร์ชิป 25%

รายได้และกำไร บริษัท บีเอ็นเค48 ออฟฟิศ จำกัด

  • ปี 2560 รายได้ 40,549,323.58 บาท ขาดทุน 22,298,366.99 บาท
  • ปี 2561 รายได้ 673,298,981 บาท กำไร 146,851,038 บาท

(ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)

แนวทางของการทำวง BNK48 ต่อจากนี้คือการขยายฐานออกไปยังต่างจังหวัด เหมือนอย่างประเทศต้นฉบับอย่างญี่ปุ่น ที่มีถึง 6 วงด้วยกัน ในวันที่ 2 มิถุนายน 2019 ซึ่งเป็นวันที่ครบรอบ 2 ปีของการเปิดตัววงอย่างเป็นทางการ ในการประกาศเปิดตัววงน้องสาว “CGM48” ซึ่งจะมีฐานและเน้นการทำกิจกรรมที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก

จิรัฐให้เหตุผลที่เลือกจังหวัดเชียงใหม่ เพราะหลังจากไปจัดอีเวนต์ 14 ครั้งปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามทุกครั้ง ยิงไปกว่านั้น เชียงใหม่ยังมีประชากรกว่า 1.7 ล้านคน เป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ และเป็นอันดับสี่ของประเทศ มีนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนปีละ 2 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่ชอบศิลปินไทย

แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ที่ลึกลงไปกว่านั้นเพราะเชียงใหม่เป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ของหนึ่งในผู้ถือหุ้นหลัก “แพลน บี” ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย (Out of Home) ซึ่งการเปิดวงใหม่จะสามารถตอบโจทย์โซลูชั่นโฆษณา ซึ่งปัจจุบันแบรนด์เริ่มทำการตลาดเฉพาะภูมิภาคมากขึ้น

การบุกเชียงใหม่ในครั้งนี้ใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพราะมีการทุกอย่างเหมือนกรุงเทพฯ ทั้งที่พักศิลปิน ศูนย์ฝึก โรงละคร ดิจิทัล ไลฟ์สตูดิโอ คาเฟ่ ขายของที่ระลึก อีกทั้งยังมีทีมงานเป็นของตัวเอง

เบื้องต้นได้เริ่มประกาศรับออดิชั่นไปแล้วโดยมีผู้มาสมัครแล้วกว่า 3,500 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาตินับ 100 คน จะปิดรับสมัครในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นจะทำการคัดเลือกมาร่วมวง 20-30 คน การจะได้เลือกให้เข้าวงจะดูจากเสน่ห์

ในจำนวนนี้มี 2 ศิลปินรุ่นพี่จากวง BNK48 มาร่วมด้วย ได้แก่ ออม ปุณยวีร์ โดยจะไปในตำแหน่งกัปตันวง CGM48 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ เฌอปราง อารีย์กุล กำลังทำหน้าที่อยู่ในวง BNK48 และสมาชิกอีกคนได้แก่ อิซึรินะ จะรับตำแหน่ง ชิไฮนิน หรือผู้จัดการวงที่จะดูแลภาพรวมของวงทั้งหมด รวมไปถึงเป็นสื่อกลางระหว่างแฟนๆ ถึงฝ่ายบริหารของวง คาดใช้เวลาฝึก 4-5 เดือน พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในต้นปีหน้า

ถึงจะมีวงน้องสาวขึ้นมาแต่ก็เชื่อว่าจะไม่ทับซ้อนกันอย่างแน่นอน เพราะแนวทางการทำวงจะสร้างเอกลักษณ์ให้แตกต่าง และส่วนเพลงจะพยายามไม่ให้ซ้ำกันกับ BNK48 รวมไปถึงชุดและท่าเด้นต่างๆ ที่จะแทรกวัฒนธรมของภาคเหนือลงไป

จิรัฐยอมรับการลงทุนครั้งนี้มีความเสี่ยง แต่จากการเติบโตของ BNK48 เชื่อว่า  “CGM48” จะทำได้เช่นเดียวกัน และจะคืนทุนภายในระยะเวลา 3 ปี ต่างจากวงพี่ที่เดิมวางแผนคืนทุนในระยะเวลา 5 ปี แต่ก็ทำได้ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นแผนในอนาคตอาจขยายออกไปให้มีวงครบทุกภาคก็เป็นไปได้

ส่วนทิศทางของวงรุ่นพี่ BNK48 ต่อจากนี้จะเห็นผลงานภาพยนตร์อีก 2 เรื่อง และปีหน้าวางแผนทำอีก 4 เรื่อง นอกจากนี้วางแผนทำซีรีส์อีก 2 เรื่อง แต่ยังไม่ได้วางแผนว่าจะนำไปออกในทีวีหรือแฟลตฟอร์มสตรีมมิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ได้ให้ขายสิทธิ์ให้เรื่อง “Where We Belong” ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า ให้กับสตรีมมิ่งระดับโลกไปแล้ว

