Coke – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Feb 2020 14:33:29 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 COVID-19 ทำพิษ “โค้ก ซีโร่ -ไดเอท โค้ก” เสี่ยงขาดตลาด เพราะสารให้ความหวานผลิตในจีน https://positioningmag.com/1266132 Thu, 27 Feb 2020 09:31:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1266132 การเเพร่ระบาดของไวรัสโรโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโรค Covid-19 กำลังกระทบธุรกิจหลายภาคส่วน เเม้เเต่เครื่องดื่มยอดฮิตอย่าง “โค้ก ซีโร่” เเละ “ไดเอท โค้ก” ของ Coca-Cola ก็กำลังมีความเสี่ยงที่อาจจะขาดตลาด เพราะวัตถุดิบสำคัญอย่าง “สารให้ความหวานแทนน้ำตาล” (Artificial Sweetener) ซึ่งผลิตในประเทศจีนได้รับผลกระทบด้วย 

รายงานของ Coca-Cola ระบุว่า การระบาดของโรค COVID-19 ตั้งเเต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ทำให้ซัพพลายเออร์ในประเทศจีน มีความล่าช้าในการผลิตและส่งออกส่วนผสมเหล่านี้ โดยรวมไปถึงสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ดังนั้นสินค้ายอดนิยมอย่าง “โค้ก ซีโร่” เเละ “ไดเอท โค้ก” ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้เริ่มเเผนการจัดการฉุกเฉินเเล้ว คาดว่าในช่วงแรกสินค้าอาจจะยังไม่ขาดตลาดในระยะสั้น เเต่ในระยะยาวอาจจะพบปัญหาในการผลิตและส่งออก หากสถานการณ์ในจีนเเย่ลง

ทั้งนี้ Coca-Cola ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหลายตัวทั้ง aspartame, acesulfame potassium, sucralose, saccharin, cyclamate เเละ steviol glycosides ซึ่งไม่ระบุเเน่ชัดว่าตัวไหนที่ผลิตในจีน

รายงานระบุอีกว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงาน ด้วยมาตรการป้องกันไว้ล่วงหน้าสำหรับพนักงานในประเทศจีน ซึ่งรวมถึงการจัดหาหน้ากากอนามัยและการฆ่าเชื้อ รวมถึงการติดตั้งการคัดกรองอุณหภูมิ ในสำนักงานและโรงงานผลิต และตั้งค่ากลไกการตรวจสอบสุขภาพทั่วทั้งระบบของ Coca-Cola ในประเทศจีน

นอกจากนี้ Coca-Cola ซึ่งเป็นผูัผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ของโลก คาดการณ์ว่าการระบาดของ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสเเรกปีนี้ถึง 2 เซนต์ต่อหุ้น กระทบรายได้ ราว 1-2% เเละกระทบปริมาณการจำหน่ายเครื่องดื่มราว 2-3% โดยมูลค่าธุรกิจในจีนของ Coca-Cola คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของทั้งโลก

เเต่ทาง Coca-Cola ยืนยันว่าบริษัทจะมีผลประกอบการประจำปีนี้ตามเป้าหมายเดิม ซึ่งตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 5% และกำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วจะเพิ่มขึ้น 7% เป็น 2.25 ดอลลาร์สหรัฐ

อ่านเพิ่มเติม : Coca-Cola คาดไวรัสโคโรนาระบาด กระทบกำไร-รายได้ ในไตรมาสแรก

ที่มา : dailymail , businessinsider

]]>
1266132
ครั้งแรกของโลก! Coca-Cola โชว์ขวดใหม่สุดกรีน รีไซเคิลจากขยะพลาสติกทางทะเล 25% https://positioningmag.com/1249583 Fri, 11 Oct 2019 09:51:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1249583 ถือเป็นครั้งแรกที่ขยะพลาสติกในทะเลสามารถนำมารีไซเคิลเป็นขวดบรรจุเครื่องดื่ม โดย Coca-Cola ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาขวดพันธุ์ใหม่ที่ผลิตจากพลาสติกทะเลรีไซเคิล 25% คาดว่าจะเดินหน้าขยายผลในสายการผลิตขวดบางส่วนช่วงปีหน้า

กลายเป็นเทรนด์ระดับโลกที่แบรนด์ใหญ่ต่างให้ความสำคัญด้วยการนำขยะพลาสติกทางทะเลมารีไซเคิลใหม่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะเรื่องปัญหาขยะพลาสติกในทะเลกลายเป็นปัญหาระดับโลก ที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข้อย่างเร่งด่วน

ล่าสุด Coca-Cola ได้ปิ๊งไอเดียใหม่สุดกรีน ที่จะช่วยลดขยะทางทะเลได้มากขึ้น ด้วยการรีไซเคิลขยะพลาสติกทะเลให้นำมาใช้กับบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มได้จริง ให้กลายเป็น “ขวดรักษ์โลก” ซึ่งตัวอย่างขวดรักษ์โลกถูกผลิตจากขยะพลาสติกในทะเลที่ถูกเก็บกู้แล้วนำมารีไซเคิล

ได้เริ่มชิมลางผ่านการผลิต 300 ขวด ทาง Coca-Cola มั่นใจว่านี่คือการพิสูจน์ถึงแนวคิดที่ว่า ความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนว่าแบรนด์อาหารก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลพลาสติกด้อยคุณภาพ ให้เป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ได้เช่นกัน

เทคโนโลยีนี้ได้ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า Enhanced Recycling หรือการรีไซเคิลที่ทำให้พลาสติกคุณภาพต่ำสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งต้องบอกว่าการรีไซเคิลลักษณะนี้กำลังเป็นความท้าทายที่แบรนด์ระดับโลกพยายามพิสูจน์ตัวเอง เห็นได้ชัดจากกรณีที่ American Express คลอดบัตรเครดิตที่ผลิตจากขยะพลาสติกทะเลรุ่นแรกของบริษัทเมื่อต้นปีนี้ ยังมี Adidas ที่เริ่มผลิตรองเท้าจากพลาสติกทะเลบ้างแล้ว

ขวดรักษ์โลกก็ต้องปลอดภัย ได้ระดับฟู้ดเกรด

ปัญหาสำคัญของการใช้พลาสติกรีไซเคิลของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม คือพลาสติกนั้นต้องมีคุณภาพสูงพอที่จะใช้เป็นบรรจุภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัย สำหรับกรณีนี้ Coca-Cola ยืนยันว่าเทคโนโลยี Enhanced Recycling ของบริษัทนั้นทำให้พลาสติกคุณภาพต่ำถูกนำมาสร้างใหม่เป็นพลาสติกคุณภาพดีที่ไม่ต่างจาก “เม็ดพลาสติกใหม่” ได้แน่นอน

