FedEx – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 04 Dec 2023 07:38:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ยักษ์ใหญ่บริษัทขนส่งในสหรัฐฯ หลังจากนี้ไม่ใช่ UPS หรือ FedEx อีกต่อไป แต่เป็น Amazon ที่แซงหน้า 2 เจ้านี้ไปแล้ว https://positioningmag.com/1454255 Mon, 04 Dec 2023 06:33:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454255 Amazon ยักษ์ใหญ่ E-commerce ในสหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นเป็นผู้เล่นยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งพัสดุ หลังจากตัวเลขปริมาณการส่งพัสดุสินค้าในแดนมะกันแซงหน้าบริษัทขนส่งในสหรัฐฯ รายใหญ่อย่าง UPS หรือ FedEx ไปแล้ว และบริษัทยังเตรียมนำโมเดลดังกล่าวขยายออกนอกประเทศด้วย

ข้อมูลล่าสุดในปี 2022 ที่ผ่านมา Amazon ได้จัดส่งพัสดุไปแล้วในสหรัฐอเมริกามากถึง 5,200 ล้านชิ้น ทำให้ล่าสุดบริษัทมีปริมาณมีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้าผู้เล่นรายสำคัญอย่าง FedEx หรือแม้แต่ UPS ไปแล้ว ซึ่ง 2 ผู้เล่นรายดังกล่าวนั้นปริมาณขนส่งพัสดุในแดนมะกันแทบไม่เติบโตด้วยซ้ำ

ปัจจุบัน Amazon มีปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกาแซงหน้า FedEx ยักษ์ใหญ่ขนส่งแดนมะกันไปเมื่อปี 2020 ที่ 3,300 ล้านชิ้น ก่อนที่จะแซงหน้า UPS ยักษ์ใหญ่ขนส่งอีกรายไปในปีนี้ เนื่องจากบริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณขนส่งพัสดุจะไม่เกินสถิติที่บริษัททำได้ที่ 5,300 ล้านชิ้น คาดว่าในปี 2023 นี้ Amazon จะมีปริมาณพัสดุขนส่งผ่านบริษัทมากถึง 5,900 ล้านชิ้น

คำถามคือ ทำไมปริมาณพัสดุของ Amazon นั้นกลับเพิ่มขึ้น คำตอบหนึ่งคือ เครือข่ายขนส่งพัสดุของ Amazon ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นทันตาเห็นจากนโยบายของบริษัทในปี 2018 ที่ไฟเขียวให้ผู้สนใจสามารถซื้อแฟรนไชส์และนำไปตั้งสาขาส่งพัสดุตามเมืองเล็กๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาได้ด้วยเม็ดเงินแค่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

ถ้าหากผู้เล่นรายใดมีเครือข่ายขนส่งที่ทรงประสิทธิภาพแล้ว ลูกค้าเองก็อยากใช้งานของบริษัทขนส่งนั้นเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับ Amazon เองแล้วนั้นมีเครือข่าย E-commerce ของตัวเอง ยิ่งเป็นปัจจัยบวกทำให้ลูกค้าทั้งผู้เล่นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่มาขายสินค้าในแพลตฟอร์มมากขึ้น

Photo : Shutterstock

ข้อมูลล่าสุด Amazon มีพนักงานที่เป็นแฟรนไชส์ขนส่งที่ขับรถส่งสินค้ามากถึง 200,000 คน ส่งผลทำให้เครือข่ายขนส่งของบริษัทมีเพิ่มมากขึ้นทันตาเห็นทันที

Brian Olsavsky ซึ่งเป็น CFO ของบริษัทกล่าวว่า การขยายโปรแกรมแฟรนไชส์ของบริษัททำให้ระยะเวลาการส่งสินค้าของบริษัทลดลง ทำให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคได้ไวขึ้น และยังเพิ่มกำไรให้กับบริษัทด้วย