ที่สำคัญยังมีการเสนอทำสารคดีให้กับสตรีมมิ่งรายนี้ด้วย ซึ่งทาง BNK48 คาดหวังเป็นอย่างมากเพราะจะเข้ามาช่วยต่อยอดจิ๊กซอว์ความเป็น Global ที่ BNK48 ต้องการจะเป็น อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15%

]]>
1238563
ใครกันแน่เบอร์ 1 ? Grab Food ย้ำค่าส่ง 10 บาทเอาอยู่! ขึ้นแชมป์ Food Delivery คาดอนาคตตลาดใหญแบบอีคอมเมิร์ซ https://positioningmag.com/1230521 Sat, 18 May 2019 02:55:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1230521 แม้จะเพิ่งเปิดบริการ Food Delivery ได้เพียง 1 ปีกว่าๆ แต่ Grab Food ได้ระบุว่า ตัวเองถือเป็นผู้นำในตลาดนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 50% โดยยกตัวอย่างเทียบกับ Foodpanda ที่มียอดสั่ง 1 ล้านออเดอร์ภายใน 3 เดือน แต่ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2019 Grab Food มียอดสั่งกว่า 4 ล้านออเดอร์ แซงยอดปี 2018 ทั้งปีที่ทำได้ราว 3 ล้านออเดอร์เรียบร้อย

โดยเหตุผลที่ทำให้ปีนี้มียอดออเดอร์แซงปีที่แล้ว มาจากการเดินหน้ากลยุทธ์ Every Day App ที่ทำได้ดี และเริ่มมีโปรโมชั่นร่วมกันกับบริการอื่นๆ ที่อยู่ในแฟลตฟอร์ม โดย Grab Food ถือเป็นบริการที่ Grab ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเติบโตได้สูง แม้วันนี้จำนวนการใช้งานจะเป็นรองบริการเรียกรถ แต่เชื่อว่าอนาคตจะแซงขึ้นมาได้ไม่ยาก

นอกจากนี้ Grab Food ได้ออกมายืนยันอีกว่าตัวเองเป็น Top of Mind เมื่อวัดจาก 4 ด้านทั้งความเร็ว ความหลากหลาย ความคุ้มค่า และคุณภาพ จากสำรวจโดย กันตาร์ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเดียวกับที่คู่แข่งรายสำคัญอย่าง LINE MAN ได้ออกมายืนยันเมื่อวาน (16 พฤษภาคม) ที่ผ่านมา ว่าอยู่ในใจของผู้บริโภคเมื่อถามถึง Food Delivery เช่นเดียวกัน

ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มคุ้นชินกับการสั่งอาหารมาส่งที่บ้านผ่าน Food Delivery กันมากขึ้น Grab Food ไม่ขอเปิดเผยจำนวนผู้ใช้งานบอกแต่เพียงว่า ช่วงเวลาที่สั่งมากยังคงเป็นมื้อเที่ยงและเย็น ทั้งส้มตำ อาหารไทย ข้าวมันไก่ และเบอร์เกอร์

แต่สิ่งที่เห็นเพิ่มขึ้นคือมื้อระหว่างบ่าย มักจะสั่งของว่างมากินโดยมี ชาไข่มุก นำมาเป็นอันดับหนึ่งและมื้อดึกหลัง 4 ทุ่ม ที่คนมักจะสั่งอาหารจากเยาวราชและมาม่าเจ๊โอ ที่สำคัญพฤติกรรมการสั่งได้ขยายจากวัยรุ่น วัยทำงาน ไปสู่วัยพ่อแม่เรียบร้อยแล้ว

กลยุทธ์ของ Grab Food ให้ความสำคัญกับ 3 ส่วน คือ ส่งเร็ว มีดีลพิเศษ และส่วนลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ 2 ข้อหลัง ซึ่งเชื่อว่าตัวเองยังเป็นรายเดียวในตลาดที่มี ล่าสุดยังได้อัดโปรโมชั่นใหญ่ครั้งแรกของ Grab Food โดยให้ส่วนลดสูงสุด 70% ใน 200 ร้านค้า ลูกค้าที่มียอดสั่งซื้อสูงสุด 3 รายจะได้ไปมัลดีฟส์

​นอกจากนี้ยังดึง BNK48 เข้ามาช่วยโปรโมท ระยะเวลาแคมเปญตั้งแต่วันนี้จนถึง 2 มิถุนายน คาดว่าแคมเปญนี้จะทำให้ยอดออเดอร์ทะลุ 10 ล้านออเดอร์ ส่วนทั้งปีตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 20 ล้านออเดอร์

ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บประเทศไทย กล่าวว่า

ยอมรับว่าวันนี้ Food Delivery เติบโตด้วยโปรโมชั่นที่แข่งกันอัดจากคู่แข่ง 4 รายหลักในตลาด แต่เชื่อว่าภายในอีก 5 ปี เกมนี้จะเหมือนกันสงคราม E-Commerce ตรงที่ไม่มีโปรโมชั่น ลูกค้าก็เข้ามาเพราะชินไปแล้ว