“นี่หมายความว่าพลาสติกเกรดรองที่ต้องรอการฝังกลบเท่านั้นกำลังจะได้รับชีวิตใหม่” แถลงการณ์ของ Coca-Cola ระบุ “นี่ยังแปลว่าโลกจะมีวัสดุที่หลากหลายขึ้นเพื่อการนำไปรีไซเคิล ทำให้สามารถลดความต้องการใช้เม็ดพลาสติก (virgin PET) จากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ ส่งผลให้ระดับการผลิตคาร์บอน (carbon footprint) ลดน้อยลงไปด้วยอีกทาง”

Coca-Cola ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้โดยลำพัง เพราะขวดตัวอย่างถูกพัฒนาร่วมกับพันธมิตรชื่อ Ioniqa Technology บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวที่แยกตัวจากมหาวิทยาลัย Eindhoven University of Technology ในเนเธอร์แลนด์ ร่วมกับกลุ่ม Indorama Ventures และองค์กรรณรงค์ Mares Circulares

ซึ่งในประเทศไทยก็ได้ร่วมมือกับ Indorama ในการรีไซเคิลขวดในการผลิตสินค้าใหม่ๆ อย่างเช่น เสื้อผ้า เพราะประเทศไทยยังมีกฎหมายห้ามรีไซเคิลกับบรรจุภัณฑ์อาหาร

เทคโนโลยีดัตช์-ขยะในยุโรป

สำหรับโครงการนี้ของ Coca-Cola พบว่าขยะพลาสติกจากทะเลเหล่านี้ถูกเก็บรวบรวมและจัดการโดยอาสาสมัครใน 84 หาดในสเปนและโปรตุเกส รวมถึงกลุ่มชาวประมงทั่วเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านโครงการของ Mares Circulares

โครงการนี้ยังเป็นผลดีกับ Ioniqa Technology ที่สามารถใช้ Coca-Cola เป็นอาวุธในการขยายเทคโนโลยี enhanced recycling ให้เป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรมวงกว้าง ขณะที่ Indorama Ventures ซึ่งเป็นซัปพลายเออร์จัดหาพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ให้ Coca-Cola ก็จะมีหนทางเปลี่ยนพลาสติกทะเลเป็นวัสดุรีไซเคิลเต็มตัวได้

ในปี 2020 แบรนด์น้ำอัดลมอย่าง Coca-Cola จะเริ่มนำ enhanced recycling มาใช้ในสายการผลิตขวดบางส่วน คาดว่าจะเป็นการนำร่องให้ enhanced recycling ถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผู้เล่นวงการรีไซเคิลที่ให้บริการในตลาดขณะนี้ ซึ่งมีแนวโน้มใส่ใจกับพลาสติกคุณภาพต่ำที่เคยรีไซเคิลไม่ได้มาก่อน

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการต่อยอดจากที่ Coca-Cola ประกาศเป้าหมายในเขตยุโรปตะวันออกว่าจะรีไซเคิลพลาสติกจากขวดโค้กทั้งหมดทั่วโลกแบบ 100% ขณะที่ในอังกฤษ Coca-Cola ขีดเป้าหมายรีไซเคิลต่ำกว่า 50% ในปีหน้า

ที่มา : Coca-Cola, theinertia

]]>
1249583
ไม่เก๋าทำไม่ได้! Coke คลอด Print Ad ใหม่ทรงพลัง กระตุ้นจินตนาการเสียงซ่าในหัวผู้ชม https://positioningmag.com/1227797 Thu, 02 May 2019 00:55:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1227797 David

ใครจะไปคิดว่าโฆษณาสิ่งพิมพ์หรือ Print Ad จะส่งเสียงออกมาได้ แต่ Coca-Cola ทำสำเร็จ เพราะ Print Ad ตัวใหม่สามารถกระตุ้นให้ผู้ชมได้ยินเสียงในหัวตัวเอง แถมบางสื่อตั้งข้อสังเกต ยิ่งเปิดขยาย Print Ad รูปใหญ่เท่าไร เสียงซ่าในหัวของผู้ชมจะยิ่งดังขึ้นเท่านั้น

ได้ยินชื่อ Coca-Cola ก็ฟันธงได้ว่าไม่ธรรมดา สำหรับแคมเปญโฆษณาสิ่งพิมพ์กลางแจ้งที่เตรียมนำไปใช้ในยุโรป จุดเด่นของแคมเปญคือโฆษณาภาพนิ่งที่ Coca-Cola วางเดิมพันว่าทุกคนจะได้ยินเสียงจากโฆษณานี้ ซึ่งประกอบด้วยภาพเครื่องดื่ม Coca-Cola ขณะเปิดขวด, เปิดกระป๋อง และฟองคลื่นโซดาที่กำลังลอยขึ้นไปบนอากาศ

David

ความน่าสนใจของแคมเปญนี้คือการใช้ความคุ้นเคยแบบที่น้อยแบรนด์นักจะทำได้ สำหรับ Coca-Cola ผู้บริโภคหลายล้านคนล้วนเคยได้ยินเสียงฟู่…” จากโฆษณา Coca-Cola ตลอดช่วงชีวิต ทำให้สามารถคว้าความสำเร็จที่ไม่อาจเกิดขึ้นกับแบรนด์ใหม่ในตลาด

Coca-Cola ทำได้

แคมแปญนี้ถูกยกย่องว่าเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของ Coca-Cola ในการทำให้ทุกคนได้สัมผัสกับเสียงที่สอดคล้องกัน กลายเป็นประสบการณ์ Coke” ที่ทุกคนคุ้นเคย

แม้ว่าเสียงฟู่…” ในหัวของผู้ชมแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่ก็เพียงพอที่จะสะท้อนว่า Coca-Cola สามารถถูกกระตุ้นให้ผู้ชมคิดตามได้โดยไม่ต้องใช้เสียงจริง จุดนี้สื่ออเมริกันยกย่องว่าเสียงซ่าในความคิดของแต่ละคนอาจฟังดูอร่อยและสดชื่นกว่าเสียงที่นักออกแบบพัฒนาขึ้นก็ได้

David

อีกจุดที่ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของโฆษณาชิ้นนี้ คือแรงดึงดูดให้ผู้ชมกลับมาชมโฆษณาอีกรอบ เพราะตัวโฆษณานี้ท้าทายให้ผู้ชมหลายคนพยายามฝืนเพื่อให้ไม่ได้ยินเสียงที่เป็นสัญลักษณ์เด่นของ Coca-Cola แต่แน่นอนว่าด้วยพลังของจิตวิทยา ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่สามารถฝืนตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ เพราะภาพของ Coca-Cola แสดงการกระทำที่เปิดกว้างให้ผู้อ่านนั้นเชื่อมต่อได้ทันที จนไม่สามารถควบคุมความคิดในจิตใจ

ผลคือไม่เพียงทำให้เสียงซ่าในความคิดดังยิ่งขึ้น แต่ยังเตือนให้ทุกคนซึมซับถึงความคุ้นเคย และความใกล้ชิดกับแบรนด์ Coca-Cola ซึ่งการกระตุ้นจินตนาการนี้อาจทำให้หลายคนอยากลุกขึ้นมาหา Coke ของจริงมาดื่มให้หายอยาก.