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น Amazon เองยังเคยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ FedEx และ UPS มาแล้ว ก่อนที่บริษัทจะขยายเครือข่ายขนส่งเป็นของตัวเอง เนื่องจากปริมาณสินค้านั้นคุ้มค่ากับการลงทุนของบริษัทแล้ว

แม้ว่าในปีนี้คาดว่าปริมาณพัสดุในภาพรวมของสหรัฐอเมริกาจะลดน้อยลงจากเรื่องการจับจ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีสำหรับปริมาณพัสดุในสหรัฐอเมริกานั้น Amazon ยังตามหลัง USPS อยู่ (ซึ่งเทียบบริการได้กับไปรษณีย์ไทย) ซึ่ง UPS และ FedEx ได้ใช้บริการ USPS ในการส่งพัสดุ ถ้าหากเครือข่ายของบริษัทไม่มีในปลายทาง แตกต่างกับ Amazon ที่มีเครือข่ายของบริษัทอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกาแล้ว

นอกจากนี้ถ้าหากโมเดลโปรแกรมแฟรนไชส์ของ Amazon ในสหรัฐอเมริกาได้ผลดีมากแล้ว บริษัทเตรียมนำโมเดลธุรกิจดังกล่าวมาใช้ในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของบริษัทอีกแห่ง

ที่มา – Fox Business, Daily Mail, Logistics Insider

]]>
1454255
ซีอีโอ ‘FedEx’ ชี้เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะ ‘ถดถอย’ ทั่วโลก หลังยอดขนส่งบริษัทลดลงต่อเนื่อง https://positioningmag.com/1400419 Fri, 16 Sep 2022 02:43:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1400419 ราจ สุบรามาเนียม (Raj Subramaniam) ซีอีโอของ เฟดเอ็กซ์ (FedEx) ได้ออกมาคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจโลกว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยประเมินจากยอดจัดส่งสินค้าทั่วโลกที่ชะลอตัวลง

การประเมินเศรษฐกิจโลกของ ซีอีโอ FedEx เกิดขึ้นหลังจากที่รายได้ของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ในไตรมาสแรก พร้อมกันนี้บริษัทยังได้ปรับคาดการณ์รายได้ทั้งปีที่เคยให้ไว้เมื่อ 3 เดือนก่อน โดยระบุว่า อุปสงค์ทั่วโลกชะลอตัวลงโดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และมีแนวโน้มแย่ลงในไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายน

ผมคิดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย” ราจ ย้ำ

หลังจากเฟดเอ็กซ์เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงรายงานรายรับและกำไรสำหรับไตรมาสแรกสิ้นสุดวันที่ 31 ส.ค. ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วงลงมากกว่า 15% โดยราจระบุว่า ปริมาณการจัดส่งทั่วโลกที่ลดลงทำให้เฟดเอ็กซ์ประสบผลที่น่าผิดหวัง ในขณะที่บริษัทเคยคาดการณ์ว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่โรงงานในจีนกลับมาเปิดทำการหลังจากปิดไปเพราะ COVID-19 แต่กลับไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดไว้

“ผมผิดหวังมากกับผลลัพธ์ที่เราเพิ่งประกาศ เนื่องจากสถานการณ์ระดับมหภาคที่เรากำลังเผชิญอยู่ เราเห็นปริมาณการขนส่งลดลงในทุกเซกเมนต์ทั่วโลกทุกสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ดังนั้นเราจึงถือว่า ณ จุดนี้สภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก

เขาทิ้งท้ายว่า ธุรกิจขนส่งเป็นภาพสะท้อนของธุรกิจของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงในโลก

Source

]]>
1400419
สงครามการค้าทำพิษ FedEx รับโลจิสติกส์วูบหลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนักสุดรอบ 10 ปี https://positioningmag.com/1247066 Fri, 20 Sep 2019 05:59:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1247066 ภาพ : facebook.com/pg/FedEx

