Dentiste – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 13 Sep 2024 11:08:31 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ลิซ่าเอฟเฟกต์! ดันยอดขาย “เดนทิสเต้” โต 100% ฉีกภาพยาสีฟันคู่รัก สู่ Global Brand https://positioningmag.com/1489906 Thu, 12 Sep 2024 14:24:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489906 หากพูดถึง ลิซ่า-แบล็กพิงก์ (Lisa-BLACKPINK) หรือ ลลิษา มโนบาล แร็ปเปอร์ นักร้อง และนักเต้นสาวชาวไทย หนึ่งในสมาชิกของเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีอย่าง BLACKPINK (แบล็กพิงก์) ภายใต้สังกัด YG Entertrainment แล้วล่ะก็ เรียกว่าเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยม จากทั้งคนไทยชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก 

ซึ่งในประเทศไทยที่หลายกระแสนั่นได้รับอิทธิพลมาจากลิซ่า ไม่ว่าจะกระแสลูกชิ้นยืนกิน กระแสยาดมหงส์ไทย กระแสโรตีสายไหม กระแสใส่ผ้าซิ่นเที่ยวอยุธยา รวมถึงกระแสอาร์ตทอยอย่าง ลาบูบู้ ที่ได้รับความนิยมขึ้นเป็นเท่าตัว หลังลิซ่าถือถ่ายรูปลงอินสตาแกรมของเธอ รวมถึงการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ระดับโลกทำให้สินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรียกว่าไม่ว่าจะพูดหรือหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด 

ย้อนรอย Lisa X Dentiste’ 

ด้วยความดังเปรี้ยงปร้าง ทำให้ลิซ่าเนื้อหอมมากจนแบรนด์ต่างๆ พากันดีลทำสัญญา โดยเฉพาะแบรนด์ดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น BVLGARI ในฐานะของการเป็น Global Brand Ambassador ในแคมเปญโฆษณาเครื่องประดับคอลเลกชั่น Magnifica ของ BVLGARI แบรนด์เครื่องประดับชื่อดังระดับโลก ลิซ่ายังสามารถสร้างเอ็นเกจเมนต์ได้มากถึง 10% จากฐานของคนติดตามทั้งหมด ซึ่งหาได้ยากมากในหมู่ของคนดังที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก 

ตามมาด้วย CELINE แบรนด์แฟชั่น Luxury ระดับโลก ที่หลังจากลิซ่าได้เข้าร่วมชมแฟชั่นโชว์ในตำแหน่ง Front Row อยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการไปร่วมถ่ายแบบแคมเปญแฟชั่นของแบรนด์อยู่บ่อยๆ ทำให้หลายๆ ไอเท็มจาก CELINE ที่ลิซ่าสวมใส่กลายเป็นกระแสที่หลายๆ คนตามหา จนเกิดปรากฏการณ์ Sold out ในทุกช็อปจากทั่วโลก สู่การที่ CELINE เป็น Global Brand Ambassador คนใหม่ให้กับแบรนด์อย่างเป็นทางการ ทำให้มูลค่าแบรนด์ของ CELINE มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 118% เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2021 และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีการเติบโตรวดเร็วมากที่สุดในเครือ LVMH รวมทั้งล่าสุดแบรนด์แฟชั่นสุดหรูเบอร์ต้นๆ ของโลกอย่าง Louis Vuitton ได้ประกาศแต่งตั้งลิซ่า ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนในประเทศไทยเอง ก็มีหลายแบรนด์รุมจีบลิซ่าไม่น้อยเช่นกัน เพราะถ้าย้อนไปเมื่อปี 2019 ลิซ่า ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ AIS โดยถือเป็นแบรนด์แรกในไทยที่คว้าตัวลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้สำเร็จ จากนั้นในปี 2023 ลิซ่าก็ไม่ได้ต่อสัญญา เนื่องจากค่าย YG ปฏิเสธการต่อสัญญา และไปดีลกับบริษัทที่มี Conflict of interest 

