ในขณะที่ “ธุรกิจไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป” มูลค่ากว่าล้านบาทของเมืองไทยก้าวเข้าสู่ Red Ocean อย่างสมบูรณ์ ในปีที่ผ่านมามีวงเปิดใหม่กว่า 30-40 วง แต่ก็ใช่ว่าทุกวงจะประสบความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เพราะหลายวงก็ออกมาปิดวงอย่างกะทันหัน ทำเอากลุ่มแฟนคลับต่างตกอกตกใจไปตามๆ กัน
แต่ในมุมมองของ “จิรัฐ บวรวัฒนะ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท BNK48 Office จำกัด ผู้ปลุกปั้นวง “BNK48” ซึ่งเป็นที่รู้จักจากกระแสเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” จนฮิตเมื่อ 2 ปีก่อน กลับมองว่า ในธุรกิจนี้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากรู้จักวางทิศทางดีๆ
เพราะอย่าง BNK48 ที่หลายคนมองว่าอยู่ใน “ขาลง” หรือเปล่า? ถ้าวัดด้วยกระแสเพลงที่อาจไม่เปรี้ยงเท่ากับคุกกี้เสี่ยงทาย จะเรียกว่าขาลงก็ไม่มีปัญหา แต่จริงๆ แล้วถ้ามองเข้าไปจะพบว่า ทางวงยังมีงานต่างๆ รวมไปถึงการเป็นพรีเซ็นเตอร์ซึ่งแต่ละงานต้องจ่ายเป็นตัวเลข 8 หลัก ซึ่งพยายามไม่ให้เกิน 10 แบรนด์ ด้วยไม่อยากสร้างความสับสนให้กับแฟนคลับ
อีกทั้งวงเองก็มีแฟนคลับที่เป็นฐานเหนียวแน่นไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน ที่ช่วยสนับสนุนไอดอลทั้ง 2 รุ่น จำนวน 51 คน ทำให้จากที่วางไว้ว่าจะต้องขาดทุนอย่างน้อย 5 ปี กลับสามารถทำกำไรตั้งแต่ปีที่ 2 แม้ปีแรกจะขาดทุกจริงๆ กว่า 40-50 ล้านบาท โดยรายได้กว่า 50% มาจากสินค้าเมอร์แชนไดส์ อีก 25% ออนไลน์ สุดท้ายสปอนเซอร์ชิป 25%
รายได้และกำไร บริษัท บีเอ็นเค48 ออฟฟิศ จำกัด
- ปี 2560 รายได้ 40,549,323.58 บาท ขาดทุน 22,298,366.99 บาท
- ปี 2561 รายได้ 673,298,981 บาท กำไร 146,851,038 บาท
(ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
แนวทางของการทำวง BNK48 ต่อจากนี้คือการขยายฐานออกไปยังต่างจังหวัด เหมือนอย่างประเทศต้นฉบับอย่างญี่ปุ่น ที่มีถึง 6 วงด้วยกัน ในวันที่ 2 มิถุนายน 2019 ซึ่งเป็นวันที่ครบรอบ 2 ปีของการเปิดตัววงอย่างเป็นทางการ ในการประกาศเปิดตัววงน้องสาว “CGM48” ซึ่งจะมีฐานและเน้นการทำกิจกรรมที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก
“จิรัฐ” ให้เหตุผลที่เลือกจังหวัดเชียงใหม่ เพราะหลังจากไปจัดอีเวนต์ 14 ครั้งปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามทุกครั้ง ยิงไปกว่านั้น เชียงใหม่ยังมีประชากรกว่า 1.7 ล้านคน เป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ และเป็นอันดับสี่ของประเทศ มีนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนปีละ 2 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่ชอบศิลปินไทย
แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ที่ลึกลงไปกว่านั้นเพราะเชียงใหม่เป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ของหนึ่งในผู้ถือหุ้นหลัก “แพลน บี” ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย (Out of Home) ซึ่งการเปิดวงใหม่จะสามารถตอบโจทย์โซลูชั่นโฆษณา ซึ่งปัจจุบันแบรนด์เริ่มทำการตลาดเฉพาะภูมิภาคมากขึ้น
การบุกเชียงใหม่ในครั้งนี้ใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพราะมีการทุกอย่างเหมือนกรุงเทพฯ ทั้งที่พักศิลปิน ศูนย์ฝึก โรงละคร ดิจิทัล ไลฟ์สตูดิโอ คาเฟ่ ขายของที่ระลึก อีกทั้งยังมีทีมงานเป็นของตัวเอง
เบื้องต้นได้เริ่มประกาศรับออดิชั่นไปแล้วโดยมีผู้มาสมัครแล้วกว่า 3,500 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาตินับ 100 คน จะปิดรับสมัครในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นจะทำการคัดเลือกมาร่วมวง 20-30 คน การจะได้เลือกให้เข้าวงจะดูจาก “เสน่ห์”
ในจำนวนนี้มี 2 ศิลปินรุ่นพี่จากวง BNK48 มาร่วมด้วย ได้แก่ “ออม ปุณยวีร์” โดยจะไปในตำแหน่งกัปตันวง CGM48 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ เฌอปราง อารีย์กุล กำลังทำหน้าที่อยู่ในวง BNK48 และสมาชิกอีกคนได้แก่ “อิซึรินะ” จะรับตำแหน่ง ชิไฮนิน หรือผู้จัดการวงที่จะดู
ถึงจะมีวงน้องสาวขึ้นมาแต่ก็เชื่อว่าจะไม่ทับซ้อนกันอย่างแน่นอน เพราะแนวทางการทำวงจะสร้างเอกลักษณ์ให้แตกต่าง และส่วนเพลงจะพยายามไม่ให้ซ้ำกันกับ BNK48 รวมไปถึงชุดและท่าเด้นต่างๆ ที่จะแทรกวัฒนธรมของภาคเหนือลงไป
“จิรัฐ” ยอมรับการลงทุนครั้งนี้มีความเสี่ยง แต่จากการเติบโตของ BNK48 เชื่อว่า “CGM48” จะทำได้เช่นเดียวกัน และจะคืนทุนภายในระยะเวลา 3 ปี ต่างจากวงพี่ที่เดิมวางแผนคืนทุนในระยะเวลา 5 ปี แต่ก็ทำได้ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นแผนในอนาคตอาจขยายออกไปให้มีวงครบทุกภาคก็เป็นไปได้
ส่วนทิศทางของวงรุ่นพี่ BNK48 ต่อจากนี้จะเห็นผลงานภาพยนตร์อีก 2 เรื่อง และปีหน้าวางแผนทำอีก 4 เรื่อง นอกจากนี้วางแผนทำซีรีส์อีก 2 เรื่อง แต่ยังไม่ได้วางแผนว่าจะนำไปออกในทีวีหรือแฟลตฟอร์มสตรีมมิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ได้ให้ขายสิทธิ์ให้เรื่อง “Where We Belong” ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า ให้กับสตรีมมิ่งระดับโลกไปแล้ว
ที่สำคัญยังมีการเสนอทำสารคดีให้กับสตรีมมิ่งรายนี้ด้วย ซึ่งทาง BNK48 คาดหวังเป็นอย่างมากเพราะจะเข้ามาช่วยต่อยอดจิ๊กซอว์ความเป็น Global ที่ BNK48 ต้องการจะเป็น อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15%