งานเข้า FedEx เจ้าพ่อโลจิสติกที่อยู่ในภาวะหุ้นร่วง 14 – 18% เพียงวันเดียวหลังประกาศผลประกอบการพลาดเป้า พร้อมกับประเมินเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่าหดตัวจนน่าเป็นห่วง แถมสัญญาระหว่าง FedEx กับเจ้าพ่อออนไลน์อย่าง Amazon ก็กำลังจบลง ส่งให้ Amazon และ FedEx กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงแบบช้างชนช้าง

สำหรับเศรษฐกิจโลก FedEx ระบุว่าความคึกคักบนเวทีการค้าโลกวันนี้อยู่ในช่วงชะลอตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009 หรือเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ FedEx ปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้ปีนี้ลง พร้อมกับย้ำว่าการค้าระหว่างประเทศกำลังได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีของรัฐบาล Trump ซึ่งทำให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาลดลง ทำให้ความต้องการใช้บริการโลจิสติกลดตามไปด้วย

Brie Carere ประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสารของ FedEx ย้ำว่าดัชนีการค้าโลกจะสะท้อนภาพการชะลอตัวชัดเจนในปีนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดย 10 ปีที่ผ่านมา การค้าโลกได้รับการอัดฉีดจากมาตรการปลอดภาษี และมาตรการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอื่นๆ ซึ่งเครื่องมือทรงพลังเหล่านี้ได้หดหายไปอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009

ยอด shipping ตก

Alan Graf ประธานฝ่ายการเงินของ FedEx มองว่าไม่เพียงเศรษฐกิจโลก แต่สถิติการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมยังซบเซาจนทำให้มีผลผลิตน้อยกว่าดีมานด์ที่คาดเอาไว้ สินค้าที่น้อยลงทำให้ยอดการ shipping หดตัว ซึ่ง FedEx ยอมรับผลนี้และประกาศลดตัวเลขประเมินผลประกอบการล่วงหน้าสำหรับปี 2020 อย่างเป็นทางการ

เมื่อปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้ลดลงชัดเจน นักวิเคราะห์ใน Wall Street จึงไม่อยู่เฉย ทำให้หุ้น FedEx ถูกลดเกรดจนน่าใจหาย ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายมองว่า FedEx ควบรวมเครือข่าย TNT ผู้ให้บริการในยุโรปได้ช้าเกินไป ทั้งที่ซื้อกิจการสำเร็จตั้งแต่ปี 2016 ด้วยราคา 4,400 ล้านเหรียญ 

แข่งรอบด้าน

Fred Smith ผู้ก่อตั้ง FedEx ยอมรับกับนักลงทุนว่าวันนี้ FedEx ต้องแข่งขันกับบริษัท UPS และ DHL และล่าสุดคือ Amazon ที่จะเป็นคู่แข่งเต็มตัวคนใหม่ ทำให้ FedEx ต้องปรับตัวตลอดเวลาเพื่อยกระดับบริการ

สำหรับกรณีของ Amazon สื่อบางสำนักมองว่า FedEx จะได้รับผลรุนแรงจากการปิดฉากความเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งคู่ โดยบริการ FedEx Express พบว่ามียอดการจัดส่งสินค้าในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเพียง 7% เท่านั้น ซึ่งแปลว่าตลาด e-commerce ยังเป็นเซกเมนต์รองของ FedEx อยู่ ทั้งที่ FedEx ควรตื่นตัวกว่านี้ในยุคแห่ง e-commerce.

]]>
1247066
FedEx ปาดเหงื่อ รายได้ทั่วโลกชะลอตัว https://positioningmag.com/1221031 Thu, 21 Mar 2019 10:57:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1221031 ภาพจาก : https://www.facebook.com/FedExAPAC/

ไม่ใช่แค่ไปรษณีย์ไทยที่ต้องรับมือกับการแข่งขัน แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง FedEx ก็ยอมรับว่าตัวเลขรายได้ต่างประเทศจากตลาดนอกสหรัฐฯ กำลังลดลงต่อเนื่อง ระบุเป็นผลมาจากการอ่อนแข็งของค่าเงินซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้ออำนวย ที่สำคัญคือผลกระทบจากการต่อสู้กับคู่แข่ง ที่ทำให้ FedEx ไม่เติบโตเท่าที่ควรในปีที่ผ่านมาและในปีถัดไป