ที่มา

]]>
1227797
ร่วมเปิดประสบการณ์ Coke เป็นอะไรก็ได้ https://positioningmag.com/1180588 Fri, 27 Jul 2018 07:00:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1180588 การที่โค้กยังคงเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภคยุคดิจิทัลได้นั้นนอกจากแนวคิดการพัฒนาสินค้าที่ขับเคลื่อนไปตามกระแสและความต้องการของตลาดแล้ว อีกมิติหนึ่งคือความพยายามที่จะนำแบรนด์เข้าไปหลอมรวมอยู่ในไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ได้ในหลากหลายบริบท ด้วยการทำให้แบรนด์มีอิสระและไม่จำกัดตัวเองอยู่เฉพาะกรอบแค่ความเป็นแบรนด์เครื่องดื่ม แต่โค้กพร้อมที่จะเป็นอะไรก็ได้ที่เคียงข้างกับลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะที่อินเทรนด์และเป็นสิ่งที่ลูกค้าใช้งานได้

ล่าสุดโค้กแปลงร่างเป็นเครื่องสำอางซึ่งเรียกกระแสได้อย่างเป็นมากโดยเฉพาะตลาดในแถบเอเชีย ซึ่งโค้กขับเคลื่อนแคมเปญนี้ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลิมิเต็ดเอดิชั่นในคอลเลกชั่น ของ THEFACESHOP X Coca Cola ซึ่งเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชั้นนำจากเกาหลี โดยเดอะเฟสช็อปจะเป็นผู้พัฒนาในส่วนผลิตภัณฑ์ ขณะที่โค้กมีบทบาทด้านการให้กลิ่นอายและสร้างสรรค์ให้แพ็กเกจสวยสะดุดตาและเชื่อมโยงถึงแบรนด์โค้กได้ง่ายๆ

คอลเลกชั่น THE FACESHOP X Coca Cola จะเน้นผลิตภัณฑ์ประเภทเมกอัพเป็นหลัก

ไม่ว่าจะเป็นอายแชโดว์พาเล็ตต์ ซึ่งยุคนี้ก็เป็นอีเทรนด์ที่ที่อายแชโดว์จะต้องมาเป็นพาเล็ตต์ เพื่อสไตล์การแต่งหน้าที่หลากหลายไม่จำเจ คุชชั่นแป้งพัฟ ลิปสติก และ ลิปทินท์

ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับปาก 2 ประเภทหลังสุดนี้ แอบเติมความเป็นโค้ก เพราะใส่กลิ่นเหมือนกับรสชาติของโค้กจริงๆ

การตกแต่งของตัว Lip Tints ยังเพิ่มสีสันด้วยลายหมีขั้วโลกที่บริเวณฝาปิดด้านบนในแพ็กเกจสีแดงสดใสและโลโก้ Coca Cola

THE FACESHOP เลือกเปิดตัวที่เกาหลี ส่วนจะได้เห็นในไทยหรือไม่นั้น แว่วว่ามีโอกาสจะเข้ามาจำหน่าย แต่ยังไม่รู้กำหนดการที่ชัดเจน ใครรอไม่ไหวถ้าไม่ฝากเพื่อนหิ้วมาให้จากเกาหลีก็สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์

อย่างไรก็ตาม การรับมือกับ THE FACESHOP ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางอันดับ 1 ของเกาหลี ซึ่งในช่วงที่กระแส K-pop พุ่งถึงขีดสุด THE FACESHOP เคยเป็นผลิตภัณฑ์อันดับต้นๆ ที่คนไทยต้องซื้อกลับมา ซึ่งจุดขายหลักของแบรนด์นั้นวางไว้ที่การเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติภายใต้แนวคิด NATURAL STORY” และมีการขยายเข้าสู่ตลาดอเมริกาตั้งแต่ปี 2005 ทว่าตลาดที่ได้รับความนิยม ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในเอเชียไม่ว่า จีน ไต้หวัน ไทย ฯลฯ

ส่วนโค้กนั้น การร่วมมือครั้งนี้ ดูเหมือนว่ามีเป้าหมายที่ต้องการรุกเข้าไปในส่วนของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ไปกับเรื่องความสวยความงาม ชอบความสดใส มีชีวิตชีวา ดังนั้นการทำให้แบรนด์และกลิ่นของโค้กเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์อาจจะมีผลต่อการเลือกดื่มโค้กได้อีกทางหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม โค้กได้พยายามสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์ ด้วยแนวคิดของการเป็น Lifestyle Brand ในด้านอื่นๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น การแทรกเข้าไปในตลาดรองเท้าแตะหรือ Shower Sandals ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นเอเชีย ทั้งในญี่ปุ่น เกาหลี และไทย

โดยจากการที่แบรนด์แฟชั่นกีฬาอย่าง NIKE, VANS, ADIDAS, CONVERSE ต่างก็มีคอลเลกชั่นรองเท้าแตะแบบสวมปะแบรนด์ตัวเองตัวโตๆ เหมือนๆ กัน โค้กก็เลือกที่จะทำรองเท้าแตะในรูปทรงเดียวกันออกมาบ้าง โดยโค้กไม่จำกัดสีสันของรองเท้าว่าจะต้องมีแค่สีแดงและขาวที่เป็นสีสัญลักษณ์เท่านั้น แต่ผลิตออกมาให้เลือกหลากหลายสี ไม่ว่าจะเป็น All white, All red, Denim print, Red x Black และ Black x White

ความโดดเด่นของรองเท้าแตะรุ่นนี้ของโค้ก อยู่ที่การออกแบบซึ่งได้แรงบันดาลใจจากโลโก้ในยุค 1910’s, 1950’s และ 1960’s ซึ่งโค้กเลือกดีไซน์ออกมาในแนวเรโทรที่ดูมีชีวิตชีวา ที่สำคัญคือกลับมาทันสมัยได้อีกครั้ง โดยคอลเลกชั่นนี้ เลือกวางจำหน่ายในญี่ปุ่น

การขับเคลื่อนแบรนด์อย่างอิสระของโค้กในปีนี้ ทำให้เห็นภาพของแนวคิดหลักของ “Taste the Feeling” ที่โค้กต้องการสื่อว่าใครๆ ก็สามารถมีความสุขกับโค้กได้ ไม่ว่าจะดื่มโค้กแบบไหนหรือใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งทำให้การเชื่อมโยงของความรู้สึกกับแบรนด์กับผู้บริโภคกันได้ในทุกจังหวะในทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง.