ขณะเดียวกันในแง่ของ “ราคา” หนึ่งในปัจจัยหลักการเลือกของผู้บริโภค Grab Food ยังยืนยันใช้ราคาส่ง 10 บาท ซึ่งถือว่าถูกที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ค่าบริการนี้จะคิดกับระยะทาง 5 กิโลเมตรแรก ส่วนที่เหลือคิด 10 บาทต่อกิโลเมตร ในระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร ด้วยมองว่าผู้บริโภคไม่อยากรอนาน ระยะการส่งจึงไม่ควรเกิน 30 นาที

ส่วนเรื่องราคาอาหารที่ไม่ตรงกับหน้าร้าน ตรงนี้ Grab Food ยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้กำหนดราคาแต่ทางร้านเป็นผู้ใส่ราคา แม้ว่าจะมีบางร้านที่มียอดขายสูงจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทุกร้าน

ความท้าทายของ Grab Food คือการต้องทำความเข้าใจกับร้านค้าว่า แม้การเข้าร่วมอาจทำให้หน้าร้านมีคนมากินน้อยลง แต่สามารถทดแทนกับการสั่งซื้อผ่าน Grab ที่ผ่านมาจึงมีจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ปัจจุบันมีมากกว่า 20,000 ร้านค้า ล่าสุดยังได้จับมือกับ STARVINGTIME เรื่องกินเรื่องใหญ่’ แพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหาร ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 ล้านคนในโซเชียลมีเดียว

ความร่วมมือนี้จะทำให้ Grab Food มีตัวเลือกร้านอาหารเพิ่มขึ้น รวมไปถึงเป็นอีกช่องทางในการสั่งอาหารที่มากขึ้น เพราะท้ายรีวิวจะมีให้คลิกสั่งได้ทันที นอกจากนี้ภายในปี 2019 ได้วางแผนขยายไปอีก 6 เมือง เช่น พัทยา โคราช หาดใหญ่ นอกเหนือจากกรุงเทพ เชียงใหม่ และขอนแก่น ที่มีให้บริการไปแล้ว

]]>
1230521
สาหร่ายอย่างเดียวไม่พอ! เถ้าแก่น้อยขอ 10 ปี มุ่งสู่องค์กรนวัตกรรมอาหาร แตกไลน์ทำสแน็คไข่เค็ม “ทินเท็น” ดึง BNK48 เจาะกลุ่มโอตะ https://positioningmag.com/1224972 Sat, 13 Apr 2019 01:55:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1224972 เถ้าแก่น้อย” กำลังเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่ประกาศชัดเจนจะไม่จำกัดตัวอยู่ในธุรกิจขนมขบเคี้ยว” เท่านั้น แต่จะใช้เวลา 10 ปี ในการก้าวเข้าสู่ผู้ประกอบด้านนวัตกรรมอาหารหรือ innovation food company นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต ทำให้วันนี้ของเถ้าแก่น้อยไม่ได้มีแค่สาหร่ายปรุงรส” ที่รู้จักกันดีอีกต่อไป

แผนธุรกิจใหม่ที่เราวาง มุ่งก้าวสู่การเป็นบริษัทนวัตกรรมอาหารให้ได้ภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยมีเป้ารายได้ที่ 1 หมื่นล้านภายใน 5 ปี ดังเราจำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์และธุรกิจตัวใหม่ๆ เข้ามาเสริม สำหรับปีนี้บริษัทมีโปรเจกต์ใหญ่ที่เตรียมจะออกหลังจากนี้อีก 2 โปรเจกต์

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าว

เขายกตัวอย่าง การซื้อลิขสิทธิ์สูตรซอสไข่เค็ม” มาจากประเทศสิงคโปร์ แล้วนำมาผสมกับสาหร่ายรวมถึงพัฒนามาเป็น “ปลาหมึกไข่เค็ม ”เถ้าแก่น้อยทินเท็น ขนมขบเคี้ยวที่นำมาวางขาย เพื่อสร้างความแตกต่างจากสแน็คปลาหมึก ที่วางขายในตลาด

เถ้าแก่น้อยใช้งบประมาณ 25 ล้านบาทในการทำตลาด ผ่านกลยุทธ์ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง โดยมี 6 สาว BNK48 ได้แก่ น้องวี น้องจูเน่ น้องฟ้อนด์ น้องมายยู น้องนิว และน้องมิวนิค มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อต้องการสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มโอตะ โดยจะมีทั้งภาพยนตร์โฆษณา กิจกรรม

ที่ผ่านมาเถ้าแก่น้อยเลือกใช้ดาราชายและบอยแบนด์เป็นพรีเซ็นเตอร์มาตลอด สามารถสร้างฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั้งวัยรุ่นหญิง และคนวัยทำงานมาแล้ว ในปีนี้เราเลือก BNK48 เกิร์ลกรุ๊ปที่กำลังโด่งดังมีแฟนคลับที่แข็งแกร่งมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าใหม่ ทินเท็น เพราะเชื่อว่านอกจากจะช่วยสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ และยังจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้เติบโตมีส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 10% ภายใน 2 ปี

]]>
1224972