Alan B. Graf, Jr. รองประธานบริหาร และประธานฝ่ายการเงินของ FedEx Corp ไม่ได้ยอมรับว่า FedEx ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันสุดโหดในตลาดขนส่งยุคออนไลน์บูม แต่กลับโยนบาปให้ภาวะเศรษฐกิจมหภาคระหว่างประเทศที่ชะลอตัว และแนวโน้มการเติบโตทางการค้าโลกที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับที่หลายบริษัทมักใช้เวลาพ่ายคู่แข่ง

เบื้องต้นผู้บริหาร FedEx มองว่าวิกฤติเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไป จากปีนี้ที่รายรับระหว่างประเทศของ FedEx Express ลดลงชัดเจน โดยล่าสุด FedEx รายงานผลประกอบการและรายรับในไตรมาส 3 ที่พลาดเป้า แถมยังลดตัวเลขประเมินรายได้ทั้งปี 2019 ลง

Alexander Shcherbak | TASS | Getty Images

เศรษฐกิจยุโรปน่าเป็นห่วง

ประเด็นสำคัญจากการแถลงตัวเลขผลประกอบการ FedEx คือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทกำลังโฟกัสความกังวลอย่างจริงจังกับปัญหาเศรษฐกิจโลก ประเด็นที่ถูกจับตาคือปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป ซึ่งถือว่าสวนทางกับธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่บูมมากในเอเชีย จนทำให้บริษัทขนส่งรายย่อยสามารถเติบโตรวดเร็วในหลายท้องถิ่น

แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเอเชียจะแข็งแกร่ง แต่บริการจัดส่งพัสดุข้ามชาติอย่าง FedEx กล่าวว่าธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัทจะอ่อนแรงลงในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ โดยเฉพาะในยุโรปคาดว่ารายได้ระหว่างประเทศของบริษัทจะลดลง เพราะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนต่อน้ำหนักและการจัดส่งต่ำลงกว่าเดิม

ทั้งหมดนี้ทำให้หุ้นของ FedEx ลดฮวบ 4% ทันทีที่ประกาศ เพราะค่อนข้างแน่ชัดว่ารายได้ของ FedEx Express International จะลดลงสวนทางกับการเติบโตที่สูงขึ้น แถมนอกจากบาดแผลจากอัตราแลกเปลี่ยน ยังมีผลกระทบเชิงลบจากการต่อสู้ทางการค้าที่ FedEx ต้องเผชิญ

รัดเข็มขัดลดค่าจ้าง

เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลง Graf กล่าวว่า FedEx กำลังเริ่มโครงการจ้างพนักงานให้ลาออกหรือ employee buyout โดยสมัครใจ และจะเริ่มจำกัดการจ้างงานเพื่อตัดใช้จ่ายอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำลังพิจารณาเพื่อหาหนทางอื่นในการลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมต่อไป

ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นอีกปีที่สาหัสสำหรับ FedEx เนื่องจากหุ้นของ FedEx ปรับตัวลดลงประมาณ 27% ในช่วง 12 เดือนของปี 2018 ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเมื่อเทียบกับหุ้นของบริษัทขนส่งรายอื่น 

ส่วนหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ FedEx ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทำให้ FedEx ได้รับผลต่อเนื่องในตลาดจีน แม้จะมีรายงานหลายฉบับเกี่ยวกับความคืบหน้าของการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศซึ่งมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก แต่ข้อมูลจากสื่อระดับโลกยอมรับว่าเจ้าหน้าที่จีนเองก็กำลังคว่ำบาตรการค้ากับบริการสัญชาติสหรัฐฯ อย่างไม่ได้ปิดบังใคร.