ต่อมาในต้นปี 2023 TrueID (ทรู ไอดี) แพลตฟอร์มคอนเทนต์ในเครือทรูฯ ได้ประกาศคว้าลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับทรูมันนี่ (True Money) ที่ยังไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์อย่างจริงจัง ก็ได้เลือกจะทุ่มเงินดึงลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น 

อีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างเสียงฮือฮาไม่น้อยก็คือ Dentiste’ (เดนทิสเต้) เพราะเป็นแบรนด์ FMCG ที่สามารถดึงลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้ เดนทิสเต้ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสัญชาติไทย ภายใต้บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นแบรนด์พี่น้องของ Smooth E ที่อยู่ในเครือเดียวกัน ซึ่งก่อตั้งโดย ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เภสัชกรที่มีหลายบทบาท ทั้งอาจารย์ และนักธุรกิจ โดยที่ปัจจุบันมีทายาทรุ่น 2 เข้ามาช่วยดูแลบริหารงาน

ปัจจุบันเดนทิสเต้ทำตลาดมาได้ 18 ปี แรกเริ่มเดิมทีเดนทิสเต้ว่าจุดยืนเป็นยาสีฟันระดับพรีเมียม ที่ในยุคนั้นยังไม่มีผู้เล่นชัดเจนในเซ็กเมนต์นี้ แล้วชูจุดขายด้วยการเป็น “ยาสีฟันคู่รักยาสีฟันก่อนนอน เพราะพฤติกรรมคนไทยในตอนนั้นไม่ค่อยแปรงฟันก่อนนอน เพราะคิดว่าไม่ต้องพูดคุยกับใครแล้ว ซึ่งเป็นบ่อเกิดทำให้ฟันผุได้

(ซ้ายมือ) คุณศิวกร พิทยานุกุล (กลาง) คุณศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล และ (ขวามือ) ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ทีมผู้บริหารบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด

เดนทิสเต้จึงสื่อสารผ่าน Healthy Relationship เน้นความสัมพันธ์ของคู่รักเป็นหลัก สื่อว่าใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้แล้วตื่นเช้ามาไม่มีกลิ่นปาก แสดงความรักด้วยการจุ๊บกันในตอนเช้าได้ พร้อมใช้คู่รักเบอร์ต้นๆ ของไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ได้แก่ เคน-ธีรเดช กับ หน่อย-บุษกร, พอลล่า-เทเลอร์ กับ เอ็ดเวิร์ด-อดีตสามีนักธุรกิจ, ชมพู่-อารยา กับ น็อต-วิศรุต รวมถึง หมาก-ปริญ กับ คิมเบอร์ลี่ 

เดนทิสเต้จึงมีภาพชันเจนในเรื่องยาสีฟันคู่รักไปโดยปริยาย ทำให้กลุ่มเป้าหมายก็เป็นกลุ่มคู่รัก และกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อหน่อย เพราะมีราคาค่อนข้างสูง แต่แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโจทย์ใหญ่ของเดนทิสเต้ได้เปลี่ยนไป ต้องการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหญ่ขึ้น และเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เด็กลง พร้อมการเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยให้หันมา “แปรงแห้ง” มากขึ้น จึงทำให้การสื่อสารเปลี่ยนสู่ Best Moment ทำให้สื่อสารได้กว้างขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น สามารถสื่อสารได้หลายกลุ่ม คู่รัก เพื่อน หรือตัวเองก็ได้

ในปี 2564 เดนทิสเต้จึงเลือกลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ และชูโปรดักส์ตัวใหม่ DENTISTE’ Anticavity Max Fluoride เป็นยาสีฟันที่เป็นนวัตกรรมการแปรงฟันแห้ง ถือว่าเป็นการเคลือบฟลูออไรด์ที่ดีที่สุด รวมทั้งการได้ลิซ่ามา เป็นการปูทางสู่ Global Brand ในอนาคตด้วย

แบรนด์ดิ้งชัด ดันยอดขายโต 100% 

ผลจากลิซ่าเอฟเฟกต์ทำให้เดสทิสเต้ทลายโจทย์ใหญ่ของตัวเองหลายข้อ ทั้งเรื่องยอดขาย ขยายฐานลูกค้า สร้างการรับรู้ และการตีตลาดต่างประเทศ ปีนี้เดนทิสเต้จึงต่อสัญญาลิซ่าเป็นปีที่ 3 เพราะสัญญาเป็นการต่อปีต่อปี ซึ่งการวัดผลที่เห็นชัดที่สุดหลังจากที่ลิซ่าขึ้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทำให้เดสทิสเต้มีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว และยอดขายเพิ่มขึ้น 50-100% และสิ่งที่ได้ทางอ้อมก็คือ “ทำดีก็มีคนก๊อป” ในตอนนั้นมีผู้เล่นเจ้าใหม่ในตลาดยาสีฟัน จากเดิมมีราวๆ 10 ราย ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50-60 ราย

ถ้าถามว่าสิ่งที่ได้มากที่สุดจากการที่ได้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์คืออะไร ดร.แสงสุข บอกว่า “แบรนด์ดิ้ง” ภาพลักษณ์แบรนด์ชัดเจนขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะช่วยเข้าถึงคนกลุ่มใหม่ๆ ได้ และเข้าถึงชาวต่างชาติ ตอนนี้เดนทิสเต้กลายเป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวซื้อกลับไปเยอะมาก ส่วนหนึ่งเรื่องเรื่องของสมุนไพรไทยที่เป็น Soft Power ไปทั่วโลก และลิซ่าก็ทำให้ภาพโกลบอลแบรนด์ชัดขึ้นด้วย

สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปาก หรือ ออรัลแคร์ ปี 2566 มีมูลค่า 20,000 ล้านบาท เติบโต 5% ตลาดนี้จะรวมทั้งยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และไหมขัดฟัน ส่วนตลาดยาสีฟันมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 5% 

ปัจจุบัน บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด มีธุรกิจในเครือแบ่งเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ สมูท อี (Smooth-E) มีสัดส่วนรายได้ 40%, เดนทิสเต้ มีสัดส่วนรายได้ 40%, Smooth Life ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, ร้านขายยา P&F Smooth Life และโรงงานยาสยามเมดิแคร์ 

ภาพรวมรายได้ของบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด 

  • ปี 2561 รายได้ 2,377 ล้านบาท (กำไร 118 ล้านบาท) 
  • ปี 2562 รายได้ 2,679 ล้านบาท (กำไร 130 ล้านบาท) 
  • ปี 2563 รายได้ 2,037 ล้านบาท (กำไร 84 ล้านบาท) 
  • ปี 2564 รายได้ 2,398 ล้านบาท (กำไร 73 ล้านบาท)
  • ปี 2565 รายได้ 2,414 ล้านบาท (กำไร 74 ล้านบาท) 
  • ปี 2566 รายได้ 2,255 ล้านบาท (กำไร 65 ล้านบาท) 

สำหรับปี 2567 ดร.แสงสุขตั้งเป้าภาพรวมรายได้ของสยามเฮลท์ กรุ๊ปที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้เดนทิสเต้ 3% และขยายตลาดการส่งออก

]]>
1489906
“เดนทิสเต้” เตรียมดึง “ลิซ่า Blackpink” เป็นพรีเซ็นเตอร์ “สมูธไลฟ์” ชิมลางตลาด “อาหารเสริม” https://positioningmag.com/1318634 Tue, 09 Feb 2021 13:54:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318634 “เดนทิสเต้” เจอพิษ COVID-19 ยอดขายในไทยตกเพราะขาดนักท่องเที่ยว ปีนี้วางแผนใหม่ โหมสารพัดสินค้านวัตกรรม “ยาสีฟันแห้ง-ลูกอมดับกลิ่นปาก-ยาสีฟันกัญชง” ทุ่มงบการตลาด 400 ล้านบาท แย้มแผนดึง “ลิซ่า Blackpink” เป็นพรีเซ็นเตอร์ หวังขยายกลุ่มลูกค้าสู่คนเจนวาย-ได้ภาพ Global Brand ด้านแบรนด์ “สมูธไลฟ์” ลุยกลุ่ม “อาหารเสริม” วางเป้า 500 ล้านบาท เกาะกระแสรักสุขภาพ

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยภาพรวมของบริษัทปี 2563 ยอดขายรวมในไทยอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ลดลง -5% เนื่องจากปกติบริษัทจะมียอดขายจากกลุ่มนักท่องเที่ยวราว 10% ของพอร์ต แต่เมื่อมีการปิดประเทศ ทำให้กำลังซื้อส่วนนี้หายไป

ในทางกลับกัน ยอดขายในต่างประเทศรวม 25 ประเทศที่มีการส่งออก เติบโต 8% ทำให้ภาพรวมยอดขายทั้งบริษัทอยู่ที่เกือบ 4,000 ล้านบาท

สำหรับปีนี้ ดร.แสงสุขวางเป้ายอดขายอย่างน้อย 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก (Oral Care) ประมาณ 45% กลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ประมาณ 45% และกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ประมาณ 10% ซึ่งกลุ่มหลังนี้เป็นสินค้าหมวดหมู่ใหม่ที่บริษัทเริ่มทดลองตลาดเมื่อปีก่อน

 

“เดนทิสเต้” ทุ่มงบ 400 ล้าน ขยายขายสินค้าอื่นๆ

ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากของสยามเฮลท์ กรุ๊ป แบรนด์ที่ใช้ทำตลาดก็คือ “เดนทิสเต้” ซึ่งครอบคลุมสินค้าสารพัดชนิดตั้งแต่ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สเปรย์ดับกลิ่นปาก ไหมขัดฟัน ฯลฯ

แต่ดร.แสงสุขกล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักเดนทิสเต้เฉพาะยาสีฟัน เพราะเป็นสินค้าชูโรง และจะรู้จักด้วยภาพจำว่าเป็น “ยาสีฟันก่อนนอน” เนื่องจากบริษัทสื่อสารแบรนด์มาตลอดว่าใช้แล้วปากหอมสดชื่นหลังตื่นนอน เหมาะกับคู่รัก เป็นภาพการตลาดที่แข็งแรง แต่ก็แข็งแรงเกินไปจนทำให้ผู้บริโภคอาจไม่เห็นในมุมอื่น หรือเห็นถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มี

“ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” กับ “น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์”

ขณะที่การเพิ่มยอดขายหรือดึงมาร์เก็ตแชร์ การตีโจทย์นี้มีจุดหลักอยู่สองอย่างคือ เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ กับ ขยายกลุ่มลูกค้า

ทำให้ปีนี้ต้องการจะสื่อสารให้กว้างขึ้น ไม่ใช่แค่ยาสีฟันที่ใช้ใน Bed Moment แต่เป็น Best Moment คือใช้ได้ทุกๆ ช่วงเวลาของวัน โดยพรีเซ็นเตอร์ยังคงเป็น “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” กับ “น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์” ซึ่งทำงานกับเดนทิสเต้มาแล้ว 3-4 ปี รวมถึงจะสื่อสารให้เห็นผลิตภัณฑ์อื่นของแบรนด์เพิ่มขึ้น ตามโจทย์การเพิ่มยอดขายด้วยสินค้าใหม่ๆ

ตัวอย่างสินค้าใหม่ : ยาสีฟันแบบแปรงแห้ง ไม่ต้องบ้วนปาก ทำให้ฟลูออไรด์เคลือบฟันได้มากกว่า

ดังนั้น ปีนี้จะเห็นเดนทิสเต้ออก “สินค้าใหม่” เพิ่มมากที่สุด เช่น ลูกอมดับกลิ่นปาก Mastic Mint, ยาสีฟันแปรงแห้ง ไม่ต้องบ้วนปาก, ยาสีฟันที่ช่วยเพิ่มเนื้อฟัน และปลายปียังมีลุ้น ยาสีฟันผสมสารสกัดจากกัญชง อาจได้วางจำหน่าย ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการผลิตและขออนุญาต

เมื่อจะสื่อสารการตลาดสินค้าหลายตัว ทำให้งบโฆษณาของเดนทิสเต้ปีนี้จะทุ่มถึง 400 ล้านบาท จากปกติใช้งบเพียงปีละ 50-60 ล้านบาท

 

แย้มดีล “ลิซ่า Blackpink” พลิกภาพแบรนด์

ดร.แสงสุขยังบอกด้วยว่า ปีนี้แบรนด์เดนทิสเต้มีอีกโจทย์คือการขยายกลุ่มลูกค้าไปยัง กลุ่มเจนวาย จากปกติลูกค้าหลักเป็นเจนเอ็กซ์ ร่วมกับเป้าหมายเดิมตั้งแต่ปีก่อนของเดนทิสเต้ที่ต้องการจะเป็น Global Brand เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับโลกมีวางจำหน่ายทุกทวีป

เมื่อเขย่าขวดสองเป้าหมายนี้เข้าด้วยกัน ทำให้เดนทิสเต้ทาบทาม “ลิซ่า Blackpink” นักร้องชื่อดังขวัญใจวัยรุ่น เป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ของแบรนด์ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาแพ็กเกจราคา โดยเบื้องต้นต้องการให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในไทยก่อน แต่ถึงแม้จะเป็นพรีเซ็นเตอร์ในประเทศ ภาพของ “ลิซ่า” ก็จะทำให้เดนทิสเต้ยกระดับเป็น Global Brand มากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ของเดนทิสเต้

การขยายฐานลูกค้ามาจับกลุ่มเจนวายของเดนทิสเต้มีความน่าสนใจ เพราะเดนทิสเต้ถือเป็นแบรนด์พรีเมียม ลูกค้าจะเป็นคนชั้นกลางบนจนถึงระดับบน ซึ่งเจนวายปัจจุบันนี้คือคนช่วงอายุประมาณ 25-38 ปี เป็นกลุ่มที่มีการงานมั่นคงแล้วและมีกำลังซื้อมากขึ้น

“คนระดับบนในประเทศนี้มีประมาณ 10 ใน 100 คน แต่ถามไปในตลาด คนที่ใช้เดนทิสเต้มีแค่ 3 ใน 100 คน ผมขอเพิ่มอีกแค่คนเดียวเป็น 4 ใน 100 คนก็พอแล้ว เท่านี้บริษัทผมก็โตได้ และยังมีโอกาสโตอีกมาก” ดร.แสงสุขกล่าว

 

ไปเหมือนกัน! บุกตลาด “อาหารเสริม” เต็มตัว

นอกจากเดนทิสเต้แล้ว สยามเฮลท์ กรุ๊ป ยังมีความเคลื่อนไหวในกลุ่มสินค้าอีกกลุ่มคือ “อาหารเสริม” โดยดร.แสงสุขกล่าวว่า บริษัทเริ่มชิมลางตลาดมาตั้งแต่ต้นปี 2563 เริ่มผลิตภัณฑ์แรกคือ วิตามินซี โดยเน้นขายในช่องทางร้านขายยาซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทอยู่แล้ว

แบรนด์ที่ใช้บุกกลุ่มนี้จะเป็น “สมูธไลฟ์” (Smooth Life) โดยผู้สื่อข่าวพบว่า ปัจจุบันมีสินค้า เช่น Prolac 8 โปรไบโอติค ปรับสมดุลแบคทีเรียในทางเดินอาหาร, วิตามินซี, วิตามินบี, HSN วิตามินบำรุงผิว ผม เล็บ, ซุปเปอร์ฟู้ด 5 ชนิด

ดร.แสงสุขกล่าวต่อว่า ปีนี้จะตามด้วย “คอลลาเจน” ส่วนต่อไปจะมีผลิตภัณฑ์อะไร จะดูตามความต้องการของตลาด ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่คนต้องการมากจะเป็นอาหารเสริมที่ตอบโจทย์เรื่องโรคยอดฮิต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ความเครียด นอนไม่หลับ โรคสมาธิสั้น อารมณ์ไม่เสถียร และอาการหลงลืม

เป้าหมายของปี 2564 กลุ่มอาหารเสริมมีสิทธิไปแตะยอดขาย 500 ล้านบาท ด้วยกระแสรักสุขภาพที่เพิ่มขึ้นมากหลังเกิดวิกฤต COVID-19

]]>
1318634
ส่องมุมคิดวิถีการให้ “แสงสุข พิทยานุกุล” เจ้าของสมูทอี “บริจาควันละ 1 ล้าน” แต่โอกาสได้คืนมากกว่า https://positioningmag.com/1241340 Mon, 05 Aug 2019 00:50:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1241340 ในวัย 61 ปี “ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” ผู้ที่เชื่อในเรื่องการสร้างแบรนด์และการทำมาร์เก็ตติ้ง ตลอดการทำงานกว่า 35 ปี Smooth E และ Dentiste จึงเป็นแบรนด์เวชสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากของคนไทย ที่แข่งขันได้กับแบรนด์ต่างชาติ และส่งออกไปทำตลาดกว่า 25 ประเทศทั่วโลก วันนี้ในมุมธุรกิจถือว่า “อยู่ตัว” มีกำไรเข้ามาต่อเนื่อง จึงสานต่ออีกความเชื่อที่ว่า Give Before Take ให้เข้มข้น

“บางครั้งการทำธุรกิจ ที่ได้เงินมามากหมายมหาศาล ไม่ได้มีความสุขเสมอไป แต่การได้ส่งมอบสิ่งดีๆ คืนให้สังคมถือเป็นความสุข” ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป และ บริษัท สมูท อี จำกัด ให้มุมคิด

การทำงานวันนี้ จึงต้องการทำสิ่งใหม่ๆ และแบ่งปันประสบการณ์และความรู้การทำธุรกิจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ หลักการทำงานในแต่ละวันจึงแบ่งเวลาให้ 8 เรื่องที่ต้องทำทุกวัน คือ BMWSEEFG

  • B : Book ต้องอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง
  • M : Meditation นั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง
  • W : Work ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง
  • S : Sleep นอนวันละ 6 – 8 ชั่วโมง
  • E : Exercise ออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง
  • E : Eat รับประทานอาหารวันละ 1 ชั่วโมง
  • F : Family & Friends ให้เวลากับครอบครัวและเพื่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  • G : Give คือการทำอะไรให้กับสังคมและนึกถึงคนอื่น 1 ชั่วโมง
ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

ปีนี้ผมวางเป้าหมายไว้ว่าจะให้เงินช่วยเหลือสังคมในทุกๆ ด้าน วันละ 1 ล้านบาท 

ดร.แสงสุข บอกว่าได้เริ่มบริจาคมาตั้งแต่ต้นปี การให้มีหลากหลายรูปแบบ เดือนนี้ก็กำลังจะไปบริจาครถบัสคันละ 4 ล้านบาท คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคณะและมหาวิทยาลัยที่จบการศึกษา นอกจากนี้ยังได้สร้างห้องแล็บ มูลค่า 2.7 ล้านบาท ให้คณะเภสัชฯ มหาวิทยาลัยมหิดล

การบริจาคเพื่อการศึกษาเป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์และชื่นชอบที่จะทำอย่างมาก และยังตั้งมูลนิธิการศึกษา ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เพื่อผู้ประกอบการ เป็นการส่งเสริมความรู้และเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ

“เงินบริจาควันละ 1 ล้านบาท ผมมองว่าไม่เยอะ เพราะธุรกิจที่ทำอยู่ก็สร้างรายได้และกำไรเข้ามาทุกปี ทำให้สามารถบริจาคได้ การยิ่งให้จะยิ่งได้ ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด

ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

บริจาควันละล้านได้คืนมากกว่า

ความตั้งใจที่จะให้และบริจาควันละ 1 ล้านบาทในปีนี้ เพราะต้องการทำสิ่งนี้ให้กับสังคม เมื่อเริ่มให้สิ่งที่ได้กลับมาทันที อย่างแรก คือ “ความสุข” เมื่อคนเรา Happy ก็คิดงานออก แก้ปัญหาได้ และได้ใจคนที่รู้จัก จากนั้นก็มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นตามมา

“ต่อปีตัวเลขที่บริจาคปีละ 300 – 400 ล้านบาท ผมว่าสิ่งที่ได้กลับมาเกินกว่ามูลค่าที่บริจาค”

สะท้อนได้จากธุรกิจที่เพิ่มขึ้นทุกปี เดือน มิ.ย. ปีนี้ ได้ซื้อกิจการร้านขาย P&F ต้องบอกว่าธุรกิจร้านขายยา เป็นสิ่งที่ใจอยากทำอยู่แล้ว เพราะต้องการยกระดับร้านขายยาและอาชีพเภสัชกร

การได้มีโอกาสซื้อกิจการร้านขายยา P&F จากกลุ่มเภสัชกรผู้ก่อตั้ง ก็มาจากการบริจาคเงินเพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคม จึงมีคนแนะนำให้รู้จักกับกลุ่มเภสัชกรที่ทำร้านขายยา P&F ซึ่งก็มีความตั้งใจจะยกระดับวิชาชีพเภสัชกร เช่นกัน แต่ในตลาดร้านขายที่มีการแข่งขันสูงต้องใช้เงินลงทุนเยอะและกำไรไม่มาก จึงทำงานได้ลำบาก

หลังการพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อตั้ง P&F ก็ได้ขายธุรกิจให้ในราคาไม่แพงและยังทำงานร่วมกันต่อ เพื่อทำตามความตั้งใจ ในการพัฒนาร้านขายยาให้มีคุณภาพ คนทั่วไปเข้าถึงได้

อีกมุมของการให้ ดร.แสงสุข เล่าว่า วันเกิดที่ผ่านมา ได้มอบเงิน 1 ล้านบาท ให้พนักงานกว่า 100 คนนำไปแบ่งกัน เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน สิ่งที่ได้กลับมาคือใจ และประสิทธิภาพการทำงานที่ดี เพราะเชื่อว่า “สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำบุญกับมนุษย์ที่มีลมหายใจ”

เงินที่ตั้งใจบริจาคปีนี้ 300 – 400 ล้านบาท มาจากกำไรของธุรกิจเดิม และมีธุรกิจใหม่เข้ามาต่อยอดสร้างรายได้และกำไรใหม่ให้อีก จึงอยากให้ทุกคนที่มีความสามารถบริจาคได้ ลองร่วมกันแบ่งปันให้สังคม ลองให้ตามกำลังที่มี และดูว่าความสุขที่ได้กลับมา จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตอย่างไร

เปิดโรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ BIS

เพราะเป็นคนที่เชื่อเรื่อง Brand และ Marketing ตั้งแต่เริ่มทำงานและผ่านมา 35 ปี จึงก่อตั้ง 2 แบรนด์ คือ Smooth E และ Dentiste ที่ส่งออกไปทำตลาดใน 25 ประเทศ และสามารถต่อยอดทำธุรกิจไปตลอดชีวิต และตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การทำธุรกิจให้กับ “ผู้ประกอบการรุ่นใหม่”

โดยได้เปิดโรงเรียน The Business Incubation School หรือ BIS โรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ เป็นการศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเติบโต และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งในระดับโลก

ผู้เรียนต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ โดยหลักสูตรการเรียนเน้นปฏิบัติจริง มี “นักธุรกิจ” ที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้สอน และถ่ายทอดประสบการณ์ตรง และทำหน้าที่เป็นโค้ชส่วนตัว (personal coach) ให้ผู้เรียนนำกลยุทธ์ที่ได้จากห้องเรียนไปปฏิบัติจริง และนำผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์ต่อ

นักธุรกิจที่มาร่วมเป็นผู้สอน เช่น วิลเลียม ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งเครือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, วิชา พูลวรลักษณ์ ซีอีโอ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ สหพัฒนพิบูล, สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ อดีตซีอีโอ ยูนิลีเวอร์ ปัจจุบัน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มพฤกษา, สมพร ธีระโรจนพงษ์ ซีอีโอ เอสไอ คอร์ปอเรชั่น, เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร ผู้จัดการดารา เจ้าของร้านตำแหล เป็นต้น

“วันนี้จะไปลงทุนธุรกิจโรงแรม อสังหาฯ ก็ได้เงินเหมือนกัน แต่การทำโรงเรียนสอนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ให้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่นำมาถ่ายทอด เป็นการ Shortcut การลองผิดลองถูก และสร้างธุรกิจเอสเอ็ม อีไทยให้เติบโต เป็นสิ่งที่เห็นแล้วมีความสุขมากกว่า เช่นเดียวกับนักธุรกิจทุกคนที่มาเป็นอาจารย์สอน บอกเหมือนกันว่ากลับไปแล้วมีความสุข”

ปัจจุบันคนทำธุรกิจมี Entrepreneur และ Business Owner ซึ่งแตกต่างกัน ต้องบอกว่าในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็น Business Owner ที่ทำงานแบบเดิมและต่อยอดจากธุรกิจเดิมได้ยาก จึงหา Entrepreneur ได้น้อยเพราะการเป็น Entrepreneur จะมีไอเดียพัฒนาสินค้าอยู่ตลอดเวลา วางกลยุทธ์การตลาด มองการ Collaborate เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้ประกอบการที่ร่ำรวยติดอันดับเศรษฐีโลก “ตระกูลสิริวัฒนภักดี” ที่มีทรัพย์สินเป็น “ล้านล้านบาท” ยังไม่หยุดคิดและมีโปรเจกต์ลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เพราะใช้หลักคิดแบบ Entrepreneur

“เป้าหมายของ BIS ต้องการเปลี่ยนความคิดของ Business Owner ให้เป็น Entrepreneur สร้าง Motivation เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใจที่มุ่งมั่น มีความสามารถ และเห็นโอกาส นั่นคือ การประสบความสำเร็จ และต้องการเห็นเอสเอ็มอีไทย สร้างแบรนด์ก้าวสู่ระดับโลก เหมือนที่สมูทอีทำได้”

การทำงานด้านการศึกษา ท้ายที่สุดต้องการพัฒนา Education Model ของ BIS ให้สถาบันการศึกษาต่างๆ นำไปใช้ เพื่อร่วมกันบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่จะเป็นรากฐานผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโต ความคาดหวังต้องการเห็นโรงเรียน BIS เปิดในทุกจังหวัด เพื่อให้เอสเอ็มอีและคนรุ่นใหม่ได้เข้ามาศึกษาวิธีการทำธุรกิจ

เป้าหมายวันนี้จึงต้องการส่งมอบความรู้ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีพลังงาน นำไปสานต่อธุรกิจให้สำเร็จ.

]]>
1241340