]]>
1180588
Nation Branding ของสิงคโปร์ที่ว่าแน่ ก็อาจจะต้องยอมแพ้ให้ โค้ก https://positioningmag.com/1174010 Tue, 12 Jun 2018 23:15:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1174010 พักเรื่องสปอนเซอร์ฟุตบอลโลกไปก่อน เมื่อสปอนเซอร์ฟุตบอลโลกรายใหญ่อย่าง โคคา โคลา หรือ โค้ก ปล่อยทีเด็ดหันไปเล่นกับอีเวนต์การเมือง ที่ทุกคนทั่วโลกเฝ้าคอยจับตาวินาทีประวัติศาสตร์ที่เพิ่งพ้นไป 

จากการพบปะกันในงานซัมมิตระหว่าง ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์จากสหรัฐอเมริกา และ ประธานาธิบดี คิม จอง อึน จากเกาหลีเหนือ มาใส่โฆษณาได้อย่างแนบเนียน 

แถมเป็นงานโฆษณาสร้างสรรค์ที่รวดเร็วที่จับเอาสถานการณ์ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ และกำลังจะเกิดขึ้นมาเชื่อมโยงกับโปรดักต์และดีเอ็นเอของแบรนด์เรื่อง Happiness หรือความสุข ได้อย่างลงตัว จนต้องกดไลก์แบบ two thumbs up กันเลยทีเดียว 

ทีเด็ดของโคคา โคลา (Coca cola) หรือ โค้ก ใช้วิธีนำไอเดียเรื่องของ สันติภาพ ความหวัง และความเข้าใจ ให้แพร่กระจายออกไป

โดยนำกระป๋องโค้กที่พิมพ์อักษรทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลีไว้ใต้โลโก้ว่า Here’s to Hope, Peace and Understanding! ไปพูดคุยสอบถามความรู้สึกในเรื่องเหล่านี้กับผู้คนในสิงคโปร์ ถึงความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และแน่นอนในจำนวนนั้นมีชาวเกาหลีรวมอยู่ด้วย งานนี้ทำขึ้นอย่างรวดเร็วในวันที่ 11 มิถุนายน 2018 ก่อนหน้าที่การพบปะกันของ 2 ผู้นำจะมีขึ้นเพียงวันเดียว

หนึ่งในสาวเกาหลีให้ความเห็นว่า คนเกาหลีส่วนมากจะชอบโค้ก ทั้งแสดงความรู้สึกต่อคีย์เวิร์ดที่อยู่บนกระป๋องที่ตรงกับเป้าหมายของโค้กด้วยว่า มีความหมายถึงสันติสุข ความหวัง และการเข้าใจซึ่งกันและกันของคนที่หลากหลาย 

แถมท้ายด้วยมีผู้แสดงความเชื่อว่า ข้อความที่พิมพ์บนกระป๋องโค้กนี้น่าจะช่วยให้คนใกล้ชิดกันมากขึ้น 

ขณะที่บางคนบอกว่ากระป๋องโค้กที่ทำขึ้นนี้อะเมซซิ่งมาก สาวสิงคโปร์รายหนึ่งสื่อความหมายถึงข้อความที่เขียนไว้ว่า เป็นความหมายที่จะนำคนให้มาอยู่รวมกัน แล้วยิ่งเป็นโค้กซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เป็นสากลด้วยแล้ว แทบไม่ต้องมีการแนะนำอะไร และสามารถแบ่งกันดื่มได้ทันที 

ส่วนอีกรายบอกว่าโค้กเป็นอะไรที่ซิมเพิลและคลาสสิก เช่นเดียวกับข้อความที่สื่อสารไว้บนกระป๋อง ก่อนจะจบด้วยความรู้สึกที่มีคนคิดเหมือน กันว่า เชื่อว่าข้อความบนโค้กกระป๋องนี้จะทำให้คนใกล้ชิดกันได้ง่ายขึ้น

วิดีโอนี้จบลงแบบซิมเพิลและคลาสสิก ด้วยโลโก้โค้ก ที่สะท้อนถึงความแตกต่างที่สามารถอยู่รวมกันได้อย่างลงตัว จากการนำตัวอักษรที่เป็นโลโก้ของ โคคา โคลา ซึ่งแบ่งเป็นภาษาอังกฤษไว้ที่คำแรกว่า โคคา ต่อด้วยภาษาเกาหลีว่า โคลา ในคำท้าย  

ใครที่คิดจะตามล่าหาซื้อโค้กกระป๋องนี้มาสะสม ต้องผิดหวังไปตาม กัน เพราะกระป๋องนี้ทำขึ้นเฉพาะกิจ เพื่อทดสอบความรู้สึก เรื่องนี้คนไทยทุกคนคงเข้าใจดี เพราะการพิมพ์ข้อความลงบนกระป๋องโค้กไม่ใช่เรื่องใหม่ โค้กเคยทำแคมเปญให้พิมพ์ชื่อที่ต้องการลงบนกระป๋องให้เล่นกันมาแล้วในไทยและอีกในหลายประเทศ แถมล่าสุดในไทยก็ยังจัดพิมพ์ชื่อจังหวัดทั่วไทยเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นการท่องเที่ยวอีกด้วย 

ส่วนตอนจบที่แท้จริงของไอเดียสื่อสารแบรนด์ของโค้ก ที่สามารถเอ็นเกจกับผู้บริโภคไปกับอีเวนต์ระดับโลกครั้งนี้ ไม่ได้จบลงที่โลโก้ที่ผสมผสานกันระหว่างตัวอักษรภาษาอังกฤษกับภาษาเกาหลีเท่านั้น

เพราะโค้กส่งตอนจบที่แท้จริงสู่สาธารณชนอีกครั้งในวันที่ 12 มิถุนายน หลังจากที่ 2 ผู้นำพบปะกันแล้ว โดยจำลองภาพการเดินมาพบกันของ 2 ประธานาธิบดี ที่ลากทางเดินจากสองฝั่งมาพบกันตรงกลางเป็นลายเส้นของโลโก้แบรนด์พอดิบพอดี 

แน่นอนว่าเงาของบุคคลที่เดินเข้าหากัน มองยังไงก็เดาไม่ยากว่าเป็นประธานาธิบดีจากโลกตะวันออกและโลกตะวันตก ที่ไม่มีใครคาดว่าจะมาพบกันได้จนถึงช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป

งานนี้โค้กใส่แฮชแท็กไว้ตรงตัวในการสื่อถึงอีเวนต์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ #PathToPeace #TastethefeelingofHope  #TrumpKimSummit#SingaporeSummit #TrumpKim2018และไม่ลืมหยิบแคมเปญ Taste the Feeling ที่ใช้อยู่ แต่มาต่อเติมเป็น Taste the feeling of Hope ได้เข้ากับสถานการณ์อย่างน่าชื่นชม.

