สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เปิดเผยว่า iPhone 14 ยังคงได้รับความนิยม โดยทุบสถิติยอดจองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากไทยได้ขยับขึ้นเป็น Tier-1 ของการจำหน่าย iPhone14 ทำให้คนไทยสามารถหาซื้อ iPhone14 พร้อมกับอีกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
โดยยอดขายของ iPhone 14 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 20% เนื่องจากสามารถช่วงชิงตลาด เครื่องหิ้ว เพราะได้ขยับขึ้นเป็นกลุ่ม Tier-1 นอกจากนี้ กลุ่มผู้ที่ใช้งาน iPhone X – iPhone 12 ก็ถึงจังหวะเปลี่ยนเครื่อง ซึ่ง iPhone 14 ProMax สี Deep Purple เป็นรุ่นยอดนิยมสูงสุดที่มีการจองเข้ามาสูงสุด
เนื่องจากที่ไทยได้สิทธิจำหน่าย iPhone เร็วกว่าครั้งก่อน จากในปีที่แล้วมีกำหนดวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ COM7 สามารถรับรู้รายได้จากสินค้ารุ่นเรือธงได้เร็วขึ้น สนับสนุนรายได้ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ซึ่งปกติเป็นช่วงพีคของปี
นอกจากนี้ COM7 ยังเตรียมนำได้สมาร์ทวอทช์ Apple Watch Series 8 พร้อมกัน 3 รุ่น คือ Apple Watch Series 8 , Apple Watch SE และ Apple Watch Ultra รวมถึง AirPods Pro 2 มาวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ คาดว่ารายได้ปี 2565 บริษัทจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน ปิดที่ราว 51,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน COM7 มีสาขาภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัทรวมทั้งหมด 1,090 สาขา แบ่งเป็น BaNANA จำนวน 418 สาขา, แฟรนไชส์ จำนวน 133 สาขา, True Shop by Com7 จำนวน 126 สาขา, Studio7 จำนวน 117 สาขา, KingKong Phone จำนวน 76 สาขา, BKK จำนวน 32 สาขา, iCare 30 สาขา และอื่น ๆ จำนวน 158 สาขา ซึ่งเป็นร้านที่จำหน่ายสินค้ากลุ่ม Apple และ iPhone ผ่านร้านค้ากว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้รวม 1,200 สาขาภายในสิ้นปี
ในส่วนของ ช่องทางออนไลน์ บริษัทก็มีการเน้นมากขึ้น โดยช่วงครึ่งปีแรกช่องทางออนไลน์เติบโตขี้นกว่า 65% โดยบริษัทได้เปิดตัวเว็บไซต์ Studio7 Thailand อย่างเป็นทางการ รวมทั้งมีการเปิดตัว BaNANA Application และบริการการรับสินค้าทั้งที่หน้าร้าน หรือจัดส่งถึงบ้านตามความต้องการของลูกค้า อีกทั้งบริการหลังการขายไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าที่หน้าร้านหรือช่องทางออนไลน์ ล่าสุดได้เพิ่มบริการ iCare Delivery Service เพื่อรองรับลูกค้าอีกด้วย
]]>สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 กล่าวว่า iPhone 13 ที่เปิดพรีออเดอร์เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยเมื่อเทียบกับ iPhone 12 รุ่นที่แล้วถือว่าดีกว่ามาก โดยเฉพาะ iPhone 13 Pro Max 256GB สีเซียร์ร่าบลู ที่ได้รับการตอบรับสูงที่สุด
โดยปัจจัยที่ทำให้ iPhone 13 ยังมียอดคำสั่งซื้อที่ดีมองว่ายังเป็นเพราะผู้บริโภคกลุ่มกลาง-บนที่ไม่ได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และเพราะการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น ทำให้นำเงินมาจับจ่ายอัพเกรดสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ iPhone 10 และ iPhone 11 ที่ถึงเวลาต้อง อัพเกรด iPhone รุ่นใหม่
จากการตอบรับที่ดี รวมถึง iPhone 13 ถือเป็นรุ่นที่มีการเปิดตัวและวางจำหน่ายเร็ว โดยเริ่มจองวันที่ 1 ต.ค. และวางจำหน่าย 8 ต.ค. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว iPhone 12 วางขาย 21 ธ.ค. ทำให้สามารถวางจำหน่ายได้เร็วขึ้นถึง 2 เดือน ดังนั้น เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ช่วยดันให้ภาพรวมเติบโตได้ 15-20% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ราว 37,352 ล้านบาท