ที่มา : https://www.cnbc.com/2019/03/19/fedex-just-warned-the-whole-globe-is-slowing.html

]]>
1221031
ค้าปลีกอเมริกันเดือด Walmart ดึง FedEx เปิดสาขาใน 500 ร้าน https://positioningmag.com/1162706 Thu, 22 Mar 2018 01:00:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1162706 ในขณะที่คนไทยเห็นศูนย์กระจายพัสดุของแบรนด์เอกชนอย่าง Kerry มากขึ้น ชาวอเมริกันก็กำลังจะได้เห็นศูนย์ FedEx เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเจ้าพ่อค้าปลีกอย่าง Walmart ประกาศนำร้าน FedEx มาเปิดสาขาในร้านค้า Walmart จำนวน 500 แห่งทั่วประเทศ จุดประสงค์ของการดึงบริษัทขนส่งมาเปิดร้านในห้าง คือเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถส่งของถึงกันได้ง่ายขึ้น คาดว่าความเคลื่อนไหวนี้จะทำให้ Walmart แข่งขันกับเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ได้ ซึ่งจะช่วยให้ Walmart มีที่ยืนในตลาดค้าปลีกได้มั่นคงกว่าเดิม

นี่อาจเป็นข่าวสะท้อนเทรนด์ค้าปลีกยุคหน้าของโลก โดยรายงานระบุว่า Walmart ตั้งใจนำร้าน FedEx เข้ามาเปิดที่ร้านสาขาของ Walmart เพื่อเป็นที่จัดพิมพ์ บรรจุ และจัดส่งสินค้า อำนวยความสะดวกให้กระบวนการส่งพัสดุสามารถทำเสร็จได้ที่ร้าน Walmart ในที่เดียว

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Walmart ประสบความสำเร็จในการทดสอบนำร่อง เพราะสามารถผลักดันให้ประชาชนคนอเมริกันเดินทางเข้าร้าน Walmart มากขึ้น และลดความท้าทายด้านโลจิสติกส์ของ Walmart ลงได้ชัดเจน เนื่องจากลูกค้านักช้อปสามารถใช้พื้นที่ของ FedEx เพื่อเปลี่ยนเส้นทางพัสดุ หรือดำเนินการคืนสินค้าตามนโยบายของร้านค้าปลีก

เห็นได้ชัดจากการทดสอบระหว่าง Walmart และ FedEx ใน 50 สาขาที่ North Carolina, South Carolina, Virginia, Arkansas, Texas และ Colorado พบว่าโครงการนำร่องเหล่านี้ประสบความสำเร็จงดงาม ทำให้พื้นที่สำนักงาน FedEx Office ขนาดเล็กจะถูกเปิดในสถานที่ของ Walmart 500 สาขาภายใน 2 ปี 

ทั้งหมดนี้ Walmart ถูกมองว่าเป็นการดึง FedEx เข้ามาเพิ่มบริการเพื่อให้สามารถแข่งขันกับ Amazon ได้ดีขึ้น 

Brian Philips ซีอีโอ FedEx Office ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่าความร่วมมือนี้เกิดขึ้นเพราะความลงตัวของ Walmart ทั้งด้านโครงสร้างและประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ที่ผ่านมา FedEx เป็นพันธมิตรที่ดีกับ Walmart ด้านการขนส่งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหมาะสมที่จะต่อยอดในรูปแบบร้านค้าภายในร้านค้าหรือ store-within-a-store format

รายงานของ CNBC ชี้ว่าพื้นที่สำนักงาน FedEx Office ในร้าน Walmart จะช่วยให้ผู้ซื้อสามารถจัดส่งพัสดุได้ไม่เกิน 5 วันทำการซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับลูกค้าบางรายที่อาศัยไกลจากศูนย์รับส่งสินค้า รวมถึงกลุ่มที่กังวลภัยล่อลวง 

ที่สำคัญ ทั้ง 2 บริษัทระบุว่าประสบความสำเร็จมากเรื่องการใช้สถานที่ภายใน Walmart เพื่อเก็บสินค้าคงคลัง จุดนี้ซีอีโอ FedEx ยกตัวอย่างบริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่อาจใช้ร้านค้าเป็นสถานที่จัดเก็บตลอดทั้งสัปดาห์ แทนการจัดเก็บกล่องไว้ในรถรอการส่งมอบ

นอกจากนี้ การทดสอบพบว่าลูกค้าหลายรายเดินช้อปปิ้งต่อใน Walmart หลังจากเข้าใช้บริการ FedEx แล้ว ดังนั้น การเปิด FedEx จึงเป็นการส่งเสริมให้มีผู้เข้าชมร้านค้ามากขึ้น 

เบ็ดเสร็จแล้ว ร้านค้า FedEx จะมีขนาดราว 450 ถึง 750 ตารางฟุตและจะมีพนักงาน FedEx รวมประมาณ 2,000 คน

ความร่วมมือนี้ถือเป็นการขยายผล หลังจากที่ FedEx เป็นพันธมิตรกับ Walmart ในการจัดส่งสินค้ามาระยะหนึ่งแล้ว เป้าหมายของการต่อยอดครั้งนี้คือการลดความเครียดในการส่งมอบช่วงไมล์สุดท้ายหรือ “last mile” ที่สินค้าจะถูกนำส่งถึงมือผู้บริโภค โดยแบรนด์ค้าปลีกทั้ง Amazon, Target และบริษัทอื่น ต่างก็กำลังมองหาวิธีที่จะเอาชนะใจลูกค้าให้มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น Amazon ที่เริ่มวางตู้เก็บของรถกระบะไว้ที่ร้าน Whole Foods และห้างสรรพสินค้าใหย่ ขณะที่ Target เพิ่งเข้าซื้อกิจการ Grand Junction และ Shipt เพื่อสนับสนุนการจัดส่งสินค้าที่เร็วกว่าเดิม

จุดนี้ ซีอีโอ FedEx ยอมรับว่าผู้ค้าปลีกกำลังมองหาเครื่องมือที่จะทำให้ส่งสินค้าถึงลูกค้าได้ดีและเร็วที่สุด และทุกคนกำลังพยายามหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองให้บริการได้หลายช่องทางหรือ omnichannel ดังนั้นบริการขนส่งสินค้าอย่าง FedEx จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม

ที่สำคัญ พื้นที่ FedEx Office ภายในร้าน Walmart จะทำให้ผู้ซื้อสามารถส่งคืนสินค้าที่ไม่ต้องการได้เร็ว เนื่องจากพันธมิตร FedEx กับผู้ค้าปลีกรายอื่น ๆ สามารถอนุมัติการคืนเงินได้ทันที จากนั้น FedEx จะสามารถจัดส่งผลิตภัณฑ์กลับไปยังผู้จัดจำหน่ายเหล่านั้นได้แบบไร้รอยต่อ

นอกจากนี้ พื้นที่ FedEx ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้อีคอมเมิร์ซได้มากขึ้นอีกด้วยการรวมการจัดส่งสินค้าเข้าเป็นครั้งเดียว ผ่านต้นทางและปลายทางที่ตั้งของสำนักงาน FedEx ซึ่งดีกว่าการส่งมอบสินค้าไปตามบ้านของลูกค้านับ 10 หลัง ซึ่งลูกค้าจะสามารถมารับสินค้าที่ FedEx สาขาที่สะดวกได้เลย

บทบาทของบริษัทขนส่งอย่าง FedEx ที่เพิ่มขึ้นในวงการค้าปลีกอเมริกัน อาจเป็นสัญญาณบอกว่า เทรนด์นี้กำลังจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีนี้ก็ได้.

ที่มา

]]>
1162706
ยุคทอง FedEx และ UPS? เมื่อชาวออนไลน์แห่คืน “ของขวัญที่ไม่ต้องการ” https://positioningmag.com/1151999 Thu, 28 Dec 2017 03:41:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151999 ต้องบอกว่าเป็นอีกแง่มุมของวงการค้าปลีกออนไลน์ที่ไม่ค่อยมีการเปิดเผยนัก สำหรับสถิติการส่งคืนสินค้าที่คลิกสั่งซื้อมาแล้วไม่ถูกใจลูกค้า ล่าสุดบริษัทจัดส่งพัสดุอย่าง FedEx ประเมินแล้วว่า สินค้ากว่า 15% ที่ถูกซื้อขายออนไลน์นั้นมีการส่งคืน คาดว่ามูลค่าสินค้าที่มีการส่งคืนเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาวทั่วโลกจะแตะระดับ 9 หมื่นล้านเหรียญหรือประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท

ร้านค้าปลีกออนไลน์วันนี้ใช้วิธีเปิดเสรีให้ลูกค้าส่งคืนสินค้าที่ไม่ถูกใจได้ตามต้องการในวันที่กำหนด ความจริงนี้ทำให้บริษัทชิปปิ้งอย่าง FedEx และ UPS ได้รับอานิสงส์จนสามารถทำเงินจากธุรกิจรับส่งคืนสินค้า e-commerce ได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาวปลายปี 2017

เบื้องต้น ข้อมูลจากบริษัท Optoro ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการเฉพาะทางแก่ธุรกิจจัดส่งสินค้าคืน ระบุว่าผู้บริโภคทั่วโลกจะส่งคืนสินค้ากลับสู่ผู้ค้าคิดเป็นมูลค่าสินค้าราว 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขนี้ถือว่าใกล้เคียงกับมูลค่าสินค้ารวมตลอดไตรมาสที่ถูกส่งคินในแต่ละปี 

จุดนี้ Optoro ย้ำว่ามูลค่ารวมของสินค้าที่ถูกส่งคืนในแต่ละปีนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคหันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

แน่นอนว่าบริษัทจัดส่งพัสดุอย่าง FedEx และ UPS ต่างพยายามครองส่วนแบ่งในธุรกิจส่งคืนสินค้าให้มากขึ้น โดยพยายามร่วมมือกับผู้ค้าที่ต้องเผชิญกับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าภายใต้นโยบายรับคืนสินค้าแบบใจกว้างและดำเนินการง่าย

เรื่องนี้ Trevor Outman ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัท Shipware ที่ปรึกษาด้านบริการขนส่งสินค้า อธิบายว่า การส่งคืนสินค้านั้นถือเป็นความท้าทายหลักสำหรับผู้ค้าปลีกในวันนี้ เนื่องจากต้นทุนที่ต้องเสียให้กับการส่งคืนสินค้านั้นเพิ่มมากขึ้นตามอัตราการเติบโตของวงการ e-commerce ผลคือผู้ค้าออนไลน์กำลังเร่งพยายามลดต้นทุนการ shipping โดยแนะนำว่าหนึ่งในวิธีที่สามารถลดค่าจัดส่งสินค้าได้คือการลดพื้นที่สิ้นเปลืองในกล่อง เพราะกล่องสินค้าที่ใหญ่เกินไปจะทำให้ราคาค่าส่งเพิ่มตามไปด้วย

ด้าน Bruce Cohen หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ค้าปลีก ของบริษัทที่ปรึกษา Kurt Salmon ในเครือ Accenture ระบุว่าการเปิดให้ลูกค้าคืนสินค้ากลายเป็นเครื่องมือสำหรับการแข่งขันในวงการค้าปลีกยุคนี้ ซึ่งหากลูกค้าพบว่าการส่งคืนสินค้าของร้านใดไม่สะดวก ทุกคนก็จะเปลี่ยนไปใช้บริการร้านค้าอื่น