]]>
1174010
“โค้ก VS เป๊ปซี่” ดับเครื่องชน จัดหนักโกลบอลแคมเปญ แข่งขายแพ็กเกจจิ้งใหม่ ดวลศึกฟุตบอลโลก https://positioningmag.com/1171382 Thu, 24 May 2018 23:15:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1171382 นับถอยหลังสู่มหกรรมกีฬารายการใหญ่ระดับโลก 2 รายการ ที่ต่างมีวาระแข่งขันคนละแบบ นั่นก็คือฟุตบอลโลก 2018” และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกบิ๊กแมตช์ทั้งคู่เลยได้เห็นแบรนด์น้ำดำยักษ์ใหญ่ของโลกโค้กเป๊ปซี่ลุยโกลบอลแคมเปญเกี่ยวสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งทั้งคู่ได้ออกกลยุทธ์แพ็กเกจจิ้งใหม่มาเอาใจสาวกของแบรนด์โดยเฉพาะ และคอบอลทั่วโลก 

เริ่มจากโค้กในฐานเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศรัสเซีย ได้แปลงโฉมแพ็กเกจจิ้งใหม่นำสัญลักษณ์ ธงชาติของประเทศต่างๆ มาเป็นกิมมิกสร้างสีสันในช่วงการแข่งขัน นอกจากจะให้แฟนๆ และกลุ่มเป้าหมายได้สะสมแล้ว ต้องยอมรับว่ากลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่สร้างแบรนด์ และดึงดูดผู้บริโภค ณ จุดขายหรือหน้าเชลฟ์ให้ตัดสินใจซื้อได้ เพราะสำหรับคอบอลแล้ว ถ้าได้เห็นโปรดักต์ที่สะท้อนตัวแทนประเทศที่คนเองเชียร์ ถือว่ามีส่วนช่วยควักเงินในกระเป๋าได้ไม่มากก็น้อย

นอกจากแพ็กเกจจิ้งอิงกระแสบอลโลกแล้ว โค้กยังปล่อยน้ำดำรสชาติออริจินัลไซส์มินิ ราคา 10 บาท เข้าทำตลาดด้วย ทำให้หน้าร้อนที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบัน โค้กมีแพ็กเกจจิ้งใหม่ออกมาไม่ต่ำกว่า 3-4 แบบแล้ว ทั้งท่องเที่ยว บอลโลก ไซส์เล็ก

ส่วนเป๊ปซี่ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ปล่อยหมัดเด็ดการตลาดมาแลก เพราะในระดับโลก นี่เป็นโค้งสุดท้ายของแมตช์ตัดสินยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ 2 สโมสรจากพรีเมียร์ลีกลิเวอร์พูล ต้องลงดวลแข้งกับเรอัล มาดริด จากลาลีก้า สเปน ในวันที่ 26 .. นี้ และในฐานะสปอนเซอร์หลักของรายการแข่งขันดังกล่าว จึงปล่อยแคมเปญเป๊ปซี่ ซ่ามันส์ทุกแมตช์ (LOVE IT . LIVE IT . 2018 PEPSI FOOTBALL) มาสู้ศึกน้ำดำ

ภายใต้แคมเปญนี้ เป๊ปซี่ ได้ทุ่มการตลาดถึง 100 ล้านบาท ในการทำการตลาดผ่าน “กลยุทธ์ P.E.P.S.I.” กับ 5 ไฮไลต์หลัก เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกทัชพอยต์

P : Players เป๊ปซี่ทุ่มทุนมากในการใช้ 5 นักเตะระดับโลกมาเป็นโกลบอลพรีเซ็นเตอร์ ได้แก่ ลิโอเนล เมสซี, มาร์เซโล่, เดเล อัลลี, โทนี่ โครส และ คาร์ลี ลอยด์ 

ซึ่งจะปรากฏตัวในภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุดเป๊ปซี่ ซ่า มันทุกแมตช์ที่ออกอากาศใน 60 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย และยังโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ด้วย 

พร้อมกับส่งแพ็กเกจจิ้งรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นกับลวดลายพิเศษที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของ 3 นักเตะขั้นเทพมาไว้บนขวดพีอีทีและกระป๋องของทั้งเครื่องดื่มเป๊ปซี่และเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลเป๊ปซี่ แม็กซ์ เทสต์เพื่อเอาใจคอบอลให้ได้สะสมตลอดฤดูกาลฟุตบอลด้วย ซึ่งจุดนี้เป็นการชิงจังหวะให้แฟนๆกลุ่มเป้าหมายได้อินกระแสบอลโลกด้วย เพราะนักแตะแต่ละคนเป็นทีมชาติที่ไปแข่งฟุตบอลโลกด้วย งานนี้ได้ติดตามทั้งสินค้าและการแข่งขันฟุตบอลแบบยาวๆ ทั้งเดือน

E : Engagement การดำเนินกิจกรรมออนกราวด์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค โดยเป๊ปซี่ เตรียมชวนคนไทยฟิตแข้ง ท้าประลองฝีเท้าไปกับกิจกรรมเป๊ปซี่ ฟุตบอล ชาเลนจ์ (Pepsi Football Challenge) ดึงคนมามีส่วนร่วมกับแบรนด์ด้วยการท้าเตะฟุตบอลให้เข้าเป้าดิจิทัลชิงรางวัล รวมมูลค่าราว 4 แสนบาท เริ่มกิจกรรมครั้งแรกในวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคมนี้ ณ ศูนย์การค้าสเปลล์ แอท ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต  งานนี้มีเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติไทยอย่าง เมสซี่เจชนาธิป สรงกระสินธ์ พร้อมด้วย บอยปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ร่วมประเดิมสนาม พร้อมเดินสายจัดกิจกรรมในต่างจังหวัด อาทิ ขอนแก่น อุดรธานี ตลอดเดือนมิถุนายน

P : Promotion การจับมือแบรนด์ขนมขบเคี้ยวในเครืออย่างมันฝรั่งทอดกรอบเลย์ส่งโปรโมชั่นคู่ซ่า เชียร์มันส์รับกระแสฟุตบอลฟีเวอร์เรียกว่ากระตุ้นน้ำอัดลมแล้ว ของขบเคี้ยวที่กินคู่กัน ก็ได้ซีนเนอร์ยีเพื่อสร้างการเติบโตยอดขายช่วงพีคด้วย

S : Strategic Partnership เวลาของการแข่งขันฟุตบอลโลกปีนี้ค่อนข้างเป็นเวลาที่ดีสำหรับประเทศไทยเพราะอยู่ในช่วงสี่ทุ่ม ดังนั้นดูบอลดึก ดูบอลเป็นกลุ่มเพื่อนฝูงถึงจะมันส์ เป๊ปซี่จึงจับอินไซต์ตรงนี้มาตอบโจทย์ด้วยการดึงร้านอาหารจานด่วนอย่างเดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company) ส่งโปรโมชั่นแรงเพื่อเสิร์ฟความอร่อยจุใจในช่วงการแข่งขันฟุตบอลในทุกแมตช์

I : Innovation ซึ่งเป๊ปซี่ ผนึกบลิปพาร์ (Blippar) นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือ นำเทคโนโลยีเสมือนจริง หรือ ARDP (Augmented Reality Digital Placement) มาสร้างกิมมิกใหม่เพื่อเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่านเกมเป๊ปซี่ ซ่า ท้ายิง (Pepsi Blue Ball) เพื่อให้มนุษย์ดิจิทัลและใช้มือถือตลอดเวลาได้สนุกกับเกมยิงประตูฟุตบอลสีน้ำเงินสีของแบรนด์ เพื่อแลกรางวัลต่างๆ

ฟุตบอลเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มทางการตลาดที่เป๊ปซี่ให้ความสำคัญ เพราะเป็นกีฬาที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคได้มากที่สุดและสร้างอิมแพคให้กับแบรนด์ได้อย่างดี ซึ่งที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จกับแคมเปญฟุตบอลทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ทั้งการเป็นพันธมิตรกับสโมสรฟุตบอลระดับโลก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีแฟนบอลจำนวนมากทั่วโลก รวมถึงการเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของศึกดวลแข้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และจากการทำตลาดแบบจัดเต็ม 360 องศา จึงคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายเป๊ปซี่ในไตรมาส 2 ให้เติบโตแน่นอนสมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่โค เซอร์วิสเซส เอเชีย จำกัด กล่าว.

]]>
1171382
โค้ก คลอด “โค้ก พลัส คอฟฟี่”  ฟีเจอริ่ง น้ำอัดลมผสมกาแฟ จับตลาดแบบยกกำลัง 2 https://positioningmag.com/1171166 Wed, 23 May 2018 10:01:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1171166 เมื่อตลาดเครื่องดื่มมีตัวเลือกอยู่มากมาย ตลาดน้ำอัดลมต้องปรับตัวตาม ล่าสุดกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ส่งโค้กสูตรใหม่ “โค้ก พลัส คอฟฟี่” ใช้จุดขายเรื่องความสดชื่นมาผสมกับความหอมของกาแฟโรบัสต้า 

เรียกว่างานนี้ โค้กหวังยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะต้องการสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาดน้ำอัดลม พร้อมกับตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบน้ำอัดลมและกาแฟในคราวเดียวกัน เพราะคนไทยนิยมดื่มกาแฟเป็นจำนวนมาก

ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งเรื่องของการลดปริมาณน้ำตาลลง 50% แคลอรีต่ำ โดยยังคงใช้สัญลักษณ์ “เครื่องดื่มทางเลือก-สุขภาพ” จากมูลนิธิส่งเสริมโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นตัวการันตี

เรามั่นใจว่าจะได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีทั้งจากแฟนเครื่องดื่มโค้ก รวมไปถึงคอกาแฟอีกด้วย

คลาวเดีย นาวาร์โร ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

คลาวเดีย นาวาร์โร

กลุ่มเป้าหมายของโค้ก คอฟฟี่ พลัส ยังคงเป็นวัยรุ่น นักศึกษา วัยทำงานที่ต้องการพักเบรกจากอาการเหนื่อยล้า คลายง่วงยามบ่าย แทนที่จะดื่มกาแฟ ก็ให้หันมาดื่มโค้กผสมกาแฟแทน

กิจกรรมการตลาดจะเน้นแจกโค้ก คอฟฟี่ พลัส ในช่วงบ่าย รวมถึงปูพรมเร่งสร้างการรับรู้ ด้วยการสื่อสารทุกรูปแบบทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ เสริมทัพด้วยสื่อ out-of-home สื่อ ณ จุดขาย และในร้านค้า

โดยวางขายในรูปแบบของกระป๋อง ขนาด 240 มล. ราคา 15 บาท วางจำหน่ายในร้าน ‘เซเว่น-อีเลฟเว่น’ มิถุนายนนี้ ส่วนร้านสะดวกซื้อห้างสรรพสินค้าอื่น และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ วางขายสิงหาคมเป็นต้นไป

ปัจจจุบัน มูลค่าตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทยอยู่ที่ 51,000 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยเป็นผู้นำตลาด และมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งรวม 51%” *ข้อมูลจากการวิจัยในช่วงเวลา 3 ปี นับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2557 – 31 มกราคม 2560 ของบริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับโค้กผสมกาแฟ ไม่ใชเรื่องใหม่ของโค้ก เพราะเคยวางขายมาแล้วเมื่อหลายปีที่แล้วในฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป ในปีที่แล้วได้นำมาวางขายในญี่ปุ่น ใช้ชื่อ “โคคา-โคลา คอฟฟี่ พลัส โดยเน้นจุดขายลดปริมาณน้ำตาลลง 50% แคลอรีต่ำ คล้ายกับในไทย.

]]>
1171166
Pepsi VS Coke เริ่มแล้วสงครามโคล่ารอบใหม่ https://positioningmag.com/1167668 Sat, 28 Apr 2018 02:08:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1167668 2 ขั้วอำนาจปะทุสงครามรอบใหม่ในสมรภูมิโคล่า หลังจากที่ผ่านมาหนีไปเล่นตลาดเครื่องดื่มกลุ่มชา น้ำดื่ม และกลุ่มเครื่องดื่ม organic มากขึ้น ล่าสุดสื่อหลายแห่งประเมินว่าเจ้าพ่อน้ำดำทั้ง Pepsi และ Coke กำลังกลับมาแข่งกันปลุกกระแสให้คนอเมริกันกลับมานิยมเครื่องดื่มซ่าอีกครั้ง เพื่อชิงพื้นที่ให้ได้ในตลาดคนนิยมโซดาที่หดตัวลงทุกที

หลังจากที่ Coca-Cola รายงานผลประกอบการงดงามไปแล้ว วันนี้ Pepsi โชว์ผลประกอบการบ้างโดยมียอดขายเติบโตมั่นคงในอเมริกาเหนือจากสินค้ากลุ่มชา Lipton และ Pure Leaf, กลุ่มน้ำดื่มพรีเมียม LifeWTR และกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงผิวและร่างกาย Kevita kombucha โปรไบโอติก

ครั้งนี้ Pepsi ยอมรับว่ามีความท้าทายในธุรกิจโซดาสหรัฐฯ มากขึ้น แม้ว่ายอดขายเครื่องดื่ม Pepsi จะเพิ่มขึ้นมากในจีน อินเดีย บราซิล และตลาดอื่นทั่วโลก รวมถึงรายได้จากธุรกิจขนมขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์ Frito-Lay ที่เติบโตดี (สินค้าเครือ Frito-Lay ได้แก่ขนมอบกรอบ Doritos และข้าวโอ๊ตธัญพืช Quaker)

ความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้คือตลาดโคล่า การแข่งขันในตลาดทำให้โฆษณาสินค้าตลาดโคล่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และเราก็จะทำในทางเดียวกัน รวมถึงจะทำมากขึ้นตามที่ทุกคนทำ Hugh Johnston ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Pepsi ระบุ