“ปีที่แล้ว iPhone 12 ขาย 10 วันยังทำได้ดี แต่ iPhone 13 เรามีเวลาขายได้เกือบทั้งไตรมาส และปกติไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นอยู่แล้ว ดังนั้นเชื่อว่าปีนี้จะยิ่งดี แม้ว่าไตรมาส 3 จะต้องปิดร้านไปเดือนครึ่งเพราะล็อกดาวน์ แต่เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จะช่วยอุดรายได้ที่หายไป”
ในส่วนของการขยายสาขาจะขยายอีก 40-50 สาขาในช่วงไตรมาส 4 นี้ จบสิ้นปีคาดว่าจะมี 1,000 สาขา ปัจจุบัน COM7 มีสาขาภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัทรวมทั้งหมด 958 สาขา แบ่งเป็น BaNANA 353 สาขา Studio7 109 สาขา KingKong Phone 85 สาขา True Shop by Com7 123 สาขา แฟรนไชส์ 109 สาขา BKK 43 สาขา iCare 30 สาขา และอื่น ๆ 106 สาขา โดย COM7 จำหน่ายสินค้ากลุ่ม Apple และ iPhone ผ่านร้านค้าประมาณ 700 สาขา
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะเน้นไปทาง สแตนด์อโลนและป๊อปอัพสโตร์ แทน เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้การเปิดหน้าร้านในห้างฯ อาจมีความไม่แน่นอน โดยมีเป้าหมายขยายให้ ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศภายใน 2-3 ปีจากนี้ โดยคาดว่าจำนวนสาขาที่จะขยายสูงสุดอยู่ที่ 1,500 สาขา ในส่วนของออนไลน์แม้จะเติบโตเป็นหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 6% ของยอดขายรวม โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% ภายในปีหน้า
“ตอนนี้เรามีแชร์ 15% ในตลาดถ้าอยากจะเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ แค่ออนไลน์อาจจะยังไม่พอ ดังนั้น การขยายสู่ต่างจังหวัดจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาดได้ ส่วนช่องทางออนไลน์ เราต้องการเป็นเบอร์ 1 ด้านสินค้าไอทีภายใน 2-3 ปี”
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อเป็นสินค้าใหม่ ๆ ลงพอร์ต จากที่ปัจจุบันสินค้ากว่า 50% เป็นสมาร์ทโฟน อาทิ ทีวี, เครื่องชงกาแฟ, กาต้มน้ำ โดยบริษัทได้จับมือกับ Index Living Mall ในการจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
“เรามองว่าอนาคตจะเป็นการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ไม่ได้แบ่งว่าสมาร์ทโฟน ทีวี โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยก”
อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยบวกหลังจากนี้ยังเชื่อว่าน่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ เช่น มาตรการลดภาษี ซึ่งสินค้าไอทีต่าง ๆ ยังคงเป็นสินค้าอันดับต้น ๆ ที่คนใช้จ่าย ยิ่งภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวทำให้ผู้บริโภคยังมีเงิน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่น่ากังวลยังคงเป็นปัญหาด้านซัพพลาย ไม่ว่าจะชิปเซ็ตที่ขาดตลาด หรือปัญหาพลังงานของจีน ยังคงเป็นตัวฉุดตลาดอยู่ อย่าง iPhone 13 และ iPad ปัจจุบันก็มีซัพพลายจำกัด นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่อ่อน อาจจะทำให้สินค้าแพงขึ้นก็เป็นอีกปัญหา แต่ยังไม่รุนแรงเท่าเรื่องซัพพลายเชน
]]>สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เปิดเผยว่า แม้จะไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ แต่ยอดจองของ ‘iPhone 12’ นั้นมีมากที่สุดตั้งแต่เคยเปิดจองมาในทุกรุ่น โดยคาดว่ามาจากปัจจัยของ ‘5G’ อีกทั้งยังมองว่าเพราะผู้บริโภคในกลุ่มกลาง-บนที่ปกติอาจไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่เพราะ COVID-19 ทำให้ท่องเที่ยวไม่ได้จึงมีเงินเหลือช้อปปิ้งอัปเดตเทคโนโลยีแทน ซึ่งปัจจุบันสินค้าไอทียังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคจับจ่าย ยังเป็นอุตสาหกรรมที่คนต้องการ ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย
“ยอดจอง iPhone 12 ถือเป็นสัญญาณดีต่อตลาดสมาร์ทโฟน 5G เพราะถือเป็นตัวกระตุ้นให้คนตื่นตัวเรื่องการใช้ 5G ในขณะที่โอเปอเรเตอร์โปรโมต 5G หนักมาก ทำให้แบรนด์อื่นก็ยิ่งเร่งรุกตลาด ดังนั้น ในปีหน้ายอดขายสมาร์ทโฟน 5G น่าจะดีกว่าปีนี้”
อย่างไรก็ตาม ที่น่าแปลกใจคือ ยอดซื้อ ‘iPhone 11’ ที่น่าจะขายยากแต่ยอดกลับไม่ตก ซึ่งอาจจะแปลว่า มีการเปลี่ยนค่าย หันมาใช้ Apple
ในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา รายได้บริษัทตกลงบ้าง แต่ก็กลับมาฟื้นได้ในไตรมาส 3 ขณะที่ไตรมาส 4 ที่มี iPhone 12 เข้ามากระตุ้นตลาด แม้จะเปิดตัวช้ากว่าปกติถึง 40 วัน แต่จากผลตอบรับที่ดี บวกกับมาตรการ ‘ช้อปดีมีคืน’ ที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายได้ดี ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะทำให้ยอดขายไตรมาส 4 สูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา และช่วย cover ยอดขายที่ตกลงไปในครึ่งปีแรก ทำให้ COM7 สามารถเติบโตได้ 10% ตามเป้า จากปีที่ผ่านมาทำรายได้ 33,000 ล้านบาท
“ยอดขายสมาร์ทโฟนคิดเป็น 45% ของรายได้รวม รองลงมาคือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก 18% และแท็บเล็ต 15% โดย Apple ถือเป็นแบรนด์ที่สร้างรายได้อันดับ 1”
COVID-19 ทำให้ยอดขายออนไลน์ของ COM7 เติบโตมากขึ้น จากมีสัดส่วน 2% เพิ่มเป็น 5% และบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% ใน 2 ปีจากนี้ ดังนั้น ปีหน้าจะลงทุนจะเน้นไปที่อีคอมเมิร์ซ อาทิ เว็บไซต์บานาน่าไอที และแอปพลิเคชันบานาน่าไอที โดยจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า ส่วนแผนขยายสาขายังคงต้องทำต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 100 สาขา ส่วนใหญ่จะอยู่ตามต่างจังหวัดราว 70-80% ทำให้สิ้นปี 64 บริษัทจะมีสาขาเพิ่มกว่า 900 สาขา จากปีนี้ขยายเพิ่มไปแล้วกว่า 100 สาขาเช่นกัน ทั้งนี้ งบในการลงทุนทั้งหมดอยู่ที่ 400 ล้านบาท
“ที่เราขยายสาขาเพราะพฤติกรรม เราเห็นคนซื้อออนไลน์ แต่ไปรับหน้าร้าน บางคนอยากให้ไปเซตเครื่องเช็กเครื่องต่าง ๆ มันยังเป็นสิ่งจำเป็น”
ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนทั้งปีที่มียอดประมาณ 15 ล้านเครื่อง/ปี โดยปีนี้น่าจะมีจำนวนใกล้เคียงเดิม ส่วนปีหน้าคาดว่าจะใกล้เคียงเดิมบวกลบไม่เกิน 5% ซึ่งอาจต้องรอดูความชัดเจนของวัคซีนและการเดินทางต่าง ๆ รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายปี 64 มองว่าไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ สินค้าที่มีไม่เพียงพอเนื่องจากปัญหาซัพพลายเชนทั่วโลก ซึ่งในปี 64 COM7 ยังคงตั้งเป้าเติบโต 10% แม้ว่าฐานจะกว้างขึ้นใหญ่ขึ้นก็ตาม ซึ่งเรามองว่าปัญหาเดียวที่อาจทำให้ไม่ถึงเป้าก็คือ ซัพพลายเชน
]]>‘COM7’ เชนสโตร์ไอทีรายใหญ่ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง Studio7, Banana IT ก็ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มองเห็น ‘โอกาส’ โดยชิงออกแพ็กเกจพิเศษสำหรับลูกค้าองค์กรในการให้เช่า ‘Notebook’ หรือ ‘iPad’ เพื่อใช้ทำงานที่บ้าน แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทมีแพ็กเกจเช่าใช้ แต่ผลตอบรับตอนนี้ดีกว่าอดีตแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
บริการนี้ได้เปิดให้เช่าโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กร ในราคาเริ่มต้นที่ 499 บาท/เดือน/ เครื่อง และเป็นสินค้าใหม่ ลงโปรแกรม Microsoft Office 365 แท้ เรียกว่าอัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดอย่างเต็มที่