อย่างไรก็ตาม การสำรวจนักช็อปอเมริกันพบว่า ในขณะที่หลายคนคลิกซื้อสินค้าออนไลน์ แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินทางไปคืนสินค้าที่ร้าน เรื่องนี้ Raj Subramaniam หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ FedEx เผยในงานประชุมนักลงทุนของบริษัทเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยประเมินว่าสินค้าราว 15% ที่มีการส่งคืน อัตราการส่งสินค้าขาไปและกลับทำให้บริษัทขนส่งอย่าง FedEx และ UPS เห็นโอกาส และเริ่มสร้างจุดให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ให้ส่งคืนสินค้าง่ายขึ้น

ตัวอย่างเช่นแบรนด์ Kohl’s ที่จะเริ่มเปิดจุดรับคืนสินค้าที่โชว์รูมของบริษัท เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าจาก Amazon มีทางคืนสินค้าได้ง่ายขึ้น

ปัจจุบัน FedEx มีจุดบริการรับและส่ง (pick-up and drop-off location) สินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตหลายสาขา รวมถึงในร้านขายยา และอีกหลายสถานที่ในย่านธุรกิจเพื่อต่อยอดธุรกิจรับคืนสินค้า สถิติล่าสุดคือ FedEx ปูพรมตั้งศูนย์บริการมากกว่า 7,500 แห่งในร้าน Walgreens รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต Kroger และ Albertson’s บางสาขา

ขณะที่ UPS เดินเส้นทางต่างออกไปจาก FedEx โดยไม่เพียงจะหวังรายได้จากธุรกิจส่งคืนสินค้าเท่านั้น แต่ยังพยายามแทรกตัวเข้าไปในวงจรการส่งคืนสินค้าที่ถูกคืนมาเข้าสู่ช่องทางที่อาจขายต่อได้ หมากตานี้ดูดีเพราะ UPS ลุยเครือข่าย Access Point ซึ่งมีจุดให้บริการมากกว่า 27,000 สาขาในย่านธุรกิจ ครอบคลุมตั้งแต่ร้านซักแห้งยันร้านขายฮาร์ดแวร์วัสดุก่อสร้าง

เบื้องต้น UPS ให้ข้อมูลว่าในปี 2017 ที่ผ่านมา มีพัสดุ 5.8 ล้านชิ้นถูกส่งกลับไปที่ผู้ค้าปลีกในช่วงสัปดาห์แรกของมกราคม 2017 คาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นอีกในปี 2018

ผลคือมกราคมถือว่าเป็น “peak of return” หรือช่วงเวลาที่มีการส่งคืนสินค้ามากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 51% ของการส่งคืนสินค้าทั้งหมด โดยข้อมูลจาก Optoro ชี้ว่ามีผู้บริโภคในสหรัฐฯส่วนใหญ่ยอมเสียเวลาส่งคืนของขวัญที่ไม่ต้องการช่วงหลังคริสต์มาส ทำให้การส่งคืนสินค้าช่วงวันที่ 26-31 ธันวาคมปีที่แล้ว คิดเป็น 40% ของสินค้าที่ถูกส่งคืนทั้งหมด

เทรนด์ที่ไปรษณีย์ไทยอาจเริ่มต้นศึกษาในวันนี้ คือความเข้าใจเรื่องการตั้งจุดให้บริการรับและส่งสินค้าว่าเป็นผลดีทั้งตัวธุรกิจและผู้บริโภค การตั้งศูนย์ลักษณะนี้ประหยัดต้นทุนได้ทั้งในแง่เชื้อเพลิงและแรงงาน สินค้าหลายชิ้นสามารถถูกรับไปได้จากจุดให้บริการจุดเดียว ถือว่าคุ้มค่ามากกว่าการส่งสินค้าไปกลับจากหน้าประตู door-to-door อย่างที่เป็นในเอเชีย

ความจริงนี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ Kerry น้องใหม่มาแรงในตลาด shipping เมืองไทยเริ่มเปิดสาขาเป็นดอกเห็ดในหลายย่านการค้าด้วย.

ที่มาcnbc.com/2017/12/26/christmas-and-holiday-gift-returns-are-great-for-fedex-and-ups.html

]]>
1151999