การยอมรับของ Pepsi ว่ามี challenge ในธุรกิจโซดาสหรัฐฯ มากขึ้นสะท้อนสถานการณ์ของ Pepsi ในขณะนี้ เพราะในขณะที่ Pepsi ทำเงินได้จากการขายสินค้าอื่นที่ไม่ใช่โซดามากขึ้น แต่คู่แข่งอย่าง Coca-Cola กลับมียอดขายและกำไรที่ดีขึ้นจากแบรนด์ Diet Coke ในอเมริกาเหนือ ผลจากการเปิดตัว Coke รสใหม่ที่เจาะเป้าหมายตรงไปที่ Millennial เช่น Ginger Lime และ Feisty Cherry ส่งให้ Diet Coke ได้รับความนิยมมากครั้งแรกในรอบ 7 ปี

แน่นอนว่า Pepsi ยอมไม่ได้ โดย Johnston ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNNMoney ว่า Pepsi ไม่ได้อยู่เฉยต่อความสำเร็จของ Coke เพราะบริษัทกำลังคิดค้นรสชาติใหม่ให้แบรนด์หลักของ Pepsi แต่ยังไม่มีการให้รายละเอียด โดยระบุเพียงว่าเป็นงานที่กำลังดำเนินอยู่

*** รสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยน

สำนักข่าว Fortune วิเคราะห์ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สนามรบของ Pepsi และ Coke เปลี่ยนไปเพราะคนอเมริกันและคนทั่วโลกเริ่มออกห่างจากเครื่องดื่มโซดา แล้วเปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มอื่นแทน Coca-Cola และ Pepsi จึงขยายพอร์ตการลงทุนจนทำให้เม็ดเงินที่เทลงในสินค้าหลักเริ่มลดน้อยลง รายงานจากวารสาร Beverage-Digest บันทึกไว้ว่าการบริโภคเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมในสหรัฐฯ ลดลงต่ำที่สุดในรอบ 31 ปีเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา ซึ่งกรณีของ PepsiCo นั้นหันไปทำธุรกิจประเภทอื่นที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงอย่าง snack ขนมขบเคี้ยว

อย่างไรก็ตาม Pepsi ยอมรับในการประกาศผลประกอบการครั้งนี้ว่าตราสินค้ากลุ่มโคล่าของบริษัทยังคงมีความสำคัญ โดย Indra Nooyi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ PepsiCo มั่นใจว่าธุรกิจโคล่าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ แม้จะมีรายละเอียดธุรกิจที่เทียบไม่ได้กับตลาดขนมขบเคี้ยว แต่ก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่จะสร้างเงินหมุนเวียนได้มาก

ทั้งหมดนี้ทำให้ซีอีโอ Indra Nooyi การันตีว่าจะพลิกฟื้นกลับมาชนะในเกมโคล่าให้ได้ โดยใช้คำว่า “We’re going to fix this. Period.” หลังจากที่กลุ่มเครื่องดื่มในอเมริกาเหนือทำรายได้ให้ PepsiCo ลดลง บนแรงหนุนจากธุรกิจขนมขบเคี้ยวและยอดขายต่างประเทศ

ซีอีโอ PepsiCo ทิ้งท้ายว่า PepsiCo ยังคงเป็นแบรนด์ที่ซื้อสื่อต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคมอง PepsiCo เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งต่อไป

ไม่ว่าศึกครั้งใหม่จะร้อนแรงเพียงใด แต่ในขณะนี้ หุ้นของ PepsiCo ปรับตัวขึ้นมากกว่า Coca-Cola โดย PepsiCo หุ้นขึ้น 1.5% หลังประกาศผลประกอบการ ขณะที่ Coca -Cola หุ้นขึ้น 0.5% แต่ทั้งสองรายมูลค่าลดลงตั้งแต่ต้นปี.

Source

Source

]]>
1167668
โค้ก ยึด “ตลาดไท” จองสิทธิ์ขายต่อยาวอีก 5 ปี https://positioningmag.com/1154266 Tue, 23 Jan 2018 08:22:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154266 บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคคา-โคลา ประกาศ จับมือ บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด เจ้าของกิจการ “ตลาดไท” เป็น “พันธมิตรทางธุรกิจ” ต่อเนื่องอีก 5 ปี ระหว่างปี 2561 ถึง 2565 หลังสัญญาแรกที่มีระยะเวลา 3 ปีสิ้นสุดลง (ปี 2557-2560)

ข้อตกลงระหว่างไทยน้ำทิพย์และตลาดไท มีดังนี้

• ไทยน้ำทิพย์จะได้สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวให้เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โคคา-โคลาครบทั้งพอร์ตโฟลิโอ ทั้งน้ำดื่มน้ำทิพย์ เครื่องดื่มอัดลม แบบที่มีน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ล่าสุดไม่มีน้ำตาล และเครื่องดื่มไม่อัดลมครบทุกแบรนด์

(พอร์ตฟอร์ลิโอ โค้ก, โค้ก ซีโร่, โค้ก ไลท์, แฟนต้า, สไปร์ท, ชเวปปส์, รูทเบียร์ เอแอนด์ดับบลิว รวมถึงน้ำผลไม้มินิทเมด สแปลช, มินิทเมด พัลพิ, มินิทเมด ไวตาคิดส์ น้ำดื่มน้ำทิพย์ อควาเรียส และน้ำมะพร้าวซิโค่)

• โดยที่ไทยน้ำทิพย์ ใช้งบกว่า 33 ล้านบาท มาใช้ในส่งเสริมการดำเนินธุรกิจให้กับร้านค้าภายในตลาดไท การฝึกอบรม กิจกรรมส่งเสริมการตลาดและสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น การจัดวางสินค้าหน้าร้าน ตกแต่งร้าน   ตลอด 5 ปี

มร. ฮอร์เฮ่ ชาซาร์เร็ตต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า ในยุคธุรกิจมีการแข่งขันสูงขึ้น ไทยน้ำทิพย์จึงต้องมุ่งพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานระดับโลกของโคคา-โคลา และพัฒนาบุคลากร ให้ตอบโจทย์พันธมิตรทางธุรกิจ และผู้บริโภคได้ต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่พัฒนาคนของไทยน้ำทิพย์เท่านั้น แต่ยังร่วมพัฒนาให้กับบุคลากรของพันธมิตร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตไปด้วยกัน จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกันต่อเนื่องอีก 5 ปี

ส่วน มร. เกรแฮม ชาร์ล แซนด์เดอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด กล่าวว่า ผลจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และได้รับการฝึกอบรมจากไทยน้ำทิพย์ ช่วยให้ร้านค้ามียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 30% จึงเชื่อว่า 5 ปีต่อจากนี้ นอกจากไทยน้ำทิพย์จะช่วยยกระดับการค้าส่งให้มีมาตราฐานสูงขึ้น ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การปรับโฉมของตลาดไทในอนาคตอันใกล้อีกด้วย

การร่วมมือกับตลาดไท ถือเป็นการเดินเกมการตลาดของไทยน้ำทิพย์ และโค้ก เพื่อช่วงชิงช่องทางจำหน่าย เพื่อสร้างลูกค้าถาวรและระยะยาวขึ้นมา และยังเป็นการสกัดไม่ให้คู่แข่งเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งตลาดไท ถือเป็น ตลาดค้าส่ง ขนาดใหญ่ มีลูกค้ากว่า 1 แสนคน ร้านค้า 3,500 ร้านค้า มีมูลค่าการตลาด 180,000 ล้านบาทต่อปี

เพราะที่ผ่านมา การแข่งขันเพื่อแย่งชิงพื้นที่ในการผูกขาดขายของสมรภูมิน้ำดำ ก็ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ค่ายน้ำดำใช้กันมาตลอด อย่าง ร้านอาหารจานด่วนแบรนด์ดังทั้งหลาย ก็มักจะมีข้อตกลงผูกขาดขายของน้ำอัดลมเพียงยี่ห้อเดียว ซึ่งที่ผ่านมาค่ายไทยเบฟฯ มีเครือข่ายธุรกิจศูนย์การค้าหลายแห่ง ใช้ข้อได้เปรียบในการเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า เช่น เอเชียทีค ริเวอร์ฟร้อนท์ ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย จำหน่ายเฉพาะเครื่องดื่มภายใต้ไทยเบฟฯ ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) เป็นเจ้าของแบรนด์ รับผิดชอบกิจกรรมตลาด โดยมีสองพันธมิตรผู้ผลิตและจัดจำหน่าย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด รับผิดชอบ 62 จังหวัดทั่วประเทศ และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบใน 14 จังหวัดภาคใต้

อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง : https://positioningmag.com/57846

]]>
1154266
โค้ก เปิดศึกน้ำดำ ปล่อยกิมมิก “ขวดผูกโบ” เอาใจสาวกรับเทศกาลส่งความสุขปลายปี https://positioningmag.com/1145452 Mon, 06 Nov 2017 03:29:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1145452 ชิงความเป็นหนึ่งในน้ำดำรับเทศกาลส่งความสุข สำหรับแบรนด์น้ำอัดลมระดับโลกอย่าง “โค้ก” เมื่อได้ออกสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษเมื่อ “ขวดผูกโบ” ได้ (Bow bottle)

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โค้กออกคอลเลกชั่นดังกล่าว เพราะไอเดียดีงามนี้มีขึ้นที่ประเทศ ญี่ปุ่น ซึ่งหากคนไทยที่ไปเยือนแดนปลาดิบมาบ้างจะต้องมีคนที่ไปโดน ซื้อแล้วลองลอกฉลากผูกโบบนขวดดู ไม่เพียงเท่านั้นประเทศอังกฤษก็มีโค้กฉลากผูกโบมาเอาใจคอน้ำดำกันด้วย ซึ่งเป็นขวด PET ขนาด 1.75 ลิตร

และแล้วก็มาถึงคิวที่ประเทศไทยจะมีเหมือนกับประเทศอื่นเสียที เมื่อโคคา โคล่า ประเทศไทย ปล่อยโค้กผูกโบทยอยขยายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น เรียบร้อยแล้ว นับเป็นการสร้างกิมมิกเล็กๆ น้อย เอาใจผู้บริโภคชาวไทย

ภาพรวมตลาดน้ำอัดลมนั้น มีมูลค่าประมาณ 51,000 ล้านบาท โดยผู้นำตลาดไม่ใช่ใครแต่เป็นโค้ก นั่นเอง ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 59% ขณะที่เป๊ปซี่ ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 35%

กลยุทธ์การทำตลาดของน้ำอัดลมที่เห็นกันเป็นประจำยังเป็นเรื่องของ 4Ps (Marketing Mix) นั่นเอง ประกอบด้วย Product : ผลิตภัณฑ์ที่มีสินค้านวัตกรรม รสชาติใหมๆ ไอเดียด้านแพ็กเกจจิ้งมาแข่งกันอยู่เสมอ เช่น โค้กแชร์ความรู้สึกด้วยการส่ง Emotion ต่างๆ ทำตลาด และ #ShareACoke พิมพ์ชื่อตัวเองหรือเพื่อนส่งให้กันและกันได้ ส่วนเป๊ปซี่ก็มี Emotion ออกมาแข่งบ้าง เป็นต้น

Price : ราคา มีการห้ำหั่นกันเป็นพิธี โดยเฉพาะขาดใหญ่ PET ไซส์ตั้งแต่ 1.25 ลิตรขึ้นไป จะมีการลดราคา ซื้อเป็นคู่คุ้มกว่าได้ส่วนลดเพิ่ม ด้าน Place ที่ดูจะดุเดือดมาก เมื่อทุกค่ายประชันยึดช่องทางขายให้มากสุด บนเชลฟ์ร้านสะดวกซื้อว่าเดือดแล้ว ช่องทางร้านอาหารดุกว่า และเป็นกลยุทธ์ที่ทุกค่ายพยายามแลกหมัดกันอย่างสนุกสนาน โค้ก จัดอรอ่ยซ่าด้วยกันกับโค้ก เป๊ปซี่มีแคมเปญอร่อยซ่าตามหาร้านเด็ด รวมถึงแย่งชิงร้านค้าทั่วไป (เทรดดิชันนอลเทรดทั่วไทยกว่า 4 แสนจุดด้วย และ Promotion ที่ส่งเสริมการขายกับสารพัดชิงโชคล่ารางวัล

เกมน้ำดำถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีอย่างมาก เพราะต้องยอมรับว่าในอดีต เป๊ปซี่คือเบอร์ 1 ตลอดกาลที่ยากจะโค่นบังลังก์แชมป์ให้คว่ำ แต่ภายหลังเพลี่ยงพล้ำกับนโยบายระดับโลกกับการควบรวมบริษัทแบ่งบรรจุภัณฑ์ (Bottler) ในไทยที่จะฮุบเสริมสุข กลับเป็นการพลาดท่า และเสียแชมป์ให้โค้กแบบเสือนอนกิน หนำซ้ำยังเป็นการแจ้งเกิดคู่แข่งใหม่ มาอีก

เป๊ปซี่ชกกับมวยระดับโลกโค้กก็เหนื่อยอยู่แล้ว ชกกับคู่แข่งที่เป็นคู่แค้น ศึกสองด้านสาหัสพอตัว

อย่างไรก็ตาม โค้กปล่อยกิมมิกขวดผูกโบมาแล้ว ต้องจับตาดูว่าผู้ร่วมสมรภูมิเดียวกันจะแก้เกมรับเทศกาลส่งความสุขยังไง ส่วนสาวกที่สะสมขวดน้ำดำกิ๊บเก๋ คงยิ้มแก้มปริ!.

 

]]>
1145452