เพียงวันแรกที่ออกแพ็กเกจก็มีองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจกว่า 200 ราย โดยมีความต้องการเช่าตั้งแต่ 20-300 เครื่อง จากเดิมที่องค์กรไม่มีความต้องการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาด้านซัพพลายเชนที่ยังไม่ฟื้น 100% ส่งผลให้สินค้ามีจำกัดเพียง 90 วันเท่านั้น
เพราะต้องบอกว่าหลายองค์กรยังใช้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ไม่ได้มีโน้ตบุ๊กให้พนักงานทุกคน การที่จะใช้นโยบาย Work Form Home อาจจะทำให้มีข้อจำกัดอยู่บ้าง
การที่ COM7 เปิดบริการนี้ ทำให้องค์กรคล่องตัวในการเช่าโน้ตบุ๊ก โดยที่ไม่ต้องมีการลงทุนซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ให้กับพนักงานเพิ่ม เพราะเชื่อว่าบางบริษัทอาจจะใช้มาตรการนี้แค่ชั่วคราวไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
“เวลามันมีน้อย สถานการณ์อาจจะจบใน 3-6 เดือน ดังนั้นเราคิดแล้วต้องทำเลย เพราะซัพพลายเองก็มีจำกัด และเราเองก็ต้องหาทางรอด เพราะยอดขายในเดือนมีนาคมลดลงถึง 10% แม้ยอดขายออนไลน์จะโตกว่าเดิม 2-3 เท่า แต่ก็ไม่สามารถครอบคลุมส่วนที่หายไปได้” สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. COM7 กล่าว
นอกจาก COM7 แล้ว อีกองค์กรที่ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์อย่าง AIS ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป โดยชิงเปิดตัวแพ็กเกจ ‘WORKING FROM HOME’ เป็นรายแรกในตลาด โดยแพ็กเกจดังกล่าวถือเป็นการสร้างโอกาสจากโควิด-19 ในเชิงพาณิชย์ครั้งแรก
แพ็กเกจ WORKING FROM HOME ราคาเริ่มต้น 99 บาทต่อเดือน เพื่อรองรับการทำงานอยู่บ้านของคนไทย แพ็กเกจนี้ได้ผนึกกำลังเครือข่ายทั้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ AIS มีก็ได้ใช้โอกาสการระบาดของโควิด-19 ในการโชว์ศักยภาพของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการแถลงความพร้อมของ 5G แบบ Live Streaming หรือแม้แต่การลงนามสัญญาแบบ VDO Conference ของบริษัท WDS ในเครือ AIS กับ Singtel และ SK Telecom ในการร่วมทุนจัดตั้งบริษัทด้านเกมและอีสปอร์ตร่วมกัน (การปรับตัวของ AIS เปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต COVID-19)
จากกรณีศึกษาของ 2 องค์กรคงเห็นชัดเจนแล้วว่า การเป็นแค่ปลาใหญ่ไม่พอที่จะอยู่รอด แต่ต้องเป็นปลาที่ ‘เร็ว’ พร้อมปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์
]]>แต่ดูเหมือนว่าแค่นั้นอาจจะยังไม่เพียงพอ ล่าสุดในวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 กล่าวว่า ได้มีการซื้อขายหุ้นบิ๊กล็อตรายการใหญ่ (Big Lot) COM7 รวมจำนวน 70,500,000 หุ้น มูลค่า 1,510,000,000 บาท
คิดเป็น 5.87% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ให้แก่กลุ่ม บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS จำนวน 59,000,000 หุ้น และอีก 11,500,000 หุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไปที่ก่อนหน้านี้ให้ความสนใจ
ในส่วนของกลุ่ม BTS เป็นการตกลงเจรจาขายหุ้นที่ถือในนามส่วนตัว และผู้บริหารระดับสูงรวมจำนวน 4 คน ได้แก่ สุระ คณิตทวีกุล จำนวน 52,000,000 หุ้น, อารี ปรีชานุกูล จำนวน 10,000,000 หุ้น, กฤชวัฒน์ วรวานิช จำนวน 5,000,000 หุ้น และนางสาวณัฐนันท์ กีรติกรยศนันท์ จำนวน 3,500,000 หุ้น
การซื้อในครั้งนี้ COM7 ระบุว่า มีแผนที่จะร่วมมือกับกลุ่ม BTS ในเรื่องต่างๆ ทั้ง แผนการตลาด การจัดโปรโมชั่นร่วมกัน การลงพื้นที่โฆษณาในเครือของ BTS และพื้นที่เช่าตามสถานีต่างๆ ของ BTS การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ของ Kerry Express โดยสามารถเปิดจุดให้บริการผ่านหน้าร้านได้ รวมถึงต่อยอดการให้บริการด้านไฟแนนซ์ และอื่นๆ ในอนาคต ผ่านฐานข้อมูลลูกค้าซึ่งมีจำนวนมาก
ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2562 COM7 มีร้านค้าปลีกไอทีและสมาร์ทโฟนภายใต้การบริหารทั้งหมดจำนวน 662 สาขา ได้แก่ ได้แก่ BaNANA 208 สาขา, Studio7 100 สาขา, Kingkong Phone 103 สาขา, BKK 37 สาขา, TRUE Shop by COM7 92 สาขา, BaNANA Shopping (แฟรนไชส์) 59 สาขา, iCare 26 สาขา และ Brand Shop 37 สาขา
ตั้งเป้าสิ้นปีขยายสาขาเพิ่มเป็น 847 สาขา และตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2562 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 27,913 ล้านบาท
รายได้และกำไร “บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน)” (ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
คอมเซเว่นเป็น 1 ใน 4 ผู้แทนจำหน่ายสินค้าแอปเปิ้ลในประเทศแบบ APR หรือแบบพรีเมี่ยม อีก 3 รายได้แก่ Copperwired, SPVI และ UFICON ในช่วงแรกเริ่มนั้นทั้ง 4 รายมีความคิดเห็นตรงกันว่าจำทำการเปลี่ยนชื่อร้านให้เหมือนกันทั้งหมด ก็คือมี 3 ฟอร์แมตด้วยกัน iStudio, iBeat และ U Store โดยที่จะมี By ต่อท้ายว่าใครเป็นผู้บริหารร้านนั้น
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งทางคอมเซเว่นก็คิดได้ว่าควรทำการตลาดแยกกัน เพราะการที่ใช้ชื่อเดียวกันนั้นทำให้ผู้บริโภคสับสน และยากต่อการสื่อสารทำการตลาด ซึ่งผู้บริโภคส่วนมากคิดว่าร้าน iStudio คือร้านเดียวกันหมด ไม่รู้ว่ามีผู้บริหารต่างกัน และแยกไม่ออกว่าระหว่าง iStudio และ iBeat ต่างกันอย่างไรสินค้าและราคาต่างกันหรือไม่
การเปลี่ยนชื่อเป็น Studio7 ทำให้เหมือนเป็นแมสเสจเดียวที่สื่อสารถึงผู้บริโภค สำหรับในการออกแคมเปญการตลาดว่าสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Studio7 ทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น
สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราพบว่าลูกค้ากว่า 50% ไม่รู้ว่าร้านที่ขายสินค้าแอปเปิ้ลมีหลายผู้บริหาร คิดว่าร้านเดียวกันหมด ทำให้บางครั้งมีข้อจำกัดในการทำตลาด การสื่อสารใน 3 แบรนด์มันยาก การรีแบรนด์เปลี่ยนโฉมใหม่ครั้งนี้จะช่วยสร้างความแตกต่างในตลาดรีเทลด้วยกัน สร้างโอกาส และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ ทำให้หลังจากนี้จะมีการสื่อสารที่ aggressive มากขึ้น
ถึงแม้ว่าแบรนด์ iStudio จะมีความแข็งแกร่งมากกว่า การเปลี่ยนชื่อแบรนด์ไปอาจจะมีส่วนทำให้ผู้บริโภคสับสนอยู่เหมือนกัน แต่สุระได้บอกว่า ร้าน Studio7 ยังมีลูกเล่นให้ใส่ และมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีก ในช่วงแรกที่เปลี่ยนก็อาจจะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจให้ได้ แต่สุดท้ายมันก็เป็นทรัพย์สินของเรา เป้นแบรนด์ของเรา โดนที่แบรนด์ iStudio ไม่ใช่ของเรา
ในการรีแบรนด์ครั้งนี้ไดใช้งบลงทุน 10 ล้านบาทสำหรับการเปลี่ยนป้ายหน้าร้าน ส่วนอีก 25 ล้านบาทใช้สำหรับแคมเปญส่งเสริมการขาย และสร้างการรับรู้ของผู้บริโภค และใช้งบการตลาดทั้งปีรวม 150 ล้านบาท
ปัจจุบันคอมเซเว่นมีสาขารวมกันร่วม 300 สาขา แบ่งเป็น ร้าน BaNANA 163 สาขา Studio 93 สาขา (iStudio 17 สาขา iBeat 74 สาขา และ U Store 2 สาขา) และ iCare 25 สาขา
ในส่วนของรายได้ ในสิ้นปีตั้งเป้ามีการเติบโต 10% หรือมีรายได้ 17,000 ล้านบาท เติบโตจากรายได้ 15,000 ล้านบาทในปี 2558
]]>ทั้งนี้ Apple จะเปิดสั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order) วันที่ 9 กันยายนนี้ เปิดขายในกลุ่มประเทศแรก วันที่ 16 กันยายน 2559 และคาดว่าจะวางจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงปลายตุลาคม
COM7 ระบุด้วยว่า บริษัทฯ ได้รับประโยชน์ในฐานะผู้ประกอบการรายใหญ่สุดของ Apple ในประเทศไทย ทั้งในแง่ของยอดขาย และปริมาณสาขา จากช่องทางการจัดจำหน่ายครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในประเทศที่มี 93 สาขา ผ่าน iStudio, iBeat, uStore by Comseven รวมไปถึง BaNANA 159 สาขาที่จำหน่ายสินค้า Apple ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ COM7 ยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายที่สามารถซื้อ iPhone ได้โดยตรงกับ Apple ทำให้บริษัทฯ สามารถซื้อสินค้ารุ่นนิยมในปริมาณที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น จึงมั่นใจว่าการเปิดตัวของ Apple ในครั้งนี้จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนผลประกอบการบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2559 ให้โดดเด่นทั้งในแง่ของยอดขาย และกำไร
สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เชื่อว่าสินค้าเรือธงตัวใหม่ล่าสุด iPhone 7 และ iPhone 7 Plus จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าในทยเป็นอย่างมากดังเช่นทุกครั้ง และเชื่อว่าสินค้าจะทำยอดขายได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ต่อเนื่องไปถึงปี 2560 เนื่องจากสินค้าที่เข้ามามีจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการซื้อที่มีอยู่มาก
นายสุระ กล่าวต่ออีกว่า แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลัง COM7 มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง โดยครองความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอทีที่มีความหลากหลายของสินค้ามากที่สุด สาขามากที่สุดเกือบ 300 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจัยสนับสนุน COM7 ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากภาพรวมเทคโนโลยี สินค้าไอที และโทรศัพท์เคลื่อนที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา มีสินค้าใหม่ที่ทยอยออกสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีหลังอีกหลากหลายค่าย และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี
สำหรับคุณสมบัติของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus คือ สีดำ Jet Black ด้วยคุณสมบัติเครื่องที่เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยจะยังคงมีรูปลักษณ์การดีไซน์ และมีขนาดใกล้เคียงกับ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus แต่จะบางกว่า เนื่องจากตัดช่องการเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออก ใช้งานปุ่มโฮมแบบใหม่ที่รวมเข้ากับหน้าจอ มาพร้อมชิปเซตประมวลผล Quad-Core Apple A10 ที่เร็วกว่าเดิม ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ และฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 ลำโพงคู่ บน-ล่าง แบบสเตอริโอ แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น และไฮไลต์สุดๆ กับกล้องดิจิตอล iSight แบบใหม่ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีการประมวลผล และมีประสิทธิภาพมากขึ้น นับเป็นกล้องที่ดีที่สุดของไอโฟนตั้งแต่ทำมา สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียด 4K รวมทั้งเพิ่มความพิเศษให้กับ iPhone 7 Plus ด้วยการอัปเกรดไปใช้งานกล้องคู่ (Dual-Camera) และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 10 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด
ที่มา : http://astv.mobi/AJsrJHm
]]>โดยทรูจะนำเอาความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารรีเทลของคอมเซเว่นมาช่วยบริหารจัดการขายสินค้าและบริการ เหมือนเป็นการเอาต์ซอสให้ คอมเซเว่นเข้ามาช่วยจัดการร้านทรูช้อป ในเบื้องต้น จะเริ่มต้นที่ 10 สาขา จากนั้นค่อยขยายไป 166 สาขา ที่เป็นสาขาในห้างบิ๊กซี และเทสโก้โลตัส ภายใน 1 ปี ในอนาคตอาจจะมีการขยายไปครอบคลุมทรูช้อปกว่า 500 สาขา แต่ยังอยู่ในแผนต่อไป
ในขณะที่คอมเซเว่นเองก็ต้องการได้ระบบการจัดการหลังบ้าน หรือเซอร์วิสต่างๆ ของทรูเข้ามาเติมเต็ม จะมีการปรับใช้กับร้านขายปลีกภายใต้คอมเซเว่น เช่น Banana IT และอื่นๆ กว่า 300 สาขา
ส่วนทรูเอง จะมีสินค้าไปวางขายในคอมเซเว่นมากขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงบริการจ่ายบิล เปลี่ยนซิมต่างๆ ด้วย ทางพนักงานของคอมเซเว่นก็มีการเชียร์บริการของทรูมากกว่าโอเปอเรเตอร์ค่ายอื่น ทางคอมเซเว่นก็มีสินค้า และบริการที่หลากหลายมากขึ้นเช่นกัน
เท่ากับว่า ทรูจะมี “ช่องทางขาย” สินค้าและบริการรวดเดียว 300 แห่ง จากที่มีทรูช้อปอยู่แล้ว 500 สาขา รวมแล้ว 800 สาขา ซึ่งทรูช้อปเองก็จะนำโนว์ฮาวค้าปลีกไอทีของคอมเซเว่นมาช่วยเติมเต็มให้กับทรูช้อปมากขึ้น
นอกจากนี้นัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการร่วมมือกันในครั้งนี้ก็คือกลยุทธ์ “การขายเครื่องพ่วงซิม” ที่ทั้งทรูและคอมเซเว่นจะร่วมมือการผลักดันให้เพิ่มสัดส่วนมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคที่ซื้อจากร้านคอมเซเว่นที่ซื้อเครื่องพร้อมซิมเลยมีเพียง 10-15% เท่านั้น ซึ่งคอมเซเว่นตั้งเป้าที่จะเพิ่มให้ได้ 30% ภายในปีนี้
สุระ คณิตทวีกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กลยุทธ์การขายเครื่องพร้อมซิมจะเป็นประโยชน์มากต่อธุรกิจ ซึ่งถ้าดูจากต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว เกินกว่า 50% จะมีการขายเครื่องพร้อมซิม แต่จะมีการติดสัญญาต่างๆ แต่ในไทยพฤติกรรมยังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะคนไทยยังกังวลเรื่องติดสัญญาการใช้ หรือใช้ไม่ครบกำหนด ทำให้มียอดจำหน่ายพร้อมซิมมีเพียง 10-15% เท่านั้น ส่วนของทางโอเปอเรเตอร์มีสัดส่วน 30% ที่จำหน่ายเครื่องพร้อมซิม ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยสร้างโอกาส และการเติบโตได้อีกเยอะ”
จากความร่วมมือนี้ คอมเซเว่นได้ตั้งเป้ารายได้ 17,000 ล้านบาท หรือมีการเติบโตราว 20% จาก 14,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เกิดจากที่ทางคอมเซเว่นเองเพิ่งได้สิทธิ์ในการสั่งสินค้าในส่วนของไอโฟนโดยตรงจากแอปเปิล เริ่มมีผลเมื่อเดือนเมษายน จากเดิมที่ต้องสั่งซื้อผ่านทางโอเปอเรเตอร์ในประเทศไทย แต่สินค้าอื่นๆ อย่างไอแพด หรอแอคเซสซอรี่อื่นๆ ได้สั่งซื้อตรงมานานแล้ว ทำให้ต่อไปคอมเซเว่นจะมีกำไรเพิ่มมากขึ้น จึงต้องเร่งการขายเครื่องพ่วงกับซิม
คอมเซเว่น เตรียมปรับปรุงชอปใหม่รับมือ Wearable Device ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ล่าสุด ได้รับสิทธิขาย Apple Watch อย่างเป็นทางการ ชี้จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดกลุ่มนี้ให้เติบโตขึ้น 100% พร้อมปรับเป้าธุรกิจภาพรวมโตขึ้น 5% เผยเตรียมปรับโฉมร้านค้าในเครือด้วยงบ 3-10 ล้านบาทต่อสาขา และขยายเพิ่มอีก 40 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่รวม 317 สาขา มั่นใจปีนี้โน้ตบุ๊กกลับมาหลังเริ่มเห็นกำลังซื้อตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
นายสุระ คณิตทวีกุล (คนขวาสุด) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คอมเซเว่นเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 40 สาขาในปีนี้ และพร้อมที่จะปรับปรุงชอปใหม่ให้รองรับต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่าง Wearable Device ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้น โดยล่าสุด คอมเซเว่น ได้สิทธิการจำหน่าย Apple Watch อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าการมาของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะกระตุ้นให้ตลาด Wearable Device ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
“ในปีที่ผ่านมา คอมเซเว่นมียอดขายในส่วนของ Wearable Device ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งการมาของ Apple Watch จะช่วยดันให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็น 100% และส่งผลให้ภาพรวมรายได้ของธุรกิจคอมเซเว่นเติบโตขึ้น 5% จากยอดขายในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 14,100 ล้านบาท”
ปัจจุบัน ไทยได้สิทธิในการจำหน่าย 11 ชอปในการวางขาย Apple Watch โดยแบ่งเป็นของคอมเซเว่น จำนวน 6 สาขา สำหรับ Apple Watch ที่คอมเซเว่นนำมาจำหน่ายนั้นแบ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชัน ที่ได้สิทธิมา จำนวน 7 เรือน จำหน่ายในราคา 580,000 บาท ส่วนรุ่นอื่นๆ ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายนั้นจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13,000-660,000 บาท โดยหลังจากนี้คอมเซเว่นจะได้ทำการปรับปรุงชอปใหม่ในส่วนของ iStudio by Comseven เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกันกับร้านของ Apple ทั่วโลก
นอกจากนี้ คอมเซเว่นยังได้เตรียมทำการปรับปรุงชอปอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารของคอมเซเว่น อย่างร้าน Banana IT และ Banana Mobile ให้มีความทันสมัย และรองรับกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งการปรับปรุงแต่ละสาขาดังกล่าวจะใช้งบประมาณสาขาละ 3-10 ล้านบาท และจะได้ทำการเปิดสาขาใหม่โดยรวมทั้งหมดเพิ่มอีก 40 สาขา แบ่งเป็น iStudio 2 สาขา iBeat ประมาณ 10 สาขา ที่เหลือเป็น Banana IT และ Banana Mobile จากปัจจุบันที่มีรวมทั้งหมดอยู่ 317 สาขา คาดว่าในปี 2017 คอมเซเว่นจะมีร้านสาขารวมทั้งสิ้น 500 สาขา
นายสุระ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจภาพรวมของคอมเซเว่นในปีนี้จะเน้นการจำหน่ายในส่วนของ Wearable Device และ Accessory ให้มากขึ้น เนื่องจากสามารถสร้างกำไรได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมไปถึงการคาดหวังการเติบโตของกลุ่มโน้ตบุ๊กที่กำลังมียอดขายที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคที่กำลังรอที่จะเปลี่ยนรุ่นของโน้ตบุ๊กจะยังคงหันมาใช้โน้ตบุ๊กเหมือนเดิม ไม่หันไปหาผลิตภัณฑ์ทดแทนอื่นๆ ส่วนตลาดแท็บเล็ตนั้นค่อนข้างซบเซา และคาดว่าจะมียอดขายที่ลดลง
ที่มา : http://manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081457
เสร็จสิ้นไปแล้วอย่างงดงามกับงานแถลงข่าว COM7 Join Force with Gigabyte ที่กิ๊กกะไบต์ ได้แต่งตั้งให้ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของกิ๊กกะไบต์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 19 เมษายน 2550 ณ โรงแรมอมารีวอเตอร์เกทเวลา 9.30 น. – 17.30 น.
โดยในช่วงเช้าเป็นการเปิดตัวแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างคอมเซเว่น และ กิ๊กกะไบต์แก่สื่อมวลชน ที่ทั้ง 2 บริษัทต่างก็มีจุดเด่นโดยที่กิ๊กกะไบต์ก็ถือเป็นผู้ผลิตเมนบอร์ดและกราฟฟิกการ์ดที่มีคุณภาพ และคอมเซเว่นก็มี
ช่องทางการจัดจำหน่ายหลายช่องทาง ทำให้ความร่วมมือครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จในที่สุด ส่วนในช่วงบ่ายเป็นการพบปะดีลเลอร์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า เพื่อให้เข้าใจและรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้ามากขึ้น ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี